ตอนที่ 9
กุหลาบดอกนั้นมันหลุดมือไปซะแล้ว
เป็นอีกเย็นที่ผมกลับบ้านช้าเพราะต้องไปเรียนวิชาคณิตฯ เพิ่มเติม ที่เก่าเวลาเดิมแต่เพื่อนร่วมชะตากรรมดันโดดเรียน ไอ้ปั้นเอาการซ้อมฟุตบอลมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ต้องเข้าเรียน ไม่รู้มันจะซ้อมอะไรของมันนักหนา ปีหน้าจะลงแข่งบอลโลกหรือไง เพราะงั้นวันนี้จึงมีแค่ผมคนเดียว การเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวในวันนี้ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีความรู้วิชาคณิตฯ ติดตัวไว้ทำไมในเมื่อตัวเองตายไปแล้ว บางทีถ้ามีสอบครั้งหน้า ผมอาจจะออกไปจากร่างนี้แล้วก็ได้
"วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ แต่ว่าครูมีการบ้านมาให้ เอาไปทำแล้วเอามาส่งครูในคาบหรือที่โต๊ะครูก็ได้"
"ครับ"
"ครูฝากให้ปณิธานด้วยนะ"
ใจก็อยากจะแย้งว่าให้มันมาเอาเองไม่ได้หรือไง แต่ก็กลัวจะดูแล้งน้ำใจจึงรับชีทอีกชุดหนึ่งมาจากมือครูเพื่อเก็บไปให้ไอ้ปั้น
ผมเดินลงจากตึกหลังครูปล่อยให้กลับบ้าน บรรยากาศในโรงเรียนตอนนี้เงียบสงบเพราะนักเรียนกลับบ้านกันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกนักกีฬาที่ยังซ้อมไม่เลิก ได้ยินว่าจะมีการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาช่วงนี้นักกีฬาเลยซ้อมกันหนัก ในตอนที่ผมเดินผ่านโรงยิมก็มองไปเห็นกลุ่มนักฟุตบอลกลุ่มเดิมที่กำลังเดินเข้าไปในนั้น ไอ้ปั้นก็น่าจะอยู่ตรงนั้นด้วยก็เลยเดินเข้าไปหา โผล่หน้าเข้าไปในห้องพักนักกีฬาที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่ก็เลยได้เห็นภาพเดิมอย่างคราวก่อน
ว้าว...ว้าว...ว้าว"เฮ้ย"
ผมสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วหันไปหาคนที่เดินเข้ามาสะกิดเรียก ก่อนจะเห็นว่าเป็นหนุ่มนักกีฬาตัวโตที่สูงจนต้องแหงนมอง
"มาแอบดูอะไรพวกกู โรคจิตเหรอ"
"เปล่า! มาหาไอ้ปั้น"
"อยู่ทางโน้น" อีกฝ่ายพยักหน้าไปอีกทางเพื่อบอกกับผมว่าไอ้ปั้นอยู่ทางนั้น ผมเดินออกมาจากหน้าห้องพักนักกีฬาแล้วเดินหาไอ้ปั้น ก่อนเห็นมันกำลังยืนจับกลุ่มอยู่กับเพื่อนอีกคน ไม่มีใครหันมาสนใจผมเพราะมัวแต่สนใจสาวน้อยนักกีฬาว่ายน้ำที่กำลังเดินผ่านมา ผมค่อยๆ ย่องไปหาไอ้ปั้นไม่ให้มันรู้ตัว แอบฟังบทสนทนาที่พวกมันกำลังคุยกันอยู่
"มะนาวมาแล้วมึง เข้าไปคุยดิไอ้ปั้น"
"แต่เพื่อนเขาอยู่ด้วยนะเว้ย"
"มึงจะเขินอะไร"
"ใครเขิน ไม่มีโว้ย!"
ตอนที่ไอ้ปั้นกำลังโวย หนึ่งในกลุ่มสาวพวกนั้นก็หันมองไอ้ปั้น อมยิ้มนิดๆ ดูท่าทางเขินอาย เดาไม่ผิดผู้หญิงคนนั้นก็คงจะรอให้ไอ้ปั้นเดินเข้าไปทักอยู่
ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อยืนดูสถานการณ์อยู่สักพัก ก่อนที่ความคิดชั่วร้ายจะสั่งให้ผมทำอะไรบางอย่างเพื่อกลั่นแกล้งไอ้ปั้น คนอย่างมันต้องเจอแบบนี้ซะบ้าง
"ข้าวปั้น!" ผมตะโกนลั่นโรงยิมพลางก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาไอ้ปั้น ยกสองมือขึ้นโอบคอมันแล้วใช้ร่างกายเล็กๆ ของพลีสซบเข้าไปที่อกแน่นๆ ของไอ้ปั้น แน่นอนว่าทั้งกลุ่มเพื่อนของมันและกลุ่มสาวๆ พวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
"คิดถึงตัวเองจัง ซ้อมเหนื่อยไหม เค้าให้กำลังใจนะ" ทำเสียงสะดีดสะดิ้งแล้วจุ๊บแก้มมันซ้ายทีขวาที ยอมเค็มเหงื่อเพื่อให้ทุกคนในที่นี้ตะลึงงันไปพร้อมๆ กัน
"ไอ้พลีส! ทำเหี้ยอะไร!"
ผมถูกสะบัดออกมาด้วยแรงควายๆ ของคนตัวโต แต่ยังไม่วายเล่นละครต่อด้วยการทำหน้ายู่ๆ กับน้ำเสียงอ้อนๆ
"เค้าให้กำลังใจแฟน เค้าผิดด้วยเหรอ"
"เชี่ยไรเนี่ย" เพื่อนไอ้ปั้นพูดออกมาพร้อมกันพลางกระพริบตาถี่คล้ายว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมยิ่งเล่นใหญ่ด้วยการพูดเสียงดัง หวังจะให้สาวๆ พวกนั้นได้ยินด้วย
"ไม่รู้เหรอว่าเราเป็นแฟนข้าวปั้น ช็อกล่ะสิ เรื่องนี้ยังไม่เคยบอกใครเลยนะ"
สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ไอ้ปั้นชอบดูเปลี่ยนไป แล้วหันสะกิดเพื่อนชวนกันเดินออกไป
"ไอ้พลีส! มึงมานี่เลย!" ไอ้ปั้นใช้แขนล็อกคอผมแล้วลากผมออกมาจากตรงนั้น เรี่ยวแรงของมันมีมากพอที่จะลากผมออกมาจนตัวลอยแบบที่ผมไม่ต้องเดินเลย
"โอ๊ย! อย่ารุนแรงกับเค้า เค้าเจ็บ เมื่อคืนทำเค้าระบมไปทั้งตัวยังไม่พอใจอีกเหรอ ตัวเอง เค้าเจ็บ!"
"มานี่!"
"ไอ้ปั้น กูเจ็บ!" แน่ใจว่าพ้นสายตาคนอื่นแล้วผมจึงสะบัดตัวออกมาจากท่อนแขนของไอ้ปั้นแล้วโวยลั่น แต่ไอ้ปั้นโวยดังกว่า
"มึงเล่นบ้าอะไรวะ! ทำแบบนี้ทำไม!"
"สนุก"
"ไอ้พลีส"
"ทำไม"
"มึงรู้ไหมกูจีบมะนาวมานานแค่ไหนอะ"
"ไม่รู้ ไม่อยากรู้ แต่ที่กูอยากให้มึงรู้ มึงจะได้เข้าใจว่าเวลาโดนแกล้งแล้วมึงจะรู้สึกยังไง"
"ไอ้เหี้ยพลีส!"
"มึงแกล้งเพื่อนเพราะเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ แต่คนถูกแกล้งเขาไม่สนุกกับมึงหรอกนะ บางทีสิ่งที่มึงแกล้งเขาอะ อาจจะฝังใจเขาไปจนตายก็ได้นะปั้น"
"มึงก็เวอร์ กูไม่ได้ฆ่าใครตายซะหน่อย"
"ถ้าวันนั้นกูกระโดดตึกตาย เหตุผลเพราะทนที่มึงแกล้งไม่ได้ มึงจะยังคิดแบบนี้อยู่ไหม"
"แค่โดนแกล้งขำๆ คงไม่ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะกูหรอก"
"ใช่ เขาอาจจะไม่ได้ฆ่าตัวตายแค่เพราะถูกแกล้ง แต่ข้าวปั้น มึงไม่เคยรู้ว่าชีวิตคนอื่นเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง สำหรับคนที่เจอเรื่องหนักๆ ในชีวิตมาเยอะแล้ว การที่มึงไปแกล้งเขาก็เหมือนเพิ่มเหตุผลที่ทำให้เขาอยากตายมากขึ้น มันอาจจะทำให้เขาตัดสินใจที่จะตายได้ง่ายขึ้น มึงเข้าใจป่ะ"
ไอ้ปั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาสบตากับผม
"ไอ้พลีส"
"อะไร"
"กูถามมึงจริงๆ นะ มึงเป็นอะไรของมึงวะ พักนี้มึงดูแปลกไปมากเลยนะ แค่อยู่ดีๆ มึงมาพูดขึ้นมึงขึ้นกูกับกูนี่ก็แปลกแล้ว"
"อ้าว ปกติไม่พูดเหรอ"
"เออดิ มึงสุภาพจนกูหมั่นไส้เลยแหละ ตกลงมึงเป็นอะไรกันแน่วะ มันโคตรไม่ใช่ตัวมึงเลยอะ"
"ก็ผีเข้าไง"
"เอาดีๆ สิวะ กูซีเรียส"
"ก็...สมองกระทบกระเทือนไง กูก็เลยเป็นแบบนี้" ผมพูดไปส่งๆ แต่ไอ้ปั้นก็ดูเหมือนว่าจะเชื่อจริงๆ
"แล้วมึงจะหายไหมวะ"
"หายดิ เดี๋ยวก็หาย"
"ถ้ามึงหาย ก็จะกลายเป็นมึงคนเดิมใช่ไหม"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนอีกฝ่ายจะเงียบไป เห็นว่าไอ้ปั้นไม่พูดอะไรต่อ ผมจึงเอ่ยปากขึ้นมาแทน
"ข้าวปั้น"
"เรียกปั้นเฉยๆ เหอะไอ้เหี้ย เรียกแบบนี้กูดูน่ารักไปเลยเนี่ย"
"เออ ปั้น"
"อะไร"
"ถ้ากูหายแล้ว ถ้ากูคนเดิมกลับมา"
"..."
"ช่วยทำดีกับกูหน่อยนะ"
"..."
"อย่าแกล้งกูเลย กูก็มีความรู้สึกเหมือนกัน"
ไอ้ปั้นนิ่งกว่าที่เคย หันมองผมแต่พอสบตาก็รีบหลบตา กระทั่งมันเดินออกไปจากตรงนี้โดยไม่มีคำพูดอะไร ผมเองก็ได้แต่หวังว่าคำขอของผมจะมีความหมายสำหรับมันบ้าง เผื่อว่าในตอนที่พลีสกลับมา...จะได้ไม่ต้องถูกแกล้งอีก
...
ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมติดอยู่ในร่างของพลีส ผมตั้งคำถามขณะที่ยังไม่มีคำตอบ กำลังคิดอยู่ว่าถ้าพลีสกลับมาแล้วพบว่าเวลาหนึ่งเดือนของตัวเองถูกผมขโมยมาใช้ พลีสจะทำยังไง ผมเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตพลีสไปบ้าง ในตอนที่เขากลับมาเป็นพลีสคนเดิมทุกคนคงเกิดคำถาม พลีสจะรับมือกับความสับสนเหล่านั้นได้ไหม ผมรู้สึกเป็นห่วง และอีกเรื่องที่ผมกำลังกังวลใจ ผมกำลังกลัวตัวเอง กลัวว่าการที่ได้กลับมาเป็นคนมันจะทำให้ผมโลภมาก อยากอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ กลัวว่าตัวเองจะจมดิ่งไปกับความคิดเห็นแก่ตัว ไม่ยอมจากไป
"เขี้ยวกุด!"
ยิ่งในเวลาที่มีตามอยู่ด้วย ยิ่งไม่อยากไปไหนเลย...
"พี่ตาม"
ความสนิทสนมระหว่างผมกับตามในตลอดหนึ่งเดือนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความรู้สึกผูกพันที่ผมมีต่อตามอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเลยว่าเราต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ เราเจอกันบ่อยครั้งทั้งที่โบสถ์ ระหว่างทางกลับบ้าน ร้านสะดวกซื้อ แน่นอนว่าไม่มีครั้งไหนเกิดจากความบังเอิญ นอกเสียจากครั้งนี้ที่บังเอิญเจอกันหน้าคลินิกของพี่ต่อโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจมารอตาม
"มาทำฟันเหรอ"
"ครับ" ผมตอบสั้นๆ ในตอนที่ตามเปิดประตูให้ ผมไม่ได้ถามกลับว่าตามมาทำอะไรที่นี่ เดาไม่ผิดคงมาก่อกวนอะไรพี่ต่ออย่างทุกวัน เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับพี่ต่อเข้าพอดี ตามรีบโผเข้าไปเกาะไหล่พี่ต่อ เอาหัวซบแล้วออดอ้อนด้วยน้ำเสียงงอแง
"พี่ต่อ ขอตังค์กินข้าวหน่อย"
"อีกแล้วเหรอ"
"อีกแล้วอะไร ไม่ได้ขอบ่อย"
"เหมือนเพิ่งให้ไปเมื่อวันก่อนเอง"
"วันก่อนของพี่ต่อคือสองอาทิตย์ที่แล้วนะ ตามเพิ่งจ่ายค่าหอไป ไม่มีตังค์แล้ว ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน ไม่สงสารเหรอ พี่ต่อไม่เห็นใจน้องชายคนเดียวของพี่เหรอ"
"ไม่น่ามีน้องชายแบบนี้เลย"
ตามทำหน้าย่นไม่พอใจ สะบัดหน้าใส่พี่ต่อหันไปอีกทางแต่ก็ยังยื่นมือข้างหนึ่งมาแบมือทำท่าขอเงิน พี่ต่อยิ้มนิดๆ แล้วยกมือตัวเองตีมือตามเบาๆ ก่อนจะหยิบเงินให้ เมื่อได้เงินแล้วที่งอนอยู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง หันมาเกาะไหล่พี่ต่อ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีกด้วยเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเด็กๆ
"ขอบคุณนะ ตามรักพี่ต่อมากๆ เลย"
"ถ้ารักพี่ต่อ ก็เลิกขอตังค์พี่แล้วไปหางานทำได้แล้ว รู้ไหม"
"เกาะพี่กินง่ายกว่าหางานทำตั้งเยอะ"
"เด็กบ้า"
ผมเผลอยิ้มไปกับบทสนทนาของทั้งคู่ จนตามหันมามองหน้าจึงรู้ตัวว่าคงจะยิ้มกว้างเกินไปหน่อย หุบยิ้มเนียนๆ แล้วหันไปมองพี่ต่อที่กำลังหันมาพูดกับผมพอดี
"น้องเลือกสียางเลย"
ผมหันมองกล่องยางจัดฟันที่ถูกยกขึ้นมาให้เลือก สีสันละลานตา แบ่งเฉดจากอ่อนไปเข้ม เหมือนรวมทุกสีที่มีบนโลกเอาไว้หมดแล้ว นับจากสายตาคงไม่ถ้วนว่ามีทั้งหมดกี่สี
"เลือกได้ไหม หรือจะให้พี่เลือกให้"
"ให้พี่..."
"เอาสีนี้ดิ สวย" คำพูดผมชะงักตอนที่กำลังจะบอกให้พี่ต่อเป็นคนเลือก แต่ตามที่ยังยืนอยู่ข้างๆ แทรกขึ้นมาก่อน พร้อมกับชี้สียางจัดฟันเป็นสีฟ้าอ่อนๆ สีนั้นจึงสวยขึ้นมาทันทีเพราะตามเป็นคนเลือก
"ครับ เอาสีนี้ก็ได้ครับ"
"โอเค"
"ตามไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน ไปนะเขี้ยวกุด" ผมยกมือโบกให้ตามที่หันมาบอกลา ขณะที่อีกคนกำลังจะเดินออกไปพี่ต่อก็เรียกเอาไว้ก่อน
"ตาม"
"ฮึ?"
"วันหลังอย่าอดข้าวอีก ถ้าหิวก็กลับไปกินข้าวที่บ้าน"
สีหน้าของตามนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่พี่ต่อพูดแบบนั้น ก่อนที่จะพยักหน้ารับหน่อยๆ แล้วเดินออกไป พี่ต่อจึงหันมาเรียกผมให้เข้าไปในห้องทำฟัน
"น้องเข้ามาเลยครับ"
ผมพยักหน้ารับพี่ต่อแล้วเดินตามเข้าไป จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วลดความกลัวของผมลงครึ่งหนึ่งเพราะรู้ว่าการเปลี่ยนยางจัดฟันนั้นไม่เจ็บเลยสักนิด ผมเลยทำตัวผ่อนคลาย กระทั่งพี่ต่อนั่งลงแล้วก้มลงมองผมที่อยู่บนเตียงที่ปรับลงให้นอนราบแล้ว ทั้งสายตาและใบหน้าของคุณหมอคนนี้อยู่ใกล้กว่าที่คิด ความผ่อนคลายหายวับเป็นอาการเกร็งขึ้นมาซะเฉยๆ
พี่ต่อนี่...โคตรหล่อเลยนะ "อ้าปากเลยครับ"
"..."
"น้อง"
"ครับ ครับพี่"
"กลัวเหรอ"
ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วอ้าปากอย่างที่พี่ต่อสั่งอีกรอบ ผมไม่รู้จะเอาสายตาไปวางเอาไว้ตรงไหนจึงได้แต่กลอกสายตาไปมา ตอนที่พี่ต่อกำลังจดจ่ออยู่กับช่องปากของผม
"วันนี้พี่จะดึงเชนให้ มันจะตึงๆ นิดหนึ่งนะครับ เหมือนคราวที่แล้วเนอะ"
พยักหน้ารับไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเหมือนกับคราวที่แล้วมันคืออะไร ผู้ช่วยทันตแพทย์ที่อยู่ข้างๆ เอาผ้ามาปิดหน้าก่อนที่พี่ต่อจะลงมือเปลี่ยนยางจัดฟัน ขณะที่ชวนผมคุยไปด้วย แต่การที่กำลังอ้าปากค้างอยู่อย่างนี้จึงโต้ตอบอะไรไม่ได้ พลางนึกขำอยู่ในใจ พี่ต่อจะให้ผมตอบยังไงเหรอ
ใช้เวลาไม่นานก็จัดการทุกอย่างเสร็จ ผมได้รู้ในตอนจบว่าเชนคือยางจัดฟันที่ลักษณะคล้ายโซ่ ไม่ได้เป็นวงกลมๆ ที่ติดซี่ต่อซี่เหมือนทุกครั้ง แต่จะติดยาวๆ ไปสามสี่ซี่เพื่อดึงให้ฟันเข้ามาชิดกัน พี่ต่อบอกว่ามันจะตึงๆ ในตอนแรกก็รู้สึกแบบนนั้น แต่ผ่านไปสักพักมันไม่ใช่เลย มันเจ็บฉิบหายวายวอด เหมือนฟันทุกซี่กำลังเคลื่อนที่ออกจากเหงือกด้วยความเจ็บปวดระดับสุดท้าย ร้าวรานตั้งแต่ริมฝีปากยันรากฟัน
"พี่ต่อ ทำไมมันเจ็บจัง"
"เจ็บเหรอครับ"
"เจ็บมากเลย"
เพิ่งรู้ว่าเจ็บจนน้ำตาไหลนั้นมีอยู่จริงก็ตอนที่น้ำตาไหลลงมาเป็นเม็ดเพราะทนกับความเจ็บปวดนั่นไม่ไหว พี่ต่อดูตกใจที่ผมกำลังร้องไห้
"ร้องไห้ทำไมครับ อย่าร้องสิครับ"
"เจ็บอ่า! พี่ต่อทำอะไรผมเนี่ย!"
"พี่ขอโทษ ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะครับ"
ผมยกมือปาดน้ำตาทิ้ง กระนั้นความเจ็บปวดก็ยังไม่หายไปง่ายๆ ในตอนที่กำลังหน้ายุ่งเพราะไม่ชอบใจยางจัดฟันนั่น พี่ต่อก็พูดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ชวนให้ผมงุนงง
"ไปกินไอติมกันไหมครับ"
"ครับ?"
"กินไอติมไง"
"กินไอติมแล้วมันจะหายเจ็บหรือไงครับ"
"ของหวานเยียวยาได้ทุกอย่างนะ"
"แต่ผมคงเคี้ยวไม่ได้"
"ไอติมไม่ต้องเคี้ยว เดี๋ยวมันก็ละลาย"
ผมชั่งใจว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่ประโยคถัดไปของพี่ต่อ ก็ทำเอาตัดสินใจได้ง่ายๆ
"เดี๋ยวพาไปกินร้านที่ตามทำงาน อร่อยมากเลยนะ"
การที่พี่ต่อชวนผมไปไหนมาไหนมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ผมควรจะปล่อยโอกาสนี้ไว้ให้เป็นของพลีสในวันหลัง แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวเพียงเพราะได้ยินชื่อของตาม ผมก็ไม่ลังเล
"รอพี่แป๊บหนึ่งนะ"
ผมพยักหน้ารับตอนที่พี่ต่อหันไปคุยกับผู้ช่วยที่เคาน์เตอร์ แล้วจึงถอดเสื้อกาวน์ออก ทันทีที่ไม่มีเสื้อกาวน์ตัวใหญ่ๆ นั่นคลุม ผมจึงได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ จากคุณหมอที่เรียบร้อยแสนสุภาพ ก็กลายเป็นนายแบบเสื้อผ้าแฟชั่นซึ่งกำลังสวมเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวดำ กางเกงยีนส์เข้ารูปกับช่วงยายาวๆ และรองเท้าผ้าใบสลิปออนสีขาวสะอาด ดูเรียบง่ายแต่ไม่อ่อนโยนกับใจเลยครับ...
"ไปครับน้อง"
ด้วยรูปร่างหน้าตาและคำพูดคำจาที่สุภาพและไพเราะพวกนั้น ผมจึงไม่อาจคิดว่าพี่ต่อนั้นเป็นมนุษย์...
เทพบุตรแน่นอน เทพบุตรชัดๆ ...
พี่ต่อพาผมมาถึงร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลจากคลินิกมากนัก ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็มองเห็นตามเป็นคนแรก ซึ่งกำลังยืนอยู่ในเคาน์เตอร์ เปลี่ยนไปสวมชุดที่เรียบร้อยกว่าปกติกับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อนดูน่ารักผิดหูผิดตา ผมแอบอมยิ้มนิดๆ ตอนที่เดินตามพี่ต่อเข้าไปยังหน้าเคาน์เตอร์
"มาทำไมเนี่ย"
"ทำน้องเจ็บฟัน เลยต้องพามาเลี้ยงไอติมปลอบใจ"
"อ๋อ เอาอะไรอะ"
"ไอติมไมโลที่ตามเคยสั่งให้พี่กินอะ เอาแบบนั้น"
"ไมโลซันเดย์นะ"
"น้องเอาน้ำอะไรครับ"
"โกโก้ปั่นครับ" ผมเอ่ยปากบอกโดยไม่ได้ดูเมนูในร้าน แต่เป็นเพราะชอบเมนูนั้นเลยไม่ได้เลือก
"ส่วนพี่เอาอะไรก็ได้ที่ไม่หวาน"
"น้ำเปล่าละกันงั้นอะ"
พี่ต่อยื่นมือไปเขกหัวตามแต่อีกคนโยกหัวหลบทันอย่างกับว่าโดนบ่อยจนรู้ทันคนเป็นพี่ไปแล้ว มองดูสองคนนี้หยอกกันด้วยใบหน้ากวนๆ ผมก็พลันยิ้มออกมาอีกรอบ แกล้งกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีลูกค้าอีกคนเข้ามาต่อคิว ตามจึงเลิกเล่นแล้วหันไปคิดเงินพร้อมส่งใบเสร็จให้พี่ต่อ
"ทั้งหมดหกร้อยแปดสิบห้าบาท"
"เดี๋ยว! ทำไมมันแพงจังอะ"
"ตามบวกค่ากาแฟที่ตามค้างจ่ายไปด้วย ขอบคุณครับ" ว่าแล้วก็รีบดึงแบงก์พันจากมือพี่ต่อไปอย่างฉับไว จัดการทอนเงินก่อนจะเชิญให้เราไปนั่งรอ ได้ยินพี่ต่อด่าตามไปคำหนึ่ง อาจจะเป็นคำด่าที่หยาบที่สุดเท่าที่พี่ต่อคิดได้ แต่สำหรับคนฟังแน่นอนว่ามันไม่มีทางสะทกสะท้าน ส่วนผมเผลอคิดว่าคำด่านั่น น่ารักเป็นบ้าเลย
"ไอ้ลูกหมา!"
ระหว่างที่นั่งรอของที่สั่ง พี่ต่อชวนผมคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ผ่านน้ำเสียงนุ่มและถ้อยคำแสนสุภาพ เหมือนผมได้พูดคุยกับคนที่ดูมีมารยาทดีมากๆ เลยรู้สึกเกร็งแปลกๆ หรือเปล่านะ หรือไม่บางทีผมอาจจะไม่ทันได้สนใจเรื่องราวเหล่านั้น เพราะบ่อยครั้งที่สายตาแอบเผลอมองตามในบทบาทพนักงานร้านกาแฟที่ดูแปลกตา
เอาจริงๆ ตอนที่ผมยังมีชีวิตและได้ใกล้ชิดกับตามจนรู้นิสัยใจคอมากพอระดับหนึ่ง ตามไม่ใช่คนที่ผมคิดว่าเขาจะขยันวิ่งทำงานหลายๆ ที่เพื่อหาเงินแบบนี้แน่ๆ ตามเรียนเก่งและเป็นลูกคนรวย มีชีวิตที่สุขสบายมากพอที่จะไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้ ทุกครั้งที่เห็นภาพทำงานแบบนี้จึงคิดสงสัย ด้วยเหตุใดที่ทำให้ตามเลือกใช้ชีวิตแบบนี้กันนะ
"พี่ต่อครับ"
"ครับ?"
"พี่ต่อรู้ไหมว่าทำไมพี่ตามเขาไม่ทำงานประจำ ทั้งๆ ที่ก็เรียนจบมาแล้ว"
"ตามเคยบอกว่าทำงานประจำไม่ค่อยมีเวลา จะลางานนานๆ หรือบ่อยๆ ก็ไม่ได้"
"ทำไมต้องลางานนานๆ ด้วยครับ"
"ตามชอบเที่ยวน่ะ เก็บเงินได้ก็เอาไปเที่ยว ทำงานประจำลางานยากก็เลยทำพาร์ทไทม์ไปเรื่อยๆ ถ้าลางานไม่ได้ก็ลาออกเลยแล้วก็ไปเที่ยว เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรียนจบแล้วล่ะครับ"
"ไปเที่ยวเหรอครับ"
"ครับ ชอบบอกว่าไปกับแฟน แต่ตามขี้โม้อะ พี่ต่อยังไม่เคยเห็นแฟนตามสักครั้งเลย"
"ตาม ถ้าเรียนจบแล้ว เราเก็บเงินไปเที่ยวกันไหม"
"ไม่ไป ขี้เกียจ"
"จะให้เราไปคนเดียวเหรอ"
"ไม่ให้ไป เป็นห่วง"
"งั้นก็ไปด้วยกันสิ"
"เธออยากไปเหรอ"
"อื้อ อยากไปเที่ยวไกลๆ กับเธอ"
"ก็ได้ งั้นก็ไปด้วยกัน รอบโลกเลย" คิดถึงบทสนทนาในวันเก่าขึ้นมาซะเฉยๆ และเป็นเพราะว่าผมรู้ว่าความรู้สึกของตามยังไม่เคลื่อนไหวไปไหน จึงรู้ว่าแฟนของตามที่พี่ต่อพูดถึงนั่นคือใคร ขณะมองเหม่อลอย ผมพลันพูดชื่อของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว
"แสงไงครับ"
"..."
"แสงเทียน"
"แสงเทียน?"
"..."
"คือใครเหรอครับ"
สติผมกลับมาในตอนที่พี่ต่อโต้ตอบกลับมาแบบนั้น ความงุนงงปรากฏชัดตอนที่ทบทวนคำพูดของพี่ต่ออีกครั้ง ตอนยังมีชีวิต ผมได้เจอกับพี่ต่ออยู่บ่อยครั้งและเขาต้องจำผมได้ ไม่น่าจะลืมกันไปง่ายๆ แบบนี้ แต่พี่ต่อพูดเหมือนคนไม่เคยพบกัน...
"โกโก้ปั่นได้แล้วค่ะ" เสียงของพนักงานดังขัดความสงสัยของผมไป ก่อนที่จะได้ถามหรือพูดอะไร ความสงสัยข้อนั้นก็พลันหายไปตอนที่พี่ต่อชวนคุยเรื่องอื่นแล้ว เราใช้เวลาอยู่ในร้านเกือบๆ ชั่วโมง ก่อนที่พี่ต่อจะชวนผมกลับ ใจจริงอยากรอให้ตามเลิกงานแล้วกลับพร้อมกันแต่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรนั่งอยู่ตรงนี้ไปจนถึงสามทุ่ม ก็เลยเป็นอันต้องบอกลาตามตรงนั้นแล้วให้พี่ต่อไปส่งที่บ้าน
"ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ขอบคุณที่เลี้ยงไอติมด้วย"
"ยินดีครับ"
"งั้นผมเข้าบ้านก่อนนะ"
"น้องครับ"
"ครับ?"
"ถ้าน้องยังไม่หายเจ็บฟัน มาให้พี่ต่อเลี้ยงไอติมไถ่โทษอีกนะครับ"
ผมพยักหน้ารับก่อนที่พี่ต่อจะขับรถออกไป ยิ้มกว้างออกมาซะเฉยๆ ตบหัวใจตัวเองเบาๆ เพราะอยากบอกให้พลีสรับรู้ พี่ต่อเขาชอบพลีส รับรู้ไว้ด้วยนะ เจ้าหัวใจของน้องพลีส
แต่ถึงอย่างนั้นความสงสัยก็วนกลับเข้ามาอีกครั้งตอนที่นึกถึงคำพูดของพี่ต่อที่ร้านกาแฟ ทำไมพี่ต่อถึงลืมชื่อผมไป...
ทำไมพี่ต่อถึงไม่รู้จักผม ...
ต่อด้านล่างค่ะ