...............
.........................
..
...
ตอนที่๒๙ รักลอย
บ่ายสี่โมงตรงเผงนายแพทย์วัชระวางงานในมือทุกอย่าง ถือแฟ้มสองสามแฟ้มออกมาวางลงบนเคาน์เตอร์ด้านหน้าให้คุณสุมาลีเองอย่างอารมณ์ดี แต่แทนที่จะปล่อยให้คุณพยาบาลอ้าปากบอกลา ร่างสูงใหญ่ของคุณหมอก็สาวเท้าจนแทบจะเป็นวิ่งออกจากตัวตึกไปเสียแล้ว ปล่อยให้คุณสุมาลีส่ายหน้าตามหลังพร้อมรอยยิ้มรู้เท่าทันเก็บงานอยู่คนเดียว
วัชระไม่ได้ขับรถตรงดิ่งกลับคอนโดในทันที หากชายหนุ่มเลี้ยวไปในทิศตรงกันข้าม แวะไปที่โรงแรมเก่าแก่ที่ตั้งบนถนนวิทยุที่มีร้านจิวเวลรี่ชื่อดังตั้งอยู่ ชายหนุ่มรู้สึกเขินอยู่เหมือนกันที่มาเดินเข้าร้านเครื่องประดับแบบนี้ ดีก็ตรงที่นี่เป็นหนึ่งในกิจการของครอบครัวเพื่อนซึ่งถึงจะไม่สนิทแต่ก็เรียนด้วยกันมาตลอดสามปีตอนมัธยมปลาย และก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ
ดังนั้น พอคิดว่าจะหาของแบบนี้ไปให้คนพิเศษ วัชระจึงต่อโทรศัพท์หาแก้วกุดั่นเป็นคนแรก พอเปิดประตูกระจกเข้าไปในร้านก็เห็นว่าแก้วกุดั่นส่งยิ้มกว้างขวางมาให้ก่อนแล้ว
“หายไปเลยนะเพชร นี่ของที่โทรมาสั่ง เราคัดไว้ให้ดูสามสี่ชิ้น”
“ฮ่าๆๆ ดอกแก้วจะเอาการเอางานไปไหนเนี่ย? มาถึงไม่ต้องทักทายก่อนเหรอ?”
วัชระหัวเราะเบาๆกับประโยคทักทายของเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมามากกว่าหกเดือน แถมครั้งสุดท้ายที่เจอกันยังเป็นแค่การเดินสวนกันในโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มทำได้แค่ยกมือพร้อมส่งยิ้มตอบรับคำทักทายจากเพื่อนเพราะต้องรีบเข้าประชุมด่วนอีกต่างหาก
“แหม.....แค่ที่คุยกันทางโทรศัพท์เราก็รู้แล้วว่ามีคนคอยอยู่ที่บ้าน ฮะๆๆๆ ถึงขั้นจะหาหินวาวๆไปกำนัล สาวรายนี้คงตัวจริงล่ะสิท่า”
ผ้ากำมะหยี่สีดำถูกแผ่ออกบนโต๊ะเตี้ยส่วนที่ลึกเข้ามาของร้าน ก่อนที่สิ่งที่แก้วกุดั่นเรียกว่า ‘หินวาวๆ’ ก้อนขนาดเมล็ดถั่วเขียวสี่ห้าเม็ดจะถูกหญิงสาวเทออกจากถุงกำมะหยี่สีดำใบเล็กออกมาอวดโฉมล้อแสงไฟ
อาการเงียบไปของเพื่อนทำให้ผู้สืบทอดกิจการร้านจิวเวลรี่ชื่อดังต้องเงยหน้าขึ้นมอง และพอได้เห็นประกายตาเปี่ยมสุขหากยังผสมแววกังวลบางอย่างหญิงสาวในชุดเสื้อสีดำสนิทโชว์หัวไหล่เนียนผ่องกับกางเกงเข้ารูปที่รวบผมเป็นหางม้าสูงก็ยืดตัวนั่งหลังตรงพร้อมกับเลิกคิ้วที่ตกแต่งไว้เพียงบางๆขึ้นสูง
“นี่....อย่าบอกนะ......”
“...อย่างที่คิด......ดอกแก้ว....ฉลาดไม่เปลี่ยน”
“ไม่ใช่สาวสินะ แต่นอกนั้นคือถูกหมดใช่มั้ย.....ตกลงว่า คนพิเศษคนนี้ของเพชร....”
แก้วกุดั่นวางถุงผ้าที่ยังถือค้างในมือลงกับโต๊ะกระจกช้าๆก่อนจะยกมือนั้นแหละขึ้นมาปิดปาก ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นคลึงที่ขมับทั้งสองเบาๆ
“เป๊ะเลยจ้ะ คนนี้ตัวจริง....แบบว่า รักจริงหวังแต่งงานน่ะ แล้วนี่ถอนหายใจอะไรขนาดนั้นล่ะ?”
“ก็เราเพิ่งรู้นี่ว่าเพื่อนเราที่สาวๆแอบปลื้มกันครึ่งค่อนห้องดันมีคนพิเศษเป็นผู้ชาย...แหม....เพราะผู้ชายไปรักกันเองหมดแหงๆ ผู้หญิงอย่างเราถึงแห้งเหี่ยวแหงแก๋คาคาน ชิ!”
“ฮ่าๆๆๆ อย่างดอกแก้ว เพราะไม่ยอมเลือกใครมากกว่ามั้ง”
“ไม่จริงสักหน่อย เอ้า อยากกลับบ้านแย่แล้วใช่มั้ยเนี่ย....นี่แหละ เพชรจะดูเพชรสีชมพู เราก็ควานมาให้เลือกได้แค่นี้แหละ ถ้าจะทำหัวแหวนเม็ดเดี่ยวก็ต้องครึ่งกะรัตขึ้นไปถึงสวย เราไม่รู้นี่ว่าน้องเป็นผู้ชาย เพราะผู้ชายเขาไม่ค่อยชอบเครื่องประดับชิ้นใหญ่ๆ เพชรสีชมพูแบบนี้เข้ากับตัวเรือนทองคำขาวมากกว่านะ หรือเพชรอยากได้ทอง?”
“ทองคำขาวดีแล้ว....ที่เอามาให้เราดูนี่ไม่มีรอยตำหนิอะไรใช่มั้ยดอกแก้ว เราดูไม่เป็นนะเว้ย”
คุณหมอตัวโตใช้ปลายนิ้วเขี่ยๆให้หินสีชมพูแต่ละเม็ดแยกห่างจากกันในขณะป้อนคำถาม ส่วนเพื่อนสาวก็ใช้ปากคีบขนาดเล็กคีบหินเม็ดหนึ่งขึ้นส่องกับแสงไฟชี้ชวนให้สังเกตตาม
“ไม่มีหรอกน่า นี่ไง ดูนี่นะ เพชรสีที่ดีน่ะ นอกจากไม่มีรอยตำหนิแล้วทั่วทั้งเม็ดสีก็ต้องเสมอกันด้วย เห็นมั้ย? ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนซื้อแล้วล่ะว่าชอบสีเข้มแค่ไหน ชมพูขนาดไหน แหม......จะมาอุดหนุนทีก็เลือกของยากเชียวนะ นี่รู้ป้ะ ถ้าจะเอาเพชรไม่มีสีนะ เรามีให้เลือกมากกว่านี้ตั้งเยอะ”
“หึๆ ถ้าจากสี่เม็ดนี่เราเอาเม็ดนี้ รูปสี่เหลี่ยมแบบนี้ทำแหวนได้รึเปล่าดอกแก้ว?”
“ได้ๆ เม็ดนี้ แป๊บนะ...ดีนะเนี่ยโทรมาเมื่อวานเราขึ้นมากรุงเทพฯพอดี เดี๋ยวเราคิดราคาเพื่อนแล้วกำชับคุณช่างให้....อืม....อันนี้แม่ตั้งราคาไว้เท่านี้อ้ะ โอเคมั้ย?”
แก้วกุดั่นเขียนตัวเลขหกหลักลงกระดาษแล้วยื่นไปตรงหน้าคุณหมอ ตามด้วยรอยยิ้มการค้าแบบว่าราคาเพื่อนฝูงต่อรองได้
“โอเค.....ดูแบบแหวนให้เราด้วยแล้วกัน เอาให้ใส่ได้จริงนะไม่ใช่ออกมาลิเกล่ะ”
“โห......ดูถูก นี่ แล้วไม่ต้องจ่ายเท่านั้นนะ สำหรับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่เคยลอกการบ้านกันมาเราคิดเท่านี้พอ แล้วนิ้วน้องขนาดเท่าไหร่?”
หมอเพชรส่ายหัวอย่างระอาเมื่อกระดาษโน้ตแผ่นเดิมถูกดึงกลับไป แล้วเจ้าของร้านก็ส่งกลับมาใหม่พร้อมเลขหกหลักเหมือนเดิมแต่จำนวนเลขศูนย์น้อยลง ก่อนจะต้องส่งยิ้มแหยๆเพราะไม่รู้ขนาดนิ้วคนรัก
“กลับไปวัดมาด้วย แล้วก็....วันหลังพาน้องมาโชว์บ้างนะ ฮะๆๆๆ”
วัชระขับรถตรงกลับคอนโดมิเนียมไปฮัมเพลงตามเดอะ บีทเทิ่ล ในรถไป แทนที่จะหงุดหงิดกับการจราจรติดขัดกลางใจเมืองชายหนุ่มกลับเคาะนิ้วบนพวงมาลัยเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดี ยิ่งนึกถึงคำถามสุดท้ายของเพื่อนเก่าก่อนโบกมือลาเดินออกมาจากร้านก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำตัวไม่ต่างจากเด็กหนุ่มแรกรัก
‘นี่เพชร ถามจริงเหอะ ทำไมเลือกสีชมพูอ่อนขนาดนั้นล่ะ?’
‘ทำไมเหรอ?’
‘ก็เพชรสีชมพูสำหรับพวกสะสมเขาชอบสีชมพูสดๆกันน่ะสิ นี่เราเห็นเขี่ยๆดูเดี๋ยวเดียวเลือกเม็ดสีอ่อนสุดซะงั้น’
‘.....สีมันเหมือนแก้มน้อง’คุณหมอตัวโตหัวเราะกับตัวเองที่พอตอบไปแบบนั้นก็ถูกเพื่อนทำร้ายร่างกายด้วยการทุบไหล่มาหนักๆ ดังบึ้ก แถมเมื่อนึกภาพเพื่อนที่ถึงจะไม่สนิท แต่ระยะเวลาที่เรียนด้วยกันมาสามปีเต็ม ก็พอทำให้รู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมาเขินง่ายๆถึงกับหน้าแดงตาเป็นประกายแล้วก็รีบโบกมือไล่ออกมาจากร้านแล้วก็ยิ่งขำ
เกือบครึ่งชั่วโมงทั้งที่เป็นทางตรงธรรมดาหลังเลี้ยวออกจากถนนวิทยุวัชระก็พาตัวเองมายืนยิ้มกริ่มอยู่หน้าห้อง และถึงแม้วันนี้จะไม่ได้แวะไปซื้อของมาเต็มไม้เต็มมือแบบเมื่อวาน แต่คุณหมอตัวโตก็ยังเลือกที่จะเคาะประตูแล้วรอคนรักมาเปิดรับอยู่นั่นเอง
ยืนรออยู่เกือบนาทีจนชายหนุ่มนึกว่าวันนี้คนที่รออยู่บ้านคงไม่ได้มานั่งรอตรงหน้าโถงแบบเมื่อวาน วัชระจึงเปลี่ยนใจมากดกริ่งยาวๆหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับ เมื่อคิดว่าได้โทรมารายงานตัวกับอรุณรุ่งตั้งแต่ช่วงพักกลางวันว่าวันนี้จะกลับถึงบ้านช้าไปประมาณสองชั่วโมง แต่ตัวเองกลับใช้เวลาที่ร้านจิวเวลรี่ไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจนักว่าทำไมจึงไม่มีคนมาคอยเปิดประตูรับพร้อมแจกwelcome kiss หวานๆ เหมือนเมื่อวาน
วัชระตัดสินใจใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปเอง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่ออากาศในโถงกลางของห้องชุดร้อนอบอ้าวราวกับไม่มีคนอยู่บ้าน ชายหนุ่มร่างสูงถอดรองเท้าออกเก็บในตู้ไม้เนื้อแข็งที่วางใกล้ประตู ก่อนก้าวสู่พื้นอีกระดับและวางเอกสารที่ถือติดมือมาไว้บนโต๊ะกลางตรงชุดรับแขกแล้วชายจึงก้าวเท้ายาวๆไปทางห้องนอน
‘....นอนกลางวันเป็นเด็กอนามัยรึเปล่าน้า...คนดีของพี่ ไม่ไหวๆ นอนจนเย็นแบบนี้เดี๋ยวกลางคืนก็หลับไม่ได้กันพอดี’
ไฟสีนวลและเครื่องปรับอากาศที่เริ่มทำงานเมื่อเจ้าตัวก้าวเท้าเข้ามาในห้องทำให้วัชระหัวใจไหววูบ ผ้าห่มนวมสีน้ำเงินเข้มถูกพับเรียบร้อยเป็นสามทบแบบที่น้องดอว์นชอบทำ หมอนหนุนทั้งสองใบวางเคียงกันอยู่ประจำตำแหน่ง ผ้าปูที่นอนลายทางกรมท่า-ฟ้าเรียบตึงเหมือนคนปูตั้งใจขึงให้เจ้าของเตียงได้นอนหลับสบายอย่างที่สุด
“ดอว์น!”
“.......................”
ประตูห้องน้ำถูกกระชากเปิดเต็มแรง วัชระพุ่งเข้าไปในส่วนอาบน้ำที่มีฉากปูนกั้นแยกเป็นสัดส่วน....ว่างเปล่า....ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้ำสักหยด
“ดอว์นครับ ดอว์น.....อยู่ในครัวรึเปล่า?”
สภาพที่ส่วนครัวกลับทำให้ใจชื้น เมื่อมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กแปะติดอยู่หน้าตู้เย็นเป็นลายมือหวัดน้อยๆว่า ‘ต้องรีบกลับบ้าน อาหารเย็นทำไว้ให้แล้วอยู่ในตู้เย็น เอาออกมาอุ่นกินนะเพชร ซุปในหม้อก็อุ่นก่อนด้วย กินเย็นๆไม่อร่อย....ดอว์น’
คุณหมอหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงยิ้มออกมาได้ เมื่อเปิดตู้เย็นออกดูก็พบกับกล่องใส่อาหารวางอยู่สองกล่อง หยิบออกมาเปิดออกดูจึงเห็นในกล่องหนึ่งเป็นข้าวสวยกับอีกกล่องเป็นเนื้อกุ้งผัดกับคื่นช่าย
โทรศัพท์เครื่องบางในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบขึ้นมากดโทรออก เบอร์ล่าสุดที่ยังคุยกันอยู่ตอนมื้อกลางวันกลับติดต่อไม่ได้
.....สงสัยแบตหมด มาอยู่บ้านนี้สองวันก็ไม่เห็นเอาเครื่องออกมาชาร์จแบตเลยนี่นะ เดี๋ยวทำตามคำสั่งก่อน เกิดมารู้ทีหลังว่าไม่กินข้าวตามคำสั่งคนทำเสียใจแย่แต่จนวัชระกินข้าวเย็นเรียบร้อย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืดตัวบางกับกางเกงแพรเนื้อนิ่มแล้วมานั่งอ่านเอกสารสองสามแผ่นที่ติดมือมาจนจบแล้วโทรกลับไปอีกครั้งก็ยังติดต่อคนรักไม่ได้เหมือนเดิม
ชายหนุ่มเริ่มนั่งไม่ติดที่เมื่อรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาทีผ่านไปช้าลง จนในที่สุดเมื่อภาพจากหน้าต่างกระจกใสในส่วนรับแขกแสดงว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทและเสี้ยวจันทร์สีซีดออกมาทักทาย วัชระก็ตัดสินใจว่าถึงจะเสี่ยงกับการต้องตอบคำถามคุณเอมอรหรือถูกคนรักโกรธก็ขอไปจอดรถดูหน้าบ้านก็ยังดี
โทรศัพท์ในมือถูกกดโทรออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แวบแรกคือความรู้สึกหวาดกลัวที่จู่โจมเข้ากลางใจ หรือน้องออกไปข้างนอกแล้วเกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุซ้ำรอยที่ทำให้เสียน้องสาว...ผู้หญิงคนแรกที่คิดจะรักไป และมาตอนนี้....จะซ้ำรอยอีกหรือไร....อุบัติเหตุจะมาพรากคนที่ตั้งใจจะฝากชีวิตไว้ด้วยกัน คนที่บอกกับใครต่อใครได้เต็มปากว่าเป็นคนรัก....
วัชระคว้ากุญแจรถแล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง พยายามควบคุมสติแล้วค่อยผ่อนลมหายใจเข้าออกให้ช้าแต่ก็ไม่เป็นผล ความกระวนกระวายเกาะกุมจิตใจจนชายหนุ่มขับรถฝ่าไฟแดงติดๆกัน ในใจคิดแต่จะไปหาน้อง ต้องไปหาให้เร็วที่สุด โทรหาไม่ได้ก็ไปหาที่บ้าน ครั้งนี้ต้องไม่เหมือนคราวนั้น....จะไม่พลาดซ้ำสอง จะไม่ปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปอีก
บ้านหลังน้อยปิดประตูรั้วคล้องโซ่ล็อคกุญแจแน่นสนิทปิดไฟเงียบเชียบที่เห็น ยังไม่เท่ากับป้ายที่มีลายมือคุ้นตาเขียนประกาศให้เช่า วัชระไม่ลังเลจะโทรออกไปตามเบอร์ติดต่อที่ให้ไว้ในประกาศ หากเสียงที่ปลายสายกลับเป็นเสียงผู้หญิงมีอายุที่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่คุณเอมอร
“ผมสนใจบ้านที่ประกาศให้เช่า ไม่ทราบจะติดต่อเจ้าของได้ที่ไหนครับ?”
‘โอ๊ย....ไม่ต้องติดต่อเจ้าของหรอกค่า.....ติดต่อป้านี่แหละ เจ้าของบ้านสองคนแม่ลูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ถ้าสนใจเช่าบ้านก็คุยกับป้าได้เลยนะค้า......’
“ไปต่างจังหวัด!! ที่ไหนเหรอครับคุณป้า?”
‘อันนี้ป้าก็ไม่ทราบนะค้า แกไม่ได้บอกเอาไว้ด้วยสิ ให้ไว้แค่เลขที่บัญชีไว้โอนเงินเข้าเผื่อมีคนมาเช่าแค่นั้นเอง.....ตกลงว่าคุณสนใจเหรอคะ ตอนนี้คุณอยู่ไหนล่ะ ถ้าอยากเข้าไปดูด้านในบ้านก่อนแล้วค่อยคุยกันเรื่องราคาก็ได้นะคะ แต่ป้าบอกได้เลยว่าราคานี้ถูกที่สุดแล้ว.....’
“ไม่เป็นไรครับคุณป้า ขอบคุณมาก.....”
นายแพทย์วัชระยืนอยู่ตรงนั้น สายตาหลังกรอบแว่นยังมองเข้าไปในตัวบ้านที่มืดสนิท....เฝ้ารอด้วยความหวังว่าจะมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยที่จะเป็นสัญญาณว่ายังมีคนอยู่ในบ้านหลังนี้ มือข้างหนึ่งยังกุมโทรศัพท์เครื่องบางเอาไว้จนแน่น ยังคงหวังว่าระหว่างที่ยืนอยู่ตรงนี้สัญญาณเรียกเข้าจะดังขึ้น และคนที่เรียกมาก็คือคนที่กำลังตามหา...
....ยังหวังว่า...จะมีเสียงนุ่มนวลแว่วหวานบอกกับหูว่า....ตอนนี้ดอว์นอยู่ที่นี่ พี่เพชรจะมาหาเมื่อไหร่ก็ได้.....หรือแค่เสียงของน้องบอกมาว่าให้รอ....ให้พี่รออยู่ที่เดิม รออยู่ที่บ้าน....แล้วดอว์นจะกลับมาหา....
เพียงเท่านั้น....เพียงเท่านั้นก็พอแล้วที่จะทำให้คนคนนี้มีเรี่ยวแรงพอจะก้าวต่อไปได้....
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองขับรถกลับมาถึงคอนโดได้ยังไง แต่เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องมือของตัวเองที่กำลังสอดคีย์การ์ดนั้นกลับสั่นไหวจนต้องใช้มือซ้ายที่ก็เพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ปล่อยจากโทรศัพท์มือถือเลยมาช่วยจับให้ตรงช่อง ในใจนึกจินตนาการว่าถ้าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องล้อกันเล่น ถ้าเป็นแผนให้ตนออกไปข้างนอกเพื่อที่เด็กซนอย่างอรุณรุ่งจะได้ย้อนกลับมาเตรียมบางอย่างเอาไว้ให้เซอร์ไพรส์...นิสัยดื้อเงียบแบบนั้น เรื่องแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้
ใจหนึ่งวัชระรู้ดีว่าการปลอบใจตัวเองแบบนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่เพราะหลอกตัวเองให้เชื่อแบบนั้นจึงทำให้ชายหนุ่มกล้าพอที่จะเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในห้องชุดของตัวเองอีกครั้ง
....เมื่อกลางวันดอว์นยังคุยกับพี่อยู่เลย ว่ากำลังจะกินข้าวผัดไข่ฝีมือพี่ ยังบอกให้พี่กินข้าวเยอะๆจะได้มีแรงทำงาน
....พอพี่บอกเสร็จธุระจะรีบกลับไปหา..ดอว์นยังห้ามไม่ให้พี่ขับรถเร็ว ไม่ต้องรีบกลับบ้านก็ได้ ยังไงบ้านก็ไม่หนีไปไหน....ใช่สินะ บ้านนี้มันก็อยู่ที่เดิม แต่คนดีของพี่กลับมาหนีหายไปเสียแล้ว“ดอว์น ดอว์น......พี่กลับมาแล้วนะครับ ดอว์น....คนดี....อยู่ไหน อยู่ไหนครับ.....”ชายหนุ่มวิ่งพล่านไปทั่วทุกซอกทุกมุมของห้องชุด ประตูทุกบานถูกเปิดดูไม่เว้นแม้แต่ประตูตู้เสื้อผ้า รู้ทั้งรู้ว่าเปล่าประโยชน์ แต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้
‘...เพชรดูแลตัวเองดีๆ รู้มั้ย ....มีแฟนแก่ยังพอไหว แต่ถ้ามีแฟนแก่ด้วยโทรมด้วยนี่ผมไม่ไหวหรอกนะ.....ฮะๆๆๆ’ภาพแววตาวาวหวานที่คอยแต่จะเหม่อลอยเมื่อเจ้าตัวเผลอย้อนกลับมาฉายชัด หมอเพชรได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่เฉลียวใจ สองวันมานี้มีเวลาอยู่ด้วยกันตั้งมากมาย ทำไมถึงมัวแต่คิดว่าแววตาอมโศกของน้องเป็นเรื่องปกติ ถ้ากอดน้องทุกวัน แสดงออกว่ารักและทำให้น้องรู้สึกอบอุ่นได้ทุกคืน สักวัน....ประกายเศร้าในแววตานั้นจะต้องจางหาย
‘ดอว์นคิดอะไรอยู่.....คิดอะไร ทำไมไม่บอกพี่บ้าง ทำไมถึงหายไป.....พี่ทำอะไรผิดไปใช่มั้ย.....’
หมอนหนุนใบที่สองคืนมานี้อรุณรุ่งเป็นเจ้าของถูกดึงมากอดไว้แน่น วัชระซบหน้าเข้ากับหมอน สูดกลิ่นอ่อนๆที่ยังติดอยู่ของคนรักที่ลอยหาย แล้วล้มตัวลงนอนตะแคง ขดตัวราวกับทั้งหนาวเหน็บและกำลังเผชิญความเจ็บปวดแสนสาหัส
‘ดอว์น....เพราะพี่กอดไว้ไม่แน่นพอใช่มั้ย.....ถึงหนีไปจากพี่แบบนี้.....กลับมาเถิดนะ...ขอโอกาสอีกแค่ครั้งเดียว....แล้วคราวนี้ พี่เพชรจะกอดคนดีให้แน่นที่สุด....จะไม่ทำอะไรให้ต้องขัดใจอีกเลย....’...........................................................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล. หงิงๆ