ต่อค่ะ (ช่วง1 ของวันที่ 16/06/11)
หลังจากที่หนึ่งกลับมารักษาตัวที่บ้าน หลายสัปดาห์ต่อมา เขาก็สามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติ โดยมีสองเป็นคนคอยช่วยในช่วงที่ไม่ต้องไปโรงเรียน คนตัวเล็กต้องไปเรียนพิเศษวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์เด็กหนุ่มตั้งใจจะเก็บไว้เพื่อที่จะช่วยคนตัวโตฝึกเดิน และสุดท้ายความพยายามก็ประสบผล เมื่อในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่สองไม่ได้ไปเรียนพิเศษ หนึ่งก็สามารถเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันอีกต่อไป
เรื่องนี้สร้างความดีใจแก่มารดาของหนึ่ง เธอตั้งใจว่าจะทำบุญสะเดาะเคราะห์ให้กับลูกชายในวันรุ่งขึ้น ในตอนเย็นของวันนั้น ขณะนั่งรับประทานอาหาร มารดาของหนึ่งจึงชวนลูกชายและว่าที่ลูกชายคนใหม่ตื่นตอนเช้าเพื่อที่จะทำบุญด้วยกัน
"คุณพ่อยังไม่กลับจากฮ่องกงอีกหรือครับ?" หนึ่งถามมารดา
"เอ่อ..แม่ก็ไม่แน่ใจนะ สงสัยพ่อเค้าคงมีคุยเรื่องธุรกิจอีกนิดหน่อยน่ะ" มารดาตอบลูกชาย คนพูดใบหน้าเรียบเฉยเมื่อบทสนทนาวกเข้ามาที่หัวหลักของบ้าน
"ครับ..ผมแค่..เป็นห่วง คราวนี้คุณพ่อไปนานนะครับ น่าจะเดือนได้แล้วสินะ" หนึ่งพูดขึ้นลอยๆ ขณะเอื้อมมือไปตักไข่ลูกเขยมาใส่ไว้ในจานข้าวของคนที่นั่งตรงกันข้าม
"..............." อีกคนยังคงเคี้ยวตุ้ยๆ วันนี้เด็กตัวเล็กไม่ต้องออกแรงเอื้อมมือไปตักกับข้าวเลยด้วยซ้ำ เพราะเดี๋ยวก็มีคุณผู้หญิงใจดีตักผัดผักให้ เดี๋ยวคนตรงข้ามก็ตักหมูทอดมาให้ ตอนนี้ก็ไข่ลูกเขยอีก หัวทุยๆก้มลงมองจานของตัวเอง รู้สึกอายเล็กน้อย ก็มันเป็นจานข้าวที่ไม่มีระเบียบเอาซะเลย มีกับข้าวกองอยู่เต็มไปหมด ได้แต่จำใจตักเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครตักอะไรให้อีกตอนไหน
"พอแล้วล่ะลูก น้องเคี้ยวไม่ทันแล้ว" หญิงสูงวัยบอกลูกชาย สายตาเอ็นดูหันไปมองคนแก้มพองเคี้ยวข้าวอย่างเอาเป็นเอาตาย และพอรู้ตัวว่ากลายเป็นจุดเด่นไปซะแล้ว แก้มบางๆก็เริ่มออกสีแดงอ่อนๆ
"หึๆ ดีแล้วล่ะครับเยอะๆแบบนี้น่ะ ผอมแห้งแล้วยังตัวเล็กอีกจะเอาแรงที่ไหนไปอ่านหนังสือ ทานเยอะๆนะ จะได้โตทันพี่ซะที" คนหนุ่มพูดติดตลก มารดาได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มบางๆก่อนก้มลงจัดการกับอาหารในจานของเธอ
สองลอบมองมารดาของหนึ่ง คนตัวเล็กสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มีความสุข คงเป็นเพราะว่าเธอดีใจที่ลูกชายหายเป็นปกติเสียที ก่อนหน้านั้นสองแอบได้ยินมารดาของหนึ่งโทรหาพี่นุช พี่สาวของคนตัวโต คิดว่าอีกฝั่งของปลายสายก็คงดีใจไม่แพ้กันกับคนทางนี้ เพียงแค่เห็นรอยยิ้มแบบนั้น สองก็มีความสุขไปด้วย มันคงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก็แน่ล่ะ ลูกชายทั้งคน ถ้าคนเป็นแม่ไม่รักไม่ห่วงก็คงเป็นไปไม่ได้ สองได้ยินเธอบอกกับหนึ่งว่า พี่นุชติดเคสด่วนที่โรงพยาบาล ไม่งั้นคงซื้ออะไรอร่อยๆมาฉลองที่บ้าน โดยปกติบางวันพี่นุชก็จะมานั่งทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า บางทีก็มื้อเช้า บางทีก็มื้อเย็นแล้วแต่โอกาส แต่สองได้ข่าวว่าอีกไม่ถึงสองเดือน เธอก็จะยอมสละโสดเสียที หลังจากหมั้นหมายกับคุณหมอที่เป็นรุ่นพี่ที่โรงพยาบาลมาหนึ่งปีแล้ว พอถึงตอนนั้น บ้านนี้ก็คงเงียบลงไปอีก สองคิดว่าบางทีมารดาของหนึ่งก็อาจจะรู้สึกเหงาๆ เพราะบิดาของคนตัวสูงก็แทบจะไม่ได้อยู่ติดบ้านเลย สองไม่เข้าใจเลยว่า ทั้งๆที่เป็นผู้บริหารแล้วแท้ๆแต่แค่หาเวลากลับมานอนที่บ้านนี่มันช่างยากเสียเหลือเกิน สองเลยตั้งใจว่า ถ้าเป็นไปได้ สองก็อยากให้คนตัวสูงอยู่ติดบ้านเสียทีไม่ต้องแยกไปอยู่ที่อื่นอีก
ขณะที่สองกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย และตอนนั้นเอง..
"คุณแม่ครับ..หนึ่งว่า อีกสักสองอาทิตย์หนึ่งจะกลับไปทำงาน"
"ที่เก่ารึเปล่าลูก เค้ายังรับหนึ่งใช่มั้ย"
"ครับ...ผมลองโทรคุยกับเค้าแล้ว ทางโน้นเค้าบอกว่ายินดีเสมอ สัญญาว่าจ้างยังเหมือนเดิมครับ"
"เอ่อ..แล้วหนึ่งจะไปอยู่คอนโดอีกเหรอจ๊ะ" หญิงสูงวัยมีสีหน้ากังวล
"อืม...หนึ่งยังคิดอยู่ครับ"
คนตัวเล็กรีบเคี้ยวข้าวในปาก ก่อนกลืนมันลงคออย่างรวดเร็ว
"พี่หนึ่ง..อยู่บ้านนี่ล่ะ ดีแล้ว.."
"หืม.. " สายตาคมจับจ้องที่ดวงตาโต
"ก็...คุณแม่..ไม่มีใคร...พี่นุชก็งานยุ่ง" คนตัวเล็กตอบเสียงอ่อยๆ เพียงแค่ฟังเหตุผลสั้นๆ มีเหรอที่คนอายุมากกว่าอย่างผู้หญิงสูงวัยที่นั่งหัวโต๊ะและคนหนุ่มอย่างลูกชายของเธอจะไม่รู้ ว่าเด็กตัวเล็กกำลังจะบอกอะไร
"ขอบใจนะลูก..แม่อยู่ได้ อยู่มาแบบนี้จนชินแล้วล่ะ เลี้ยงจนพวกนี้เค้าโตเอาตัวรอดได้ แม่ก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น อีกอย่าง ถ้าอยู่คอนโดหนึ่งเค้าจะสะดวกกว่า แล้วสองก็ไปอยู่กับพี่เค้า เพราะว่าจะได้หาตรงที่มันใกล้โรงเรียนขึ้นหน่อย"
"ไม่ได้หรอกฮะ คุณแม่อยู่บ้านคนเดียวเกือบตลอด ถึงจะมีพวกพี่ๆที่เป็นแม่บ้าน แต่ยังไงพี่หนึ่งก็น่าจะอยู่ที่นี่ด้วย จะได้ดูแลคุณแม่ด้วยไงฮะ...พี่หนึ่งว่าดีมั้ยฮะ.." คนตัวเล็กรีบหาแนวร่วม
"อืม..คือพี่น่ะไม่ได้อะไรนะ..ว่าตามจริงพี่ก็อยากจะกลับมาอยู่บ้านจริงๆจังๆซะที สำหรับพี่น่ะพอทำงานแล้วก็ขับรถไป ไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะว่าบางวันพี่ก็ไม่ได้เข้าออฟฟิศ แต่อาจออกไปตามโครงการ แต่ว่าสองน่ะ ต้องไปโรงเรียน บางทีพี่อาจไปส่งไม่ได้ สองก็ต้องนั่งรถไป พี่กลัวสองเหนื่อยนะ แค่สองดูแลพี่เต็มที่ แถมต้องทำงานเรียนอะไรอีกเยอะแยะ พอเห็นเราผอมลงๆพี่ก็กังวล"
"นั่นน่ะสิ..แม่ว่าสองต้องใช้เวลาเดินทางนะ ทุกวันนี้ที่หนูไปโรงเรียนก็ต้องออกก่อนหกโมงอีก บอกให้คนขับรถไปส่งให้ก็ไม่ยอม แล้วนี่อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบอีกแล้วไม่ใช่เหรอ"
"เอ่อ........." สองล่ะงงเลย สรุปว่าทุกคนกำลังเป็นห่วงตัวเขาเอง
"ว่าไง ตกลงว่าจะยังอยู่ที่นี่ใช่มั้ยครับ.." คนตัวสูงถาม
"อยู่ฮะ..ถ้าคุณแม่ให้อยู่ สองอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ตลอดไปก็ได้ พี่หนึ่งไม่อยู่ก็ไม่สนหรอกฮะ"
"555+ เจ้าคนขี้ประจบ คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง สองอยู่ไหนพี่ก็อยู่ที่นั่นแหละครับ" หนึ่งบอกคนตรงข้ามใบหน้าระบายยิ้ม
"แม่ขอบใจนะสอง แม่รู้ว่าสองอยากให้ตาหนึ่งอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนแม่ แม่ยอมรับนะ ว่าคิดถึงลูกๆน่ะ แต่เค้าโตแล้วก็ต้องมีชีวิตของเค้า แม่ไปกะเกณฑ์อะไรไม่ได้ อีกอย่างบางทีก็ต้องนึกถึงความสะดวกถ้าอยู่ที่บ้านตาหนึ่งกลับบ้านดึกดื่น เค้าก็ต้องเรียกให้คนเปิดประตูให้ แม่รู้ว่าเค้าไม่อยากรบกวนคนในบ้าน ส่วนสองน่ะ ต้องไปโรงเรียน ก็ต้องเดินทาง ดูว่ามันจะไกลกว่าตอนอยู่คอนโดใช่มั้ย ถ้าตาหนึ่งไปรับส่งได้ก็ไม่เป็นไร เอาอย่างงี้นะ ถ้าวันไหนตาหนึ่งขับไปให้สองไม่ได้ แม่จะให้คนขับรถไปส่งนะ หรือไม่ก็ไปรับ แม่จะได้สบายใจ ตกลงตามนี้นะจ๊ะ"
"ฮะ..."คนตัวเล็กยิ้มรับคำของผู้สูงวัย
"ส่วนหนึ่ง...แม่ก็ขอบใจนะ ที่ลูกตั้งใจจะอยู่ที่นี่ บอกตามตรงนะ เมื่อก่อนน่ะ หนึ่งงานยุ่ง พออยู่คนละที่ก็ไม่ได้เจอกัน จะโทรถามก็ยากลำบาก แม่เป็นห่วงมาก ยิ่งหนึ่งเป็นวิศวะกร แม่ยิ่งเป็นห่วง หนึ่งเข้าใจมั้ยลูก พอเราเงียบหายไปหลายๆวัน แม่ก็ใจไม่ดี"
"ผมขอโทษนะครับคุณแม่...ที่ผ่านมาผมละเลย ผมไม่ได้ทำหน้าที่ลูกทีดี ต่อนี้ไปผมจะอยู่ที่บ้านนี้ล่ะครับ ถ้ามีดูงานหลายวันติดกัน ผมจะเรียนคุณแม่ให้ทราบนะครับ คุณแม่จะได้สบายใจ"
"จ้ะ..ขอบใจมากลูก รับทานข้าวพักผ่อนกันซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ แล้วสองคนลงมาตักบาตรกับแม่ที่หน้าบ้านนะ"
"ฮะ"
"ครับ"
คนตัวเล็กและคนตัวสูงรับคำพร้อมกัน ทุกคนต่างยิ้มแย้มมีความสุข
............................................................................
ชายภูมิฐานวางแก้วบรั่นดีชั้นดีลงบนจานรองแก้ว นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้แตะต้องของมึนเมา แสงไฟที่สะท้อนอยู่ในน้ำสีอำพันดูเย้ายวนน่าหลงใหล หากใครได้ลิ้มลองความนุ่มลุ่มลึกในรสชาติ ก็คงติดอกติดใจ แต่ถ้าเมื่อได้ชิมแล้วก็ต้องรู้จักพอ เพราะบางทีสิ่งเหล่านี้ก็นำพาความไม่ดีมาให้ โดยเฉพาะสุขภาพร่างกายสำหรับคนแก่อายุมากอย่างเขา ก็ถ้าไม่มีเรื่องให้ยุ่งยากใจ เขาเองก็ไม่อยากจะแตะมันนักหรอก ตอนหนุ่มๆเคยติดมันอยู่ช่วงหนึ่ง พอแต่งงานก็เลิกเด็ดขาดตั้งใจทำงานดูแลครอบครัว จนตอนนี้ลูกๆต่างก็ทำงานเอาตัวรอดได้หมด
แต่แล้วเจ้าลูกชายตัวดี มันก็นำพาเรื่องที่รบกวนจิตใจมาให้ อุตส่าห์ส่งเสียเล่าเรียนจบมามีการศึกษาดี คิดว่ามันจะกลับมาช่วยดูแลกิจการที่มีอยู่จนล้นมือ มันดันไปทำงานตามใจตัวเอง เรื่องนั้นเขาก็ยอมให้ไปแล้ว เพราะไม่อยากขัดใจกับศรีภรรยาสุดที่รัก ที่เข้าข้างกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย มันคงถือว่ามีแม่คอยหนุนหลังเลยไม่เห็นหัวคนเป็นพ่อแบบเขา ถึงเขาจะอายุมากขึ้น แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถจะปล่อยให้ผ่านเลยไปได้ ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลต้องพลอยเสื่อมเสีย เป็นขี้ปากของชาวบ้าน เขายิ่งยอมไม่ได้
“ไง เดช...”
เสียงชายมีอำนาจดังขึ้นอยู่ด้านข้างโซฟาที่เขานั่ง เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องยิ้มออกมา เมื่อเห็นผู้มาเยือนคือรุ่นพี่ที่เคยเรียนมหาลัยเดียวกัน นับถือเป็นเหมือนญาติผู้พี่คนสนิท ตั้งแต่จบออกมาทำงาน คนๆนี้ก็คอยให้คำปรึกษาเขาได้ทุกเรื่อง
“อ้าว สวัสดีครับ พี่สิทธิ์ เชิญครับ เชิญ” เขาลุกขึ้นผายมือให้กับชายสูงวัยที่แก่กว่า
“ไหนบอกไปฮ่องกงไง” ผู้มาใหม่ถามขึ้น
“ครับ...กลับมาได้ซักพักแล้วครับ”
“อ้อ...” ชายผู้มาใหม่พยักหน้ารับรู้ สายตาคมปราบลอบมองแก้วบรั่นดีที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า
“พี่สิทธิ์ มาคุยงานเหรอครับ ดีนะครับ ที่นี่สะดวกดี บริการเยี่ยม เลานจ์ของโรงแรมก็ตกแต่งดีนะ ส่วนตัวดีด้วยครับ สมกับที่เพื่อนผมมันแนะนำมา” เขาพูดแล้วก็มองไปรอบๆอย่างชื่นชม
“ก็..ทำนองนั้นล่ะ พอดีเจ้าของที่นี่รู้จักกับชั้นน่ะ มาเยี่ยมเยียนเค้าแล้วก็คุยเรื่องงานด้วย” อีกคนกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“อ้อ ครับ...พี่สิทธิ์สบายดีนะครับ แล้วศักดิ์มันไปไหนล่ะเนี่ย” เขาถามถึงคนขับรถส่วนตัวของอีกฝ่าย ซึ่งปกติจะเห็นตลอดเหมือนเป็นเงาตามตัว
“ให้ศักดิ์รออยู่ที่รถน่ะ”
“อ้อ..ครับ” เขารับคำแล้วยกแก้วสะท้อนสีอำพันขึ้นมาจิบ
“กลับมานานแล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะ ทำตัวเป็นเด็กรุ่นหนุ่มไปได้ นี่ท่าจะมาเปิดโรงแรมนอนล่ะสิ แปลกนะ..” คนที่นั่งไขว่ห้างตรงข้ามยิงคำถามเป็นชุด แต่ท่วงท่ายังดูผ่อนคลาย
“เฮ้ย...” เดชคิดชื่นชมคนๆนี้ในใจ ผู้ชายคนนี้รอบคอบและฉลาดไม่เคยเปลี่ยน เพียงแค่เห็นเขามานั่งกินเหล้า ก็เดาเรื่องราวได้เป็นฉากๆ
“มีปัญหาที่บ้านรึไง ท่าทางจะหนักนะ”
“ครับพี่...ก็ไอ้เจ้าลูกคนเล็กผมน่ะ มันก่อเรื่องให้ปวดหัว”
“หืม...หนึ่งน่ะเหรอ ไอ้เจ้าหนึ่งเนี่ยนะ ก็มันเพิ่งจะหายป่วยไม่ใช่รึ ได้ข่าวว่ากลับมาบ้านแล้วนี่ ชั้นงานยุ่งๆ ไม่ได้เป็นดูหลานมันเลย”
“ครับกลับมาบ้านแล้ว แต่มันดันพาคนอื่นมาอยู่ด้วย”
“เฮ่ย!!...อย่าบอกนะว่ามันพาเมียเข้าบ้าน บ๊ะ...ไอ้เจ้าคนนี้เห็นเงียบๆแต่ไม่ธรรมดา”
“เอ่อ..” เดชสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขายกแก้วบรั่นดีขึ้นซดอีกอึกใหญ่
“เฮ่ย! นี่ชั้นพูดเล่นนะ ตกลงว่ามันเรื่องจริงรึเนี่ย” คราวนี้อีกคน ทำสีหน้าเหลือเชื่อ
“ครับ...นี่ล่ะ ที่ผมกลุ้มเลย.. แต่ก็คงเอ่อ...ไม่ถึงเป็นเมียหรอกครับ คงแค่คบๆกัน เพียงแต่เด็กนั่นเข้ามาดูแลลูกผมที่บ้านตอนป่วยน่ะ”
“แล้วยังไงล่ะ ลูกมันมีคนรักแล้วก็ดี จับมันแต่งงานกันซะเลย จะได้มีเจ้าตัวเล็กๆไว้ทันเราเห็นมันวิ่งเล่น”
“ไม่ได้หรอกครับ...แต่งไม่ได้แน่นอน” เดชกล่าวหนักแน่น ก็จะให้มันแต่งกันได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นผู้ชายทั้งคู่ เรื่องมีลูกมีหลานไม่ต้องพูดถึง แต่จะให้เขาเอาเรื่องที่ลูกบ้ามันมีรสนิยมแบบนี้ไปบอกคนอื่น
คงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่นับถือกันมาอย่างคุณสิทธิ์ประสงค์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนี่ก็เถิด เรื่องอย่างนี้มันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมาเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะ รึพ่อสามีอย่างแกไม่ถูกใจว่าที่ลูกสะใภ้”
“เด็กคนนั้น..เด็กมากครับ อยู่แค่ม.ห้าเอง”
“อ้อ..ก็รอไปก่อนสิ เดี๋ยวก็จบแล้ว”
“ไม่ได้หรอกครับ...คือ ผมกำลังคิดว่า เด็กนั่นอาจไม่ได้จริงใจกับลูกของผม เท่าไหร่นัก”
“ขนาดนั้น...อะไรทำให้คิดแบบนั้นล่ะ”
“พี่สิทธิ์ คิดดูสิครับ ลูกผมแก่กว่าเด็กนั่นมาก เด็กนั่นอนาคตอีกไกล แต่ทำไมต้องมาติดใจอะไรลูกของผม ไอ้เจ้าหนึ่งมันก็คนบ้างาน นิสัยของมันใครๆก็รู้ มีที่ไว้แค่ซุกหัวนอน ถ้าเด็กนั่นไม่หวังเงินทอง แล้วจะยอมอยู่กับมันทำไม ถึงขนาดมาดูแลกันที่โรงพยาบาล แล้วตอนนี้ก็ย้ายเข้ามาบ้านผมเรียบร้อยแล้ว ดูมันจะรวบรัดดีนะครับ ผมว่าเด็กนั่นแผนสูงมากว่า พี่ก็รู้นะ สังคมเราทุกวันนี้ ความคิดคนมันพัฒนากันไปขนาดไหน ไอ้เรื่องไม่ดีน่ะ พี่กับผมอยู่วงการค้าขายเห็นคนมาก็มาก ยิ่งไอ้พวกหน้าอ่อนๆนี่น่ะ ร้ายนะครับ ไอ้ลูกผม ถึงมันจะทันคน แต่มันก็โง่ได้นะครับ อ้อ สงสัยเด็กนั่นคงปั่นหัวคุณณีอีกคนจนยอมให้เข้าบ้าน เฮ้ย...ผมล่ะกลุ้มเลย เค้ามาอยู่แล้วจะไล่ออกก็ไม่ได้” เดชพูดออกไปตามที่คิด สีหน้ากลุ้มใจจนปิดไม่มิด
“อืม...ถ้ามันจริงอย่างที่แกคิด ก็แย่หน่อยนะ เพราะคนของเรารับเค้ามาเอง จะให้ไปไล่เค้าออกก็ไม่ได้”
“อีกอย่างนะครับ ผมว่านะ เจ้าหนึ่งมันคงแค่หลงใหลไปชั่วคราวเท่านั้นล่ะครับ แต่กว่ามันจะรู้ตัว ผมเกรงว่ามันจะถอนตัวไม่ทัน”
“แย่นะ ชั้นก็ว่าอย่างแกเห็นคนมามาก คงดูคนไม่ผิด”
“ครับ พี่ก็รู้ ผมไม่เคยดูคนผิด อย่างเราๆกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ก็ผ่านอะไรมาเยอะ เดี๋ยวนี้มองหน้าก็เห็นไปถึงไส้ถึงพุง”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ”
“เฮ้ย...ยังคิดไม่ออกครับ ตอนนี้หลบมาตั้งหลัก”
“ไม่ยอมกลับบ้านเนี่ยนะ เป็นวิธีของแก” สิทธิ์ถามรุ่นน้อง
“กลับครับ....ก็ว่าจะกลับพรุ่งนี้ล่ะครับ ยังไงๆก็คงต้องเจอ”
“ดีแล้ว อย่าหนีปัญหา ยังไงหนึ่งมันก็เป็นลูก ถึงบางทีมันจะโดนตามใจบ้าง แต่สำหรับชั้นมันก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี”
และตอนนั้นเอง....
“อ้าว...คุณลุงยังไม่กลับอีกเหรอคะ” หญิงสาวหน้าตาอิ่มเอิบ สะอาดผุดผ่อง ก้าวเข้ามากล่าวทักทาย
สิทธิ์ประสงค์หันไปมองตามเสียงหวานไพเราะ หญิงสาวที่เข้ามาทักทายคือลูกเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ที่เขาเพิ่งจะพบปะมาเมื่อครู่
“อ้าว..หนูรดา...”
เดชหันไปมองตาม หญิงสาวยิ้มให้ก่อนพนมมือไว้ เขารับไหว้หญิงสาวที่หน้าตาอ่อนคราวลูก
“อ้อ...นี่คุณกรเดชนะ น้องลุงเอง เรียกอาเดชก็ได้นะ รดา ส่วนนี่รดา ลูกคุณหญิงเพียบพร้อม เจ้าของโรงแรมนี้ล่ะ เดช” สิทธิ์ทำการแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน
“สวัสดีนะหนูรดา เมื่อกี้ลุงก็เพิ่งจะพูดชมโรงแรมให้พี่สิทธิ์ฟังอยู่เลย คุณแม่หนูบริหารดีมากๆนะ” เดชกล่าวอย่างจริงใจ
“ค่ะ ขอบคุณคุณอามากนะคะ ที่มาใช้บริการของเรา เอ๊ะ!....คุณอานี่หน้าคุ้นๆนะคะ...ตายแล้ว! คุณอาคือคุณอาเดช คุณพ่อของพี่หนึ่งรึเปล่าคะ”
“หืม...หนูหมายถึง ณฤเดช ตาหนึ่ง ลูกลุงน่ะนะ” เดชหันไปถามรดาที่นั่งลงข้างๆกัน
“ค่ะ ใช่ค่ะ หนูจำคุณอาได้ตอนงานรับปริญญา ก็หนูเรียนที่มหาวิทยาลัยITUที่เดียวกับพี่หนึ่งนี่คะ ที่นั่นคนไทยน้อยจะตาย พี่หนึ่งเป็นรุ่นพี่หนูค่ะ”
“อ้อ...โลกกลมจริงๆนะ...55+” เดชพูดด้วยใบหน้าระบายยิ้ม
“ค่ะ..พี่หนึ่งสบายดีนะคะ”
“ก็...ไม่เชิงน่ะ หนึ่งเค้าเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล เพิ่งหายป่วย”
“ตายแล้ว..พี่หนึ่งเป็นอะไรคะ คุณอา”
“โดนเหล็กทับขาที่งานก่อสร้างน่ะ เกือบเดินไม่ได้ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว”
“ดีจังเลยนะคะ”
“อืม..ว่างๆหนูก็ไปเยี่ยมสิ ลุงยินดีต้อนรับนะ “
“จริงเหรอคะ หนูไปเยี่ยมคุณลุงกับพี่หนึ่งได้เหรอคะ” คนพูดแอบอมยิ้มหวาน ดวงตาคู่สวยหลุบลงเล็กน้อย
“หึๆ ได้สิ...คนกันเองทั้งนั้น” เดชตาเป็นประกาย และแล้วสวรรค์ก็เข้าข้างเขา เด็กสาวน่ารักคนนี้ล่ะ เธอเปรียบเสมือนนางฟ้าที่ลงมาเพื่อช่วยลูกชายของเขาให้พ้นจากบ่วงมาร
“ขอบคุณค่ะ” รดายิ้มรับอย่างปลาบปลื้ม เธอดีใจเหลือเกิน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอคนที่เธอเคยชื่นชมในอดีตอีกครั้ง คนที่เธออยากสานสัมพันธ์ด้วยในตอนนั้น เพียงแต่เพราะอายุที่ห่างกัน ทำให้เวลาไม่เพียงพอที่จะพัฒนาความใกล้ชิด เนื่องจากเขาตั้งใจจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยเสียก่อน
เดชยิ้มอย่างพอใจ...เขาลอบสบสายตาคมแฝงรอบรู้ของสิทธ์ที่นั่งตรงกันข้าม สิทธิ์ส่ายหน้าน้อยๆแล้วยิ้มบางๆ อ่อนใจกับเจ้าคนชอบวางแผน เพียงได้แต่หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรให้ยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้
+1 ให้คนอ่านทุกคนเลย ขอบคุณมากๆ