คาบเรียนที่เก้า
“พี่มีธุระอะหยังกับผม”
ไอ้น้องพละเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพต่างจากตอนที่อยู่ในชมรมเมื่อกี้อย่างลิบลับราวกับคนละคนยังไงยังงั้น
“ก็...บ่มีอะหยังนัก แค่อยากรู้ว่าจะลาออก...จากชมรมจริงๆ เหรอ”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเพราะยังกลัวในท่าทีและสีหน้าของอีกฝ่ายที่แม้จะดูอารมณ์เย็นลงมากกว่าเมื่อกี้แล้วก็ตามที ไอ้น้องพละมองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“โดนไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาซะขนาดนั้นก็บ่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะหยังอะ”
“เฮ้ย อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลย ไอ้เต้ยมันเพิ่งขึ้นเป็นหัวหน้าชมรมได้บ่นาน มันเลยยังทำตัวบ่ถูกน่ะ ถึงแม้เดิมทีมันจะค่อนข้างเป็นคนใจร้อนอยู่แล้วก็ตามทีเถอะ ยังไงพี่ก็ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะ อย่าเพิ่งลาออกจากชมรมเลย”
ผมพยายามจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจเมื่อได้ยินถ้อยคำตัดพ้อนั้น
“พี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ แล้วเพื่อนพี่ล่ะเขารู้สึกสำนึกผิดด้วยรึเปล่า”
นั่น มีย้อนใส่กูอีกแต่ที่มันพูดก็มีส่วนถูกของมันจริงๆ นั่นล่ะ
“ผมยอมรับนะ ว่าผมก็ผิดที่อยู่ๆ ก็หายจากการซ้อมไปหลายวันโดยบ่บอกบ่กล่าวพวกพี่ๆ แต่ที่ผมรับบ่ได้คือการที่พี่เขาด่าลามไปถึงตี๋เอ๋อนี่ล่ะ”
ไอ้น้องพละตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจังที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำนั้นก็ยิ่งทำให้ผมเกิดความสงสัยอะไรขึ้นมาบางอย่างไม่สิ ต้องเรียกว่าหลายอย่างเลยล่ะ
“เอ่อ พี่ขอถามอะหยังหน่อยได้มั้ย”
ผมถามด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ไอ้น้องพลหันมามองผมพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“จะถามอะหยังก็ถามมาครับ”
“หน้าไปโดนอะหยังมาน่ะ ถึงมีแต่รอยฟกช้ำซะขนาดนั่น”
“มีเรื่องกับคนแถวบ้านน่ะ ไอ้พวกเหี้ยนั่นชอบมาแกล้งตี๋เอ๋อ ผมก็เลยจัดพวกแม่งให้สำนึก”
ไอ้น้องพละตอบกลับมาพลางยกมือมาแตะๆ รอยช้ำที่มุมปาก
“อย่าบอกนะว่าที่หายไปหลายวันเพราะเรื่องนี้”
อีกฝ่ายกลั้วหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ซึ่งผมก็อนุมานเอาเองว่าน่าจะเป็นความจริงตามที่ผมถาม
“งั้นขอถามอีกข้อได้มั้ย”
“พี่ก็ถามมาดิ”
“สัญญาก่อนได้ป่ะ ว่าถ้าถามแล้วจะบ่โกรธ”
ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจในสวัสดิภาพความปลอดภัยของตัวเอง ไอ้น้องพลพยักพเยิดหน้าเป็นคำตอบกลับมาแบบเสียไม่ได้
“เอ่อ ที่เราบอกว่าเป็นฝาแฝดกับตี๋เอ๋อน่ะ เป็นความจริงเหรอ”
ไอ้น้องพละนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้นก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับยิ้มมุมปากด้วยสีหน้ากวน ๆ เล็กน้อย
“ถ้าผมบอกว่าเป็นความจริง พี่จะเชื่อหรือเปล่าล่ะ”
ผมรีบส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาทั้งของไอ้น้องพละกับตี๋เอ๋อนั้นไม่ได้มีความใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าอาจจะเป็นแฝดคนละฝากัน แต่พอดูในใบสมัครเมื่อกี้ก็พบว่าวันเกิดของทั้งสองนั้นห่างกันเกือบๆ สองอาทิตย์ ซึ่งต่อให้เป็นแฝดกันยังไงก็ไม่น่าจะเกิดห่างกันได้นานขนาดนั้น ผมเลยคิดว่าไม่น่าจะใช่แฝดกันแล้วล่ะ ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
“จริง ๆ ผมกับตี๋เอ๋อก็บ่ใช่แฝดกันจริง ๆ หรอก”
นั่นไง กูว่าแล้วมั้ยล่ะ
“ผมกับตี๋เอ๋อก็ต่างก็มีพ่อคนเดียวกัน”
ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่หว่า พี่น้องก็ต้องมีพ่อเดียวกันอยู่แล้วนี่
“แต่คนละแม่น่ะครับ”
หือ ???
“เดี๋ยวนะ คนละแม่นี่คือ...”
“ก็คนละแม่ ก็ความหมายก็ตามนั้นนั่นล่ะ จะมีอะหยังให้ต้องสงสัยอีกเนี่ย”
ไอ้น้องพละย้ำคำพูดของตัวเองอีกรอบก่อนจะหยิบบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดเพื่อสูบ
จะว่าไป ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตามที่เจ้าตัวว่าล่ะมั้ง เพราะการที่เกิดห่างกันเพียงแค่สองอาทิตย์ถึงแม้จะนานเกินไปสำหรับการเป็นแฝดแต่ดูยังไงก็ไม่มีทางจะเกิดจากแม่เดียวกันได้แน่ ๆ
เพียงแต่มันก็ยังรู้สึกมีอะไรบางอย่างติดค้างชวนสงสัยอยู่อีกพอสมควร แต่หากดูจากรูปการแล้ว ขืนผมยังถามไปมากกว่านี้คงได้มีรอยฟกช้ำปรากฏอยู่บนใบหน้าของผมเฉกเช่นเดียวกับไอ้น้องพละก็เป็นได้แฮะ
TRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์มือถือของไอ้น้องพลดังขึ้น เจ้าตัวหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะรีบรับสายอย่างรวดเร็วซึ่งก็สร้างความสงสัยให้ผมอยู่ไม่น้อยว่าใครเป็นโทรมา ไอ้น้องพละถึงได้รีบรับสายเสียขนาดนั้นซึ่งต่างจากตอนที่ผมโทรหาอย่างเห็นได้ชัด
“เออ ว่าไงมึง ไอ้ตี๋เอ๋อ มีหยังวะ”
โอเค กูได้คำตอบละ
“อืม ๆ บอกแม่ใหญ่ด้วยว่ากูกำลังจะกลับ อะหยังนะ อยากกินน้ำเต้าหู้ เออ ๆ เจ้าประจำใช่ปะ เออ เดี๋ยวกูซื้อเข้าไปให้ เออ รักมึง แค่นี้นะ”
ไอ้น้องพละวางสายทันทีที่คุยเสร็จก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่กำลังทำสีหน้าตกใจในสิ่งที่ได้ยินอยู่
“เป็นเหี้ยอะหยังของพี่น่ะ ถึงทำหน้าอย่างนั้นเนี่ย”
เอ้า โดนด่าเฉยเลยกู
“เอ่อ แค่ตกใจน่ะ แบบ...มีบอกรักกันด้วย”
ผมเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นท่าทางนั้นของผมก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“แปลกตรงไหน ก็พี่น้องบอกรักกัน ก็เป็นปกติธรรมดาปะพี่ พี่บ่เคยทำเหรอ”
“บ่เคยอะ พอดีพี่เป็นลูกคนเดียวน่ะ”
ผมตอบพร้อมส่ายหัวกลับไปในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มหึเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะ อาจจะเพราะผมเป็นลูกคนเดียวด้วยล่ะมั้ง ก็เลยอาจจะรู้สึกแปลกใจก็เป็นได้ แต่จะว่ายังไงดี บรรยากาศเมื่อครู่มันชวนให้จินตนาการยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ไม่พูดออกไปดีกว่า กลัวโดนต่อย ฮ่าฮ่าฮ่า
“ว่าแต่พี่เถอะ พี่กับพี่แบงค์เป็นแฟนกันเหรอ”
อึก! โดนถามจี้จุดกลับมาจนได้
“ดูออกด้วยเหรอ”
ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าสงสัย ไอ้น้องพละเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับยิ้มที่มุมปากอีกรอบ
“ดูบ่ะออกก็บ้าแล้วพี่ ถึงพวกพี่จะบ่ะได้เปิดเผยขนาดนั้น แต่เวลาพี่สองคนอยู่ใกล้กัน บรรยากาศแม่งโคตรฟุ้งเลยว่ะ”
“ฟุ้ง? ฟุ้งยังไงวะ”
ผมขมวดคิ้วสงสัยในคำพูดนั้นของอีกฝ่าย
“ฟุ้ง ๆ ก็ฟุ้ง ๆ ไง แบบฟุ้ง ๆ อ่ะบ่รู้จักเหรอพี่”
อะไรของมึงเนี่ยไอ้สัส นอกจากจะไม่อธิบายเหี้ยอะไรเพิ่มแล้ว ยังพากูงงหนักขึ้นไปมากกว่าเดิมอีก แต่เอาเถอะ ขี้เกียจจะถามต่อแล้ว
“แล้วยังไง รังเกียจพวกพี่เหรอ”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความหวั่นเล็กน้อย จะว่ายังไงดีล่ะครับ คือที่ผ่านมาตั้งแต่ผมกับแบงค์ตกลงเป็นแฟนกัน คนในชมรมเองก็รู้ เวลาไปไหนมาไหนก็ทำตัวตามปกติ คือก็ไม่ได้ปิดบังอะไรหรอกนะ (ยกเว้นกับแม่) เพียงแต่บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนอื่นจะคิดหรือมองยังไงกับเรื่องแบบนี้
ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นสีหน้าหวั่นๆ นั้นของผมก็เลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะดูดบุหรี่ในมือที่กำลังจะหมดมวน
“รังเกียจงั้นเหรอ โอยพี่ นี่มันยุคไหน เรื่องแบบนี้ปกติกันแล้ว มีแต่พวกหัวโบราณเท่านั้นล่ะที่ยังรังเกียจเรื่องแบบนี้อีกอย่างคนที่กล้าจะเป็นตัวของตัวเอง ผมว่าเจ๋งดีออก”
อีกฝ่ายเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มที่ดูกวนๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวคิดเช่นนั้นจริงๆ
“แล้วสรุปเรื่องชมรมล่ะ ว่ายังไง”
ผมวกกลับมายังประเด็นเดิมหลังจากที่พากันออกทะเลไปอยู่พักใหญ่ ไอ้น้องพละขมวดคิ้วเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบเพื่อให้มันดับ
“ผมว่าผมคงบ่เหมาะกับชมรมของพวกพี่หรอก ขืนผมยังอยู่ต่อ พาลแต่จะทำให้ชมรมของพี่วุ่นวายเปล่าๆ ยังไงผมก็ขอโทษพวกพี่ด้วยละกันนะ อ้อ แต่ยกเว้นไอ้เหี้ยนั่นนะ”
พูดจบ เจ้าตัวก็หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้าวขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซต์
“แต่...”
“บ่ตงบ่แต่แล้ว ขืนพี่ยังพูดมากกว่านี้ผมต่อยปากแตกจริงๆ ด้วยเอ้า”
ผมรีบเอามือขึ้นปิดปากตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงขู่ด้วยสีหน้าจริงจังนั่น
แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะอยู่ ๆ ไอ้น้องพลก็รีบปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาทันที
“หัวเราะอะหยังน่ะ”
ผมขมวดถามด้วยความสงสัย
“เชื่อคนง่ายนะเนี่ย พี่แม่งจี้ดีว่ะ มิน่าล่ะว่าอะหยังพี่แบงค์ถึงชอบพี่ พอๆ ไปละๆ เสียเวลา ผมต้องรีบกลับแล้ว ยังไงก็ฝากขอโทษคนอื่น ๆ ยกเว้นไอ้เหี้ยนั่นด้วยละกันนะ บาย”
พูดจบ เจ้าตัวก็รีบสตาร์ทรถแล้วขี่ออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
“อะหยังของมันวะเนี่ย”
ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางเกาหัวตัวเองไปด้วยก่อนจะก้มลงมองก้นบุหรี่ที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ ผมค่อย ๆ ก้มตัวลงไปหยิบก้นบุหรี่นั้นแล้วเอาไปทิ้งยังถังขยะที่ตั้งห่างออกไปไม่ไกลนัก แล้วจึงหันหลังเพื่อเดินกลับไปยังชมรมด้วยความเหนื่อยใจ
“หายไปไหนมาครับ”
เสียงเอ่ยถามด้วยความสงสัยของแบงค์พูดขึ้นในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งรอผมอยู่ที่หน้าห้องชมรม
“นิดหน่อยน่ะ ว่าแต่แล้วคนอื่นล่ะ กลับกันไปหมดแล้วเหรอ”
ผมตอบปัดพลางถามกลับไปเมื่อเห็นประตูห้องชมรมถูกล็อกเอาไว้ แบงค์พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบพร้อมกับส่งกระเป๋าสะพายของผมมาให้ก่อนที่จะลุกตัวขึ้นยืนเมื่อผมรับมันมา
“ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านดีมั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถามพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่สบายใจอย่างชัดเจนของผม ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบด้วยความคิดที่ว่าถึงจะมีปัญหาใหญ่โตยังไงแค่ไหน แต่เรื่องปากท้องยังไงก็ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ อยู่ดี
“แล้วสรุปเมื่อกี้หายไปไหนมาน่ะครับ”
แบงค์เอ่ยถามคำถามนั้นอีกรอบหลังจากที่เราทั้งสองสั่งอาหารไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกมา
“ออกไปตามหาพละเขาน่ะ”
“นั่นไง ว่าแล้ว แล้วเจอตัวมั้ยครับ”
“เจอ แต่...ยังไงเจ้าตัวก็บ่ยอมกลับมาน่ะ”
ผมถอนหายใจอีกรอบ แบงค์เองเมื่อเห็นสีหน้านั้นของผมก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ อีกรอบ
“เอาน่า เรื่องมันเพิ่งจะเกิดไป น้องเขาอาจจะยังโกรธอยู่ก็ได้ครับ ให้เวลาน้องเขาหน่อยก็น่าจะดีกว่านะครับ”
เมื่อได้ยินแบงค์เอ่ยเช่นนั้น ผมก็ได้แต่พยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบพลางใช้หลอดในมือกวนน้ำในแก้วไปเรื่อย ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
“อย่าทำสีหน้าจ๋อยแบบนั้นสิครับ ยิ้ม ๆ หน่อย”
แบงค์พยายามพูดเพื่อให้ผมรู้สึกดี ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนในแว่นหนานั้นที่กำลังฉีกยิ้มให้กับผม ซึ่งมันก็พอที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอยู่พอสมควร
“ไปดูหนังกันป่ะ”
ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังรับจานอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ แบงค์หันมามองหน้าผมพร้อมส่งข้าวผัดปูซึ่งเป็นเมนูที่ผมสั่งมาทางผม
“ก็ดีครับ นาน ๆ ทีไปพักสมองกันบ้าง”
แบงค์ตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอื้อมไปหยิบช้อนจากในกล่องใส่ที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆ
ถึงจะบอกว่านานๆ ทีก็ตามเถอะ แต่เอาเข้าจริง หลังๆ มานี้ผมกับแบงค์ก็ไปดูหนังในโรงหนังบ่อยอยู่พอสมควร แทบจะทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ไอ้ตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะปกติเป็นคนดูหนังในโรงบ่อยอยู่แล้ว แต่แบงค์นี่สิ เพิ่งจะมาดูหนังในโรงหนังก็ตอนที่รู้จักกับผมนี่ล่ะ เจ้าตัวบอกว่าปกติดูแต่ในโทรทัศน์เสียมากกว่า ซึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่า คนที่ไม่เคยเข้าโรงหนังแบบแบงค์ก็มีด้วยเหรอ
“รีบกินกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นไปมากกว่านี้”
แบงค์เอ่ยบอกกับผมพร้อมยื่นช้อนมาให้ ผมรับมันมาก่อนจะยิ้มกลับไปให้อีกฝั่ง
ถึงแม้จะรู้สึกค้างคาใจอยู่ก็ตามที แต่หากยังทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยวางไปก่อนจริงๆ น่ะล่ะกับปัญหาชมรมในตอนนี้
“พี่นันท์ เดี๋ยวเลิกงานเราไปหาอะไรกินที่ร้านข้าวควายกันมั้ย”
เสียงของซันด๋อยเอ่ยถามขึ้นในขณะที่กำลังย้ายแผงหนังสือที่ตั้งอยู่หน้าร้านกลับเข้ามา
“ก็เอาดิ กำลังหิวๆ อยู่พอดีเลย ว่าแต่ถามหน่อย ใครมันเป็นคนตั้งชื่อร้านข้าวร้านนั้นว่า ‘ข้าวควาย’ วะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยในชื่อร้านข้าวร้านประจำของพวกผมซันด๋อยนิ่งเงียบพร้อมขมวดคิ้วเบ้ปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ
“เออ ว่าแต่พรุงนี้ซันด๋อยเข้ากะเช้าใช่ป่ะ”
ผมเอ่ยถามในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับคอมพ์ฯ ที่หน้าเคาน์เตอร์
“แม่นแล้ว ก็เข้าพร้อมกับพี่นั่นล่ะ ทำไมเหรอ”
“ก็กำลังคิดว่าอาจจะมาช้าหน่อยน่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็พี่ชาติอ่ะดิ แกให้พี่ลองทำรีพอร์ตเรื่องสินค้าหายเดือนนี้ดูน่ะ คืนนี้ก็เลยว่าอาจจะต้องลุยงานจนดึกนิดนึง”
“อ้าว แล้วอ่ะหยังพี่เขาบ่ะทำเองล่ะ หน้าที่เขาบ่ะใช่เหรอ”
ซันด๋อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางดึงประตูเหล็กหน้าร้านลงมาครึ่งนึง
“มันก็แม่นแต่ทำไงได้ ในเมื่อพี่เขาสั่งมาก็ต้องทำ คิดในอีกแง่ ก็เพื่อจะฝึกและดันพี่ขึ้นเป็นผู้จัดการร้านยังไงล่ะ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มองโลกในแง่ดีจังนะพี่”
ทั้งผมและซันด๋อยต่างหัวเราะ หึ เบา ๆ ในลำคอเป็นการจบบทสนทนาไปอย่างเงียบๆ
“งั้นเดี๋ยวต่างคนต่างไปเจอที่ร้านข้าวเลยละกันนะพี่”
ผมพยักหน้าตอบตกลงให้กับคำพูดนั้นของซันด๋อย เนื่องจากเราต่างก็จอดรถกันคนละที่ อีกฝ่ายเองเมื่อเห็นผมตกลงเช่นนั้นก็ดึงประตูเหล็กลงจนสุดพร้อมกับล็อกกุญแจ
ในจังหวะนั้นเอง
“สุมาเต๊อะครับ ร้านปิดแล้วเหรอครับ”
“ปิดแล้วครับ ขอโทษด้วย ยังไงรบกวนลูกค้ามาอีกทีวันพรุ่งนี้นะครั.....อ้าว”
ผมต้องร้องอุทานด้วยความประหลาดใจทันทีเมื่อหันไปยังเจ้าของเสียงคำถามเมื่อครู่
“บ่ได้เจอกันนาน สบายดีมั้ยครับ พี่นันท์”
“ไอ้น้องไนท์”
ผมเอ่ยชื่อนั้นเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยทักทายผมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ในขณะที่ซันด๋อยซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ผมนั้นได้แต่ยืนนิ่งตาค้างด้วยความตกใจกับบุคคลที่เห็นตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ
จบคาบเรียนที่เก้า