ตอนที่ 35
นายท่าน
Naaytan Aroonkittiniwat
กลัวฉิบหายเลยว่ะ... (125 Likes) ณ บ้านผมเอง
ผมกลับบ้านพร้อมกันกับกล้า อย่างน้อยผมก็อยากอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวกันกับที่กล้าอยู่ ถึงแม้ว่าใจผมอยากบุกไปที่บ้านของมันใจจะขาด แต่ผมก็อดทนรอไว้ก่อน
ตอนนี้สถานการณ์ของผมนั้นเรียกได้ว่าหัวใจของผมแขวนอยู่บนเส้นด้าย อ่านกันไม่ผิดหรอกครับ...เป็นหัวใจของผมเองนี่แหละที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ เซ้นส์บางอย่างของผมบ่งบอกว่ากล้ากำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่มันกำลังเจอเป็นอย่างมาก ผมกลัวฉิบหาย กลัวเหลือเกิน...
กลัวว่ามันจะบอกเลิกผม
การที่ได้มาอยู่กับน้องชายทั้งสามคนทำเอาผมรู้สึกดีขึ้น ไม่ใช่ว่าผมอยู่กับทิมและนุกผมจะไม่รู้สึกดีนะครับ เพียงแต่ว่าสองคนนั้นไม่ได้อยู่ในจังหวัดเดียวกันกับกล้าในตอนนี้น่ะ
ผมมาอยู่บ้านได้สองวันแล้ว มีเพียงแต่คุณพ่อผู้ไม่เอาไหนของผมเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนของผมได้นานกว่าคนอื่น น้องชายทั้งสามที่อยู่ในวัยมัธยมของผมไปเรียน คุณแม่ของผมไปทำงาน และคุณพ่อก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เดินไปเดินมา คอยชวนเด็กในบ้านคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อย
ในตอนบ่ายที่ผมพยายามจดจ่ออยู่กับหนังที่ผมเปิดนั้น...พราวฝันก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ในบ้านของผมพอดี เธอมาเล่าให้ผมฟังว่าเธอจะทำใจเรื่องของผม ปล่อยให้ผมกับกล้าได้รักกันอย่างที่ต้องการโดยที่เธอจะไม่ส่งข้อความไปก่อกวนกล้าอีก ผมยิ้มออกเมื่อได้ยินแบบนั้น และเธอยังเล่าให้ฟังอีกว่าเธอได้ส่งข้อความไปขอโทษกล้าด้วยเรื่องที่เธอเคยส่งข้อความไป
‘กล้าตอบหรือเปล่า’ ผมถามเธอว่าอย่างนั้น
‘พี่เขาอ่าน และก็ส่งมาบอกว่าไม่เป็นไร’ เธอตอบ ‘เชื่อป่ะ เราลุ้นแทบบ้าเลยนะ กลัวว่าพี่กล้าจะด่าเราอ่ะ’
‘กล้าไม่ด่าผู้หญิงหรอก’ ผมรู้สึกดีมากที่ได้นึกถึงข้อดีของกล้าในสถานการณ์แบบนี้ ‘เอกลักษณ์ของกล้าอีกอย่างหนึ่งก็คือมันเป็นสุภาพบุรุษ เชื่อป่ะ ตอนที่มันจะคบกับเรา มันยังเอ่ยถึงชื่อฝันแถมยังบอกว่ารู้สึกผิดแทบตายที่ไปแย่งฝันมา’
‘เราต่างหากที่ไปแย่งท่านจากพี่เขามา’
‘...’
‘ทะเลาะกันใช่มั้ย ทำไมสีหน้าท่านดูไม่ดีเลย’
ผมยักไหล่ เชื่อว่าพูดคำสองคำเธอคงเข้าใจ ‘พิษของโซเชียลน่ะ กล้ากำลังรับไม่ได้อย่างแรงเลย’
‘...’
‘ลำพังแค่กล้าโดนด่าก็จัดว่าแย่พอแล้วนะ แต่นี่ลามไปถึงครอบครัวด้วย แม่งโคตรน่าจับฟ้องให้หมด’
‘คงจะเสียเวลาเป็นสิบปีเลยถ้าจะฟ้องร้องให้ครบทุกคน’
‘นั่นสินะ’
‘...’
‘ขอบใจนะที่ยังเป็นเพื่อนเรา’
ผมจำได้ว่าตอนนั้นน้ำตาของพราวฝันนั้นคลอเบ้า ‘เราต่างหากที่ต้องขอบใจ...ขอบคุณที่ท่านไม่เกลียดเรา ขอบคุณที่ยังเป็นเพื่อนเรา’
พราวฝันอยู่กับผมประมาณหนึ่งชั่วโมงเธอก็ออกจากบ้านของผมไป เธอบอกว่าเธอมีงานอีเวนต์ยาวเหยียดตามประสาลูกสาวเจ้าของค่ายโมเดลลิ่งที่กำลังเป็นที่จับตามอง นอกจากจะออกงานในฐานะลูกสาวเจ้าของค่ายแล้ว เธอยังออกงานในฐานะศิลปินดาราคนใหม่ของค่ายอีกด้วย
เธอค้นพบสิ่งที่อยากทำจริงๆ ...ผมรู้สึกยินดีกับเธอมากๆ จริงๆ
ผมใช้เวลาหมดไปอย่างไร้สาระจนในที่สุดผมก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมหยิบกุญแจรถขึ้นมาเพื่อขับรถไปยังบ้านของกล้า...บ้านที่กล้าหวงนักหวงหนาเมื่อสมัยที่เราเรียนอยู่ชั้นมัธยม...ตอนนี้ผมกำลังจอดรถอยู่ที่หน้าบ้านของมัน จะว่าไปมันก็ตลกดีเหมือนกันที่ผมมาบ้านนี้ตั้งแต่ที่ยังขับไม่รถไม่เป็นจนกระทั่งมาถึงตอนที่ผมขับรถเป็น
บ้านของกล้าเป็นบ้านขนาดกลางที่มีลานจอดรถกว้างขวางมาก เนื่องจากมีลูกๆ กันหลายคน ผมเพิ่งเห็นว่ามีรถคันใหม่เอี่ยมสองคันจอดอยู่ เมื่อสองปีก่อนยังไม่มีเลยครับ...
“ใครมาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าบ้านน่ะ”
ซวยละ...เสียงพี่เจ้างามนี่!
“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ที่นี่ไม่ต้อนรับนักข่าว!”
เดี๋ยว...โหงวเฮ้งผมเหมือนคนเป็นนักข่าวจริงๆ น่ะเหรอ
“พี่งาม ผมท่านเอง” ผมรีบร้องบอกก่อนที่พี่เขาจะฉีดน้ำจากสายยางมาราดหัวผม
“ท่านเองเหรอ เข้ามาสิ” นิสิตคณะเภสัชศาสตร์ปี 5 รีบเปิดประตูแล้วกวักมือผมให้เข้าไปในบ้าน “มาหากล้าใช่มั้ย เข้ามานั่งข้างในก่อนนะ”
เธอยังสวยสดงดงามเกินมนุษย์เดินดินไม่เคยเปลี่ยน...ไม่แปลกที่ชาวโซเชียลจะสนใจขึ้นมาในช่วงเวลาข้ามคืนแบบนี้
“มีใครอยู่บ้านบ้างครับ”
“ยกเว้นนางกับแม่น่ะ”
“พี่งามไม่มีเรียนเหรอครับ”
“พี่กับหญิงไปเรียนกันยังไม่ได้จนกว่าเรื่องจะซาลง” ผมรู้สึกผิดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “เราโดนถามกันเยอะเรื่องน้องชายเรา...และเรื่องของแฟนน้องชาย” เธอตั้งใจเน้นท้ายประโยคมาก
“ผมขอโทษจริงๆ ครับ”
“กับพี่ไม่มีอะไรต้องขอโทษหรอก โน่น ไปขอโทษหญิงโน่น รายนั้นช็อกมากเพราะคนที่มาถามเรื่องของน้องกับแฟนน้องก็คือคนที่หญิงแอบชอบ”
“แปลว่าอะไรเหรอครับ”
“แปลว่าคนที่หญิงแอบชอบอยู่เขาเป็นเกย์ไงจ๊ะ”
“เฮ้ย อาจจะเป็นผู้ชายที่สนใจข่าวบันเทิงเฉยๆ ก็ได้”
พี่เจ้างามเลิกคิ้ว...จ้องหน้าผมราวกับให้ผมทบทวนคำพูดของตัวเองอีกที
“โอเคครับ”
“คนที่หญิงแอบชอบอยู่น่ะเป็นแฟนคลับท่านอยู่ เขามาจี้มาถามหญิงใหญ่เลยจนหญิงช็อก...นี่ยังอาการไม่ดีขึ้น ต้องให้กล้าปลอบแล้วปลอบอีกอยู่นั่น”
“...”
“คนนี้หญิงคงจะชอบมากจริงๆ นั่นแหละ”
“ใครมาเหรอครับพี่” เจ้าของเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นไปทั้งตัวกำลังเดินลงบันไดบ้านมา...มันเป็นภาพที่ผมคุ้นตาเพราะสองปีก่อนผมมารอกล้าที่บนโซฟาตรงนี้บ่อยมาก และทุกครั้งที่กล้าเดินลงบันไดมา มักจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของวัน
เมื่อกล้าเห็นว่าเป็นผม...มันมีสีหน้าตกใจจนหน้าซีดเผือด
“ไง” ผมทักมัน
“แฟนมาหาแน่ะ” พี่เจ้างามเอ่ยยิ้มๆ
“ขึ้นบ้านไปเลย” กล้าไล่พี่สาวมัน
“นี่...พี่แก่ขนาดนี้แล้วนะ ยังจะหวงพี่อีกเหรอยะ”
“แก่แค่ไหนก็สวย”
“อุ๊ย น้องชายชม”
“รู้แล้วก็ขึ้นไป”
“โธ่ กล้า ท่านสนใจแต่กล้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรนะ”
“ที่ยังอยู่นี่เพราะอยากรู้ว่าผมกับท่านจะคุยอะไรกันใช่มั้ย”
“ตามนั้นเลย”
“ไม่ได้หรอก ขึ้นบ้านไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ดุจัง”
กล้าชอบดุพี่สาวตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมรู้สึกคิดถึงภาพเหล่านี้เป็นบ้า...แต่ไม่รู้สิ อารมณ์ของกล้ามันไม่เหมือนในตอนนั้น กล้าไม่มีเรื่องให้คิดหนักเหมือนอย่างเช่นตอนนี้...ผมรู้สึกว่ากล้ากำลังฝืน ฝืนตัวเองให้ทำตัวเป็นปกติอยู่
เมื่อพี่เจ้างามขึ้นบันไดบ้านไปแล้ว...กล้าก็ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผม
“นึกว่ามึงอยู่ที่มอ”
“มึงจะกลับไปเรียนเมื่อไหร่” ผมถามสวนกลับไป “หลังมิดเทอมคณะมึงมีควิซเยอะมากเลยนะ กูถามพี่เซียนมา”
“คงอีกสองสามวัน”
“กล้า ถ้ามันเป็นเพราะกู...กูก็อยากจะขอโทษมึง”
“ไม่ใช่ความผิดของมึงหรอก”
“...”
“กูนึกอะไรบางอย่างได้แล้ว” มันมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้ม “เราไปเยี่ยมโรงเรียนกันดีมั้ย”
บ้านของกล้าอยู่ถัดจากซอยโรงเรียนเก่าของเราสองซอย...เวลาผมมาโรงเรียนผมจึงสะดวกมากที่จะมารอกล้า ทั้งตอนที่มันไปกับตอนที่มันกลับจากโรงเรียน
“ทำไมจู่ๆ ถึงอยากไปล่ะ” มันแปลกๆ ที่อยู่ดีๆ กล้าก็เอ่ยชวนผม ทั้งๆ ที่มันกับผมยังคุยกันได้แค่สองสามประโยคเอง
“ก็แค่...คิดถึงน่ะ”
“อืม ได้สิ”
“เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บหนึ่ง”
ผมมองดูนาฬิกา “โชคดีว่ะ...เด็กกำลังเลิกเรียนพอดี”
กล้าใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นาน มันเปลี่ยนจากเสื้อบอลและกางเกงบอลที่มันใส่เมื่อสักครู่กลายเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ดูดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังคงคอนเซปต์รองเท้าแตะเหมือนเดิม
“แบบนี้เหมือนตอนที่มึงเรียนอยู่ชั้นมอปลายเลย” ผมอดท้วงไม่ได้...กล้าของผมแม่งไม่เคยแก่ขึ้นเลยจริงๆ
“ผิดกับมึง” มันมองความเนี้ยบของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่งตัวอย่างกับเป็นลูกชายเจ้าของโรงเรียน”
“มันเป็นสไตล์น่ะ” ผมยิ้ม
“เราเดินกันไปได้มั้ย...รถคงติดถ้ามึงขับเข้าไป”
“ได้อยู่แล้ว”
กล้าเดินนำผมออกไปจากบ้าน...ผมเดินตามมันพร้อมกับสูดกลิ่นความรู้สึกที่เราทั้งคู่ห่างหายไปนาน ที่ผ่านมาผมกับกล้าปล่อยให้ความเครียดครอบงำเรามากจนเกินไป บางทีนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้เราสองคนกลับมาดีกันเหมือนเดิมก็ได้
ผมหวังอย่างยิ่งว่ามันจะเป็นแบบนั้น...
“เฮ้ย นั่นน้องกล้าใช่มั้ยน่ะ”
“หวัดดีครับลุง” กล้ายกมือไหว้ลุงวินมอเตอร์ไซค์ประจำหน้าปากซอยบ้านมัน ผมเองก็ยกมือไหว้เหมือนกัน
“เฮ้ย นี่มันไอ้ลูกคุณหนูที่ตามเอ็งต้อยๆ นี่หว่า ทุกวันนี้ยังตามเอ็งอยู่อีกเรอะ”
สงสัยลุงจะไม่ได้สนใจโซเชียลเป็นแน่แท้...ซึ่งนั่นมันก็เป็นอะไรที่ดีมาก
“นั่นน่ะสิครับ ผมรำคาญมันฉิบหายเลยเนี่ย” กล้าแย่งผม
“ไอ้หนุ่ม รู้ว่าไอ้น้องกล้ารำคาญก็อย่าตามให้มันเยอะนัก” ลุงเหน็บผมอย่างไม่คิดจริงจัง “นี่น้องกล้า ตั้งแต่เอ็งจบไปแถวนี้มันสงบขึ้นเยอะเลย...มันไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อน”
เดี๋ยวก่อนนะครับลุง!
“ไม่มีใครมาวิ่งไล่จับกันให้ลุงเห็น ไม่มีเด็กวัยรุ่นที่ไหนยกพวกมาตีกันให้ลุงกับพวกของลุงไปห้ามเล่นๆ”
“...”
“มันเงียบจนลุงเหงาน่ะ”
“แหมลุง...จะให้เยาวชนของประเทศชาติมีปัญหาแบบผมทุกคนเลยหรือยังไง”
“หรือเป็นเพราะลุงคิดถึงเอ็ง”
“เพราะลุงคิดถึงผมนั่นแหละ”
“ฮ่าๆๆๆ อย่าลืมไปทักทายป้าไหวด้วยนะ เห็นบ่นว่าไม่มีใครมาคอยขโมยกล้วยแขกของป้าไปแจกเพื่อนเหมือนที่น้องกล้าเคยทำ”
“ลุง!” กล้าร้องเพราะความลับนี้เป็นสิ่งที่ผมเพิ่งรู้ ผมจำได้ว่าผมเคยได้กินกล้วยแขกของกล้าฟรีๆ เมื่อสมัยก่อนโน้น ไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่นของมันได้กินบ้างหรือเปล่า ถ้ามันให้ผมคนเดียวก็น่าจะดี... “ผมก็แค่ขอยืมไปให้เพื่อนก่อน แล้วจะจ่ายตังค์ทีหลัง”
“ยืมกล้วยแขกเนี่ยนะ ถามจริง”
“ผมไปดีกว่า”
เราทั้งคู่บอกลาลุง...ก่อนที่กล้าจะเดินไปทักทายป้าไสวที่ขายกล้วยแขก นอกจากมันจะทักทายป้าไสวแล้ว มันยังทักทายพนักงานเซเว่น คนขายดอกไม้ คนเข็นรถผลไม้ และก็คนขายส้มตำอีกด้วย
แถวนี้มันถิ่นกล้าหาญบอยจริงๆ ว่ะ
ทุกคนจำกล้าได้ในฐานะหัวโจกตอนมอปลาย ส่วนผมน่ะเหรอ...ทุกคนจำผมได้ในฐานะลูกคุณหนูที่ตามตูดกล้าหาญบอยต้อยๆ ซึ่งผมก็ยินดีนะที่จะมีใครจำภาพผมไปแบบนั้นน่ะ
กว่าเราจะมาถึงโรงเรียนก็เล่นใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง นักเรียนส่วนใหญ่ออกมาจากโรงเรียนกันหมดแล้ว เหลือแต่เพียงนักเรียนที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ในโรงเรียนเพียงเล็กน้อย ผมกับกล้าทักทายน้ายามหน้าโรงเรียน ส่วนใหญ่ทุกคนจะจำกล้าได้แต่จำผมไม่ได้...เนื่องจากวีรกรรมของกล้านั้นเป็นที่โจษจันมามากตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลงทุกทีๆ ยิ่งมันเป็นแบบนั้นผมก็ยิ่งนึกถึงตอนที่ผมไล่ตามจีบคนที่เดินนำหน้าผมเมื่อก่อนมากขึ้นทุกขณะ ความทรงจำนั้นมันชัดมากซะจนเหมือนผมกลับไปสู่ช่วงเวลานั้นอีกครั้งหนึ่ง
กล้าเองก็คงจะคิดเหมือนผมมั้ง...
“มึงจำตรงนี้ได้ป่ะ” มันชี้ไปที่ริมฟุตบาทแถวๆ ใกล้ป้ายหน้าโรงเรียนที่มันกับเพื่อนเคยมารวมแก๊งกันบ่อยๆ “กูต้องหลบมึงฉิบหายเพราะกลัวว่ามึงจะพุ่งตัวเข้ามาตอนที่กูกำลังเก๊กคูลต่อหน้าเพื่อนๆ”
“แต่มึงก็หลบกูไม่ค่อยได้เท่าไหร่”
“ใช่ เพราะมึงไม่กลัวเพื่อนกูเลยสักคน”
“หึ หัวหน้ามันกูยังไม่กลัวเลย ประสาอะไรกับพวกลูกกระจ๊อกวะ”
“โอยยยย รู้สึกอยากให้เพื่อนพวกนั้นอยู่ที่นี่ขึ้นมาเลย” กล้ากัดฟัน
“ทำไม”
“จะได้พากันรุมกระทืบมึงนี่ไง”
ผมค่อยๆ เขยิบใบหน้าเข้าไปใกล้มึง “มึงกล้ากระทืบแฟนมึงเหรอ”
มันเขินแฮะ “ตอนนั้นคงจะกล้า...แต่ตอนนี้คงไม่แล้ว”
“ฮ่าๆๆ”
“รู้แล้วใช่มั้ยว่าหัวโจกที่แท้จริงของโรงเรียนคือใคร”
“กูเอง” รู้สึกดีแฮะที่กล้ามันยกผมให้อยู่เหนือระดับมันขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วกล้านั่นแหละที่อยู่เหนือกว่าผม ไม่ใช่ผมแม้แต่นิดเดียว...
เราเดินกันไปเรื่อยๆ สวนทางกับรุ่นน้องที่จำเราได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนที่จำได้ก็เข้ามาทัก ส่วนใหญ่กล้าจะเป็นคนที่ถูกจำได้มากกว่าผม...พวกมันยินดีที่จะกวนตีนกล้าแล้วให้กล้าแจกบาทาคนละที ราวกับบาทาของกล้าคือร่องรอยที่ระลึกแห่งประวัติศาสตร์อะไรเทือกๆ นั้น
ผมเห็นมันยิ้มออก...ผมก็รู้สึกดีใจ
เด็กในโรงเรียนไม่มีใครตัดสินพวกเรา ไม่มีใครเข้ามาด่า ต่อว่า หรือบอกว่าสิ่งที่เรากำลังเป็นและคบกันอยู่นั้นมันผิด รุ่นน้องส่วนใหญ่เคยเห็นกันหมดแล้วว่าสมัยมัธยมผมนั้นปฎิบัติกับกล้ายังไง แล้วกล้าปฎิบัติกับผมยังไง
เราเหมาะสมกันจะตาย...ไม่เห็นเหมือนที่คนอื่นเขาพูดเลย
“ตรงนี้มึงเคยวิ่งแล้วเข่าถลอกนี่” ผมชี้ไปที่กลางถนนคอนกรีตที่อยู่ในตัวโรงเรียน “ตอนนั้นมึงรีบไปช่วยใครนะ พี่เซียนใช่ป่ะ”
“ใช่ ไอ้เซียนมันกำลังจะโดนพวกสารวัตรจับได้ว่าโดดเรียน”
“กูงงว่ามึงจะรีบวิ่งไปทำไม...มึงไปถึงมึงก็ไปช่วยอะไรพี่เซียนไม่ได้”
“จะบอกอะไรให้” กล้าทำหน้าทะเล้นใส่ผม “สารวัตรนักเรียนคนนั้นแม่งหลงเสน่ห์กูล่ะ”
ผมคิ้วกระตุก...จำได้ว่าเมื่อก่อนมีแต่ผมคนเดียวไม่ใช่เหรอที่เป็นผู้ชายและก็ชอบกล้าคนเดียว “มึงพูดจริงป่ะเนี่ย”
“จริงสิ ถ้าไม่จริงไอ้เซียนไม่รอดหรอก”
อยากย้อนเวลากลับไปหึงนี่จะได้มั้ยครับ... “แผนเยอะนักนะ”
“แต่กูก็ไม่ซึ้งพระคุณใครเท่ากับคนที่หาพลาสเตอร์ยามาแปะที่เข่ากูในวันนั้นหรอกนะ” กล้าพูดเรื่อยๆ พลางมองไปที่ข้างหน้า “มึงไม่รู้หรอกว่ากูทั้งเขินทั้งคลั่งมึงขนาดไหน”
“กูจะรู้ได้ไง...มึงเนียนไปหมดทุกอย่างเลยนี่”
“...”
“ทำเป็นไม่ชอบกู ทำเป็นไม่สนใจกู”
“ลึกๆ มึงก็คงรู้แหละว่ากูชอบ...ไม่งั้นมึงคงเลิกตามกูไปนานแล้ว”
“นั่นสินะ” ผมยิ้ม “ใครจะรู้ใจมึงเท่ากูอีกล่ะ”
นัยน์ตาของกล้าสั่นระริก...มันจ้องมองมาที่ผมพร้อมกับถอนหายใจ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรในใจมากกว่าสิ่งที่มันพูดและก็แสดงออก...
ผมจะปัดความรู้สึกกังวลของผมทิ้งไปก่อน
“ไปโรงยิมกันเถอะ” กล้าชวน
“หา...เราเข้าไปได้เหรอ” ถ้าผมกับมันเป็นศิษย์ปัจจุบันผมก็คงมีความมั่นใจมากกว่านี้
“ได้สิ”
“ถ้ามันล็อกล่ะ”
“กูมีทางลับ”
“ถ้าทางลับของมึงถูกปิดไปแล้วล่ะ”
“โอ้ย ไอ้คุณชาย...มึงแค่ตามกูมาและก็หุบปากซะ”
ยอมก็ได้...ที่ผมถามเพราะผมแค่อยากให้มันตระหนักถึงเรื่องที่เราอาจถูกจับได้ต่างหาก แม้ว่าเราจะเป็นศิษย์เก่า แต่ใช่ว่าน้ายามที่นี่จะเมตตาเราตลอดเวลา
[ มีต่อนะคะ ]