Chapter 05: ทำไมจิระไม่อ่อนโยน
หากไม่นับชาติที่แล้ว เรื่องที่สะเทือนใจผมที่สุดในชาตินี้ก็คือการถูกอิเหนาขโมยจูบในฐานะเป็นเมียมันนี่แหละ
ไอ้บ้าเอ๊ย! มาพรากพรหมจรรย์จูบไปซึ่งๆ หน้าได้ยังไง!
ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ซึมไปเลย รีบกลับหอไปนอนร้องไห้อยู่ทั้งคืนจนหมอนแฉะ วันรุ่งขึ้นตาบวมก็เลยไม่ไปเรียน แต่จริงๆ แล้วเหตุผลนั้นมันก็แค่ข้ออ้างแหละ เพราะความจริงผมละอายแก่ใจที่จะเจอหน้าพี่บุศย์มากกว่า
จุมพิตแรกอันสะอาดและบริสุทธิ์ของผมที่ตั้งใจจะมอบให้แก่นางบุษบา บัดนี้โดนอิเหนาหน้าด้านพรากเอาไปแบบไม่ถามสุขภาพสักคำ
โอ้น้องบุษบาของพี่... ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่พี่จรกาผู้นี้ไม่สะอาดบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว
ผมพร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้นหลายวัน พอได้สติว่าถ้าไม่ไปเรียน เอาแต่เก็บตัวอุดอู้อยู่ในหอเพราะเสียซิงจูบไป มีหวังจรกาได้ติดเอฟแน่นอน ผมเลยตั้งหลักแล้วออกไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ทว่า...ก็ยังหลบหน้าพี่บุศย์อยู่ดี
หลบ...เป็นอาทิตย์
จากปกติที่เอาแต่ส่งข้อความหาเขาบ้าง โทรหาเขาบ้าง ตอนนี้ไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ มีบ้างที่ผมกดเบอร์เขาหรือหน้าต่างแชทขึ้นมา แต่พอจะโทรหรือพิมพ์ไป ผมก็ต้องเปลี่ยนใจด้วยยังคงละอายแก่ใจไม่เลิก
เนื้อตัวแปดเปื้อนอย่างนี้ จะมีหน้าไปพลีกายให้น้องยาบุษบาได้ยังไงกัน
สุดท้ายก็ไม่ได้ติดต่อกับพี่บุศย์อยู่ดี เลิกเรียนปุ๊บก็รีบนั่งรถเมล์กลับหอด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวไม่เลิก
แต่ขุ่นมัวได้ไม่เท่าไรก็หิวข้าว... เออ กองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง ตอนกลางวันก็ไม่ได้กินอะไรเท่าไรด้วย มัวคิดแต่เรื่องจูบเลยพานกินไม่ลง พอถึงหน้าหอ ผมก็ไม่รอช้า พุ่งเข้าร้านอาหารตามสั่งข้างใต้หอก่อนเป็นอันดับแรก
“ป้าครับ เอาผัดกระเพราหมูสับ ไข่ดาวไม่ต้องสุกมาก”
เมนูโปรดถูกสั่งออกไปอย่างเคย ผมเดินไปหยิบน้ำอัดลมในตู้ไปเปิดแล้วเลือกโต๊ะนั่ง ไม่นานนัก ข้าวผัดกระเพราหน้าตาน่ากินก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ ผมคว้าโหลพริกน้ำปลามาเตรียมจะตักมาเหยาะลงบนไข่ดาว ทว่ามือก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ สายตาก็เห็นรถคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหน้าหอ
รถคันนั้น... คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
ความจริงแล้วรถรุ่นนี้ก็มีคนใช้กันทั่วไปนั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพอผมเห็นรถคันนั้นแล้วถึงได้รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาแปลกๆ ซึ่ง...ก็จริงเสียด้วย เพราะไม่กี่อึดใจต่อมา เจ้าของรถคันนั้นก็โผล่หน้ามาให้เห็น
“ฮาย~ คุณจิระ”
ไอ้ – อิ – เหนา!
ถึงกับถือช้อนตักพริกน้ำปลาค้างเลย ขณะที่พี่อินทร์ในชุดนักศึกษาเดินหน้าระรื่นมานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม
“กลับเร็วจังเลยนะ”
มาถึงก็พล่ามๆๆ ผมก็ได้แต่อ้าปากค้าง หัวสมองประมวลผลแทบไม่ทัน
มะ...หมายความว่ายังไงที่ว่าไปดักรอหน้าคณะ
“บังเอิญว่าไม่เห็นหน้าเห็นตาหลายวัน ถามไอ้บุศย์แล้วมันก็ไม่รู้เรื่อง พอโทรหาก็ไม่รับ พี่คิดว่าเป็นอะไร ไปดักรอที่หน้าคณะหลายวันแล้วเนี่ย ไม่เจอสักที วันนี้นึกครึ้มอกครึ้มใจเลยลองขับไปดูที่ป้ายรถเมล์ เห็นขึ้นรถเมล์พอดี ตามมาหาที่หอซะเลย แต่บังเอิญพี่มาถึงก่อนเลยรอที่หน้าหอ เห็นเดินมากินข้าวก็เลยแวะมาคุยเลยแล้วกัน”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถาม พี่อินทร์ก็ร่ายยาวให้ผมรู้ว่าเขาเจอตัวผมได้ยังไง ผมอดอึ้งกับคำพูดของเขาไม่ได้
ไอ้ที่เคยว่าวิหยาสะกำเป็นสตอล์กเกอร์น่ะ ขอถอนคำพูดก่อน เพราะสตอล์กเกอร์ตัวจริงเนี่ย อิเหนาชัดๆ เลย!
ตั้งแต่วันที่ถูกขโมยจูบแล้วนะ รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่ไหนเนี่ย!
“นั่นๆ ทำหน้าตาสงสัย อยากรู้ล่ะสิว่าวันนั้นพี่ไปช่วยเราได้ยังไง พอดีว่าไอ้บุศย์มันเป็นห่วงแต่มันติดประชุมโปรเจ็กต์ตอนเย็น พี่ก็เลยอาสามาดูแทน แล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นก็อย่างที่เห็น”
ผมพอจะเข้าใจได้ นึกขอบคุณพี่บุศย์ที่เป็นห่วงผมด้วย แต่มันจะดีกว่ามากและผมจะดีใจมากด้วยถ้าเขามาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ส่งไอ้บ้านี่มาน่ะ!
แต่ถึงตอนนี้จะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญแล้ว ผมมองหน้าผู้ชายที่ยิ้มระรื่นให้ก่อนจะถามเสียงแข็งน้อยๆ
“แล้วพี่อินทร์อยากเจอผมทำไมครับ”
พี่อินทร์ยกยิ้ม ว่าอย่างไม่ยี่หระ “น้ำเสียงเหินห่างจัง นี่ผัวนะ”
ผมแทบจะคว้าโหลพริกน้ำปลาขว้างใส่
ผัวเผออะไรกันเล่า! ถ้าคนอื่นได้ยินแล้วเข้าใจผิดจะว่ายังไง!
ผมก็เลยเงียบ จ้องหน้าเขาเขม็ง ขณะที่เขายืดตัวขึ้น ว่าออกมาอีกครั้ง
“คืองี้ พี่จะมาดูว่าจิเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นหายเงียบไปเลย ตกลงเป็นอะไรปะ ไม่สบายตรงไหนอะไรไหม”
“ผมสบายดี”
“แล้วทำไมหายเงียบไป ปกติต้องตามติดไอ้บุศย์แจนี่”
ผมก็อยากจะบอกเหตุผลเหมือนกันว่าเป็นเพราะละอายแก่ใจต่อพี่บุศย์เรื่องที่ถูกเขาขโมยจูบนี่แหละ ทว่าไม่พูดดีกว่า พูดไปแล้วก็เหมือนเป็นการตอกย้ำตัวเองให้รู้สึกผิดอีกที่ไม่ระวังตัวให้ดีกว่านี้ อย่างที่บอกว่ามันสะเทือนใจ
และถึงผมจะไม่บอก ก็เหมือนกับว่าพี่อินทร์จะพอเดาได้ว่าที่ผมหายหัวไปนี่เป็นเพราะอะไร
“เอ...หรือว่าเป็นเพราะถูกพี่...อื้ม...วันนั้น?”
ไม่ยอมพูดคำว่า ‘จูบ’ เว้นว่างเหมือนอยากให้ผมเติมคำให้ ผมมองหน้าเขา ถามเสียงขุ่นอีกระลอก
“อื้มอะไรครับ”
พี่อินทร์โน้มใบหน้าเข้าใกล้ ว่ากระซิบ “ถูกพี่จูบดูดดื่ม เม้มริมฝีปากบนและล่าง สอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดรัดรึงเสียวซ่านซาบซ่ารัญจวนใจไง”
มึงบอกแค่จูบเฉยๆ ก็พอเว้ย! จะมาเสียวซ่านซาบซ่าอะไร!
ผมขยับออกห่างเขาเลย ส่วนเขาก็หัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นผมทำหน้าบึ้ง
“เป็นอะไร หรือจะไม่ชอบ?”
แน่นอนว่าไม่ชอบอยู่แล้ว ใครมันจะไปชอบกันล่ะ บอกตรงๆ นะ พอเขามาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าอีกครั้ง ผมก็โกรธเขาแบบจริงจังขึ้นมาเลย แต่พี่อินทร์ดูจะไม่สนใจเท่าไร นอกจากจะถามเรื่องที่ตัวเองอยากรู้
“ตกลงคือไม่ชอบจริงๆ อะ?”
ผมไม่ตอบ เหลือบมองแล้วเมินหนี ทำให้พี่อินทร์พูดต่ออยู่คนเดียว
“อ้ะๆ ทำหน้ากระรอก ส่งสายตารังเกียจเหยียดหยามมางี้ ไม่ชอบอย่างรุนแรงแน่”
เพิ่งจะรู้ตัวหรือไง
ผมไม่อยากไปตอบโต้เสวนาให้เปลืองน้ำลายหรอก แค่เห็นหน้าก็ไม่อยากเห็นแล้ว
หน็อย บังอาจเอาจูบแรกของผมไป คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน คิดมากอะไรเรื่องนี้ แต่ผมบอกได้เลยว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ การกระทำของไอ้เวรนี่เรียกได้ว่าเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศเลยเถอะ ที่สำคัญ...ผมจะเก็บจูบแรกไว้ให้บุษบา ไม่ใช่ให้อิเหนาช่วงชิงไปในฐานะผัวสักหน่อย!
“แน่ะ งอนนานเว่อร์วัง”
“...”
“ฮั่นแน่ ยังไม่ยอมพูดด้วยอีก ปากหนักนักนะพ่อหนุ่มหน้ากระรอก”
ยังมีหน้าเอามือมาจิ้มแก้มผม ผมค้อนขวับ เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยกมือกุมหน้าอกข้างซ้าย ทำสีหน้าเจ็บปวด
“เอื้อ... สายตาทิ่มแทง”
ชาติก่อนเป็นอิเหนา แต่ชาตินี้นอกจากจะเป็นอิแรดแล้วยังเป็นอิบ้าด้วย ไม่มีใครสั่งใครสอนหรือไงว่าให้เขย่าขวดก่อนกินยาน่ะ!
พอผมเมิน พี่อินทร์ก็ยื่นมือมาหมายจะจับแก้มผม ผมเห็นก่อนเลยปัดมือเอาออกเต็มแรง เสียงดังเพียะทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อย พี่อินทร์ทำหน้าเหมือนเจ็บปวดมาก แต่พออ้าปากขึ้น...
“ทำไมจิระไม่อ่อนโยน~”
...ผมก็รู้ทันทีว่าแม่งไม่ได้เจ็บหรอก ตอแหลล้วนๆ
“ยังๆ ยังเงียบอยู่ ยังไม่พูด สงสัยง้อไม่โดนใจ”
เห็นผมยังเงียบเหมือนเดิมทั้งที่พยายามชวนผมคุยแล้วก็ว่าออกมา ก่อนจะเท้าคางลงบนโต๊ะ มองหน้าผมพลางอมยิ้ม ตอนนี้เองที่ผมตัดสินใจว่าเขาอยากจะทำอะไรก็ทำไป ผมจะเอาความเงียบเข้าสู้ แต่ทว่า...
“งั้นไหนจิลองบอกพี่ซิว่าพี่ต้องง้อยังไง จิถึงจะหายโกรธ”
...พี่อินทร์กลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากครั้งก่อนๆ
ผมชำเลืองมองเขาแล้วก็ได้แต่คิดในใจ
ใครจะไปหายโกรธง่ายๆ โดนขโมยจูบแรกนะเว้ย คนมันสะเทือนใจ ไม่ต้องมายุ่ง ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า ไม่ต้องมาง้อให้เสียเวลาหรอก ไม่ให้อภัยเว้ย!
แล้วผมก็เมินอีกครั้งด้วยการก้มหน้าก้มตาเขี่ยใบกระเพราในจานไปไว้ข้างๆ เห็นผมไม่ยอมพูดด้วยนานๆ เข้า เดี๋ยวก็เลิกตอแยไปเองแหละ
แต่...ในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย พอผมไม่พูดด้วย พี่อินทร์ก็พยายามหาเรื่องชวนคุย
“ไม่กินใบกระเพราเหรอเรา”
ผมเหลือบมองหน้าเขาแล้วพยักหน้า
“ไม่กินใบกระเพราแล้วสั่งผัดกระเพรามาทำไม”
แล้วสั่งผัดกระเพราแบบไม่ใส่ผัดกระเพราได้ไหมล่ะ ผมชอบกินผัดกระเพรา แต่ไม่ชอบกินใบกระเพรานี่นา
ทว่าก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาเถียงอะไรอย่างนั้น ผมนั่งเงียบเหมือนเดิม ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อจู่ๆ พี่อินทร์ก็คว้าเอาช้อนในตะกร้าช้อนส้อมมาตักใบกระเพราที่ผมเขี่ยไว้ข้างจานหน้าตาเฉย ผมเลยรีบร้องท้วง
“เดี๋ยวพี่อินทร์”
เขาชะงักเล็กน้อย พลันรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้า
“ถ้าพี่กินเบากระเพราให้แล้ว จิต้องหายโกรธพี่นะครับ”
เป็นครั้งแรกที่พี่อินทร์พูดจาเหมือนคนปกติ ไม่หยอกล้อ ไม่ล้อเล่น ก่อนจะอ้าปากกินใบกระเพราให้โดยปล่อยให้ผมนั่งมองเงียบๆ ชั่ววินาทีนั้นเองก็ทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา
พี่อินทร์...ตอนไม่เพี้ยนนี่โคตรจะหล่อเลย
ผมมองหน้าเขาที่เคี้ยวใบกระเพราตุ้ยๆ พร้อมส่งยิ้มมาให้ด้วยความรู้สึกแปลกๆ
นอกจากจะรู้สึกว่าเขาหล่อมากแล้ว ผมยังรู้สึก... เขาก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ
แต่ทว่าไม่นานนัก ความคิดเมื่อครู่ของผมก็อันตรธานหายไปเมื่อเขาเริ่มเอาช้อนมาตักข้าวเข้าปาก ตักหมูไปคลุก คว้าขวดพริกน้ำปลามาเหยาะ และล่าสุด...เอาช้อนมาเจาะไข่แดงของผมจนไหลเยิ้ม
นี่มึงตลกแดรกสินะ!
ปรี๊ดเลย ถึงกับปรี๊ดเลย ผมรีบดึงจานข้าวตัวเองกลับคืน ทำให้พี่อินทร์ซึ่งกำลังจะเหยาะพริกน้ำปลาลงบนไข่แดงที่ไหลเยิ้มชะงัก พอเห็นหน้ามุ่ยๆ ของผมแล้ว เขาก็ว่าหน้าระรื่นออกมา
“อุ๊บส์ โทษที เผลอเจาะไข่แดงน้องจิไปเฉยเลย” จากนั้นก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเย้า “แต่ไม่ต้องห่วงนะจิระ พี่อินทราคนนี้จะรับผิดชอบความบริสุทธิ์ที่ถูกพรากไปเอง”
คนละไข่แดงแล้วเว้ย!
ผมทนไม่ไหวแล้ว ตีมือลงบนโต๊ะดังปึง ทำเอาคนในร้านหันมามองกันหมด ดีนะที่คนไม่เยอะเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก พี่อินทร์ก็หันไปโปรยยิ้มให้คนอื่นไปทั่วเป็นการไกล่เกลี่ยสถานการณ์ พร้อมกับบอก...
“ไม่มีอะไรครับ ผมกำลังเคลียร์กับน้องเขาอยู่ พอดีเผลอตัวเผลอใจไปเจาะไข่แดงน้องเขานิดหน่อย ผมเป็นลูกผู้ชายพอ กำลังเสนอตัวรับผิดชอบครับ ไม่ต้องสนใจๆ”
กูบอกแล้วไงว่ามันคนละไข่แดง ไอ้ที่มึงเจาะน่ะมันไข่แดงของไข่ดาวในจานข้าวกูเว้ย!
แทนที่จะทำให้คนอื่นเลิกสนใจ กลายเป็นว่าสนมากกว่าเดิมอีก บางคนก็พากันหัวเราะคิกคักด้วย ส่วนผมก็แทบมุดจานข้าวผัดกระเพราหนีอายแล้ว
อิเหนามึงเป็นบ้าเหรอ! โอ๊ย!
ผมเองก็บ้าที่ดันไปเห็นเขาหล่อ แถมยังมองว่าเป็นคนดีตอนเขาเสนอตัวกินใบกระเพราให้ ภาพลวงตาชัดๆ เลย!
“เอาล่ะจิ พี่จะจริงจังละ”
“ควรจริงจังตั้งนานแล้วล่ะครับ”
ผมโพล่งออกมา ชักรำคาญแล้ว อยากให้เรื่องมันจบๆ ไปสักที พี่อินทร์ก็คงเห็นผมเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้วล่ะมั้งถึงได้เข้าโหมดจริงจังสักที
“สรุปแล้วจิโกรธพี่เพราะถูกพี่จูบจริงๆ ใช่ไหม”
ผมพยักหน้า ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
“ทำไมล่ะ”
“ยังจะถามอีกเหรอครับว่าทำไม ผมไม่ได้เต็มใจนี่”
ผมว่าไปตามตรง พี่อินทร์พยักหน้า ก่อนอธิบายออกมา
“สถานการณ์มันพาไปน่ะนะ ก็ความผิดพี่แหละ อันนี้ไม่เถียง แต่พี่อยากจะอธิบายอะไรให้จิฟังหน่อย จะฟังไหม”
ผมพยักหน้าส่งๆ พี่อินทร์ก็พูดต่อ
“พี่กลัวว่าถ้าไม่แสดงออกไปตามตรงว่าเราเป็นอะไรกัน เดี๋ยวไอ้เวรนั่นจะมาตามติดจิเหมือนกับที่ตามไอ้บุศย์ ก็เลยต้องสมบทบาทหน่อย”
“แสดงว่าพี่อินทร์ก็จูบพี่บุศย์เหมือนกันเหรอครับ”
ผมย่นคิ้วยู่เลย ทว่าพี่อินทร์ส่ายหน้าพรืด
“ไม่อะ เดี๋ยวก็ได้คันคะเยอพอดี แค่อ้างตัวว่าเป็นเมียมันเฉยๆ แต่ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไร”
ได้ยินดังนั้น ผมก็โล่งใจเป็นปลิดทิ้ง ดูจากท่าทางของพี่บุศย์ที่แสดงออกต่อพี่อินทร์แล้ว ดูท่าในชาตินี้พวกเขาคงลืมกันไปแล้วล่ะว่าชาติก่อนเป็นผัวเมียร่วมเคียงกัน
“ไม่ได้ผลยังไงเหรอครับ”
“ก็...ไอ้หมอนั่นมันไม่เชื่อไง เลยมาตามติดไอ้บุศย์แจเหมือนเดิม จะให้พี่ไปสวมบทบาทเป็นเมียมัน ถูกมันจูบไรงี้ก็ไม่ไหวอะ ขยะแขยง”
ผมว่าพี่บุศย์สมควรขยะแขยงเขามากกว่า เผลอเบ้หน้าออกมาเลย แล้วก็อดค่อนแคะไม่ได้
“สวมบทบาทเป็นเมียแล้วขยะแขยง แต่พอเป็นผัวนี่อินเกินเบอร์เลยนะครับ”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็พยักหน้าเร็วๆ “ถึงได้เจาะไข่แดงน้องจินี่ไง”
บอกแล้วไงว่ามันคนละไข่แดงแล้วเว้ย!
“พูดให้มันถูกๆ หน่อยพี่อินทร์ ไข่แดงของไข่ดาวต่างหาก ไม่ใช่ไข่แดงของผม”
“ไข่แดงของไข่ดาวของน้องจิ เรียกสั้นๆ ว่าไข่แดงน้องจิ มีอะไรผิดไปเหรอ”
ไม่เถียงกับคนบ้าแล้วดีกว่า ผมรวบช้อนส้อมเข้าหากันทั้งที่ยังไม่ได้กินสักคำ กะว่าจะหนีขึ้นห้องแล้ว แต่พอร้องเรียกป้าเจ้าของร้าน...
“ป้าครับ ค่าข้าว...”
พี่อินทร์ก็ลุกพรวดไปชิงจ่ายค่าข้าวให้เรียบร้อย พอรับเงินทอนเสร็จ ก็หันมายักคิ้วให้ผม
“พี่บอกแล้วไงว่าพี่จะรับผิดชอบ”
ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไร ผมเลยว่าห้วนๆ ไป
“ขอบคุณครับ”
แล้วก็รีบเดินออกจากร้าน ตรงไปที่ประตูทางเข้าหอ หยิบคีย์การ์ดขึ้นมาจะเข้าไปข้างใน ทว่าก็ยังไม่เปิดประตูด้วยเห็นว่าพี่อินทร์เดินตามมา ผมไม่อยากให้เขาเดินตามขึ้นไปข้างบนก็เลยยืนรอก่อน ดูว่าเขาจะเดินเข้ามาหาไหม ซึ่งก็จริง...เขาเดินมาหา
“มีอะไรอีกล่ะครับ”
ผมหันไปกระชากเสียงถาม พี่อินทร์เดินมาหยุดหน้าผม ส่งยิ้มกว้างให้
“แล้วเราจะหายโกรธพี่ได้หรือยัง”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่พี่...เราไง” เอานิ้วแตะที่ริมฝีปากตัวเองเป็นการบอกให้ผมรู้ว่าเรื่องอะไร
ผมว่าผมควรบอกเขาไปตามตรงว่าผมไม่โอเคกับเรื่องนี้ จะให้มายกโทษกันง่ายๆ มันไม่ใช่เรื่อง
“บอกตามตรงนะครับพี่อินทร์ ผมสะเทือนใจมากอะ ยกโทษให้ง่ายๆ ไม่ได้หรอก”
พอบอกไปอย่างนั้น พี่อินทร์ก็ทำปากยื่น
“ทำไมจิระไม่อ่อนโยนกับอินทราเลย”
ก็มึงมันกวนตีนอย่างนี้ ใครมันจะไปอ่อนโยนด้วยลงวะ!
ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ใส่ ก่อนที่พี่อินทร์จะโพล่งขึ้นมาอีก
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ยกโทษให้ใช่ไหม”
ผมนิ่งไปครู่ อยากจะตะโกนใส่หน้าเหลือเกินว่า ‘ใช่! ไม่มีวันโว้ย!’ แต่ดูแล้วถ้าตอบไปอย่างนั้น สงสัยเรื่องจะไม่จบ เขาไม่ยอมกลับไปง่ายๆ แน่ เลยตอบไปอีกอย่าง
“อือ แต่ขอเวลาผมหน่อย”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน ยื่นมือมาบิดปลายจมูกผมเบาๆ
“ก็ยังดีกว่าไม่ยอมยกโทษให้เนอะ”
ความอุ่นร้อนจากปลายนิ้วสากแล่นผ่าน เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้าผมโคตรจะหล่อเลย ไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมเมื่อชาติที่แล้ว ใครต่อใครก็ได้หลงรักเขานักหนา
หล่อแบบนี้ อ่อนโยนแบบนี้ กะล่อนแบบนี้ ทะลึ่งทะเล้นแบบนี้ สงสัยจะเป็นสเปกหนุ่มๆ สาวๆ มาตั้งแต่โบราณกาลล่ะมั้ง
แต่...
...ไม่ใช่ผมเว้ย!
ผมสะบัดหน้าหนี พี่อินทร์หัวเราะให้กับท่าทางนั้น ก่อนจะโดนผมไล่
“กลับไปได้แล้วครับ ผมจะขึ้นห้องแล้ว”
ดีที่พี่อินทร์ไม่ตอแยอะไรอีก
“ไว้เจอกันที่ ม.พรุ่งนี้”
โบกมือบ๊ายบายแล้วเดินไปขึ้นรถตัวเอง ขับออกไป ปล่อยให้ผมมองตามพร้อมกับใบหน้าที่ค่อยๆ ร้อนผะผ่าวขึ้นมาเมื่อนึกถึงสัมผัสเมื่อครู่
สงสัยจะเป็นไข้...
คิดเข้าข้างตัวเองไปอย่างนั้นแหละ ผมรู้ดีว่าอาการนี้มันคืออะไร
ไม่ได้ครั่นเนื้อครั่นตัว แต่หน้าร้อน...
ยิ่งพอหันกลับมาเห็นเงาตัวเองที่สะท้อนบนกระจกเงาบานใหญ่ที่เจ้าของหอแขวนเอาไว้ไล่สิ่งชั่วร้ายตามความเชื่อของคนจีน ผมก็ต้องเม้มริมฝีปากแน่น
หน้าแดงแจ๋เลย...
พอได้สติ ผมก็รีบใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้ามาด้านใน ในหัวบอกกับตัวเองเป็นพัลวัน
จรกาจะเผลอไผลไปกับความอ่อนโยนของอิเหนาไม่ได้ บุษบา...บุษบา...บุษบา... ใจของผมมีแต่บุษบาคนเดียวต่างหากเล่า!
แต่...ก็บังคับให้หัวใจของตัวเองหยุดเต้นแรงไม่ได้เลย ให้ตายสิ...
--------------------
เมื่อวานอัปนิยายแล้วก็ลืมขอบคุณไป
ขอบคุณนักอ่านในทวิตที่ช่วยคิดชื่อในชาติปัจจุบันของวิหยาสะกำกับสังคามาระตานะคะ สังคามาระตายังไม่โผล่มา แต่เดี๋ยวมาแน่นอน สียะตราก็ไม่รอดจ้า
ขอบคุณน้องนนท์ที่คิดมุกอิเหนาอิแรดให้ ฮามากจริง 555
แวะไปหวีดกันได้ที่ #จรกาคนงาม ในทวิตเตอร์นะคะ
พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่จ้า