บทที่ ๓๖
ไม่มีวัน(ครึ่งแรกจ้า
)
สิ้นกันแล้วเรา สิ้นความมัวเมา สิ้นคำบัญชา
สิ้นความรัก สิ้นเมตตา สิ้นวาสนากันที“คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย มีมติให้ปลดอาจารย์คนึง วนาสัยออกจากราชการ” ถ้อยคำจากตัวแทนสำนักงานเขตยังกึกก้องอยู่ในหัวอาจารย์ปรีชาไม่วางวาย
ข้าราชการครูที่กระทำการอันไม่สมควรทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนหรือไม่ ถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง นอกจากนั้นยังเป็นความผิดทางอาญาเสียด้วย คนึงได้รับการลงโทษทางอาญาไปแล้ว และการลงโทษทางวินัยก็ตามมาติดๆ ชนิดไม่ให้เวลาหายใจหายคอกันบ้างเลย
“กรณีที่ครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนถือเป็นเรื่องล่อแหลมมาก และเป็นเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไม่มีการลดโทษให้อย่างแน่นอน อย่างต่ำต้องถูกปลดออกจากราชการ ซึ่งหากผู้บังคับบัญชาปิดบังพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็จะต้องได้รับโทษด้วย” ผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกหัดครูเอนหลังพิงเก้าอี้ในห้องทำงาน ระบายลมหายใจอย่างหดหู่ เหม่อมองไปยังเสาธงที่เพิ่งถูกเชิญธงลงจากยอดเสา อาคารเรียนไม้ถูกแสงอัสดงย้อมเป็นสีทองอร่าม หรือนอกจากคนึงแล้ว เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเรื่องอุกฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปกครองของตนด้วย
“เพราะเราต้องการให้วงการครูมีความโปร่งใส ซึ่งโทษขั้นต่ำคือไล่ออกและไม่มีการลดหย่อน เพราะข้าราชการครูไม่เพียงแต่มีวินัยข้าราชการกำกับ แต่ยังมีเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพครูที่ต้องยึดถืออีกด้วย” อดนึกถึงคู่รักคู่วิปโยคไม่ได้ คนหนึ่งก็ถูกจองจำอยู่ในโรงพัก ส่วนอีกคน.. ก็มีตรวนที่มองไม่เห็นอันมีนามว่าเกียรติแห่งศักดินาผูกมัดไว้แน่น หม่อมดารามีบัญชาให้กักบริเวณผู้เป็นหลานไว้แต่ในเรือนพักผู้อำนวยการ แม้ก้าวเดียวก็มิอาจย่างกรายออกมาได้เพราะนอกจากลงทุนมาเฝ้าหลานด้วยตัวเองแล้ว ท้าวเธอยังสั่งลูกน้องผัว.. เอ๊ย ลูกน้องสวามีมาเดินคุมเชิงกันให้รอบเรือนยังกะควบคุมตัวนักโทษอุกฉกรรจ์ก็มิปาน
***********************************
ห้องรับรองแขกของอาจารย์ปรีชาต้องกลายสภาพมาเป็นห้องขังของหม่อมราชวงศ์เลอมานโดยชั่วคราว ผู้ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วถูกอำนาจศักดินาบันดาลให้เป็นผู้เสียหายจากคดีฉาวโฉ่ บัดนี้.. เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้เป็นย่าเพียงลำพัง เลอมานก็ไม่ต่างอะไรกับจำเลยดีๆ นี่เอง ถูกซักเสียจนเปื่อยเป็นกระดาษเช็ดน้ำตา
“คนเป็นครูบาอาจารย์ควรสั่งสอนนักเรียน ไม่ใช่มาล่อลวงนักเรียนตัวเองให้หลงผิด” พระชายาในกรมหลวงบูรพฯ ตราหน้าอาจารย์อัปรีย์ด้วยความโกรธเกรี้ยว “ดีที่มันยอมสารภาพแล้วว่าเป็นฝ่ายล่วงละเมิดเรา ยอมง่ายๆ แบบนี้ก็ดี”
“สารภาพอะไรกัน” หัวอกเลอมานแหว่งวิ่นเป็นริ้ว ทวงถามเสียงสั่นพร่า คราบน้ำตายังไม่จากจากแก้มด้วยซ้ำ “ทำไมอาจารย์พูดแบบนั้น”
หม่อมย่าหันมา นัยน์ตาโกรธเกรี้ยวดั่งสุมไฟ “เราก็อีกคน พ่อตัวดี! อย่ามาตีหน้าแบบนี้ให้ย่าเห็นนะ!” ปลายนิ้วเหี่ยวย่นประดับแหวนเพชรจิ้มหน้าผากหลานจนหน้าหงาย “ก่อเรื่องเสื่อมเสีย ทำให้ย่าขายหน้า นักข่าวไม่แห่กันมาสาวไส้ก็บุญหัว ย่าลงทุนลงแรงไปตั้งเท่าไร กว่าจะทำให้คนเขาเชื่อว่าเราถูกครูสารเลวนั่นล่อลวง เราอย่ามาทำให้เสียเรื่อง!”
“เล็กไม่ได้ถูกล่อลวง! เรารักกัน!” หนุ่มน้อยประท้วงทันควัน “เล็กเป็นคนเข้าหาเขาก่อนด้วยซ้ำ”
“พูดออกมาได้ไม่อายปาก! ทรพี!” ท้าวเธอสั่นสะท้านทั่วสรรพางค์กาย หน้าแดงก่ำด้วยโลหิตสูบฉีด “อยู่แต่ในนี้ไปเถอะ! จนกว่าย่าจะจัดการเรื่องนี้จบ อย่าฝันเลยว่าจะได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน ”
หม่อมดาราก้าวฉับออกจากห้องราวกับทนอยู่ดูหน้าหลานอีกต่อไปไม่ได้แม้วินาทีเดียว ก่อนประตูไม้เก่าจะปิดลงดังปัง เลอมานเห็นชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบทหารยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้องสองคน หม่อมราชวงศ์หนุ่มซบหน้าลงโศกกำสรด เสียงลั่นดาลกุญแจจากด้านนอกราวกับจะบีบหัวใจเขาให้แหลกสลายป่นปี้
ขอบฟ้าเบื้องตะวันตกเป็นสีแดงแกมเหลืองดั่งเป็นแผลช้ำเลือด สีเดียวกับหัวใจเขาเวลานี้หรือเปล่าหนอ เสียงแจ้วๆ ของฝูงนกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่ากลับเงียบหาย เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องรับรัตติกาลมาแทนที่ นกยังบินกลับรังกลับคอน แล้วรังหัวใจของเขาเล่าอยู่แห่งหนใดกันแน่ อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนพบรังที่ปรารถนาจะพิงพักจนวันตาย แต่เหตุใดจึงกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ความฝันที่จะอยู่ที่นี่เคียงข้างอาจารย์จนวันตายจะเป็นได้เพียงความฝันเท่านั้นหรือ
***********************************
ลมหัวค่ำโชยมาพร้อมเสียงนกกาบินกลับรัง เงาขมุกขมัวโรยม่านสีดำลงมาจนท้องฟ้ามืดมิด หากโรงสีใหญ่ของนางพูนทรัพย์ยังวอมแวมแสงไฟที่สว่างออกมาจากในออฟฟิศ
คุณนายนั่งปักผ้าอยู่บนเก้าอี้โยกสบายใจ ตั้งแต่ลูกชายมารับผิดชอบงานในโรงสีให้ แกก็มีเวลาพักผ่อนนั่งๆ นอนๆ กับเขาบ้าง หลังจากหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับกองตัวเลขมาค่อนชีวิต
จ้อยนั่งซึมกระทืออยู่กับกองสมุดบัญชีไม่พูดไม่จา นิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ลากสังขารซังกระตายกลับมาหลังเลิกเรียน เมื่อพี่สิงห์มาดูแลโรงสี เมียกำนันก็ให้จ้อยติดตามมาด้วย แกบอกว่าจ้อยเป็นคนละเอียดรอบคอบ ควรมาช่วยพี่เขาทำบัญชี จ้อยจึงเข้านอกออกในประหนึ่งเป็นลูกสะใภ้.. เอ๊ย ลูกชายคุณนายพูนทรัพย์อีกคนหนึ่งก็มิปาน
“ครู มาช่วยสนเข็มให้ป้าหน่อย” คุณนายเรียกจ้อย หนุ่มน้อยวางปากกาในมือลงเดินไปสนด้ายสีแดงใส่รูเข็มให้แก บนตักหญิงกลางคนมีปลอกหมอนสีขาวสะอาดปักลายดอกไม้สดใส แกเคยบอกว่าปักให้พี่สิงห์ใบหนึ่ง พอดีด้ายเหลือเลยจะปักให้จ้อยอีกใบด้วยเอาบุญ
“เฮ้อ..” ผู้มากวัยกว่าถอนใจ แกเห็นหน้าเงื่องหงอยของจ้อยแล้วคงเดาอะไรได้ไม่ยาก “คิดมากเรื่องเพื่อนสิท่า”
จ้อยพยักหน้าหงึก และพอมืออวบอูมยื่นมาลูบหัว นักเรียนครูก็ทรุดกายลงนั่งพับเพียบกับพื้นเคียงข้างกัน
“ท่านชายเล็กไม่ควรที่จะคิดสั้นอย่างนี้” แม่พี่สิงห์รู้ข่าวก่อนจ้อยจะเล่าให้ฟังเสียอีก หม่อมดาราพาตำรวจมาลากคออาจารย์คนึงเข้าคุกทั้งที มันเรื่องเล็กอยู่หรือเล่า คนเขาโจทย์กันให้ค่อนทั้งบาง “ความรักของคนในวัยนี้น่ะมันจะจีรังไปได้สักเท่าไร ถ้าเจ้าตัวไม่เกิดระหองระแหงจนตัดสวาทกันขึ้นเองผู้ใหญ่ก็มักจะช่วยตัดให้อยู่ดี”
จ้อยสะอึกลึกในอก ถ้าป้าทรัพย์รู้ว่าเมื่อคืนพี่สิงห์กับจ้อยทำอะไรกันไปบ้างจะยังเมตตาลูบหัวจ้อยลงอยู่ไหม
“แล้วเอ็งได้ตรัสอะไรกับเพื่อนบ้างหรือเปล่าล่ะ” เวลาผ่านไป คุณนายก็ยังใช้ราชาศัพท์ผิดๆ ถูกๆ
“ชายเล็กถูกกักบริเวณอยู่แต่ในห้องเสียแล้ว” จ้อยตอบเสียงอ่อย “ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้คุยกันอีกเมื่อไร”
สองคนสองวัยนั่งคุยปรับทุกข์กันอยู่เช่นนั้น จนได้ยินเสียงคนงานจอแจมาจากตีนท่า บ่งบอกว่าพี่สิงห์ของจ้อยกลับมาจากไปคุมเรือรับซื้อข้าวเปลือกที่ผักไห่แล้ว
หนุ่มน้อยกระวีกระวาดลุกขึ้นเตรียมน้ำมาต้อนรับ ร่างองอาจผึ่งผายเดินผ่านประตูเข้ามาพลางปาดเหงื่อบนใบหน้าคมคร้ามด้วยแขนเสื้อ มือใหญ่รับขันน้ำฝนเย็นชื่นใจที่จ้อยส่งให้ไปดื่มรวดเดียวแทบหมดขันก่อนส่งคืนตาเชื่อม นี่ถ้าแม่ไม่นั่งหัวโด่อยู่ คงได้รวบตัวเมียไปกอด หอมเอาๆ ทั้งแก้มซ้ายขวาแล้ว
บทจะเอางานเอาการพี่สิงห์ของจ้อยก็จริงจังพอตัว จ้อยได้แต่ลอบมองยิ้มๆ ตอนสองแม่ลูกเขาคุยเรื่องงานกัน “รับจ้างเกี่ยวข้าวใกล้จะหมดหน้าแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มมีพวกเผาถ่าน หรือตัดไม้ส่งให้เราทอนเป็นฟืน”
เจ้าแม่เงินกู้เบ้หน้าเมื่อได้ยินชื่อสิ่งของด้อยค่าอย่างถ่านอย่างฟืน “จะได้อัฐสักเท่าไรเชียว”
“อะไรได้เงินก็ต้องเอาไว้ก่อน” พี่สิงห์ว่า แต่ประโยคถัดมาปรายตามาทางจ้อย “เก็บเงินแต่งเมีย”
จ้อยถลึงตาใส่แทบพลัดจากเบ้า พูดจาประเจิดประเจ้อ!
แต่พอมองไปทางคุณนาย กลับชื่นชมลูกชายไปตามเรื่อง มันก็ปกติของชายหนุ่มที่หน้าที่การงานลงหลักปักฐานมั่นคงแล้วจะคิดเรื่องมีครอบครัว มิได้ระแคะระคายอะไรสักน้อย เฮ้อ! โล่งอก!
“ครูจะนอนที่นี่หรือจะกลับไปหายาย” ป้าทรัพย์หันถามจ้อยขณะเก็บของเตรียมกลับเรือนกำนัน น้าเวกคงนั่งตบยุงรออยู่ที่ท่า
“ดึกแล้วนอนนี่ดีกว่า อยู่เป็นเพื่อนพี่สิงห์เขา” แกเชื้อเชิญด้วยเอ็นดู ความจริงแล้วจ้อยก็นอนค้างที่นี่มากกว่าที่บ้านตัวเองเสียอีก
เกือบพ้นธรณีประตูไปแล้วคุณนายเพิ่งนึกขึ้นได้ “ความจริงยายช้อยก็แก่แล้ว ย้ายมาอยู่บ้านป้าก็ได้จะได้มีคนดูแล ป้าจะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อน ครูก็ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”
“จริงหรือแม่!” สิงห์ดีใจเป็นล้นพ้น จ้อยหยิกเข้าให้จนสะดุ้ง อย่าออกนอกหน้าให้มันเกินไปนัก
“ลุงกำนันจะไม่ว่าอะไรหรือจ๊ะ” ความเจียมตนสั่งให้จ้อยถามออกไป
“โอ๊ย! รายนั้นจะไปว่าอาไร๊” แกว่าเสียงสูง “เผลอๆ จะดีใจจนกระโดดโลดเต้นสิไม่ว่า”
ดอกไม้ความสุขค่อยๆ ผลิบานขึ้นในใจจ้อย ต่อแต่นี้ยายจะได้ไม่ลำบาก และจ้อยก็จะมีเวลาดูแลทั้งยายทั้งป้าทรัพย์โดยไม่ต้องพายเรือไปๆ มาๆ ให้เหนื่อยอีกต่อไป อะไรก็ไม่สำคัญเท่า.. จ้อยจะได้อยู่ใกล้ๆ คนที่จ้อยรัก..
จ้อยเหลือบมอง ‘คนที่จ้อยรัก’ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายมองมาอยู่ก่อนแล้ว แขนกำยำวาดลงโอบไหล่เล็กบางเอาไว้ ดูเผินๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากพี่ชายโอบไหลน้องน้อย
“แม่ไปล่ะ ดูน้องด้วยนะตาสิงห์” ป้าทรัพย์มองพี่สิงห์แล้วก็มองจ้อยด้วยสายตาสื่อความหมายบางอย่าง “ครู.. ฝากพี่เขาด้วยนะ”
คล้อยหลังเจ้าแม่เงินกู้ไม่ทันไร ลูกชายตัวดีของแกก็หับประตูหน้าต่างเสียสนิท ก่อนรวบตัวจ้อยไปกอดแน่น หอมเอาๆ ทั้งแก้มซ้ายขวาอย่างกะตายอดตายอยาก คนอะไรมือหนักตีนหนัก จ้อยจะน่วมไปทั้งตัวอยู่แล้ว
“อย่านะ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดี” มือเล็กยันปลายคางสากออกห่าง ไม่ได้เล่นตัว แต่จ้อยอารมณ์ไม่ดีจริงๆ “จ้อยเป็นห่วงเล็กกับอาจารย์”
พี่สิงห์คงรู้ข่าวแล้ว ในดวงตาสีสนิมเหล็กจึงสลดวูบลง กับเลอมานเขาก็สนิทกันฉันท์มิตร รู้ว่ามิตรทุกข์อย่างนี้เลยพลอยทุกข์ใจกันไปด้วย นิ่งฟังเสียงลมหายใจกันอยู่สักพัก อยู่ดีๆ พี่ก็โพล่งขึ้นทำลายความเงียบงัน “พี่มีของมาให้จ้อยด้วย!”
คนตัวโตกุลีกุจอออกไปข้างนอก สักพักก็กลับเข้ามาพร้อม.. กรงนก? กรงนกนั่นแหละ ถึงจะมีผ้าคลุมอยู่ แต่จ้อยก็ดูออกว่ามันคือกรงนก จ้อยได้แต่มองพี่ด้วยความไม่เข้าใจ นี่ไปเก็บนกตกรังมาจากไหนอีกล่ะหือ
มือใหญ่ดึงผ้าคลุมกรงออก จ้อยจึงได้เห็นมัน นกเอี้ยง! ปีกสีน้ำตาลเข้ม ใต้ตาสีเหลืองสดตัดกับขนดำขลับที่หัวอย่างสะดุดตา มันเอียงคอมองจ้อยด้วยลูกตาใสๆ น่าเอ็นดู “ดีเลย จ้อยเป็นนกเอี้ยง” จ้อยกอดกรงมันเอาไว้ รอยยิ้มค่อยระบายในหน้า “งั้นพี่ก็เป็นควายเฒ่าสิ เนอะ”
“ถ้าได้อยู่กับจ้อยตลอดไป ให้เป็นวัวเป็นควายพี่ก็ยอม” ดวงตาที่มองมาหวานยิ่งกว่าจาวตาลเชื่อม มืออบอุ่นลูบผมจ้อยเบาๆ “มันพูดได้ด้วยนะ”
“หือ” จ้อยวางกรงไอ้เอี้ยงลงบนตั่ง ก่อนนั่งลงข้างมัน พี่สิงห์นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นไม่ห่างกัน
“เรียกมันสิ เอี้ยงจ๋าๆ” พี่คะยั้นคะยอ
จ้อยว่าง่ายขึ้นมาทันที ทำเสียงเล็กเช่นเวลาคุยกับเด็กน้อยเรียกเอี้ยงจ๋าๆ ตามพี่บอก จนนานสองนาน เอี้ยงจ๋าก็เอาแต่มองมาตาปริบๆ
“มันพูดได้จริงหรือ” หนุ่มน้อยชักไม่แน่ใจ
“จริง! พี่สอนมันอยู่ตั้งนาน”
“หรือมันค่ำแล้ว เอี้ยงมันง่วงหรือเปล่า” จ้อยตั้งข้อสงสัย ความจริงถึงมันจะพูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สิ่งใดที่พี่เอามาให้ จ้อยรักหมดทุกอย่างนั่นแหละ “ไม่เล่นแล้ว จ้อยไปหาอะไรให้มันกินดีกว่า”
คนเสียหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่นก “ไอ้เอี้ยง มึงจะพูดหรือไม่พูด” มือหยาบใหญ่แทบเขย่ากรงกึงๆ “ถ้าไม่พูดพรุ่งนี้หลวงพ่อได้ฉันแกงป่านกสับแน่”
จ้อยส่ายหน้าระอา หันไปเก็บเอกสารบนโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยดีกว่าฟังคนบ้าเถียงกับนก สักพัก.. เสียงใสเจื้อยแจ้วก็แว่วมา..
รักคู้... รักคู้...หนุ่มน้อยหันไปมองอย่างพรึงเพริด ดวงตากลมใสเบิกกว้าง เจ้าเอี้ยงตัวน้อยยังขับขานไม่หยุดราวกับมันพูดได้อยู่แค่นี้ รักคู้.. รักคู้..
“กว่าจะพูดนะไอ้นกโง่ เล่นเอากูเหงื่อตก” พี่สิงห์ปาดเหงื่อ มองจ้อยด้วยดวงตาพราวระยับ
รักคู้.. รักครู.. สินะ..
“พี่นั่นแหละโง่” แก้มขาวๆ แดงซ่านจนต้องก้มหน้างุด ทำเป็นนั่งเล่นกับนกแก้เขิน “คำง่ายๆ แค่นี้พูดเองก็ได้ ไม่เห็นต้องไปลำบากเอี้ยงมัน”
“ความจริงพี่ก็บอกจ้อยทุกวันอยู่แล้ว จ้อยไม่รู้หรือ” คนตัวโตคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้า คว้ามือจ้อยไปแนบแก้ม
“ชีวิตพี่มันไร้ค่ายิ่งกว่าสะเก็ดตีนเมรุ จนมีจ้อยมาช่วยทำให้เป็นผู้เป็นคน” ริมฝีปากร้อนผ่าวกดจูบลงกลางฝ่ามือเล็ก ในดวงตาที่มองสบมา มันไม่ใช่เพียงความหวาน มันมีความซื่อตรง คงมั่น พร้อมจะมอบกายถวายชีวิตลงแทบตักจ้อย
ความรู้สึกที่อ่อนบางเหมือนใยน้ำค้างขาวนวลบนยอดหญ้าถ่ายเทสู่ใจจ้อยจนเต็มตื้น นักเรียนครูก้มลงไปกอดร่างกำยำไว้เต็มอ้อมอก น้ำตาแห่งความสุขใช่ไหมที่คลอหน่วยตาจนแสงไฟฝ้าฟาง จ้อยจะอยู่กับพี่.. จะดูแลพี่ตลอดไป.. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจ้อยก็ไม่กลัวทั้งนั้น
ขอเพียงจ้อยได้อยู่กับพี่..
“จ้อยสอนมันพูดบ้างได้ไหม” นักเรียนครูอมยิ้มเขินอาย โน้มหน้าลงไปข้างหูพี่ กระซิบคำคำหนึ่งแผ่วเบา
พี่ได้ยินพลันตาลุกวาว ก่อนโจนเข้าใส่น้องทั้งตัวจนพากันล้มลงบนตั่งไม้สักกว้าง ริมฝีปากร้อนผ่าวจูบเอาๆ อย่างย่ามใจ
“อย่านะ!” จ้อยยันอกผึ่งผายออกห่างแทบไม่ทัน คนอะไรใจเร็วใจร้อน ไม่ให้เวลาหายใจหายคอกันมั่ง “เดี๋ยวคนเห็น”
“ใครหน้าไหนมันจะเข้ามา เขารีบกลับบ้านไปนอดกอดเมียกันหมดแล้ว”
จ้อยปัดป้องพอเป็นพิธี “ถ้าพี่ไม่อายคน ก็อายเอี้ยงมันบ้าง”
พี่สิงห์สลัดเสื้อออกทางหัวรวดเร็ว เดินเอาไปคลุมกรงไว้ ก่อนหันมายิ้มเผล่ “แค่นี้มันก็ไม่เห็นแล้ว”
น้องส่งยิ้มเจิดจ้าให้พี่ อ้าแขนรอรับร่างกำยำที่ถาโถมลงมา
จ้อยเจ็บปวดทรมานมานานเหลือเกิน ถูกรังแกมานักต่อนักเสียจนหัวใจป่นปี้ แต่นับจากนี้ชีวิตจะมีแต่แสงตะวันสาดส่อง โลกจะไม่มืดมนอีกต่อไป
***********************************
(มีต่อจ้า
)