“Someday We'll Know”
ตอนที่ 1เสื้อคลุมตัวหนาเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อต้องอุ้มน้ำจากเม็ดฝนที่ตกพรำลงมาจนเสื้อเปียกชุ่ม
จากจุดหัวมุมของตรอกแคบที่เกียยืนอยู่อาจช่วยพรางตาจากเป้าหมายในร้านอาหารฝั่งตรงข้ามได้ แต่มันไม่ได้ช่วยบรรเทาความเปียกและเย็นแบบลอนดอนได้เลย
เสียงสัญญาณวิทยุในหูดังครืดคราด เมื่อโบรนี่หัวหน้าหน่วยทบทวนตำแหน่งของแต่ละคนเป็นครั้งที่ 10 ของวันนี้ ชายวัยกลางคนอยู่ในรถซักรีด ที่ดัดแปลงเป็นศูนย์บัญชาการย่อย โดยมีจอร์จกับแมรี่อยู่ในรถด้วย แล้วตอนนี้แมรี่ก็กำลังส่งกาแฟอุ่นๆ ให้
ส่วนคนข้างนอกได้แต่รอ.....ท่ามกลางความเปียกชุ่มและเย็นจับจิต!
รถซิตี้คาร์สีเขียวมะนาวคันเล็กแล่นผ่าน
“นั่นคือรถสีเขียวไม่ใช่สีดำ หวังว่าจะไม่มีใครตาบอดสีไล่ตามมันหรอกนะ” เสียงของดอนเพื่อนร่วมทีมในคราบของคนจรจัดหน้าร้านสะดวกซื้อแซวขึ้น ทำให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นพากันอมยิ้มขณะที่เบนสายตากลับมาที่เดิม
“อย่ามาตลกไม่รู้เวลา ดอน” โบรนี่หัวหน้าชุดเตือน พลางจิบกาแฟอุ่น
เสียงซดกาแฟดังโฮกชัดเจน จนบ๊อบนายตำรวจพุงโตอดปากไว้ไม่ได้ “กาแฟรสดีมั้ยหัวหน้า”
จอร์จหันไปแอบกลั้นหัวเราะทางอื่น เมื่อโบรนี่ทำเสียงแปลกๆ อยู่ในลำคอ
“เออ เสร็จงานนี้จะเลี้ยงกาแฟคนละแก้ว”
“ขอเป็นบาร์โอเวอร์ไทม์ที่เพิ่งเปิดใหม่ได้มั้ย” แจ็กกี้ที่เงียบฟังจากแผงขายดอกไม้รีบเสนอความเห็น
“แพงไป เงินเดือนเท่าขี้ฝุ่น จะให้กูเลี้ยงโอเวอร์ไทม์เนี่ยนะ F**k!”
การพูดเล่นขณะที่เฝ้าระวังเป้าหมายแบบนี้มันผิดกฏระเบียบชัดๆ แต่โบรนี่หัวหน้าทีมก็มักจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นำขบวนลูกน้องพูดเล่นกันเสมอ ด้วยความเห็นแหวกแนวส่วนตัวที่ว่า การวางท่าทางคร่ำเคร่ง ทำเป็นยืนอ่านหนังสือ หรือทำอะไรสักอย่าง ขณะที่คอยหันไปมองเป้าหมายแบบนั้นน่ะ ร้อยทั้งร้อย เป้าหมายจะรู้ตัว
ดังนั้นทีมนอกเครื่องแบบของโบรนี่ จึงมักมีการคุยเล่นกันในระหว่างเฝ้าระวังอยู่เสมอ
...แล้วมันต่างกับคนที่มันคุยกับสมอลทอล์กตรงไหน ...โบรนี่ว่างั้นนะ
รถยุโรปสีดำ 3 คันเข้ามาจอดเทียบที่หน้าร้านฝั่งตรงข้าม เสียงพูดคุยหยุดลง
สายจากในร้านอาหารให้สัญญาณชี้เป้าหมาย ด้วยการยกมือปัดฝุ่นที่ไหล่ แล้วกางร่มเดินออกมาต้อนรับกลุ่มลูกค้ารายใหญ่เข้าไปในร้าน
“แม่ม มากันเป็นร้อย กูมีคนเท่าตูดมด” โบรนี่บ่นพึม
บ๊อบนายตำรวจพุงใหญ่ที่ประตูด้านหลังร้าน ขยับไปหาที่นั่งใหม่ใกล้ถังขยะหลังร้าน พลางอธิษฐานว่าอย่าให้เป้าหมายออกมาทางนี้เลย ให้พวกมันโผล่ออกไปทางไหนก็ได้ อย่าเป็นทางนี้ก็แล้วกัน ทั้งเหม็นเน่า ทั้งสกปรก
แต่คำอธิษฐานของบ๊อบไม่สำเร็จ เมื่อสายในร้านส่งสัญญาณอีกครั้งด้วยการเดินออกมาหน้าร้าน แล้วทำทีเช็ดคราบสกปรกประตู
“S**t มันไปทางบ๊อบ” โบรนี่บอก
“เห็นรถมารอตรงปากซอยแล้ว มันเข้ามาไม่ได้เพราะถังขยะกับทางแคบ” บ๊อบขานตำแหน่งและเตรียมพร้อม
เกียขยับตัวออกจากที่ซ่อน ขยับฮู้ดคลุมศีรษะวิ่งข้ามถนนตรงไปอีกแยก แล้วอ้อมไปทางด้านหลังร้านที่เป้าหมายเข้าไป ส่วนดอนลุกจากตำแหน่งตัวเอง อ้อมไปอีกฝั่งถนน เตรียมพร้อมจากจุดตรงข้ามกับปากซอยที่รถมารออยู่
ที่ด้านหน้าจึงเหลือเพียงรถซักรีดของโบรนี่ จอร์จกับแมรี่ และแจ็กกี้ที่ร้านขายดอกไม้
4 คนด้านหน้าร้าน กับ 3 คนหลังร้าน
นี่มันตรงกันข้ามกับจุดที่พากันไปดักไว้อย่างสิ้นเชิง ได้ยินเสียงโบรนี่ด่าที่มีกำลังคนเพียงหยิบมือในวันที่ต้องตามประกบอันโตนิโอเป้าหมายคนสำคัญในคดีค้ามนุษย์
เห็นรถหรูคันใหญ่มาจอดรออยู่ แต่เกียจะต้องทำเป็นวิ่งผ่านไป เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
“มีรถตู้คันเดียวข้างหลัง”
“งั้นแจ็กกี้ระวังด้านหน้าเหมือนเดิม มันไปไหนตามไปด้วย” โบรนี่สั่ง เพราะเป้าหมายอาจแบ่งกลุ่มกันเดินทางกลับ
ห่างจากเกียไปทางด้านหลังประมาณ 10 ก้าว ชายผิวสีหัวเกรียนเดินเนิบๆ ตามมา เกียเห็นความผิดปกติแล้ว แต่เพื่อไม่ให้ตัวเองผิดปกติตามไปด้วย ต้องแจ้งให้กลุ่มเฝ้าระวังรับรู้ไว้ก่อน
“โบรนี่ด้านหลังผมมีช็อกโก้”
“เออ ดูอยู่”
แมรี่เข้าประจำที่ควบคุมอุปกรณ์แทนจอร์จที่อยู่ในชุดพนักงานซักรีด และกำลังเดินตามหนุ่มช็อกโก้ไป
เกียหยิบกระดาษแผ่นเล็กจากกระเป๋าทำทีมองซ้ายมองขวา เหมือนกำลังหาสถานที่ตามที่เขียนไว้ในกระดาษ เห็นจอร์จเลี้ยวมาจากหัวมุมถนนแล้ว
พร้อมๆ กับที่อันโตนิโอ- เป้าหมายในชุดสูทสีเข้ม ผมเรียบแปร้มันวับ เดินออกมาจากหลังร้านรายล้อมด้วยชายฉกรรจ์อีก 3 คน
“ออกมา 4” บ๊อบขานจำนวน
....อีกไม่ถึง 5 ก้าวจะถึงรถที่จอดรอ
เจ้าช็อกโก้ที่เดินผ่านรถไปแล้ว กลับหันมาพร้อมกับปืนแล้วยิงใส่กลุ่มคนที่เดินเข้ามาใกล้ทันที
เป็นการกราดยิงไปยังกลุ่มเป้าหมายชนิดที่ต้องการสร้างความเสียหายให้มากที่สุด
จากกระสุนนัดแรกของช็อกโก้ กลายเป็นสัญญาณของการตอบโต้และห่ากระสุนอีกหลายนัดตามมา แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายไม่ได้มากันแค่ 4 คนและฝ่ายของช็อคโก้ก็ไม่ได้มีแค่มันเพียงคนเดียว
เกียเห็นไอ้คนที่กางร่มให้อันโตนิโอคว้าของบางอย่างจากมือของเจ้านาย แล้ววิ่งย้อนกลับเข้าไปในตรอก ซึ่งเป็นทางที่บ๊อบซุ่มอยู่
“บ๊อบ ไอ้เหลียงเอาของไป กำลังตาม”
ต้องวิ่งผ่านร้านค้าใกล้เคียงแล้วออกทางด้านหลัง เห็นบ๊อบวิ่งไล่ตามไอ้เหลียงคนสนิทของเป้าหมายไป เกียวิ่งแซงเพื่อนแล้วกระโดดเข้าหา กระเป๋าใบเล็กหลุดจากมือ เหลียงหันมายิงพร้อมกับที่เกียยิงสวนไปในระยะประชิด
....โลกทั้งใบดับวูบ....
เมื่อลืมตาตื่นที่โรงพยาบาลตั้งแต่ไหล่จนถึงปลายนิ้วด้านซ้ายไร้ความรู้สึก
และเมื่อการผ่าตัดผ่านพ้น การทำกายภาพบำบัดมีความคืบหน้าไปในทางที่ดี โบรนี่ก็เอาแฟ้มสีขาวมายื่นให้ถึงที่บ้านพัก
“อยากกลับบ้านไหมไอ้ลูกชาย”
คนตัวโตผมสกินเฮดถอนหายใจหนักๆ “คิดแล้วเชียว”
“มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่า” ชายวัย 40 เศษชี้ไปที่แฟ้มแล้วนั่งลงข้างๆ “อ่านเสียก่อน”
เกียจะใช้มือขวาเปิดแฟ้มด้วยความเคยชิน แต่เปลี่ยนใจใช้มือซ้ายที่ยังใช้งานไม่ค่อยถนัด ทำให้ดูเก้งก้างจนหัวหน้าสงสัย
“จะบังคับตัวเองมากไปหรือเปล่า”
“หมอสั่งให้ผมใช้งานมันมากๆ จะได้คล่องขึ้น”
โบรนี่ยักไหล่
ภาพหนุ่มวัยรุ่นยิ้มสดใส สะดุดตาแต่แรกเห็น
โบรนี่ยังคงใช้แค่หางตาเหลือบมองมือใหญ่ที่จับภาพ ก็ทั้งยิ้มทั้งพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ไม่มีใครรู้ใจมึงเท่ากูอีกแล้วไอ้ลูกชาย”
เกียส่ายหน้าขำๆ หัวหน้าคนนี้รู้ทุกเรื่องของลูกน้องทุกคน แม้แต่ในเรื่อง “ห้ามถามห้ามบอก” ทำให้บรรดาหัวหน้ากลุ่มอื่น ไปจนถึงผู้อำนวยการหน่วยไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะมันทำให้สายการบังคับบัญชาแปรปรวน
“แล้วมันเกี่ยวอะไร”
“บอกว่าให้อ่านก่อน” โบรนี่เร่ง แต่ดูท่าเกียจะออกอาการดื้อ ไม่ยอมอ่านรายงาน กลับจ้องมองแต่ภาพเด็กหนุ่มในมือ
โบรนี่หัวเราะหึหะก่อนเล่า “มลรัฐ หรือข้าวพอง” ชายชาวอังกฤษออกเสียงชื่อภาษาไทยแปลกแปร่ง “ลูกชายคนเล็กของอัคราเจ้าพ่ออสังหาฯ ของเมืองไทย พี่ชายคือมโหธร หรือเพียง รับช่วงงานพ่อ แม่ชื่อพวงเพชร กับพี่สาวคือเพชรแท้ หรือเพชร ทั้งคู่ถูกเก็บเพราะเพชร เหมือนชื่อของพวกเธอ”
“รู้ภาษาไทยเยอะนะ” เกียแซว พลิกเปิดแฟ้มรายงานการเสียชีวิตของเพชรแท้
“นิดหน่อย” โบรนี่ยักไหล่แบบหยิ่งๆ “กะว่าจะไว้ใช้เวลาตามมึงกลับไปบ้านที่เมืองไทย”
เกียกวาดตาอ่านรายงาน คดีของเพชรแท้ ที่สานต่อกิจการร้านเพชรจากพวงเพชรผู้เป็นแม่ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ของเมืองไทย
ดูผิวเผินไม่มีอะไร แต่ชนวนเหตุของการสังหารคือการที่เพชรแท้จัดส่งเพชรชุดหนึ่งราคา 5 แสนดอลลาร์สหรัฐให้กับพ่อค้าฮ่องกง แต่ฝ่ายพ่อค้าฮ่องกงเชื่อว่ามันคือของปลอม หลังการพิสูจน์และสู้คดีในทางศาล ย้ำว่าของที่เพชรแท้ส่งไปให้ไม่ใช่ชุดที่พ่อค้าฮ่องกงต้องการ แต่มีมูลค่าเท่ากัน และเพชรแท้ปฏิเสธการเปลี่ยนของ อ้างว่าไม่มี แต่จะคืนเงินให้
เรื่องทางชั้นศาลยุติลงเมื่อฝ่ายหนึ่งคืนเงิน อีกฝ่ายคืนของ
แต่ 3 วันหลังจากนั้นเพชรแท้ก็ถูกยิงตาย
มโหธรผู้เป็นพี่ชายคนโตปิดร้านเพชร ย้ายของทั้งหมดไปฝากธนาคาร แล้วจัดจำหน่ายเหมือนกับเป็นสินค้าขายตรงเท่านั้น ขณะที่ติดต่อแอนดรูว์เพื่อนเก่าจากแวดวงผู้พิทักษ์กฎหมายจากต่างแดน เพื่อว่าจ้าง “ครูสอนพิเศษ” ให้กับน้องชาย โดยมีเงื่อนไขคือ “ครูสอนพิเศษ” จะต้องมีเชื้อสายเอเชีย และทำงานแบบมืออาชีพในการให้ความคุ้มครองน้องชาย....
พูดง่ายๆ ก็คือ มโหธรต้องการคนคุ้มครองน้องชายมากกว่าครูสอนพิเศษ
“แอนดรูว์ สกอตแลนด์ยาร์ดเป็นเพื่อนกับมโหธร มันรู้ทุกเรื่องของเรื่องนี้ ถ้ามึงรับงานพรุ่งนี้มันจะมาคุยด้วย”
“น้องชายคนเล็กต้องรู้เรื่องเพชรที่พวกมันต้องการ” เกียดึงรูปออกมา แล้วปิดแฟ้มรายงานคดี
โบรนี่เห็นด้วย “ข้อความที่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการก็คือ นายอัครา และนายมโหธร ไม่ต้องการให้มลรัฐคนนี้ต้องพบเจอกับเหตุร้ายในทุกกรณี” หัวหน้างานโอบไหล่หนาของลูกน้องไว้ “ถือเสียว่าไปทำกายภาพบำบัด แล้วกลับมาลอนดอนใหม่อย่างราชสีห์”
เกียมองมือข้างซ้ายของตัวเอง แต่โบรนี่รีบพูดขึ้นเสียก่อน
“มึงอาจไม่มั่นใจ แต่ที่จริงความสามารถของมึงไม่ได้ลดลงเลยสักนิด ไอ้ลูกชาย” หัวหน้าให้กำลังใจ “งานนี้สำคัญมาก ค่าตัวของเด็กคนนี้เท่ากับเพชรเจ้าปัญหาคือ 5 แสนดอลลาร์ยูเอสเชียวนะ จบงานมึงก็กลับมาลอนดอน มาทดสอบร่างกายอีกครั้ง แล้วค่อยมาวิ่งไล่จับคนร้ายด้วยกัน”
เกียส่ายหน้าให้กับความซับซ้อนของงานที่หัวหน้ามอบให้ และความพยายามที่จะพูดว่า งานนี้สำคัญมากและไม่สำคัญเลยในเวลาเดียวกัน
“กว่าจะแย่งงานมาได้ ต้องเจรจาเหนื่อยสินะ”
“หนักหนาสาหัสเอาการทีเดียวลูกชาย มึงไม่รู้หรอกว่า มีสายสกอตอย่างน้อย 10 คนที่พร้อมจะบินไปเมืองไทยเพื่อทำงานนี้ ตอนกูขอเมียแต่งงานยังไม่ยากเท่านี้เลย”
เกียหัวเราะขำ มองภาพถ่ายของเด็กหนุ่มอีกครั้ง “เพชรนั่นเป็นของลอนดอน และลอนดอนอยากได้คืน”
ชายหนุ่มเดาล้วนๆ
“F**k เกีย กูอุตส่าห์ไม่พูด”
ก็ถ้ามันไม่สำคัญ ไม่อยากให้ลูกน้องมีผลงานโดดเด่น โบรนี่คงไม่พยายามผลักดันลูกน้องที่ยังอยู่ในระหว่างการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เข้าไปทำงานนี้หรอก
“งั้นเอาใหม่ ตกลงมีคนที่อยากได้เพชรกี่คน” เกียทำท่าทางตั้งใจมาก
“เท่าที่รู้ 4”
“ฮ่องกง ลอนดอน แล้วใครอีก”
“เจ้าชายในซาฮาร่า แล้วก็ซาอุฯ แต่ยังมีญี่ปุ่นอีกรายที่เคยติดต่อกันครั้ง 2 ครั้งแล้วหายไป”
เกียผิวปากหวือ “ทำไมมโหธรไม่ขายคืนลอนดอน”
“ให้เป็นหน้าที่มึงไปถาม” โบรนี่โยนง่ายๆ “กูเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เท่าที่ดูเพชรน่าจะอยู่ที่ธนาคาร แต่เรื่องที่ขอคนมาคุ้มกันน้อง มันทำให้คิดได้ว่า น้องชายอาจรู้อะไรบางอย่าง อาจเตรียมส่งของคืนแต่ก็ต้องคุ้มกันน้องด้วย เราคิดได้สารพัดอย่างแตกออกไปได้อีกอย่างน้อย 10 ประเด็น แต่ที่แน่ๆ เด็กคนนี้สำคัญมากตามคำประกาศ”
“และมีค่าตัว 5 แสนดอลลาร์ยูเอส เท่ากับราคาเพชรนั่น”
“เออนั่นแหละ ยังไงก็ติดต่อกันไว้ เพราะมึงอาจต้องเป็นคนถือเพชรนั่นกลับมาลอนดอน”
“ก็แค่นั้น พูดเสียยืดยาว”
“กูก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่” หัวหน้ายอมรับ “ทำไมมโหธรจะไม่รู้ว่าลอนดอนอยากได้คืน เพราะทั้งแม่ทั้งน้องสาวตายเพราะเพชรนั่น มันก็แค่ส่งคืนมาหาเจ้าของโดยตรง โยนของร้อนกลับมาที่นี่ก็จบ แต่ไอ้การจ้างคนไปดูน้องนี่แหละที่มันน่าสงสัย แล้วบอดี้การ์ดมืออาชีพหาที่ไหนก็ได้ ดังนั้นหน้าที่ของเราก็คือ...”
“รีบไป” เกียต่อให้
“เออ นั่นแหละ” โบรนี่พูดคำเดิม “มึงก็ไปดูน้องชายเขาเป็นงานหลัก ส่วนเรื่องเพชรน่ะ มันแล้วแต่เขา ก็ยังกังวลอยู่ว่า ถ้ามันหายไปในระหว่างที่มึงเฝ้าอยู่ทางนั้น เขาจะโทษเราหรือเปล่า แต่กูน่ะอยากให้มึงได้พิสูจน์ตัวเอง แล้วก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่”
เกียพยักหน้า ขณะที่มองรูปภาพในมือ
แอนดรูว์ สกอตแลนด์ยาร์ด และเกียอดีตตำรวจอังกฤษ มาถึงเมืองไทยพร้อมกัน ในฐานะที่แอนดรูว์เป็นทั้งเพื่อนกับมโหธร และเป็นผู้แนะนำอดีตตำรวจให้มาทำงานพิเศษ พอมาถึงเมืองไทยก็แวะพักที่คอนโดฯ ที่สำนักงานจองไว้ให้ แล้วพากันไปภูเก็ต เพราะเกียจะไปหาแม่ชาวไทยที่นั่น ส่วนแอนดรูว์ไปเที่ยว จากนั้นจึงกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปบ้านของอัครา เพราะมลรัฐยังพักอยู่กับพ่อ ส่วนพี่ชายแยกบ้านแยกครอบครัวไปแล้ว
บ้านหลังใหญ่ 3 ชั้นตามสมัยนิยม 4 ห้องนอน พร้อมห้องทำงาน และห้องพักผ่อนที่แบ่งสัดส่วนชัดเจน
เดิมอยู่กัน 5 คนพ่อแม่ลูก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มโหธรแต่งงานและแยกครอบครัว พวงเพชรผู้เป็นแม่เสียชีวิต ตามมาด้วยเพชรแท้ลูกสาวคนกลาง อัคราผู้เป็นพ่อได้รับการแนะนำให้รู้จักสตรีอีกคนก็แวะไปหาเป็นระยะ ทำให้ตอนนี้มีเพียงลูกชายคนเล็กที่อยู่บ้านนี้เพียงลำพัง
มโหธรมารอพบทั้งคู่ตั้งแต่เช้า ทันทีที่เห็นทั้งคู่เดินเข้าบ้านมาก็รีบพยักหน้าเรียกให้ออกไปคุยที่สนามหญ้าด้านนอก แม้จะเคยคุยเรื่องงานผ่านการสนทนาทางไกลกันแล้ว หลังทักทายกับแอนดรูว์อย่างเพื่อนสนิท มโหธรก็หันมาขอโทษเกีย แล้วเข้าเรื่องงานที่ต้องทำอีกครั้ง
“ขอโทษที่เช้านี้ผมมีเวลาไม่มาก นัดประชุม 9 โมงน่ะ เดี๋ยวค่ำนี้ค่อยกลับมาคุยกันอีกที แต่ไอ้พอง...เอ้อ...ข้าวพองลูกศิษย์คุณน่ะ มันดื้อใช้ได้ ผมเตือนให้มันระวังตัวตั้งแต่เกิดเรื่องกับแม่แล้วก็ไอ้เพชร มันก็ไม่เคยฟัง คุณรู้เรื่องของพวกเขาแล้วเพชรใช่มั้ย”
เกียพยักหน้า สีหน้าท่าทางของมโหธร บอกว่ามีความไว้วางใจอย่างชัดเจน เพราะนอกจากคำรับรองจากเพื่อนแล้ว ยังมีผลงานที่ส่งมาให้ก่อนหน้านี้ด้วย
“ผมไม่ได้อยู่บ้านนี้ แต่งงานแล้วก็แยกออกไป ไอ้เพชรมันอยู่คอนโดฯ พอไม่มีมันผมก็ขาย ไอ้ตัวเล็กโวยวายใหญ่ เพราะมันอยากไปอยู่ที่นั่นตามลำพัง ใครจะไปยอม” มโหธรทำเหมือนกำลังบ่นกับเพื่อนมากกว่าการมอบงาน “พ่อผมเขายังมีบ้านอีกหลัง ที่สร้างให้ผู้หญิงของเขา เอาเข้าบ้านไม่ได้ ไอ้ตัวเล็กมันอาละวาดกระจาย เขาก็เลยต้องไปๆ มาๆ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่นี่ บอกกับคุณตามตรง เหมือนกับที่บอกกับแอนดรูว์ไปก่อนหน้านี้ ว่าผมไม่เสี่ยงที่จะต้องเสียมันไปอีกคน คุณสอนการต่อสู้ให้มัน คุ้มครองมันจนกว่า.....” นักธุรกิจหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนกำลังตัดสินใจ แล้วพูดช้าๆ “จนกว่าผมจะแน่ใจ”
“ครับ”
“ฝากข้าวพองด้วย จะคิดว่ามันเป็นน้องชายอีกคน เป็นลูกศิษย์ยังไงก็ได้ แต่ช่วยดูแลมันคุ้มครองมัน”
“นั่นเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” เกียให้ความมั่นใจ เพราะรับรู้มาตั้งแต่การคุยกันครั้งแรกผ่านการสื่อสารทางไกลว่ามโหธรรักน้องชายคนนี้มาก “แต่ขั้นแรก เรียกผมว่าเกีย เพราะคุณคือเจ้านายของผม”
มโหธรหัวเราะเสียงดัง “ผมเป็นเจ้านาย แล้วเดี๋ยวเกียกับแอนดรูว์จะได้พบกับเจ้าชายน้อยของเจ้านาย”
หนุ่มน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนนานาชาติเดินหน้ามุ่ยออกมาจากบ้าน โดยมีแม่บ้านถือกระเป๋าเรียนเดินตามออกมาด้วย
เสื้อสีฟ้าอ่อน กับกางเกงลายสกอตสีเขียวฟ้าขาว
รวบผมหางม้าสั้นๆ ยังดีที่ไม่ได้ผูกโบ แต่ใบหน้าหวานก็ยังเด่นชัดด้วยดวงตากลมโต จมูกโด่ง และริมฝีปากแดง
“ผมชื่อเกีย”
คนตัวโตปรับสีหน้าเรียบเฉยขณะแนะนำตัว
หนุ่มน้อยพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปหาพี่ชาย “มาแต่เช้ารอไอ้ฝรั่งเนี่ยนะ”
พี่ชายยิ้มขำ น้องชายก็ถาม “ขำอะไร”
“ขำที่ฝรั่งพูดไทยชัดกว่าแกน่ะสิ” มโหธรบอก แล้วหันมาหาเกีย “ไปส่งข้าวพองที่โรงเรียนแล้วค่อยกลับมาจัดการเรื่องที่พักเรื่องสถานที่เรียน ส่วนแอนดรูว์จะอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่งใช่มั้ยมีอะไรก็บอกกับอุบลได้”
อุบลที่ยืนอยู่ด้านหลังส่งยิ้มมาให้
“ตกลงคนไหนเนี่ย” คำพูดยังคงมีหางเสียงเหวี่ยงเหมือนเดิม
“คนนี้” พี่ชายชี้มาที่หนุ่มผมเข้มตาสีฟ้าใส “เกีย ส่วนไอ้ผมทองนั่นแอนดรูว์ เพื่อนพี่เอง”
....เคยให้ดูรูปแล้วนี่หว่า มันแกล้งมึนจำไม่ได้หรือไง....
น้องชายยักไหล่ เดินนำไปที่รถที่จอดรออยู่
....จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้ พี่ชายย้ำอย่างกับจะออกสอบวันนี้ เพียงแต่เห็นหน้านิ่งๆ แบบนั้นแล้วมันทำให้อารมณ์ไม่ดี!.
มโหธรหันมาย้ำกับเกียอีกครั้ง “ฝากน้องด้วยนะเกีย”
*-*-*จบตอนที่1*-*-*
ห่างหายไปนาน พร้อมรับคำแนะนำเช่นเดิม
พบกันวันพฤหัสบดีครับ
jivetea
ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ตอนที่ 7 ตอนที่ 8 ตอนที่ 9 ตอนที่ 10 ตอนที่ 11 ตอนที่ 12 ตอนที่ 13 ตอนที่ 14 ตอนที่ 15 ตอนที่ 16 ตอนที่ 17 ตอนที่ 18 ตอนที่ 19 ตอนที่ 20 ตอนที่ 21 ตอนที่ 22 ตอนที่ 23 ตอนที่ 24 ตอนที่ 25 ตอนที่ 26 ตอนที่ 27 ตอนที่ 28 ตอนที่ 29 ตอนที่ 30 ตอนที่ 31 ตอนที่ 32 ตอนที่ 33 ตอนที่ 34 ตอนที่ 35 ตอนที่ 36 ตอนที่ 37 ตอนที่ 38 ตอนพิเศษ 1 ตอนพิเศษ 2