20
[/b]
“ก็สไตล์มันไม่ได้ไง”
“แต่ตอนนี้ก็ต้องหาคนแทนไปก่อน มีแค่กีตาร์กับเบสจะซ้อมยังไง”
“เปิดเทปมะ เอาที่เคยอัดของไอ้เตไว้มาเปิดละเล่นตามงี้”
“...”
“เฮ้ย กูว่าได้”
“ทำไมเจดดื้ออ่ะ”
“เอ๊า...” แทนที่ถูกดุแล้วจะสลด ไอ้พี่เครากลับหัวเราะ แต่พอเงยหน้าขึ้นจากโมเดลเห็นหน้าเจไดที่กอดอกขมวดคิ้วมุ่นก็อดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน
ท่าทางน่าแกล้งแบบนี้ถึงไม่มีใครเรียกว่าพี่ ทั้งที่เจไดเรียนอยู่เภสัชปีสี่ แก่กว่าผมกับไอ้พี่เคราอีก
สองคนนี้เถียงกันมาเกือบชั่วโมงเรื่องหาคนมาตีกลองแทนเพื่อนพี่เจดที่ไม่ว่างกะทันหัน แถมเพื่อนเจไดที่เคยชวนมาเทสต์ก็เล่นไม่เข้ากัน
“งั้นไม่ซ้อมแม่ง ขี้เกียจละ” สุดท้ายไอ้พี่เคราก็ตัดบท ถอดกีตาร์ออกจากไหล่ดื้อๆ จนอีกคนหน้าบึ้งกว่าเก่าถอนหายใจหนัก
“เราไปสูบบุหรี่ดีกว่า” ว่าแล้วก็ถอดเบสวางข้างกัน ควักบุหรี่เดินออกไปที่สวนอย่างไม่สบอารมณ์
ผมได้แต่ขำที่สองคนนี้เอาแต่ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ลุกขึ้นเดินไปหาพี่เจดที่หยิบบุหรี่ออกมาคาบพลางมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กกว่าไม่วางตา
“ไม่ง้อ?” ถือวิสาสะหยิบบุหรี่ในซองพี่เจดมาจุดสูบบ้าง
“เดี๋ยวค่อย” ไอ้พี่เครายักไหล่ พลางยิ้มขำ “เจมันน่ารักสุดเวลางอนนี่แหละ”
ผมหัวเราะเสียงดัง “มิน่า ชอบหาเรื่องทะเลาะกัน”
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจ ประมาณว่าคนหนึ่งตามจีบ ส่วนอีกคนก็กำลังเล่นตัวเพราะไม่เคยถูกใครจีบมาก่อนในชีวิต น่าตลกตรงที่คนออกตัวว่าจะเป็นฝ่ายจีบดันเป็นเจได... แต่เท่าที่ดูเหมือนจะเป็นไอ้พี่เคราต่างหากที่เป็นฝ่ายแพ้เขาทุกทาง
“แล้วไอ้เตอ่ะ”
“กลับบ้าน”
หลังออกจากโรงพยาบาล ทุกอาทิตย์จะมีคนมารับเขาไปบ้านใหญ่เพื่อคุยกับจิตแพทย์ประจำตระกูล แล้วอยู่กินข้าวเย็นที่นั่นต่อ... เป็นวิธีสานสัมพันธ์ของสองพ่อลูกที่ที่ผ่านมาแทบไม่ได้คุยกัน
“ตกลงมันจะไม่กลับมาตีกลอง?” เลิกคิ้วพลางเคาะบุหรี่ลงที่เขี่ยข้างตัว ผมสูดควัน ยักไหล่
“คงไม่”
“เสียดายสัด” ผมหัวเราะ พี่เจดบ่นเสียดายอยู่ทุกวันนับตั้งแต่พี่เตขอออกจากวงต่อให้แขนหายดี
เขาค้นพบมานานว่าลึกๆ แล้วไม่ได้ชอบมัน เหมือนที่เขาเลิกเล่นบาส... พี่เตกำลังตีตัวออกห่างจากอะไรก็ตามที่เคยทำเพื่อทดแทนตัวตนของพี่ชาย
อะไรก็ตามที่กัดกินอยู่ภายในใจเขามานาน
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เกลียดมัน เขาแค่กำลังพยายามหาทางกลับมาเป็นตัวเอง
“แต่มึงเคยบอกว่ามันเก่งทุกอย่าง” พี่เจดหันมาเลิกคิ้วถาม ดับบุหรี่ที่สูบถึงก้นกรอง
“อือ เขาเล่นได้หมดอ่ะ กีตาร์ เบส กลอง ตัวท็อปวิชาดนตรี” ในห้องถึงมีเครื่องดนตรีครบวง บางครั้งผมเห็นเขาหยิบกีตาร์โปร่งมาเกาเล่นเป็นเพลงไม่คุ้นหูที่น่าจะแต่งเอง
“งั้นมันคงไม่ได้เกลียดดนตรี” พี่เจดหัวเราะเบาๆ จบบทสนทนาดื้อๆ ด้วยการลุกขึ้นจากลำโพงที่ใช้ต่างเก้าอี้ เดินเนือยๆ ออกไปที่ระเบียง
ผมอมยิ้ม มองไอ้พี่เคราที่แอบย่องไปยืนซ้อนหลังคนหน้าบูดที่ระเบียง ทำเป็นล้วงกระเป๋าแล้วโน้มตัวเอาคางเกยหัวคนตัวเล็กกว่าจนเจไดหันมาโวยวายใส่ ก่อกวนจนใบหน้าบึ้งตึงกลับมาหัวเราะ ปิดท้ายด้วยการยอมให้ลูบเคราเล่น เป็นอันจบการง้อแบบเนียนๆ
งี้ไม่เรียกจีบแล้วมั้ง... คบกันแล้วนี่หว่า
ผมดับบุหรี่ เบือนหน้าหนีจากคนกำลังสวีท หันมาหยิบกีตาร์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ดีดเล่นแก้เบื่อ ตอนมอต้นเคยเห่อเล่นอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน แต่เลิกไปนาน จำไม่ได้สักคอร์ดด้วยซ้ำ พอไอ้พี่เครากลับมาเห็นผมเล่นสั่วๆ ก็หัวเราะใส่
“ห่วยสัด” ผมยักไหล่ กำลังจะคืนกีตาร์ให้ แต่ดันนึกอะไรขึ้นได้
“ป๊า” เงยหน้าขึ้นสบตาทำหน้าจริงจัง
“สอนเล่นกีตาร์หน่อยดิ”
ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และริมฝีปากหยุ่นที่กดลงมาบนหน้าผาก เปลือกตา ผิวแก้ม... ปลายจมูก ก่อนจะทาบลงมาบนริมฝีปาก
สัมผัสที่คุ้นเคย กลิ่นที่จำได้ดีว่าเป็นของเขา ทำให้ผมหลุดยิ้มก่อนลืมตาขึ้นมา สบตากับเจ้าของใบหน้าที่อยู่ห่างเพียงลมหายใจ
“มานอนอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางงับปลายจมูกผมเบาๆ
ผมหัวเราะ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอหลับบนลานซ้อมทั้งที่ยังมีกีตาร์อยู่ในอ้อมกอด หัวซุกอยู่กับพุงเปียกปูนที่หลับอุตุข้างกัน
“พิชญ์ง่วง” ปล่อยมือจากกีตาร์แล้วพลิกตัวกลับมาหนุนตัก กอดเอวหนาอย่างออดอ้อน
พี่เตหัวเราะเบาๆ ลากนิ้วเกลี่ยผมทัดหู หมุนต่างหูผมเล่นไปพลาง “กินข้าวยัง”
“ยังไม่หิว” ผมส่ายหน้า ถูจมูกกับหน้าท้องเขา กะจะอยู่แบบนี้อีกสักพัก แต่นึกได้ว่ายังไม่ได้อวดสิ่งที่ตั้งใจฝึกมาค่อนวัน
“หืม?” พี่เตเลิกคิ้วเมื่ออยู่ๆ ผมก็ลืมตา เงยหน้าสบตาเขาแล้วยิ้ม
“วันนี้ผมให้พี่เจดสอนกีตาร์” ลุกขึ้นหยิบกีตาร์มาวางบนตัก เอื้อมหยิบปิ๊กที่ทำหล่นอยู่ใกล้ๆ
“แป๊บนะ” ยกนิ้วเกาใต้ตามึนๆ เพราะเพิ่งตื่น นึกอยู่สักพักกว่าจะจำคอร์ดได้ ทาบนิ้วลงไปบนสายกีตาร์อย่างเก้กัง
เปียกปูนสะดุ้งตื่นตอนผมเริ่มดีดคอร์ดหนึ่ง เจ้าตัวเล็กสะบัดตัวนั่งจ้องผมที่ดีดกีตาร์เป็นจังหวะกระท่อนกระแท่นไม่ถึงนาทีก็วิ่งหนีไปคล้ายรำคาญ ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันจากร่างสูงที่ขยับตัวมานั่งซ้อนหลังโอบเอวผมพลางแกล้งงับหูเบาๆ
“เพลงอะไร” เอ่ยถามเมื่อผมเล่นจนจบ มันคงไม่ปะติดปะต่อเกินไปจนเขาจำไม่ได้
“ไม่รู้เหมือนกัน” หัวเราะให้กับความอ่อนหัดของตัวเอง เอี้ยวตัวกลับไปสบตาเขาก่อนเฉลย “ผมเคยได้ยินพี่เล่น”
“หือ?” พอเห็นเขาทำสีหน้าประหลาดใจผมเลยเปลี่ยนจากดีดกีตาร์เป็นส่งเสียงฮัมในลำคอ
“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” คิ้วเข้มเลิกขึ้นก่อนหลุดหัวเราะใส่ทำนองประหลาดที่เปล่งออกมา ผมพยายามฮัมเท่าที่จำได้ แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะ ยกมือยอมแพ้ “โอเค ช่างมัน”
พี่เตหัวเราะอีกรอบ ก่อนเอื้อมมือมาจับกีตาร์ทั้งที่ยังนั่งซ้อนหลังผมอย่างนั้น นิ้วเรียวทาบคอร์ดแล้วเริ่มเกาเป็นทำนองที่ผมเพิ่งพยายามจะเล่น
คราวนี้มันลื่นไหล เป็นเสียงเพลงที่ผมจำได้ว่าเขาเคยเล่นมัน
“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” ไม่วายฮัมเสียงล้อเลียน ผมแกล้งหันไปทำหน้าคาดโทษแล้วหลุดยิ้มออกมา อ้อมแขนแกร่งกอดเอวผมแน่น จูบโหนกแก้มไล่ขึ้นไปถึงขมับก่อนเอ่ยพึมพำ
“เคยแต่งให้วงภพเล่น” ผมร้องอ๋อในใจ เอี้ยวหน้ากลับไปถามคำด้วยคำพูดพี่เจด
“พี่ไม่ได้เกลียดดนตรีใช่ไหม”
เขาเลิกคิ้ว นิ่งคิดสักพักแล้วยักไหล่ “ไม่รู้เหมือนกัน”
ผมหรี่ตา พยายามคิดว่ามีอะไรอีกที่เขาชอบหรือไม่ชอบ หลายอย่างที่ผมเคยรู้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่อุบัติเหตุคราวนั้น
“พี่ไม่ชอบบาส ไม่ชอบกลอง ไม่แน่ใจว่าเกลียดดนตรีไหม...แล้วสถาปัตย์อ่ะ ชอบไหม”
เขามองผม ยิ้มขำกับท่าทางจริงจัง ก่อนยกมือเกลี่ยเส้นผมเบาๆ พลางฝังริมฝีปากลงมาที่ขมับอีกครั้ง
“อืม”
คำตอบทำให้ผมยิ้มกว้าง หมุนตัวกลับไปนั่งคร่อมตักเขายกแขนโอบรอบคอแกร่งทั้งที่ยังมีกีตาร์คั่นกลาง
“ดีจัง” เขายิ้มกว้างกว่าเดิม สายตาฉาบความเอ็นดูปนขบขัน
“มีอีกอย่างที่ผมรู้ว่าพี่ชอบ” ผมแกล้งหรี่ตา ตีหน้าจริงจังอีกครั้ง กระชับอ้อมแขนคลอเคลียปลายจมูกกับจมูกเขา
“ผมไง” เฉลยคำตอบที่ทำให้ร่างสูงชะงัก ย่นคิ้วล้อเลียน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแล้วทาบริมฝีปากลงมา แทรกเรียวลิ้นเล่นล้อกับปลายลิ้น ดูดดุด ขบเม้มริมฝีปากล่างคล้ายมันเขี้ยวก่อนผละออกไป
มือหนาดึงหน้าผมลงไปซบไหล่ เอียงซุกปลายจมูกลงกับกลุ่มผมแล้วจับโยกไปมาเหมือนเด็กก่อนกระซิบแก้คำ
“รักต่างหาก”
แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ผมได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ตัวเอง แต่คนที่กดรับคือเจ้าของอ้อมกอดที่เอื้อมมือข้ามฝั่งมากดรับให้ราวกับกลัวว่าเสียงมันจะรบกวน
“อือ... กู” เสียงทุ้มตอบรับปลายสายที่ได้ยินเสียงแว่วมาก็เดาได้ว่าเป็นใคร
“น้องหลับ”
หลุดยิ้มกับสรรพนามที่เขาใช้ ก่อนขยับขึ้นไปซบอกกว้าง เกยก่ายร่างกำยำใต้ผ้าห่มที่เปลือยเปล่าไม่ต่าง
ต้นขาเสียดสีกับกลางร่าง...ที่ตื่นตัวขึ้นมาเพียงสัมผัส
“หึ” เขาหัวเราะในลำคอกับความซุกซน แกล้งกดจูบหนักๆ ลงมาบนกลุ่มผม ขบเม้มใบหูเบาๆ
ฝ่ามือใหญ่ไล้ลูบตามแนวสันหลัง ก่อนเลื่อนต่ำลงสู่สะโพก แล้วนวดคลึงเอาคืนบ้าง
“อืม...” หลุดเสียงครางจนคนที่คุยโทรศัพท์อยู่ก้มลงมาจูบปิดปาก หูยังฟังปลายสายบ่นอะไรเหยียดยาวก่อนผละออกไปตอบคำถาม
“ไม่ว่าง”
พี่เจดคงโทรมาชวนไปไหนอีก แต่อย่างว่า วันนี้เรามีนัดแล้ว
“ธุระครอบครัว” ผมหัวเราะให้ข้ออ้างของเขาอีกครั้ง หรี่ตาขึ้นมามองเจ้าของเสียงทุ้มที่ยิ้มมุมปาก ก่อนตัดสาย โยนโทรศัพท์ผมไว้ข้างเตียง
“ธุระครอบครัว?” ผมแกล้งเลิกคิ้วล้อเลียนจนอีกคนหัวเราะเบาๆ มือที่เพิ่งว่างสอดเข้ามานวดท้ายทอยเรียกให้ตอบรับริมฝีปากที่แนบสนิทลงมา มืออีกข้างยังวุ่นวายอยู่กับสะโพกที่คงขึ้นรอยจากกิจกามก่อนหน้า...
และคงไม่วายช้ำยิ่งกว่าจากกิจกรรมเดียวกัน
จูบที่เริ่มรุนแรงทำให้ผมขยับกายสูงขึ้นไป เท้าแขนคร่อมร่างคนตัวโตกว่าไว้เพื่อให้เรียวลิ้นรุกล้ำได้ดั่งใจ พี่เตหัวเราะเบาๆ มือซนบีบเค้นและทำท่าจะแหวกรอยแยกสู่ช่องทาง
"ยังก่อน..." แต่เขาใจร้อนเกินไป ผมจึงหยุดการกระทำนั้นไว้ ดึงฝ่ามือใหญ่กว่ามาประสานนิ้วมือ
ถอนริมฝีปากอ้อยอิ่ง แกล้งไล้เลียริมฝีปากเขา เลื่อนลงงับปลายคางก่อนลากต่ำสู่ลำคอที่มีรอยสีกุหลาบจาง แต่เพราะ ‘ธุระครอบครัว’ ที่ว่าผมจึงตัดสินใจไม่ทิ้งรอยใหม่... เพียงกดจูบแผ่วเบา แล้วผละจากสู่ส่วนอื่นของผิวเนื้อแน่นตึง
จูบลงที่รอยแผลเป็นเล็กๆ เหนือไหปลาร้าที่อุบัติทิ้งเอาไว้ ไล้ลิ้นเลียสลับจูบลามเรื่อยยังร่องรอยเก่าที่ลากผ่านแผ่นอกถึงหน้าท้องกำยำ ฝากรอยจุมพิตทั่วทุกตารางนิ้ว... กระทั่งถึงส่วนกลางร่างกาย
แกล้งทอดสายตามองนัยน์ตาสีรัตติกาล ยกยิ้มยั่วเย้าให้เจ้าของร่างกายที่ยอมให้แทะโลมตามใจ
"หึ" มุมปากบางคลี่ยิ้มร้าย มือที่ว่างเอื้อมมาเกลี่ยเส้นผมเกะกะออกจากใบหน้า...
ไม่ต้องการให้ผมแม้สักเส้นบดบังนิ้วมือที่ค่อยๆ ประคองส่วนชูชันเอาไว้... แกล้งไล้ปลายนิ้วกับส่วนปลายจุดไฟปรารถนาให้แล่นลาม
ดวงตาสีรัตติกาลฉายความท้าทาย คล้ายเร่งเร้าให้ผมครอบครองไว้ จึงเปลี่ยนจากนิ้วเป็นแตะเรียวลิ้นลงไป... ลากผ่านความยาวจากโคน... สู่ปลาย... ไล้เรื่อยรอบแก่นกาย ชะโลมชุ่มด้วยริมฝีปาก
จิลครูดผ่านเนื้อร้อนจนสัมผัสได้... ราวยิ่งกระตุ้นให้ตัวตนคับขยาย
“อืม...” เสียงทุ้มกดต่ำในลำคอราวทรมานเมื่อผมรับเขาไว้ในโพรงปาก ดูดดุนพร้อมไล้ลิ้นวนกับส่วนอ่อนไหวซ้ำๆ ...ใช้หมุดเงินเล่นล้ออย่างซุกซน
“อา... คุณพิชญ์” ได้ยินเสียงขบกรามเคล้ากับเสียงแหบพร่าที่เรียกอย่างคาดโทษ คิ้วเข้มขมวด มือที่ประสานไว้กำแน่น นิ้วเรียวอีกข้างแทรกในกลุ่มผมขยุ้มจนเสียทรง ...คล้ายกำลังฝืนทนไม่ให้กดหัวผมต่ำลงไป หรือสวนสะโพกบังคับดั่งใจ
...กลายเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายอยากลิ้มลอง... อยากครอบครองทั้งหมดไว้
ผมเงยหน้าสบตาสีรัตติกาล ราวต้องการให้เขาช่วยเร่งเร้าด้วยสายตา ประกายร้อนแรงที่ส่งผ่านมา ผลักดันให้ค่อยๆ กดริมฝีปากลงไป... ครอบครองทีละนิด... กระทั่งกลืนกินทั้งหมดได้
ทีแรกมันอึดอัดจนน้ำตาไหล เมื่อตัวตนที่ขยายแทรกลึกถึงลำคอ ขยับริมฝีปากปรับตัวเชื่องช้าจึงเริ่มกิจกาม ดูดดุนพลางไล้เลียสะเปะสะปะ รูดรั้งเนิบนาบ ก่อนเร่งจังหวะ...
คล้ายกลืนกินได้ลึกขึ้นในทุกครั้งที่แทรกเข้ามา
“พิชญ์...” มือที่ขยุ้มผมกำแน่น แต่ยังฝืนทนไม่กดทึ้งตามใจ เสียงคำรามต่ำหนักเน้นเมื่อถึงช่วงสุดท้ายของความทรมาน
...ในที่สุดโพรงปากฉ่ำชื้นด้วยหยาดน้ำจนล้นทะลัก ผมช้อนสายตามองเขาขณะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมารอรับ แลบลิ้นรองก่อนใช้มือกอบกำรูดรีดหยาดข้นที่คั่งค้าง ดวงตาสีรัตติกาลฉายความกระหายชัด มองทุกการกระทำอุกอาจ ยิ่งยั่วให้อยากเย้าด้วยการค่อยๆ ตวัดลิ้นคืนกลับ... กลืนกินทุกหยดของเขาเข้าไป ลิ้มรสตัวตนที่ติดริมฝีปาก... กระทั่งเรียวนิ้วที่เหนอะหนะอย่างตะกละตะกาม
“หึ” มุมปากบางยกยิ้มร้ายอีกครั้ง ก่อนร่างทั้งร่างจะหลุดลอยด้วยแรงกระชากจากแขนกำยำ ถูกจับให้พลิกคว่ำก่อนทิ้งตัวโถมทับ
สะโพกถูกจับยก สัมผัสส่วนที่ยังขยายร้อนราวยังไม่ผ่านศึกสนาม ความเฉอะแฉะแนบนาบลงมากับรอยแยก... ถูไถความยาวกับปากทาง
"อื้อ..." แรงเสียดสีเพียงแผ่วเบากลับทำให้ร่างกายร้อนเร่า หลุดผวาเมื่อฝ่ามือหนาคว้าเอาตันตนที่ตื่นตัวไม่ต่าง แกล้งไล้นิ้วหยอกเย้า เร่งความกระสันซ่านจนแทบทนไม่ไหว เผลอขยับช่วงขาอ้ากว้างเปิดทางให้
“คุณพิชญ์...” แต่คนขี้แกล้งกลับไม่ยอมตอบรับความปรารถนาง่ายๆ โน้มใบหน้ากระซิบข้างหูท้าทาย
“ท้าหรือจริง”
เผลอกลั้นหายใจเมื่อเขาขยับให้ส่วนปลายจดจ่อคล้ายจะแทรกเข้ามา ก่อนทำท่าจะผละจากจนต้องเร่งตอบอย่างเอาใจ
“ท้า...” แหบพร่าจนไม่อาจเรียกเป็นคำได้
“หือ?” คนขี้แกล้งแสร้งทำหูตึง กระซิบถามย้ำพลางกดจูบผมแก้มร้อนจัดซ้ำๆ ฝ่ามือที่กอบกำความแข็งขืนขยับเนิบนาบชวนทรมาน
“พี่เต...” เรียกเสียงกระเส่า เอียงหน้าให้ริมฝีปากชิดหูแล้วเอ่ยคำตอบที่เขาต้องการ “พิชญ์ท้า”
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนริมฝีปากร้ายกาจจะกดจูบจาบจ้วง ตักตวงสัมผัสหวานก่อนผละออกยังผิวแก้ม ลากลิ้นเลียใบหูที่ไวสัมผัสจนบิดร่าง หลุดเสียงครางแผ่ว
“ชู่ว” เขาส่งเสียงปราม “...อย่าส่งเสียง”
...ก่อนจะรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำท้ายทาย ที่มีบทลงโทษแสนร้ายกาจ
“ถ้าคราง... พี่จะไม่ปล่อยให้พิชญ์พัก”
“...!” เพียงสิ้นคำ ตัวตนที่จดจ่อก็แทรกเข้ามาสุดทาง ไม่ทันให้ตั้งตัว
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกกระทั้นจุดกระสัน ซ่านเสียวจนสองแขนหมดเรี่ยวแรงทรุดฮวบลงกับเตียง ยกเพียงสะโพกที่ยังเชื่อมต่อกับความแข็งขืนที่กดลึกลงมาในร่าง
...กัดฟันแน่นสะกดกลั้นเสียงคราง ก่อนต้องอ้าปากค้างเมื่อเขาถอนทั้งหมดออกไปปล่อยให้ภายในเต้นตุบตอดรัดความว่างโหวงอย่างทรมาน
“หึ” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะอย่างพอใจ กดจูบใบหน้าที่อาบด้วยหยาดน้ำที่ไหลไม่รู้ตัว
ก่อนค่อยๆ แทรกตัวตนเข้ามาอีกครั้ง... สัมผัสทุกจังหวะของการบีบรัดอย่างเชื่องช้า
“เด็กดี” เมื่อสุดทางเขาแช่ค้าง กดจูบซับที่หางตา คล้ายว่าจะปราณีแต่วินาทีต่อมากลับร้ายกาจ
"...!" ส่วนร้อนถอนสุดก่อนแทรกเข้ามาอีกครั้ง... นวดซ้ำจุดกระสัน
หมดทางอดกลั้น เมื่อมือหนาเอื้อมมาจับคาง ก่อนแทรกนิ้วเข้ามาในโพรงปาก แทรกอยู่ระหว่างฟันไม่ให้ขบคมเขี้ยวหากัน เล่นล้อกับปลายลิ้นไปพลาง ขณะที่ส่วนล่างยังคงกระแทกกระทั้น เนิบนาบทว่าหนักเน้น
"อ๊ะ...!" ...ในที่สุดผมหลุดเสียงร้อง
คนใจร้ายหัวเราะเบาๆ กดจูบลำคอขบกัดลาดไหล่ราวให้รางวัล เรียวนิ้วในโพรงปากผละออกเมื่อยอมแพ้ราบคาบ เลื่อนลงต่ำสู่แผ่นอก บีบเน้นขับแรงอารมณ์
“อื้อ...” ส่วนอ่อนไหวยิ่งไวต่อสัมผัสด้วยห่วงเงินที่กลัดติ่งไต ชูชันพร้อมกระเพื่อมหนักด้วยความหวามไหว ยิ่งแพ้หมดรูปเมื่อฝ่ามืออีกข้างที่ยังกอบกุมตัวตนไว้เริ่มขยับอีกครั้ง
“อะ!... พี่เต...” ความกระสันซ่านแล่นปราบทั่วร่างราวประกายไฟลามเลียน้ำมันเมื่อถูกกระตุ้นจากทุกทาง
ช่องทางบีบรัดหนักหน่วงจนได้ยินเสียงคำรามต่ำ หยาดน้ำหล่อลื่นหลั่งให้ยิ่งกระแทกกระทั้นรุนแรง รัวเร็วและหยาบโลนด้วยแรงอารมณ์ เสียงผิวเนื้อกระทบเจือเสียงคราง ผสมความฉ่ำชื้น ปะปนจนไม่อาจแยก
"อา..." กระทั่งถึงปลายทาง...ราคะปลดปล่อยเปรอะที่นอน หอบกระชั้นทรุดลงหมดรูป ร่างหายกระตุกขณะยังโอบรับตัวตนของอีกคนที่ยังไม่ถึงฝั่งฝัน
“พิชญ์...” เพียงไม่นานเขาก็ถึงฝั่งตามมา ริมฝีปากร้ายเรียกให้หันหน้ากลับไปรับจูบร้อน แขนทั้งสองข้างรั้งผมไปนั่งทับตัก โอบรัดปลอบประโลมจนหมดทรมาน ก่อนวางร่างผมลงที่นอนอีกครั้ง ถอนตัวตนออกจากช่องทางฉ่ำน้ำ
ทว่าไม่ใช่เพื่อหยุดกิจกาม... เพียงปรับเปลี่ยนท่ารับในบทต่อไป...
ร่างของผมถูกพลิกกลับ หงายหน้าเผชิญร่างกำยำอีกครั้ง เรียวขายังคงอ้ากว้าง เข่าสองข้างถูกจับชัน... ชวนเชิญสู่ช่องทางหรรษาอีกครั้ง
รอยยิ้มร้ายผุดพราย ขณะก้มลงกดจูบต้นขาด้านใน ดูดดุนจนเกิดรอยไล่เรื่อยถึงรอยสักที่เชิงกราน บ่ากว้างสอดรับข้อพับขา วางไว้เช่นนั้นพลางเคลื่อนตัวขึ้นมา ลากจูบฝังรอยทุกตารางนิ้ว ทิ้งรอยทั่วผิว สู่ริมฝีปากที่เผยอรับจูบอ่อนหวาน
กระหวัดลิ้นตอบรับ โอบแขนรอบคอแกร่ง ก่อนจิกเล็บลงท้ายทอยเมื่อตัวตนให้ค่อยๆ แทรกเข้ามาในช่องทาง สมหายใจติดขัดเมื่อสัมผัสความคับแน่นอีกครั้ง
“บอกแล้วไง... พี่จะไม่ปล่อยให้พิชญ์พัก”
สิ้นเสียงกระซิบพร่า... เพลงรักบทใหม่เริ่มบรรเลง...
หนึ่งเพลงสำหรับหนึ่งท่าทาง ร้ายกาจสลับอ่อนหวาน... หยาบโลนสลับปลอบประโลม
เขาพาผมขึ้นสูงแล้วร่วงหล่นอยู่อย่างนั้นราวกลั่นแกล้ง หยาดราคะถูกรีดรดจนหมดร่าง อาบเต็มหน้าท้อง ปนเหงื่อที่ชะโลมกาย ช่องทางชื้นฉ่ำจนไม่อาจกักเก็บน้ำขุ่นขาวที่เติมเต็มเข้ามาซ้ำๆ ...เยิ้มหยดอาบต้นขา ทิ้งร่องรอยราคะชุ่มผ้าปูเตียง
กลิ่นสวาทคาวคลุ้ง... สองร่างโอบรัดเนิ่นนาน ผลัดกันขบกัด คล้ายจะเกาะเกี่ยวกลืนกินจนเป็นหนึ่งเดียว
“อีกรอบ...”
“อือ”
เราต่างซื่อสัตย์ต่อคำท้าทาย... เปล่งเสียงหนึ่งครั้งหมายถึงบทรักรอบใหม่
“พิชญ์ควบได้ไหม”
“หึ”
...สุดท้ายสลบไสลคาอกแกร่ง... หมดแรงร้องคราง
-มีต่อค่ะ-