ต่อจากข้างบน
v
v
หลังจากคุยกับทีเสร็จ ผมก็เข้าไปบอกพ่อกับแม่ของเธอว่าผมจะกลับพรุ่งนี้แล้ว พวกท่านก็ชวนให้ผมอยู่ต่อ เพราะยังไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะอาผู้ชายที่ต้องไปทำงานทุกวัน และส่วนมากทีจะพาผมไปข้างนอก แต่ผมก็บอกท่านว่าถึงวันที่ผมต้องกลับตามกำหนดแล้ว ท่านทั้งสองจึงไม่ได้ว่าอะไร
เพราะงั้นเช้ามาผมถึงมานั่งจัดกระเป๋า เพื่อเตรียมออกไปสนามบินหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เพราะผมจองไฟล์ทบินตอนเที่ยงไว้ ผมลากกระเป๋าออกมาวางที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปกินข้าวเช้ารวมกับครอบครัวบริวัตรสหการเป็นครั้งสุดท้าย
“ยีนจะกลับวันนี้จริงๆ เหรอ”
ทีพูดขึ้นตอนที่พวกเรากำลังกินข้าวกับอยู่ แล้วไอ้พี่ชมพูก็อยู่ด้วย มันหันมามองหน้าผมเหมือนจะตกใจ ก็คงไม่แปลกหรอกมั้งครับ เพราะผมไม่ได้บอกมันว่าผมจะกลับกรุงเทพวันนี้ แต่ตามจริงผมกับมันคุยกันแล้วว่าจะกลับกันวันไหนตั้งแต่ก่อนมาเชียงใหม่ เพียงแค่ตอนนี้ผมอยากกลับเร็วขึ้นหนึ่งวันเพราะไม่มีเหตุจำเป็นที่จะอยู่ต่อไป ผมทำเป็นไม่สนใจมัน เหมือนไม่เห็นสายตาของมันที่จ้องมาที่ผม
“ครับ เราบอกป๊าว่ามาแค่อาทิตย์เดียว”
“แล้วยีนไม่อยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ อีกตั้งหลายวันกว่าจะเปิดเทอม”
หลายวันของแม่ไอ้พี่ชมพู ก็แค่อาทิตย์เดียวเองแหละครับ
“ขอโทษคุณอาทั้งสองด้วยนะครับที่ผมไม่ได้แจ้งล่วงหน้าให้ทราบก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ก็ได้”
“ครับ”
“แล้วไม่กลับพร้อมภูเหรอ” เจ้าของคุ้มโดยชอบธรรมเป็นฝ่ายถามบ้าง ผมเลยหันไปมองไอ้พี่ชมพู มันก็ค้างมือที่ตักข้าวเอาไว้ แต่ไม่คิดจะตอบหรอกครับ คำตอบจึงเป็นของผมแทน
“ครับ พี่ภูเขาอยากอยู่ช่วยงานคุณอาก่อนครับ”
ไม่มีการปรึกษาหารือขอความเห็นจากคนที่ถูกถามถึงหรอกครับ เพราะมันไม่จำเป็น ผมรู้ว่ายังไงไอ้พี่ชมพูก็ไม่กลับพร้อมผมอยู่แล้ว เพราะตอนนี้ผมคงไม่ได้เป็นอะไรกับมันแล้ว ผมกลับกรุงเทพอย่างไร้พันธะ ไม่มีคำว่าแฟน ระหว่างผมกับมันอีก
“อย่างนั้นหรือ แล้วมีใครรอรับที่กรุงเทพหรือเปล่า”
“ครับ ผมโทรให้เพื่อนมารับ”
“อืม... ตอนไปสนามบินภูก็ไปส่งน้องด้วยแล้วกัน ยังไม่ต้องเข้าไปทำงาน เพราะทีคงขับรถไม่ไหว ให้พี่ภูไปส่งนะลูก”
หลังจากสั่งการลูกชายของตัวเองแล้ว พ่อของไอ้พี่ชมพูก็บอกผม แล้วผมจะตอบอะไรได้ นอกจากรับคำ ทุกคนจึงยิ้มให้ผม ยกเว้นก็แต่คนเดียว กระทั่งกินข้าวเสร็จ ก็ไปรวมกันที่ห้องนั่งเล่น แต่ยังไม่ทันที่ผมจะนั่งลง อาผู้ชายก็เรียกผมไว้
“ยีนมานั่งตรงนี้ลูก”
แปลกดีเหมือนกัน เวลาพ่อของไอ้พี่ชมพูคุยกับผมมักจะลงท้ายด้วยคำว่าลูก แต่ตอนนี้ผมสงสัยว่าท่านเรียกผมไปตรงตรงหน้าท่านทำไมมากกว่า พอหันไปหาที ทีก็กลั้วหัวเราะบอก
“พ่อจะเล่นของน่ะยีน”
เพราะบอกอย่างนั้น ทีเลยโทรแม่ตีนที่แขนเบาๆ ผมจึงเดินไปนั่งตรงพื้นหน้าอาผู้ชายตาม
“ให้ผมทำอะไรเหรอครับอา”
“พ่อเขาจะอวยพรให้ลูกจ้ะ”
เป็นฝั่งแม่ที่เฉลยคำตอบ แต่ผมก็ยังงงๆ อยู่ดี จนพ่อไอ้พี่ชมพูบอกให้ผมพนมมือ ผมก็พนมมือตามที่บอก จากนั้นอาผู้หญิงก็หยิบพานที่มีสายสิญจน์ม้วนใหญ่จากบนโต๊ะหน้าทีวีมาให้อาผู้ชาย อาผู้ชายก็ดึงให้เส้นขาวๆ นั่นขาดจากกัน
สายสิญจน์ความยาวพอประมาณถูกมัดปลายเข้าด้วยกัน ก่อนจะถูกนำมาวางบนหัวของผม คราวนี้ผมยิ่งงงนานกว่าเดิมเสียอีก แต่ทุกคนกลับนั่งเงียบ เหมือนมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย อาสวดอะไรไม่รู้ ผมฟังแล้วจับความไม่ได้ เหมือนเป็นบทสวดอะไรสักอย่างอยู่พักนึง ก่อนจะพูดกับผม
“พ่อขอให้ยีนปราศจากโรคภัย สิ่งเลวร้ายไม่กร้ำกราย สุขภาพแข็งแรง มีแต่ความสุขความเจริญ และเดินทางอย่างปลอดภัย”
พ่อของไอ้พี่ชมพูอวยพรให้ผมพร้อมกับเอามือสองข้างลูบหัวของผม ลูบหลายครั้งซ้ำกันระหว่างที่อวยพรไปด้วย และเมื่อจบประโยค ท่านก็เอาสายสิญจน์ผมหัวของผมออก
รู้สึกแปลกๆ หน่อยแฮะ เพราะผมไม่เคยเจอแบบนี้ แล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเอาสายสิญจน์มาวางบนหัว
“พ่อเขาเป็นพวกธรรมะธรรมโมน่ะจ้ะ ถือศีลนั่งสมาธิอยู่ตลอด เลยอยากแบ่งผลบุญให้ลูกบ้าง ภูกับทีจะไปไหนไกลๆ หรือพวกเพื่อนๆ ของทั้งสองคนจะลากลับบ้าน พ่อก็จะอวยพรให้ทั้งนั้น ไม่ต้องแปลกใจไป”
อาผู้หญิงบอกผม สงสัยคงเห็นว่าผมงงๆ ล่ะมั้ง ทีก็ยิ้มให้ผมเหมือนจะช่วยให้ผมรู้สึกสบายใจ ผมเลยยิ้มให้เธอไป ก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือว่ากี่โมง ซึ่งตอนนี้ก็เกือบเก้าโมงแล้ว ถึงเวลาที่ผมคิดว่าน่าจะไปสนามบิน เพราะยังไม่อยากมีประสบการณ์ตกเครื่อง อีกอย่าง กว่าจะขับรถไปถึงสนามบิน ก็กินเวลาไม่น้อย ไปถึงน่าจะพอดีกับเวลาเช็คอิน ผมจึงล่ำลาทุกคน ยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วหันไปยิ้มให้ที เธอก็ยิ้มให้ผม
“โชคดีนะ แล้วกลับมาเยี่ยมกันบ้าง”
“อืม แล้วเจอกันใหม่”
ผมตอบทั้งที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหรือเปล่า เพราะผมกับลูกชายเจ้าของบ้านต่อจากนี้คงได้เดินคนละทางกันแล้ว
หลังจากบอกลากันเสร็จ ผมก็ลากกระเป๋าแล้วเดินออกจากคุ้ม ไม่มีอารมณ์จะทำเหมือนตัวเองเพิ่งออกมาจากบ้านเอเอฟครับ พอลงจากเรือนและพ้นสายตาของคนอื่นๆ แล้ว ผมก็หันไปเปิดบทสนทนากับคนที่เดินตามหลังมาเพราะมันมีหน้าที่ไปส่งผมที่สนามบิน
“พี่ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้นะครับ ผมไปได้ครับ ลำบากจะพี่เปล่าๆ ครับ”
ผมยังคงใช้คำพูดเหมือนเมื่อวาน ลงท้ายประโยคด้วยคำว่าครับทุกครั้ง ทั้งที่บางทีมันไม่จำเป็นต้องใช้ แต่สิ่งที่แปลกไปอย่างที่ผมไม่เข้าใจคือไอ้ตัวยักษ์ดึงกระเป๋าเดินทางของผมไป
“พี่ภูครับ”
“เลิกพูดแบบนั้นกับกูสักที”
มันโวยใส่ผม แต่เสียงไม่ได้ดังมาก คงกลัวว่าคนในเรือนจะแห่ออกมาดูกันมั้ง
“เอากระเป๋าผมคืนมาเถอะครับ ผมจะกลับแล้วครับ”
“กูไม่ให้มึงกลับ”
“พี่ภูครับ ผมต้องกลับครับ ถ้าโชคดี เราคงเจอกันที่มหา’ลัยครับ”
ผมพยายามดึงกระเป๋าคืน แต่ว่ามันก็จับไว้แน่น เท่านั้นไม่พอ ยังเอาแขนอีกข้างมาโอบผมเข้าไปกระแทกอกของมันอย่างแรง ไอ้เหี้ย ทำอะไรวะ!
ถลึงตาใส่มันเลยครับ แต่มันทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อน จ้องหน้าผมเขม็งกว่า พูดช้าๆ ชัดๆ ทั้งที่ยังรัดตัวผมไว้แน่น
“กูไม่ให้กลับ”
“แต่ผมจะกลับครับ”
“มึงต้องกลับพร้อมกู”
“พี่จะให้ผมอยู่ที่นี่ต่อไปทำไมล่ะครับ หรือว่า...”
ผมหยุดเสียงไว้นิดนึง ไอ้พี่ชมพูก็จ้องผมมากไปกว่าเดิมซะอีก จนผมแน่ใจว่าถ้าตามันเป็นมีด หน้าของผมคงเละไปแล้ว เพราะงั้นผมเลยพูดต่อให้จบประโยค
“อยากให้ผมมาเป็นเขยของที่นี่ แม่ของพี่ยิ่งอยากได้ผมเป็นลูกเขยอยู่”
ประโยคนี้ผมตัดคำว่าครับออกแล้ว เพื่อความสะใจของตัวเอง แต่ดูเหมือนไอ้หมีควายนี่จะไม่สะใจไปกับผม เพราะหน้าของมันสลดลง ทีนี้ผมก็ได้ใจสิครับ ยิ้มหยันใส่มัน แล้วผลักตัวออกจากวงแขนของมัน แต่แทนที่ผมจะทำสำเร็จ ไอ้พี่ชมพูกลับปล่อยกระเป๋าเดินทางของผมที่มันยึดเอาไว้แล้วใช้แขนทั้งสองข้างรวบผมแล้วกอดแน่น ซุกหน้าเข้ากับซอกคอของผม เสียงทุ้มติดสั่นจนรู้สึกได้อย่างที่ผมไม่เคยได้ยินดังเบาๆ ของหู
“กูขอโทษ” =====================
เริ่มจะคลี่คลาย (?)
ตอนหน้าเป็นตอนของพี่ภูค่ะ
พี่หมีควายจะว่ายังไงบ้างนะ
Undel2Sky