SeeeDz ที่ 13
“สรุปขาไปเรานั่งรถทัวร์ แต่ขากลับขึ้นเครื่องนะ ไอ้ซี” นะพูดกับผมผ่านทางโทรศัพท์ เขาโทรมาสรุปเรื่องแผนการที่เราจะไปเชียงใหม่ด้วยกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ให้ฟังเป็นครั้งสุดท้าย “กูจองตั๋วเครื่องบินให้มึงแล้ว ส่วนตั๋วรถกูให้ไอ้โจจัดการ และไอ้นนท์ก็จัดการจองโรงแรมให้เราแล้วด้วย เพราะงั้นมึงไปแบบสบายๆ ชิวๆ เลย ไอ้คุณชาย”
“เออดี ฮ่าๆๆ แต่ไอ้คำว่า ‘จองโรงแรมให้เราแล้ว’ เนี่ย มันรวมถึงไอ้นนท์กับไอ้โจด้วยรึเปล่าวะ”
“คืนแรกคืนเดียวน่ะใช่ แต่หลังจากนั้นมันจะไปนอนที่บ้านญาติไอ้นนท์กันอะ... แต่ก็ยังไม่แน่นะ มันบอกว่ามันรอดูก่อนว่ะ เพราะไอ้นนท์มันพาพวกเราเที่ยวได้ มันก็เลยอยากจะอยู่ใกล้ๆ พวกเรา เพราะงั้นมันอาจจะนอนที่โรงแรมต่อก็ได้ ยังไงช่วงที่เราไปนี่มันก็ไม่ใช่ไฮซีซั่นอยู่แล้ว โรงแรมไม่เต็มหรอก จริงมะ”
“จริงๆ มันนอนบ้านญาติมันก็ไม่ต้องเสียตังค์แล้วแท้ๆ มันจะมาเสียค่าโรงแรมอีกทำไมวะ”
“มันก็ชวนพวกเราไปนอนกับมันเหมือนกันนั่นแหละ แต่กูเกรงใจไง และจริงๆ เราจะไปนอนบ้านญาติกูกันก็ได้ ไม่ต้องเสียตังค์ด้วย แต่กูก็กลัวมึงจะอึดอัดอะว่ะ ไอ้ซี แถมบ้านญาติกูแม่งก็ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองประมาณนึงด้วยอะ แล้วกูก็ไม่ค่อยได้ไปที่นั่นเท่าไหร่ ไม่ค่อยรู้ที่ไหนเป็นที่ไหนหรอก”
“โธ่เอ๊ยยย ไอ้นะ กูไม่ได้ซีเรียสนะเว้ยไอ้เรื่องจะนอนไหนที่น่ะ จะนอนบ้านญาติมึงก็ได้ นอนโรงแรมก็ดี กูอะยังไงก็ได้อยู่แล้ว ชิวๆ ว่ะ มึงก็รู้นิสัยกู เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”
“งั้นเราก็นอนโรงแรมกันแหละเนอะ จะได้เป็นส่วนตัวหน่อย... ดีมั้ยครับ ที่รัก” เขาปิดท้ายประโยคด้วยคำๆ นั้นและน้ำเสียงแบบนั้นอีกแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้ควาย! อย่ามาทำเสียงออดอ้อนอย่างนั้น กูจะอ้วก”
“ใจร้ายยยย”
“เกรียนนะมึง ไอ้ทุย เดี๋ยวเหอะ ไปเชียงใหม่หนนี้กูจะจับทำเมียซะให้เข็ด!”
“ฮ่าๆๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะโดน”
“พอๆ เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว สรุปว่ามีแค่นี้ใช่มั้ยวะ ไอ้ล่ำ กูจะได้โอนตังค์ค่าตั๋วไปให้ไอ้นนท์มัน”
“ช่ายแล้ว งั้นมะรืนกูไปนอนบ้านมึงนะ แล้วตอนเช้าเราจะได้ตื่นออกไปพร้อมกัน”
“เออ ได้”
“.......”
“.......”
“.......”
“อะไรของมึงวะ จู่ๆ เงียบทำไม” ผมถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร...”
“ไม่มีอะไรแล้วเงียบทำไม”
“กู... กูคิดถึงมึงอะว่ะ ไอ้ซี”
โชคดีที่เราแค่คุยโทรศัพท์กันอยู่นะ เพราะไม่อย่างนั้นเขาต้องเห็นว่าผมกำลังหน้าแดงมาก และมันก็จะต้องน่าอายโคตรแน่ๆ เลยด้วย!
“มึงประสาทดีรึเปล่า ไอ้นะ! นี่มึงเพิ่งกลับบ้านไปได้แค่สามวันเองนะเว้ย!”
“รู้หรอกน่า แต่กูคิดถึงมึงไม่ได้รึไงวะ แค่สามวันมันทำให้กูคิดถึงมึงไม่ได้รึไง” เขาพูดเสียงหงอยๆ
ผมอึ้งไปเลยทันที
“มึงรู้มั้ยว่าเมื่อวันนั้นหลังจากที่เราคุยกันแล้ว พอตอนเที่ยงๆ ที่กูต้องเดินออกจากบ้านมึงอะ กูแม่งใจหายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยนะเว้ย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ทำไมอะ”
“ไม่รู้ดิ คงเพราะ... เพราะกูเพิ่งจะดีใจไปหยกๆ มั้ง ว่าเราสองคนได้ เอ่อออ... ตกลงคบกัน อะไรประมาณนั้นไปอะว่ะ แล้วจู่ๆ กูก็ต้องแยกจากมึง แล้วก็กลับบ้านมาตั้งไกล ห่างจากมึงขนาดนี้ กูก็เลยคิดถึงมึงเป็นพิเศษอะ”
เฮ้ยย! ผมว่าผมเขินว่ะ! เขินหนักเลยด้วย!
“แล้วมึงไม่รู้สึกเหมือนกูมั่งเลยรึไง...” เขาพูดต่อ
“กู... กู...” ผมอยากจะบอกว่าที่จริงผมเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่หรอก แต่ก็พูดไม่ออก
“อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้นี่แปลว่ามึงเองก็คิดถึงกูเหมือนกันใช่มั้ยวะ” น้ำเสียงของเขาดูร่าเริงขึ้นทันที
“เออออ! คิดถึงก็คิดถึงวะ แต่อีกเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วน่า เพิ่งจะห่างกันแค่ 2-3 วัน ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย ไอ้ห่า”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะ ห่างกันไปเป็นอาทิตย์กูก็เฉยๆ เหอะว่ะ อาจจะแค่คิดถึงบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไรอะ นอกจากคิดถึงแล้วก็ยังรู้สึกโหยหา เหงาๆ โหวงๆ ในใจ บอกไม่ถูก แต่อย่างเดียวที่กูรู้แน่ๆ คือกู ‘โคตร’ จะอยากกอดมึงเลยแหละ ไอ้ตี๋ของกู”
ผมทั้งเขินทั้งอายจนต้องล้มตัวลงไปนอนกลิ้งอยู่บนเตียง “ไอ้เหี้ยยยย! กูขนลุกเว้ยย!! ฮ่าๆๆๆ”
“โอเค มึงพูดแบบนี้ก็แปลว่ามึงเขินจริง เพราะมึงก็คงรู้สึกเหมือนกู แต่แค่ปากแข็ง ใช่มั้ยล่ะ”
“อะไร ใครเขิน ใครคิดอะไรเหมือนมึง” ผมชันตัวขึ้นนั่งทันที “ครวยเหอะ กูไม่ได้เขินนะเว้ย!”
“โอเคๆ กูเข้าใจ และกูก็ดีใจด้วยเหมือนกัน กูก็รักมึงเหมือนกัน โอเคนะ ไอ้ตี๋ แค่นี้นะครับ ที่รัก”
“ไอ้...!!” แต่ก็ไม่ทัน เพราะว่าเขาวางสายไปก่อนเสียแล้ว
หลังจากที่เราสองคนเปิดอกคุยกันในเช้าวันนั้นแล้ว ผมก็ยอมรับล่ะว่าความรู้สึกลึกๆ ในใจของผมที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ไม่รู้สิ... ผมว่ามันเป็นความอบอุ่น ความสบายใจ ที่เหมือนกับได้ยกภูเขาออกจากอก ความสับสนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราที่เคยมีต่างก็หายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่เหลือไว้ให้ผมกังวลก็คงมีแค่เพียงอย่างเดียว นั่นคือความสัมพันธ์และความรู้สึกที่เรามีต่อกันนี้จะยืนยาวได้นานเพียงใดเท่านั้นเอง
ถ้าถามว่าผมกังวลมั้ยกับการชอบผู้ชาย ผมก็ตอบได้ในทันทีว่าไม่เลย ผมเคยบอกแล้วว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบคิดอะไรให้มันวุ่นวายนัก ผมสบายใจที่จะรักใคร อยู่กับใครแล้วมีความสุข งั้นก็คนๆ นั้นแหละ คือคนที่ผมชอบ มันก็แค่นั้นเอง และที่สำคัญ เมื่อลองมานึกดูดีๆ แล้ว ผมก็ไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนแล้วรู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองจริงๆ ได้เลยสักคน ผมรู้สึกมีความสุขเวลาที่อยู่กับเพื่อนๆ ผู้ชายมากกว่า รู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองมากกว่า เพราะฉะนั้นเมื่ออะไรๆ ระหว่างผมกับนะมันออกมาในรูปแบบนี้ ผมว่าเขาก็คงเป็นคนที่ใช่สำหรับผมแล้วนั่นแหละ
เมื่อคิดย้อนกลับไปดูตั้งแต่แรกๆ ที่เรารู้จักกัน ผมถึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าที่ผ่านมา เขาเองก็คงจะรู้สึกกับผมไม่ต่างจากผมในตอนนี้สักเท่าไหร่ และเมื่อผมลองถามเขาดู ก็ได้คำตอบกลับมาว่า...
“กูว่ากูก็รู้สึกเหมือนมึงนั่นแหละ แต่คงจะรู้สึกก่อนมึงหน่อย กูแค่ไม่กล้าบอกมึงตรงๆ และไม่ค่อยกล้าคิดเรื่องพวกนั้นมากนักอะ กูอาย กลัว แล้วกูก็ขี้กังวลด้วย... แต่ตอนนี้กูก็สบายใจแล้วอะว่ะ”
“งั้นก่อนหน้านี้ มึงเคย ‘จงใจ’ จีบกูมั้ยวะ ไอ้นะ” ผมถามอีก
“ไม่เลยเหอะ ไอ้เหี้ย”
“จริงเหรอวะ ไม่มีเลยเหรอ”
เขานิ่งไปพักหนึ่ง “...คือ จริงๆ ก็คงไม่ถึงขนาดว่าจะ ‘ไม่มีเลย’ หรอกมั้ง ก็แค่รู้สึกดีๆ ด้วย แล้วก็อยากจะดูแลเอาใจใส่มึงเยอะๆ ไรงี้อะว่ะ แต่กูก็ไม่กล้าทำอะไรมากมายหรอก กูกลัวโดนมึงเกลียดเอา กูก็เลยเฉยๆ และตัดสินใจจะรักมึงแบบเพื่อนสนิทอย่างเคยไปเรื่อยๆ มากกว่า”
“แล้วสรุปมันแปลว่ามึงชอบกู แต่ก็ไม่ได้จงใจแสดงออก อะไรงี้เหรอวะ”
“ก็คงอย่างนั้นอะวะ ทำไมวะ กูเคยทำให้มึงรู้สึกเหมือนกูจงใจจีบมึงเรอะ”
“ตอนนั้นกูก็ไม่คิดหรอก แต่เมื่อตอนกลางวันกูลองมาคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อยอะว่ะ”
“เหรอวะ แต่มึงก็คงรู้นะเว้ยว่านิสัยกูมันก็เป็นแบบนั้นแหละ เพื่อนๆ กูก็เคยบอกเหมือนกันว่ากูอะ มีคนมาชอบเยอะ ใครได้ใกล้ชิดแล้วก็จะชอบกูกันหลายคน เพราะกูเป็นคนเอาใจใส่ ไรเงี้ยมั้ง กูยังเคยโดนด่าว่าทำตัวให้ความหวังด้วยนะเว้ย ทั้งๆ ที่กูไม่ได้ตั้งใจแม้แต่นิดเดียวเหอะ หรืออย่างตอนเรื่องของกิ๊กก็เหมือนกัน เพราะว่าเราเริ่มต้นมาจากความเป็นเพื่อน ความผูกพัน ความใกล้ชิด อะไรแบบนี้แหละว่ะ แล้วมันก็มาชอบกู กูก็ชอบมัน เราถึงได้ตกลงคบกัน มันเองก็เคยบอกว่ามันชอบกูที่กูเทคแคร์ดีแล้วก็... แล้วก็เป็นอบอุ่นอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเขินๆ
“มึงเป็นคนอบอุ่นเหรอวะ! ใช่เหรอวะ ไอ้น้าาาา!!”
“ครวยเถอะ! กวนส้นตีนนะมึง กูนึกหน้ากวนตีนๆ ของมึงได้เลยนะเนี่ย ไอ้เชี่ยตี๋!”
“ฮ่าๆๆๆ จริงเหรอออคร้าบบบบ”
“ถ้าอยู่ใกล้ๆ นะ กูจะจับมึงฟัดซะให้เข็ด!”
“พอๆ คุยกันทีไรก็จะเข้าเรื่องนี้ทุกที ไอ้หื่นเอ๊ยยย”
“กูว่านั่นมันมึงมากกว่าปะวะ ชักว่าวไปกี่ทีแล้วล่ะ ตั้งแต่กูไม่อยู่เนี่ย”
“ครวยไรล่ะ ยังไม่ได้ชักซักทีเหอะว่ะ”
“เออ ดีแล้ว เก็บกระสุนไว้ไปทำด้วยกันที่เชียงใหม่นะครับ... ที่รัก”
นี่แหละ ไอ้คุณชนะชัยจอมกวนส้นตีนของผมล่ะ!
เมื่อถึงวันที่เราต้องออกเดินทาง ผมกับนะก็นัดเจอไอ้นนท์และไอ้โจที่ท่ารถในตอนหัวค่ำก่อนที่รถจะออกหนึ่งชั่วโมง แต่ว่าเราสองคนไปถึงช้ากว่าเวลาที่นัดนิดหน่อย พวกมันจึงกำลังรอเราอยู่ก่อนแล้ว
“มึงสองคนกินข้าวมากันรึยังวะ” ไอ้นนท์ถาม
“กินแล้วว่ะ กินก่อนออกจากบ้านไอ้ซีมาแล้ว แล้วพวกมึงอะ”
“กินแล้วเหมือนกัน งั้นก็นั่งรอเวลาไปก่อนแล้วกันนะ”
“พวกกูขอโทษทีว่ะที่มาสาย ไอ้เชี่ยซีแม่งเสือกลืมที่ชาร์จแบ็ตไอโฟน เลยต้องวนรถกลับไปเอาอะ” นะพูดพลางชำเลืองมองมาทางผม
“เออออ กูขอโทษษษษษ กูผิดเองกูยอมรับบบ”
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรๆ พวกกูก็เพิ่งมาไม่นานเหมือนกัน ไม่ต้องซีเรียสน่า” ไอ้นนท์ตอบ
“เออนี่ แล้วถ้าเราไปกันตอนนี้ มันจะไปถึงประมาณกี่โมงวะ” ผมถาม
“เช้าว่ะ คงราวๆ เกือบหกโมงได้มั้ง” ไอ้โจตอบ
“อ๋อ โอเค งั้นกูจะได้หลับยาวเลยยย”
“อย่างมึงอะ ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็หลับยาวได้ตลอดนั่นแหละ ไอ้ซี”
“เออ กูไม่เถียงมึง ไอ้นะ แต่จำไว้ว่าอย่าให้ถึงคราวของกูมั่งก็แล้วกัน” ผมชี้หน้าเขา
ไอ้โจกับไอ้นนท์สบตากันแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นพวกมันก็ขอตัวเดินไปซื้อขนมกับน้ำมากินเล่นก่อน
ที่จริงในบรรดาเพื่อนๆ ของนะ จะเรียกว่าผมค่อนข้างสนิทกับมันสองคนน้อยที่สุดแล้วก็คงได้ เพราะถึงเราจะเคยเจอกัน กินข้าวด้วยกัน และไปกินเหล้าด้วยกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยเท่ากับคนอื่นๆ ซึ่งนะบอกว่าเป็นเพราะนิสัยของไอ้โจที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับคนอื่นมากนัก และเวลาอยู่ด้วยกันหลายๆ คน มันก็มักจะเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ส่วนไอ้นนท์ก็มักจะเอาแต่ยิ้มไม่ก็หัวเราะ ไม่ได้พูดเก่งหรือทำตัวบ้าๆ บอๆ เกรียนแตกเหมือนพวกไอ้ต้องหรือไอ้จ๊อบด้วย
หลังจากที่ได้ขึ้นรถตอนสองทุ่มกว่าๆ ผมนั่งก็เสียบหูฟัง เตรียมตัวจะหลับยาวทันที แต่ว่าหลังจากที่รถออกไปได้แค่เพียงครู่หนึ่ง นะก็สะกิดมือผมใต้ผ้าห่ม ผมหันไปมองหน้าเขางงๆ พร้อมกับดึงหูฟังออก แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากยิ้มให้ผมน้อยๆ พร้อมกับจับมือของผมไปกุมเอาไว้ แล้วจากนั้นก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมอมยิ้มแล้วเสียบหูฟังกลับไปเหมือนเดิม การได้จับมือกับเขาแบบนี้มันก็อุ่นดีอยู่เหมือนกัน...
เราไปถึงเชียงใหม่กันตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางของวันถัดมา แล้วก็ตรงเข้าไปนอนพักผ่อนที่โรงแรมกันทันที แต่ผมกับนะก็ไม่ได้ทำอะไรกันหรอกนะเว้ย อย่าเพิ่งคิดกันไปไกลนัก เพราะว่าผมทั้งง่วงและเพลียแบบสุดๆ ดังนั้นพอรื้อของออกจากกระเป๋ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราต่างก็ซุกตัวลงใต้ผ้าห่มแล้วนอนกอดกันหลับไป
พวกเราสะดุ้งตื่นกันขึ้นมาตอนกี่โมงก็ไม่รู้เพราะเสียงโทรศัพท์ของโรงแรมที่ดังขึ้น ผมที่อยู่ใกล้โต๊ะหัวเตียงมากกว่างัวเงียยกหูโทรศัพท์ขึ้นด้วยความสงสัยว่าใครที่โทรเข้าห้องของเราตั้งแต่เช้า
“ฮาโหลค้าบบบ...บ...บ”
“ยังไม่ตื่นกันอีกเหรอวะ ตื่นได้แล้วเว้ย”
สมองของผมประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง “....โห! ไอ้เหี้ยยย กูก็นึกว่าใคร ไอ้เชี่ยโจ โทรมาทำเหี้ยไรแต่เช้าวะ”
“เช้าเหี้ยไร เก้าโมงจะครึ่งแล้ว รีบๆ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วลงไปกินข้าวได้แล้วเว้ย อีกครึ่งชั่วโมงเค้าจะเริ่มเก็บแล้ว”
“อ่ออ เราได้ฟรีมื้อเช้าด้วยเหรอวะ”
“เออ”
“แล้วมึงโทรมาห้องกูทำไมเนี่ย ทำไมไม่โทรเข้ามือถือ และนี่พวกมึงไปแดกกันมารึยัง”
“ยัง ก็รอพวกมึงนั่นแหละ ไอ้นนท์มันบอกกูว่าให้โทรเข้าห้อง มึงจะได้ตกใจตื่นมารับไง” มันหัวเราะเบาๆ “แล้วไง มึงตกใจมั้ยวะ”
“ครวย! เออๆ เดี๋ยวกูไปหาที่ห้องก็แล้วกัน ขอเวลา 15 นาที”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวไปเจอกันข้างล่างเลย และกูให้เวลามึงแค่สิบนาทีเท่านั้น” และเมื่อพูดจบเขาก็วางสายลงไปทันที
ผมหันไปหานะที่กำลังนอนยิ้มรอผมอยู่แล้ว “เพื่อนมึงนี่มันกวนตีนอย่างนี้ตลอดเลยเหรอวะ”
“ทำไมวะ” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
“กูขอ 15 นาที แม่งก็บอกให้แค่สิบนาทีแล้ววางสายไปเลย แม่งสัตว์หมามาก ไม่เห็นใจคนเพิ่งตื่นเลย ไอ้สาดดด”
“ฮ่าๆๆ ไอ้โจใช่มะ มันก็แบบนี้แหละ... ฮึบบ!” เขาดีดตัวขึ้นนั่ง “งั้นรีบไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อนเหอะ แล้วค่อยขึ้นมาอาบน้ำเนอะ”
ในขณะที่กำลังนั่งกินข้าวเช้ารสชาติเห่ยๆ ของโรงแรมด้วยกันอยู่ พวกเราสี่คนก็คุยกันถึงแผนการเที่ยวว่าจะไปไหนและทำอะไรกันบ้าง นะบอกว่าหลังจากกินข้าวเสร็จ เขาจะโทรไปบอกญาติของเขาให้ขับรถมาให้ที่โรงแรม แล้วจากนั้นก็จะไปส่งไอ้นนท์กับไอ้โจที่บ้านยายไอ้นนท์
หลังจากที่ผมกับเขากลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ญาติของนะก็มาถึงที่โรงแรมพอดี เขาแนะนำให้พวกเราสามคนที่เหลือรู้จักกับน้าศักดิ์ น้าเขยของเขา จากนั้นเขาก็ขับรถไปส่งน้าศักดิ์ที่บ้าน พวกเราแวะไหว้และพูดคุยกับน้าหญิง น้องสาวแม่ของนะครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับออกมา แล้วนะก็ขับรถไปส่งไอ้นนท์ที่บ้านของมัน ไอ้นนท์นัดเจอเราสองคนอีกครั้งในตอนเย็นที่นี่เพื่อกินข้าวเย็นด้วยกัน มันบอกว่ายายและป้าของมันจะทำอาหารไว้ให้ ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องอะไร แต่ในระหว่างวันที่เราได้อยู่กันตามลำพังสองคนแบบนี้ ผมกับนะกลับไม่มีโปรแกรมท่องเที่ยวอะไรที่จะทำเป็นพิเศษนอกจากกลับไปนอนต่ออีกครั้งเท่านั้นเอง
“มึงง่วงจริงๆ เหรอวะ ไอ้ซี” เขาถามผมในขณะที่กำลังขับรถกลับโรงแรม
“เออ ก็นิดนึงอะว่ะ แต่กูว่ากูเพลียๆ มากกว่าง่วงน่ะ” ผมบิดขี้เกียจ
“มึงนี่มันขี้เซาไปรึเปล่าวะ ไอ้หำน้อย” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ครวยไรล่ะ ก็กูเหนื่อยอะ กูบอบบางนะเว้ย ไม่ได้ถึกเป็นควายเถื่อนเหมือนมึง”
“ควายแล้วรักปะล่ะ” เขาหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ผม
“ว่าแต่มึงนี่จำทางเก่งนะ ไอ้นะ กูจำได้ว่ามึงเคยบอกว่าไม่ค่อยแม่นเส้นทางในเชียงใหม่ไม่ใช่เหรอวะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ใช่ กูไม่ได้แม่นเส้นทางขนาดนั้นจริงๆ กูยอมรับ แต่ว่าแถวๆ โรงแรมเรากูก็พอจะคุ้นอยู่บ้างไง แล้วก็เออ กูว่ากูก็คงเป็นคนจำทางค่อนข้างเก่งด้วยแหละ”
“มิน่าล่ะ ถึงได้ไปบ้านกูครั้งเดียวก็จำได้เลย...” ผมพูดลอยๆ
“อันนั้นให้ใจพาไปว่ะ”
“น้ำเน่าว่ะ ไอ้ล่ำ! กูจะอ้วกอะ” ผมเบะปากใส่เขา
“ฮ่าๆๆ กูไม่ได้พูดอะไรแบบนี้กับใครมานานแล้วว่ะ เขินๆ เหมือนกัน”
“เออ และปกติกูก็จะเป็นคนพูดด้วย ไม่ใช่คนฟัง พอมาเป็นคนคอยถูกหยอดแบบนี้แล้วแม่งเขินๆ พิลึก!”
“แล้วมึง... อึดอัดมั้ยวะ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นซีเรียสมากขึ้น
ผมยักไหล่ “ไม่ว่ะ... ก็เลือกจะรักไปแล้วนี่หว่า ทำไงได้ล่ะ” ผมเหลือบไปมองเขาด้วยหางตาแล้วก็เห็นว่าแก้มของเขาแดงแป๊ดเลยทีเดียว
“มึง... มึงรักกูจริงเหรอวะ ไอ้ซี”
“ถามทำไมวะ” ผมหันไปหาเขา
“เปล่า... กูก็แค่... ไม่รู้ดิ” เขายิ้มเขินๆ ทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปบนท้องถนนเบื้องหน้า “แค่รู้สึกดีที่ได้ยินอีกครั้งอะว่ะ”
เมื่อผมได้ยินดังนั้นและเห็นสีหน้าของเขาแบบนี้แล้วก็อดที่จะยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ ทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยนะว่าจริงๆ แล้วเขาแม่งเป็นคนน่ารักตั้งขนาดนี้น่ะ
หลังจากกลับถึงโรงแรม ผมก็กระโดดขึ้นเตียงเตรียมตัวนอนทันที แต่นะกลับเดินไปเปิดทีวีแล้วหยิบรีโมทมาเอนหลังพิงหัวเตียงอยู่ข้างๆ ผม
“มึงไม่ง่วงเหรอวะ”
“ไม่อะ มึงนอนไปเถอะ กูจะเปิดเสียงเบาๆ ก็แล้วกัน”
“อืมมมม...” ผมนอนคว่ำแล้วหลับตาลง “เออ จริงสิ ที่แม่มึงเป็นคนเชียงใหม่เนี่ย มึงพูดภาษาเหนือได้มั่งรึเปล่าวะ ไอ้นะ”
“ไม่ได้ว่ะ รู้แค่บางคำ เพราะกูเกิดและโตที่โคราชน่ะ”
“อืมมม...”
“แต่ไอ้นนท์พูดได้นะ”
“อืมมม...”
“........”
“........”
“........”
“........”
“หลับแล้วเหรอวะ ไอ้ซี”
“ยางง..ง...”
“เออๆ”
“เออ... ใช่ กูสงสัยอะไรอย่างว่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นไปหาเขา
“อะไรวะ”
“กูก็ไม่รู้จะพูดไงว่ะ แต่แบบ... ไอ้นนท์กับไอ้โจเนี่ย ใครแม่งรับบทไหนวะ มึงรู้ปะ”
เขาหัวเราะเบาๆ ทันที “จะว่ารู้ก็รู้ ไม่รู้ก็ไม่รู้ว่ะ”
“หือออ ยังไงวะ”
“คือพวกมันก็ไม่เคยพูดหรอก และพวกกูก็ไม่ได้ถามด้วย แต่ก็อย่างว่า กูอยู่กับพวกมันทุกวันอะ ก็พอเดาๆ กันได้น่ะ”
“แล้วมึงเดาว่าไงวะ” ผมสงสัย
“มึงเดาว่าไงล่ะ”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ ไอ้เหี้ย กูไม่เห็นพวกแม่งจะสาว จะอะไรสักนิด กูจะเดายังไงล่ะวะ” ผมพลิกตัวเป็นนอนหงาย “แต่... ถ้าให้เดา กูว่าจากนิสัยและบุคลิกแล้ว ไอ้นนท์แม่งน่าจะเป็นฝ่ายโดนเอาว่ะ”
“ฮ่าๆๆ ก็คงงั้นแหละมั้ง”
“มึงก็คิดหมือนกันใช่มะ”
“ก็คงงั้น” เขายักไหล่ “แต่กูมีลางสังหรณ์ว่าไอ้โจเองก็น่าจะเคยรับให้ไอ้นนท์เหมือนกันนะ”
“จริงอะ!”
“กูแค่เดานะ”
“อืมมม...”
“แล้วทำไมจู่ๆ มึงถึงสงสัยเรื่องนี้วะ” เขามองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “กำลังคิดถึงเรื่องของเราสองคนอยู่รึไง”
“ก็... ก็คงงั้นอะว่ะ”
“มึงอยากลองมั้ยล่ะ”
“ลองครวยไรวะ” ผมถามกลับอย่างไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไหร่นัก
“เออ ก็นั่นน่ะแหละ”
“เฮอะ อะไรนะ” ผมนิ่วหน้า
“ก็ลองครวยกูอย่างที่มึงบอกไง”
ผมจ้องตาเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อพยายามจับผิดว่าเขากำลังล้อผมเล่นอยู่หรือเปล่า เพราะปกติเราสองคนก็พูดหยอกล้อ พูดทีเล่นทีจริงเรื่องนี้กันมาหลายหนแล้ว... แต่ดูเหมือนว่าหนนี้เขาจะไม่ได้พูดเล่นแฮะ
“ม... มึงพูดจริงเหรอวะ ไอ้นะ”
เขาพยักหน้าทั้งๆ ที่แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ
“มึงอยากลองมั้ย” เขาถามซ้ำอีกครั้ง
“เออะ... เอ่ออ...”
“ถ้ามึงไม่อยากลองก็ไม่เป็นไรเว้ย กูแค่คิดๆ ว่าเราสองคนควรจะลองทำอะไรอีกขั้นนึงดูได้รึยังเท่านั้นเอง”
“เท่าที่ผ่านๆ มา มึงว่ามันไม่พอเหรอวะ ไอ้นะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผ่านมากูก็มีความสุขดีเว้ย แต่กูคิดถึงมึงนั่นแหละ ก็มึงมันขี้เงี่ยนจะตายห่า กูก็เลยคิดว่ามึงอยากจะลองทำอะไรที่มากกว่านั้นรึเปล่า เพราะที่ผ่านๆ มา การที่เราสองคนรู้สึกดีกับสิ่งที่ทำๆ กัน มันก็อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้นด้วยไง เพราะเราต่างก็ใหม่กับเรื่องพวกนี้กันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอวะ”
“ที่มึงพูดมามันก็ถูก แต่กูรู้สึกเหมือนมึงกำลังจะพูดว่าเพราะกูขี้เงี่ยนมาก แล้วมึงเลยอยากลอง... ลองมีอะไรแบบนั้นกับกู ซึ่งนั่นก็หมายความว่า... มึง... มึงจะยอมให้กูเอามึงงั้นเหรอวะ ไอ้นะ”
เขาหน้าแดงแป๊ด ยิ้มอายๆ แล้วก็พยักหน้าเบาๆ