Our Love No.17
ใจผมร่วงไปอยู่แทบเท้า ผมศึกษาข้อมูลมา บางคนจะมีก้อนลักษณะเดียวกันนี้แหละ
ผมทำหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ นึกภาพตัวเองหัวโล้น คิ้วโล้น เพราะต้องให้คีโมหรือผ่าตัด บางคนฟันร่วงหมดปาก ไหนจะค่าใช้จ่ายอีก
พี่หมอทำหน้าฉงน คิ้วขมวด นางพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ ก็ทำหน้าแปลกใจพอกัน พี่หมอไล่ดูรอบท้องผม ส่องชัดๆ ตรงไอ้ก้อนเนื้อนั่นแหละ
“ผมเป็นอะไร” ผมถามเสียงเครือ พี่หมอมองหน้าผม แต่ยังไม่พูดอะไร วนดูอีกรอบ
“คุณอ่อน รบกวนไปเชิญคุณหมอรัตนามาห้องนี้ที ถ้าคุณรัตนาไม่สะดวก เรียกหมอแป้งก็ได้ หรือถ้าไม่มีเรียกหมอสูติมาสักคน”
“ค่ะๆ”
ผมมองตามพี่นางพยาบาลที่เดินออกไป หันมามองหน้าพี่หมอ พี่หมอยังไม่พูดอะไร ทำหน้าซีเรียส คิ้วขมวด ไล่วนดูไปรอบๆ มือคลิกเซฟเก็บภาพเบื้องหน้าไม่หยุด ไม่ถึงเจ็ดนาทีพี่นางพยาบาลคนเดิมก็โผล่เข้ามาอีกรอบพร้อมหมอผู้หญิงที่ดูยังเด็กอยู่ ผิวขาวจั๊วะ ตัวเล็กนิดเดียว
“คะ หมอภาค?”
“รบกวนหมอแป้งช่วยดูนี่ให้ผมหน่อย ใช่แบบเดียวกันกับที่แผนกคุณตรวจเจอประจำหรือเปล่า”
“ค่ะ” คนที่ชื่อหมอแป้งเข้ามาดูใกล้ๆ พอเห็นก็ทำหน้าตกตะลึง มองหน้าผม ก้มมองรายละเอียดบนแฟ้มคนไข้
“ผู้ชายจริงๆ เหรอคะ”
“ใช่”
“ขอแป้งดูหน่อยค่ะ”
พี่หมอลุก หมอแป้งทิ้งตัวลงนั่งแทนที่ จับเครื่องอัลตราซาวน์ทำแบบเดียวกับพี่หมอภาค
“พระเจ้า” พี่หมอแป้งทำหน้าตื่นเต้น
“อย่าเพิ่งพูดอะไร” พี่หมอเตือนพี่หมอแป้ง
ผมจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ภคินโผล่หน้าเข้ามา น้ำตาผมร่วงทันที แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้พูดคุยอะไรกัน พี่หมอก็ลากภคินออกไป
“ผมเป็นอะไรครับ มะเร็งเหรอ”
ตอนนี้ในห้องเหลือผม พี่หมอแป้งกับพี่นางพยาบาลที่ชื่ออ่อนเท่านั้น ทั้งคู่มองหน้ากัน ทำหน้าแบบไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
“เดี๋ยวรอให้หมอภาคเป็นคนบอกรายละเอียดนะคะ ทำใจให้สบาย ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่เป็นเคสพิเศษนิดหน่อย.. เดี๋ยวแป้งจะไปคุยกับหมอภาคหน่อย ฝากพี่อ่อนดูแลด้วย” ประโยคหลังหมอแป้งหันไปคุยกับพี่พยาบาล
“ค่ะ”
ผมหันกลับมามองพี่อ่อนอีกที
“อย่าร้องนะคะคนดี ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก มะ ขอพี่ทำความสะอาดให้ก่อน” พี่อ่อนรีบเอาผ้ามาเช็ดหน้าท้องให้ พยุงผมลุกขึ้นนั่ง
“คุณอ่อน พาคนไข้กลับเข้าห้องพักไปก่อนนะ แล้วผมจะตามไป”
“ค่ะ” พี่อ่อนพาผมลงไปนั่งรถเข็นตามเดิม เข็นออกจากห้องอัลตราซาวด์ ผมมองตามภคินตาละห้อย มันมองผมอยู่เหมือนกัน คงอยากเข้ามาคุยด้วย แต่ติดตรงที่พี่หมอยังรั้งมันไว้อยู่
“ทำจิตใจให้สบายนะคะ พยายามอย่าเครียด”
ผมพยักหน้า นั่งคอยด้วยความวิตก ปวดท้องขึ้นมาอีกแล้ว ผมรีบหยิบเสื้อภคินมาดมทันที อย่างน้อยมันก็ช่วยได้
ผ่านไปเป็นชั่วโมงภคินถึงได้เดินทำหน้าอึนๆ เข้ามาหา สีหน้ามันตอนนี้ผมอธิบายได้อย่างเดียว
…โคตรประหลาด…
“สรุปกูเป็นอะไรภคิน มะเร็งหรือเปล่า”
มันเดินเข้ามาใกล้ สวมกอดผมแน่น
“ภคิน…” ผมเรียกมันเหมือนจะร้องไห้ มันจูบแก้มผมเบาๆ ไล่ไปที่หัว แล้วมาจบที่ปาก แนบจูบแรงอย่างกับปลาดูด
เสียงประตูเปิดออก ได้ยินเสียง ‘อุ๊ย’ ของพี่อ่อน ภคินถอนปากออก ผมใจหายวาบ เพราะด้านหลังพี่อ่อนเป็นพี่หมอภาคกับพี่หมอแป้ง
พี่หมอดูตะลึงไป แต่ไม่ว่าอะไร พอๆ กับพี่หมอแป้ง เดินตรงเข้ามาหา
“ตอนนี้หมอยังไม่สามารถคอนเฟิร์มโรคให้แน่นอนได้ ขอหมอตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมก่อน แต่ไว้ใจได้…” พี่หมอเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มอ่อนโยน “ไม่ได้เป็นมะเร็งแน่นอน เอาละ ขอหมอซักประวัติก่อน”
ผมพยักหน้า
“จากประวัติ เริ่มมีอาการอ้วกช่วงเช้าๆ เมื่อสองถึงสามสัปดาห์ก่อน”
“ครับ”
“อาการข้างเคียงคือหน้ามืด วิงเวียน การรับรสเปลี่ยนแปลงเช่น เบื่ออาหารบางอย่าง อยากอาหารบางอย่าง”
“ครับ”
“รวมถึงต่อมรับกลิ่นด้วย”
“ครับ ผมเหม็นไปหมดทุกอย่าง เอ่อ... ยกเว้นกลิ่นตัวภคิน”
พี่หมอแป้งกับพี่อ่อนมองหน้ากันยิ้มๆ พี่หมอกระแอมไอเบาๆ หลักฐานคาตา เพราะตอนนี้ผมยังมีเสื้อเครื่องรางของภคินอยู่แนบตัว
“ส่วนอาการปวดท้องเพิ่งเริ่มวันนี้ สาเหตุก่อนหน้าที่จะปวดล่ะ”
ผมนั่งนึก
“ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างขี่จักรยานกับเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ อันไหนคือสาเหตุ แต่พอกลับมาถึงหอมันก็ปวดเลย ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้กินอะไรแปลกๆ เข้าไปนะ”
“ตอนนี้ล่ะ”
ผมลองจับท้องตัวเองดู เจอภคินดูดปากเข้าไปเมื่อกี้เหมือนอาการปวดจะหายไปเลยครับ
“ไม่ปวดแล้วละครับ”
“อืม ขอสอบถามถึงเรื่องส่วนตัวอื่นๆ หน่อยนะ ไม่ต้องอายหมอ มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ กับผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ผมอ้าปากค้างกับคำถามแปลกๆ นั้น หน้าร้อนผ่าว
ภคินกระแอมไอ
“บอกหมอไปตามตรงน่าน”
ผมอึกๆ อักๆ อ้อมแอ้มบอก
“สองเดือนก่อนครับ”
“ระบุวันที่ได้ไหม”
“เอ่อ ครับ วันที่ 1 เดือน…พอดี”
“หญิงหรือชาย”
“เอ่อ.. ผู้ชายครับ” ผมเหงื่อแตกซิก ทำไมต้องถามแบบนี้ด้วย
“ก่อนหน้านี้เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนไหม”
“ไม่ครับ”
“ยังไม่เคยมีแฟน?” พี่หมอเลิกคิ้วถาม ผมส่ายหน้า พี่หมอยิ้ม จดยิกๆ “เอาละ เดี๋ยวพี่หมอขอตรวจทวารหนักของเราหน่อยนะ”
ผมอ้าปากค้าง
“ไม่มีอะไรน่ากลัว แค่ประกอบการวินิจฉัยเท่านั้น เดี๋ยวให้พยาบาลพาไปเตรียมตัว เรียบร้อยแล้วหมอจะเข้าไป”
แล้วพี่อ่อนก็พาผมตรงไปยังห้องตรวจแถวๆ แผนกสูตินารีเวช
แหม การเข้าตรวจทวาร มันไม่ใช่ว่าเข้าไปแล้วจะตรวจได้เลย ผมต้องทำการสวนทวารเพื่อทำความสะอาดภายในให้เรียบร้อยก่อน
…ทะลุทะลวงครับ
สะอาดเกลี้ยงเกลาไปถึงลำไส้ขดใน เดินก้นโล่งขาถ่างนิดๆ ไปนอนบนที่ตรวจขาหยั่ง
โอ้โห เคยเห็นเฉพาะภาพที่ผู้หญิงตรวจภายใน
…โคตรอายบอกไว้เลย
พี่หมอเดินเข้ามาพร้อมพี่หมอแป้งกับพี่อ่อนอีกเช่นเคย คืออายมาก มานอนเปิดก้นเปิดไอ้นั่นให้หมอดูนี่ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด
ขาผมแยกกว้างบนขาหยั่ง พี่หมอสวมผ้าปิดปาก สวมถุงมือ แล้วจัดการทะลวงรูก้นผม
…น้ำตาจะไหล…
ผมนอนกัดปาก ไม่เจ็บหรอกครับ มันเย็น ที่เหลือเป็นความอายล้วนๆ สองคนนั้นรุมเข้ามาดูพร้อมกัน
“เหนือต่อมลูกหมากนั่น”
“อืม”
แล้วเขาก็คุยกันเบาๆ เหมือนปรึกษาหารือกันมากกว่า
ช่วยไปปรึกษากันที่อื่นได้ไหมครับ ไม่ใช่ก้นผม
ไม่ส่องเฉยๆ ยังเอาเครื่องมืออะไรไม่รู้มาเขี่ยๆ แคะๆ แงะๆ ผมพยายามกัดปาก เพราะบางทีมันก็ไปถูกต่อมตรงนั้นเข้าจนสะดุ้งเผลอครางออกมาก็หลายรอบ
“ตอนนี้มันปิดอยู่ อะไรเป็นตัวกระตุ้นให้มันเปิดคะ”
“อาจเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติเวลาความต้องการถูกระตุ้นจนถึงระดับหรือไม่ก็อาจจะเกิดจากการเสียดสีมากๆ ก็เป็นได้ ซึ่งการขับถ่ายธรรมดาจะไม่มีผลต่อการเปิดของจุดนี้”
แล้วเขาก็บ่นงึมงำอะไรกันอีก ฟังไม่ค่อยถนัดหรอก เขาใส่ผ้าปิดปากด้วย คุยกันเบาด้วย
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง สองหมอถึงได้ดึงเครื่องมือออก
“พี่หมอจะขออัลตราซาวด์อีกรอบนะ”
ผมพยักหน้า พี่อ่อนช่วยทำความสะอาดแล้วพาผมกลับไปห้องอัลตราซาวด์ห้องเดิม
ทำทุกขั้นตอนเหมือนเดิมครับ สองคนช่วยกันวิเคราะห์ พูดคุยปรึกษากันเบาๆ ผมมองเจ้าก้อนน้อยๆ นั้น
…มันคืออะไรกันแน่…
“เรียบร้อย จะให้คุณอ่อนพากลับไปรอที่ห้องเดิมนะ”
“ยังบอกไม่ได้เหรอครับว่าคืออะไร”
“รอให้หมอแน่ใจก่อน”
ผมพยักหน้ารับอีกที พี่อ่อนพาผมกลับไปไว้ห้องเดิม ภคินลุกจากโซฟาเข้ามาหาทันที
“หมอยังไม่ยอมบอกกูเลยว่าเป็นอะไร”
“รอหมอวินิจฉัยให้ละเอียดก่อนละกัน”
ผมถอนหายใจแรง
“อะไรก็ได้ ขออย่าเป็นมะเร็งละกัน กูไม่มีเงินรักษา”
ภคินพาผมขึ้นไปนั่งบนเตียง จูบหน้าผาก จับมือผมยกขึ้นจูบ
“กูดีใจฉิบหาย”
“ดีใจอะไรวะ ดีใจที่กูป่วยเนี่ยนะ โดนพี่หมอกับพี่หมอแป้งส่องตูดอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง อายจนเลิกอาย”
มันหัวเราะแล้วคลี่ยิ้ม ส่วนผมหน้าหดลง
“กูกลัว...”
“ไม่ต้องกลัวหรอก พี่หมอเขาพอรู้แล้วว่ามึงเป็นอะไร เพียงแต่ต้องการตรวจให้ละเอียดเพื่อให้มั่นใจมากขึ้นและกันการผิดพลาดเท่านั้น”
“เหรอ” ผมเบาใจขึ้นมาหน่อย “ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงแน่นะ”
มันส่ายหัว
“ไม่หรอก รับรองได้”
ผมพ่นลมหายใจแรง
“แล้วเรื่องปิ่นแก้วล่ะ” ผมถามถึงสิ่งที่คุยกันค้างไว้ก่อนผมจะเข้าห้องตรวจ สีหน้าหม่นลง
“เรื่องลูกของมึง”
มันนิ่งไป จูบหน้าผากผมอีกรอบ
“เขาท้องจริงๆ ใช่ไหม”
“อืม สองเดือนแล้ว”
ผมใจหายวูบ สวมกอดมันแน่น กลัวจะไม่มีโอกาสได้กอดมันแบบนี้อีก
“มึงจะทำยังไงต่อไป” ผมไม่กล้าวาดฝันอนาคตเลย ถ้ามันไม่แต่งงานกับปิ่นก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กคนนั้น
…แต่ผมกลัวจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
“กูจะเลิกกับปิ่น”
ผมเงยหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แล้วลูก…”
“อันนั้นเดี๋ยวว่ากันอีกที คงไม่เอาเด็กออก”
“คนเขาจะไม่ว่ามึงเหรอ”
“ถึงกูแต่งงานกับปิ่น แต่ถ้าเขาไม่ไว้ใจกู อนาคตยังไงก็ต้องหย่าอยู่ดี”
ก็จริง สู้ไม่ต้องแต่งมันตั้งแต่ต้นดีกว่า
“แต่กูสงสารลูกมึง”
“ระหว่างให้เด็กเติบโตมาเห็นพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน กับเติบโตมาเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน มึงเป็นลูกมึงจะเลือกแบบไหน”
“อย่างแรกดีกว่า ดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า คนในหมู่บ้านกูปามีดใส่หัวกันทุกวัน ลูกโคตรสตรอง”
มันหัวเราะร่วน
“กูบอกอะไรให้อย่างนะน่าน…”
“หือ?...ว่า…” ผมมุดหน้ากับอกมัน ไซ้ไปไซ้มา เอามือมันมาวางไว้บนหน้าท้อง ลูบเบาๆ “อะไรเหรอ” ผมถามมันอีกรอบ “ลูบก้อนไขมันให้กูหน่อย เวลามึงลูบแล้วกูรู้สึกดี”
มันดึงผมลงไปนั่งบนโซฟาด้วยกัน มันนั่งก่อน จับผมนั่งแทรกระหว่างขา เอามือวางไว้บนหน้าท้องอย่างอ่อนโยน
…ผมเคลิ้มให้ตาย
“อะไร” ผมถามเป็นหนที่สาม
“เปล่าไม่มีอะไร รอให้กูแน่ใจกว่านี้ก่อน เดี๋ยวบอกอีกที”
“อืม” ผมนั่งให้มันลูบท้อง ถ้าผมเป็นแมว ป่านนี้คงสะบัดหางไปมาด้วยความเพลิดเพลินแล้ว
“ลืมมือถือไว้ที่ห้อง ป่านนี้ไอ้ไก่ไม่โทรหาสายไหม้ไปแล้วเหรอ”
ภคินหยิบมือถือตัวเองมาเปลี่ยนการตั้งค่าออกจากโหมดเครื่องบินแล้วยื่นให้ ผมรับมากดโทรหาเพื่อนทันที กลัวมันเป็นห่วงแล้ว
บุกไปถึงห้อง
ดังไม่กี่ตู๊ดไก่ก็รับสาย
[ไอ้ภคิน! ปิดมือถือทำไมวะ กูติดต่อน่านไม่ได้เนี่ย โทรไปแต่มันไม่รับสาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กูกำลังจะไปหามันที่หอเนี่ย กำลังจะถึงแล้ว”
ผมเดาผิดซะที่ไหน
“ไก่ นี่กูเอง”
[ไอ้น่าน! หายไปไหนมา ทำไมไม่รับสาย พวกกูโคตรเป็นห่วง กำลังจะไปหามึงที่หอ นี่ใกล้จะถึงแล้ว]
“ตอนนี้กูอยู่โรงพยาบาลของภคินมัน ปวดท้องกะทันหันน่ะ”
[อ้าวเหรอ ตรวจรึยัง หมอเขาว่าไง]
“ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่หมอบอกว่าไม่ใช่โรคมะเร็งหรือโรคร้ายแรงอะไรทั้งนั้น”
[เหรอ ดีแล้วล่ะ แล้วนี่จะกลับบ้านเลยหรือต้องนอนโรงพยาบาลต่อ]
ผมเงยหน้ามองภคิน
“มันถามว่ากูต้องนอนนี่หรือกลับบ้าน”
“นอน มาเยี่ยมได้ มีข่าวดีจะบอกด้วย”
“หะ เอ้อ ภคินบอกว่ากูต้องนอนโรง’บาล มันบอกว่ามีข่าวดีจะบอกด้วย ข่าวดีอะไร” ประโยคหลังผมหันไปถามภคินอีกรอบ
“ยังไม่บอกจนกว่าพวกมันจะมา”
“เออๆ มันจะบอกตอนมึงมา เค ห้อง C1707 ตึกพิเศษ แล้วเจอกัน”
“ข่าวดีอะไร บอกกูหน่อย” ผมถามอีกรอบหลังวางสายเพื่อน
ยังไม่ทันที่มันจะได้ตอบ พี่อ่อนก็เข้ามาตามไอ้ภคิน
“เดี๋ยวมา”
ผมนั่งจ๋องคอย ผ่านไปราวๆ ยี่สิบนาทีภคินถึงได้เดินกลับมา มีคนมาเพิ่มอีกหนึ่ง ผมรีบยกมือไหว้ทันที
“สวัสดีครับ”
พ่อของภคินมันครับ หล่อต้นแบบ อายุเยอะแล้วแต่ยังดูหนุ่มอยู่ ท่านยิ้มสุขุม
“พักผ่อนเยอะๆ อย่าเครียด แล้วอาจต้องมาโรงพยาบาลบ่อยหน่อย ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นเดี๋ยวหมอภาคจะอธิบายให้ฟัง”
ท่านมาทักทายแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป
“เดี๋ยวกูไปคุยกับพ่อและพี่ก่อน จะกลับมาหาอีกที”
“อืม”
พอมันไป ไก่กับวัฒน์ก็โผล่เข้ามา
“เป็นไงบ้างมึง” วัฒน์ถามขึ้นมาก่อน
“หายปวดท้องแล้ว รอหมอแจ้งอาการอีกที แต่เขาว่าไม่ได้เป็นมะเร็งหรืออะไรร้ายแรงนะ”
“เหรอ ดีแล้ว ดอมกำลังตามขึ้นมา ธนากับทรายอยู่บนทางด่วน” บ้านหลักของครอบครัวทรายอยู่แถวบางนา คงใช้เวลานานกว่าจะมาถึงฝั่งธนนี้
“ภคินล่ะ” ไก่ถามขึ้นมาบ้าง
“ไปคุยกับพี่หมอและพ่อมันอยู่”
โทรศัพท์ไก่ดังเบาๆ มันรีบกดรับสาย
“ถึงแล้วเหรอ จะให้พี่ลงไปรับหรือจะขึ้นมาเอง โอเค ห้อง C1707 ชั้น 17” มันกดวางสาย “ใบเฟิร์น เขาอยากมาเยี่ยมมึง”
“ขอบใจพวกมึงมาก”
แผล็บเดียวก็มีคนมาเคาะห้อง ใบเฟิร์นโผล่มาพร้อมดอม ในมือใบเฟิร์นมีกระเช้าของบำรุงสุขภาพ
“ขอบใจนะ”
“หายเร็วๆ นะคะพี่น่าน”
ผมยิ้มรับไมตรี ใบเฟิร์นเอากระเช้าไปวางไว้บนโต๊ะ พูดคุยถามไถ่ถึงที่มาที่ไปที่อยู่ๆ ผมก็มานอนแบ็บอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ ผมเล่าให้ฟังตามจริง ครึ่งชั่วโมงถัดมาธนากับทรายก็โผล่
ผมรีพีตให้สองคนนั้นฟังอีกรอบ ตลอดเวลาที่เพื่อนๆ อยู่ ภคินยังไม่โผล่กลับมา ผมบอกพวกมันว่าพบก้อนเนื้อแปลกๆ ที่ท้องด้วย แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
“ทำใจให้ดีๆ ละกัน ภคินมันไม่ปล่อยให้มึงเจ็บตัวนานหรอก เป็นได้ก็หายได้” ไก่ปลอบใจ
ผมยิ้มรับ กระทั่งใกล้หมดเวลาเยี่ยม ภคินถึงได้กลับเข้ามาอีกครั้ง
“ไหนอ่ะ ข่าวดีที่จะบอก” ผมทวงทันที
“ยังบอกมึงไม่ได้ ยกเว้นไอ้พวกนี้ ใกล้หมดเวลาเยี่ยมแล้ว เดี๋ยวกูไปส่งไอ้พวกนี้ก่อน แล้วจะรีบกลับมา”
“อะไรวะ” ผมงอแงใส่
บอกคนอื่นได้ แต่บอกกูไม่ได้เนี่ยนะ!
มันไม่อยู่ให้ผมซักไซ้ ต้อนเพื่อนๆ ออกจากห้อง ทิ้งผมไว้คนเดียว รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงมันก็กลับมา
“ทำไมต้องปิดบังกูแค่คนเดียวด้วย ทั้งเรื่องข่าวดีที่ว่า ไหนจะเรื่องโรคที่กูเป็นอีก มึงรู้ใช่ไหม บอกกูก่อนไม่ได้เหรอ เวลาคุยกับหมอ กูจะได้ไม่ช็อกตาค้างไป”
“ให้หมอเป็นคนบอกดีกว่า เขาจะอธิบายสิ่งที่เป็นได้ดีกว่ากู ขืนกูบอกมึงไปตอนนี้ มึงสงสัยอะไรขึ้นมากูคงให้คำตอบไม่ได้”
…ก็จริง
ผมเม้มปากแน่น
“ไม่ร้ายแรงแน่นะ”
“ไม่ แต่อย่าตกใจเกินไปก็พอ ไม่ต้องห่วงหรอก กูจะอยู่ข้างๆ มึงเสมอ”
ผมยิ้มเบาใจ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย ฟรีทุกอย่าง”
ผมคิ้วขมวด
“จะดีเหรอวะ” แต่ถ้าให้ผมจ่ายจริง ขอโทษเถอะ เฉพาะห้องพิเศษที่ผมนอนอยู่นี่คืนหนึ่งกี่พันเข้าไปแล้ว
“แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ เดี๋ยวกูอาบน้ำก่อน จะมานอนด้วย”
เตียงคนป่วยที่นี่กว้างมาก นอนสองคนได้สบาย มันใช้เวลาอาบน้ำแผล็บเดียวก็ออกมา
มันขึ้นมานอนข้างๆ กอดผมไว้เบาๆ ผมทำจมูกฟุดฟิดเพราะไม่ชินกลิ่น
“เสื้อใคร”
“เสื้อพี่ภาคน่ะ กูไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ทำไม เหม็นเหรอ”
ผมทำจมูกบู้บี้ มันขยับลุกนั่ง ถอดเสื้อออกเหลือไว้แค่กางเกงตัวเดียว
“แล้วแบบนี้ล่ะ” มันขยับเข้ามากอดอีกรอบ ได้กลิ่นผิวเนื้อจางๆ ของมัน ต่อให้ใช้สบู่ของทางโรงพยาบาล แต่กลิ่นผิวเนื้อยังเป็นของมันอยู่ดี ผมซุกจมูกสูดดม กลิ่นนั้นทำเอาผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มผ่อนคลาย
“หอม…” ผมบอกเสียงยาน
“หลับเถอะคนดี พรุ่งนี้มึงจะได้ฟังข่าวดีแน่ๆ”
“อืม” แล้วผมก็หลับไปง่ายๆ แบบนั้น
Tbc.
ีรอข่าวดี
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ
#ผมท้องกับเพื่อน