[Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]  (อ่าน 176551 ครั้ง)

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ยิ่งอ่านก็ยิ่งเศร้า สงสารพี่เต อยากกอดพี่แน่นๆ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
 :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
โอ้ยยย โซฮอต โคตรรรร

ซับเลือดไม่ทัน ของใหม่มาอีกแล้ววววว

ฮือออ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
19


[ เตวิชญ์ ]

ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คนที่ผมเห็นหน้าเป็นคนแรกคือพ่อ...

ผมไม่คิดว่าจะเจอเขา แต่ตอนนี้ความรู้สึกสับสนมีมากกว่าตกใจ สมองมึนเบลอจนไม่อาจประมวลผลอะไรได้ในทันที

“น้ำ” เสียงทุ้มเรียบนิ่งเอ่ยพร้อมรินน้ำยื่นมาให้ ผมได้แต่อ้าปากงับหลอดเพื่อดื่มน้ำดับกระหาย ร่างกายหลายส่วนปวดระบมจนขยับแทบไม่ได้ โดยเฉพาะแขนซ้ายที่ถูกหุ้มด้วยเฝือกหนา

ภาพของเหตุการณ์ฉายเข้ามาในหัว ความรู้สึกของลมที่กระทบร่าง ความเร็วของรถที่ค่อยๆ ทะยานไปตามเส้นทาง ก่อนทุกอย่างจะพร่าเบลอด้วยไฟสว่างจ้าของรถอีกคันที่สวนเข้ามา...

ไม่มีการปะทะ...

แต่ผมรับรู้ได้ถึงแรงหมุนคว้างก่อนที่ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร มันรวดเร็วจนไม่อาจปะติดปะต่อ แล้วภาพทั้งหมดก็ดับวูบไป

“เดี๋ยวพ่อเรียกหมอ” ผู้ชายตรงหน้าดูกระอักกระอ่วนตอนเอ่ยออกมา ก่อนกดปุ่มเรียกพยาบาล

ไม่นานหมอก็เข้ามาตรวจร่างกายผม แจ้งอาการก่อนออกไป

ในห้องพักผู้ป่วยจึงเหลือเพียงผม พ่อ... และความเงียบงัน

“แก...” พ่อทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา คิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีเดียวกันฉายความกังวล

“ผมไม่เป็นไร” ผมให้คำตอบในคำถามที่ไม่ได้เอ่ย

พ่อคลี่ยิ้มจางๆ ใบหน้าที่เป็นต้นแบบของผมคลายความกังวลลงเล็กน้อย ก่อนกลับมาขมวดคิ้วใหม่ ...คล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ แต่ลังเลที่จะพูดออกมา แต่เมื่อเห็นสายตาตั้งคำถามของผม มือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงหยิบบางอย่างออกมา

...โพสต์อิทแผ่นเล็ก ที่ผมจำได้ดีว่าข้อความที่เขียนไว้คืออะไร

“เด็กคนนั้น... แฟนของแก เอามาให้”

เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

ผมรับโพสต์อิทที่มีร่องรอยของหยดน้ำเลอะตัวหนังสือหวัดๆ จนเลือน นึกถึงใบหน้าของคนที่ได้อ่านมันคนแรกแล้วรู้สึกปวดใจขึ้นมา... พิชญ์คงรู้แล้วว่าเจตนาของข้อความนี้คืออะไร

ผมตั้งใจบอกลา... เผื่อว่าจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอีกครั้ง

“พ่อ... ไม่รู้จะพูดอะไร...” น้ำเสียงทุ้มแหบสับสน บรรยากาศแสนอึดอัดทำให้ต้องปลดกระดมสูทตัวนอก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจดหว่างคิ้วท่าทางงุ่นง่าน

เขาไม่ได้แสดงท่าทางแบบนี้บ่อยนัก หน้าฉาก พ่อเป็นนักธุรกิจสุขุม เยือกเย็น เป็นผู้นำที่ใครเห็นก็ต้องเกรงขาม

แต่ผมรู้ว่าข้างในพ่อเปราะบาง... ไม่ต่างจากผม

“คราวก่อนก็ไม่ใช่อุบัติเหตุใช่ไหม” เงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาที่จ้องมามีร่องรอยของการแตกร้าว

“แกตั้งใจจะไป... เหมือนแม่...”

ผมไม่รู้จะตอบอะไร... น้ำเสียงที่ฟังดูเจ็บปวดของพ่อทำให้ผมได้แต่ก้มหน้ามองกระดาษในมือตัวเอง

ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาทั้งที่เคยคิดว่าคงไม่เป็นไร... เขาคงทำใจได้

“เพราะพ่อใช่ไหม”

คราวนี้ผมส่ายหน้า “เพราะผม...”

ก่อนจะนึกได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเอาแต่โทษตัวเอง

“ตอนที่ยังเด็ก... คุณกับผม...เคยสร้างอาณาจักรด้วยกันใช่ไหม”

ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามารื้อความหลัง... ไม่ใช่เวลาฟื้นความทรงจำที่ผมเคยลืมไป... ผมคิดว่าตัวเองยังเล็กมากตอนแม่เลือกจะเดินแยกทาง แต่ผมไม่ได้เด็กขนาดนั้น

ต้องขอบคุณอุบัติเหตุที่ทำให้ภาพหนึ่งฉายชัดมา... ภาพของห้องที่เต็มไปด้วยตัวต่อสีสันสดใส ก่อร่างเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีพ่อกับผมนั่งอยู่ข้างกันและกำลังสร้างบ้านสักหลัง เติมเต็มอาณาจักรของเรา

“ภพมีเครื่องดนตรี...” ภาพเลือนราง แต่คล้ายยังจำเสียงกระท่อนกระแท่นจากกลองชุดที่สูงท่วมหัวพี่ชาย

พ่อหัวเราะเบาๆ ผ่อนลมหายใจ นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงพลางปลดกระดุมเสื้อเพื่อผ่อนคลาย ดวงตาสีดำตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความหลัง

“ตอนอยู่อเมริกา ภพมีวงดนตรีที่เก่งมาก” ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา ไม่เคยเล่าถึงช่วงชีวิตหลังจากครอบครัวแยกทาง

เขาเจอเราหลังจากที่ภพจากไป ผมคิดว่าเขาควรรู้ไว้

“ภพคิดถึงคุณ” พี่ชายของผมจำทุกความสุขที่เคยมีได้... จำได้ว่าพ่อรักเขาแค่ไหน

พ่อไม่ได้เอ่ยอะไร แต่แค่สบตาผมก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะสื่อสารอะไร

“พ่อครับ...”

เอ่ยเรียกคำที่ไม่เคยใช้ ยิ้มให้สีหน้าตกใจ และดวงตาที่เป็นประกายเมื่อได้ยินคำนั้น คำที่ผมควรเรียกก่อนทุกอย่างจะสายไป... เหมือนที่ผมใช้คำว่าแม่ไม่ทัน

“ไม่ใช่ความผิดของพ่อ..."

...เราต่างต้องการการปลดล็อกความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในใจ

"ไม่ใช่ความผิดของเรา... ที่พวกเขาจากไป”

ให้เป็นความผิดของโลกใบนี้เถอะ ที่โหดร้ายเกินไป

“เตวิชญ์... พ่อเหลือแกคนเดียว” เนิ่นนานกว่าเสียงทุ้มแหบจะเอ่ยขึ้นมา คล้ายกำลังเว้าวอน

คำขอร้องที่ผมรู้ดีว่าคืออะไร

“ผมจะมีชีวิตอยู่” 

ร่องรอยยับย่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง เมื่อพ่อยิ้มออกมา ดวงตาทั้งสองข้างเคลือบด้วยหยาดน้ำ เช่นเดียวกับผมที่เริ่มมองเห็นภาพพร่าเลือน เพียงเอ่อล้น แต่ไม่ได้หยดลงมา... เราต่างรู้ว่าการร้องไห้เป็นเรื่องยากแค่ไหน ยังต้องเรียนรู้ที่จะระบายความรู้สึกในใจ เลิกปล่อยให้มันกดทับ กลายเป็นกำแพงความเจ็บปวดที่หนาแน่นจนยากที่จะทำลาย

ผมกับพ่อแทบไม่ได้เอ่ยอะไรกันอีกหลังจากนั้น เราไม่ใช่คนประเภทที่จะมานั่งเล่าความหลังเป็นฉากๆ เพียงมองหน้าแล้วยิ้มให้กันบางครั้ง ให้ความเงียบบอกเล่าทุกอย่างผ่านแววตา แบ่งปันความเจ็บปวด... กอบเก็บเศษแก้วขึ้นมาประกอบร่างใหม่อีกครั้ง

ไม่มีทางเหมือนเดิม... แต่รอยร้าวเตือนใจไม่ให้เราก้าวพลาด

ถึงเวลาต้องก้าวผ่าน...

“พ่อต้องไปแล้ว” เวลาผ่านไปพักใหญ่ พ่อก็ลุกขึ้นยืน ติดกระดุมเสื้อจนกลับมาดูเนี้ยบอีกครั้ง “พรุ่งนี้จะมาใหม่” มือหยาบย่น เอื้อมมาบีบไหล่ผมเบาๆ

ผมยิ้มรับ มองแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไป รูปร่างภูมิฐานที่ไม่เคยถูกกาลเวลาทำลาย

“พ่อครับ” ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกสิ่งที่ควรบอกไว้ ใบหน้าที่คงจะเหมือนผมในอีกสักสิบปีข้างหน้าหันกลับมามองนิ่ง รอฟัง

“ผมกำลังรักใครคนหนึ่ง...”

เอ่ยเพียงเท่านั้นมุมปากบางก็ยกยิ้ม... คงรู้ว่าผมหมายถึงใคร

“เป็นเด็กที่น่ารักมาก” ผมยิ้มตาม

“ครับ พิชญ์น่ารักมาก” สบตาพ่ออีกครั้ง... ดวงตาสีเดียวกันรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร “คราวนี้ผมจะรักษาไว้ให้ได้”

“...”

ในอดีตที่ผ่านมาเราทั้งคู่ต่างไม่กล้าเอื้อมมือออกไปกอดคนที่รัก

“จะไม่ยอมปล่อยมือ” แต่คราวนี้ผมจะพยายาม

หลังจากนี้ผมจะกอดพิชญ์ให้แน่น... ทะนุถนอมให้นาน... รักให้สมกับที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

“ต้องขอบคุณน้อง... ที่พาแกกลับมา” ผมยิ้มกว้างสบดวงตาที่ฉายชัดความเชื่อมั่น

...เชื่อว่าผมจะรักษาความรักครั้งนี้ไว้ได้








ตื่นมาอีกรอบผมถึงได้เห็นหน้าพิชญ์...

เด็กดีของผมดูโทรมลงถนัดตา สีหน้าโรยล้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมช้ำเหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนัก น้องแทบไม่เงยหน้ามองผมนับตั้งแต่เข้ามา

“ดีนะที่มึงไม่เป็นไรมาก หมอบอกว่าดูอาการอีกอาทิตย์ก็กลับบ้านได้” เจดเอ่ยด้วยน้ำเสียงโล่งใจ หลังจากเห็นผมยังลุกนั่งเดินเหินได้ นอกจากแขนหักที่เหลือก็ไม่หนักหนาสาหัสอะไร

ผมยิ้มตอบ สายตาจับจ้องร่างสูงบางที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ง่วนกับการจัดดอกไม้ใส่แจกันมาเกือบสิบนาที

น้องกำลังโกรธ ผมรู้ดี... การได้รู้ว่าคนที่นอนอยู่ข้างกันตัดสินใจจะจากไปตลอดกาลโดยทิ้งตัวเองไว้ข้างหลัง เป็นเรื่องเจ็บปวดเกิดบรรยาย

“แล้วนี่มึงไปทำอีท่าไหน คืนนั้นก็ไม่ได้เมานี่หว่า รถอีกคันบอกว่ามึงขับเข้าโค้งมาเร็วมาก ถ้าชนก็คงตาย” ได้ยินแบบนั้น พิชญ์ก็หันกลับมาสบตา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีน้ำตาลสวยสะท้อนหยาดน้ำที่เอ่อล้นขึ้นมา ผมจับจ้องดวงตาคู่นั้น เอ่ยคำที่ดังก้องอยู่ในใจ

“กูยังตายไม่ได้”

อยากขอโทษ... อยากอธิบาย... อยากให้น้องรู้ว่าผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก

“แต่...!” ยังไม่ทันจบคำ เจดก็ชะงักไป อ้าปากค้างเมื่อคนที่ยืนห่างออกไปสาวเท้ามายืนข้างๆ

พิชญ์หยุดตรงหน้าผม ดวงตาฉ่ำน้ำจ้องนิ่งงัน แววตาที่คล้ายจะปลอบประโลมมากกว่ากล่าวโทษ ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นประคองใบหน้าผมให้เงยหาก่อนประทับริมฝีปากลงมา... มอบรสจูบที่ผมโหยหา

“อ้าว หมาเลยกู” ได้ยินเสียงเจดกลั้วหัวเราะ กับการกระทำเหนือความคาดเดาของน้องรหัส แต่พิชญ์ไม่ได้ขยับออกไป กลับยิ่งเข้ามาใกล้รั้งใบหน้าผมเข้าหา บดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างไม่สนใจ

ผมเหลือบมองเจด ส่งสายตาไล่กลายๆ เจดยักไหล่ขบขันก่อนจะลุกไป ผมหลุดยิ้ม กลับมาโอบแผ่นหลังบางกอดกระชับจนร่างกายสัมผัสกัน ปรับองศาใบหน้าจนริมฝีปากแนบสนิท ก่อนหลับตายอมให้น้องจูบอย่างเอาแต่ใจ ลงโทษผมด้วยลิ้นร้อนร้ายที่เกี่ยวกระหวัด... สูบซับความหวานพร้อมแผดเผาในคราวเดียวกัน

พรากลมหายใจเนิ่นนาน กว่าจะยอมถอนจูบออก

“อุกอาจจริง” ผมเอ่ยล้อเลียน ยกมือเกลี่ยใบหน้าใสที่ผมแสนคิดถึง เจ้าของการกระทำอุกอาจกดมุมปากบึ้งตึงอย่างน่าเอ็นดู

“ผมรู้ว่าพี่ต้องการ” ผมหัวเราะเบาๆ กับน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าใช่ ผมต้องการ...

ทั้งจูบนี้... และเด็กคนนี้

"ผมคิดถึงพี่" น้องกลับมามองหน้าผมอีกครั้งพลางแตะหน้าผากลงมา ผสานลมหายใจคลอเคลียปลายจมูกให้รู้ว่ายังอยู่ข้างกัน หลับตาลงซึมซับสัมผัสแสนโหยหา

มีคำพูดมากมายอยู่ในหัวผม แต่กลับทำได้แค่ถอนใจ ดึงพิชญ์เข้ามาใกล้กว่าเดิมแล้วซบหน้าลงกับไหล่

“ขอโทษครับ” ผมไม่ได้หวังให้น้องให้อภัย เพราะรู้ดีว่าตัวเองเห็นแก่ตัวแค่ไหน

“เตวิชญ์...”

แต่พิชญ์ก็ยังเป็นพิชญ์... เด็กดีของผมที่ไม่ว่าผมจะทำเรื่องแย่ๆ แค่ไหนน้องก็ไม่เคยหนีไป

“ขอบคุณที่กลับมา”

ยังกอดผม ยังคงประทับริมฝีปากลงมาอย่างอ่อนโยน...

แม้รสจูบหวานล้ำจะขมปร่าด้วยน้ำตา

   






ผมใช้เวลาที่เหลือของวันเล่าให้น้องฟัง... อธิบายทุกอย่าง ตอบทุกคำถาม บอกทุกความลับโดยไม่จำเป็นต้องมีกติกาใดๆ ไม่ต้องมีเกมเชื่อมโยงเราไว้

หรือต่อให้มีผมก็แพ้... ผมแพ้น้องมาตั้งนาน
   
ผมไม่ได้เล่าเพื่อหวังให้พิชญ์เข้าใจ เพราะรู้ว่ามันยากจะเข้าใจ แค่อยากให้ได้รู้ในสิ่งที่เคยเก็บไว้ น้องตั้งใจฟัง ไม่ได้เอ่ยความเห็น แต่หยาดน้ำในดวงตาเอ่อล้นจนเห็นชัดในบ้างครั้งเรียกให้ผมดึงเข้ามากอดไว้ เอ่ยขอโทษซ้ำๆ ที่ทำให้เสียใจ
   
“อเมริกาไม่มีจริง” สิ่งแรกที่เอ่ยหลังจากได้ยินความจริงทั้งหมดกลับเป็นประโยคไร้เดียงสา จนผมต้องยื่นหน้าข้ามไหล่ จูบผิวแก้มคนที่นั่งซ้อนอยู่ตรงหว่างขาพลางยกมือขึ้นลูบเรือนผมประบ่าเบาๆ
   
“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว” ...ผมคงไม่กลับไปอีก
   
“พี่จะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหน” น้องเอี้ยวตัวกลับมาถาม สีหน้าจริงจัง
   
“อืม ไม่ไปแล้ว” ยืนยันพร้อมกดจูบที่ขมับอีกครั้ง ริมฝีปากบางจึงยิ้มออกมา หรี่ตาคาดโทษผมไว้
   
“พี่พูดแล้วนะเตวิชญ์ ถ้าหนีไปอีกผมจะไม่ให้อภัย” คำขู่แสนน่ารักทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือบีบจมูกรั้น ก่อนโอบไหล่กระชับให้ชิดเท่าที่จะทำได้

กดจูบซอกคอซุกจมูกซึมซับกลิ่นกายที่แสนหลงใหล แล้วให้สัญญา
   
“ครับ จะไม่หนีไปไหน”

   




แต่สิ่งที่ผมทำมันคงหนักหนาเกินกว่าจะทำให้ยอมเชื่อเพียงลมปากง่ายๆ
   
วันต่อมาผมได้ยินเสียงคนเข้ามาในห้องตอนอยู่ในห้องน้ำ เสียงฝีเท้าย่ำหนักก่อนจะได้ยินพิชญ์ตะโกนเสียงดัง
   
“พี่เต!” เปิดประตูออกมาผมเห็นพิชญ์ชะโงกหน้ามองหน้าต่าง สีหน้าหวาดหวั่นตกใจ
   
“พิชญ์” ผมเองก็ตกใจ ที่เห็นน้องตื่นตระหนกแบบนั้น ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างหันมามองผม ก่อนค่อยๆ สาวเท้าเข้ามา ยกมือไม้เก้กังเหมือนไม่รู้จะทำยังไง
   
น้องไม่กล้ากอดผมแน่น เพราะรู้ว่าแผลยังไม่หาย 
   
“เตวิชญ์...” สุดท้ายเพียงเอื้อมมือมาจับชายเสื้อผม กำแน่น สีหน้าเว้าวอน 

"..."

“อย่าไป...” น้ำตาเอ่อคลอก่อนค่อยๆ ไหล
   
“...”
   
“อย่าไปต่อหน้าต่อตา...” ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าร้องไห้อีกครั้ง เอื้อมมือรวบหลังบางมากอดไว้ กดทับแขนที่เจ็บอย่างไม่คิดสนใจ
   
“รู้แล้ว” กระซิบบอกพลางกดจูบหางตาไล่ลงมาที่แก้วเพื่อซับน้ำตาให้ “ขอโทษ”
   
“ฮึก...”
   
“ขอโทษครับ”

จูบซ้ำๆ จนกว่าน้องจะหยุดร้องไห้
   
วันนั้นทั้งวันพิชญ์งอแงขึ้นมาเฝ้าผมไม่ห่าง กระทั่งปีนขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน โดนคุณพยาบาลเอ็ดไปหลายรอบก็ยังดื้อเงียบอยู่อย่างนั้น จนผมขอร้องอีกแรงเขาถึงอนุโลมให้ น้องไม่ได้ทำอะไร เพียงนอนตะแคงมองหน้าผมนิ่งๆ จับจ้องมาเหมือนกลัวว่าผมจะหาย ไม่ได้รบกวน แทบไม่ยอมพูดอะไร อาจเพราะยังอายที่ตัวเองเอาแต่ร้องไห้ ตาบวมทบของเก่าจนดูไม่จืด

ผมได้แต่หัวเราะอย่างเอ็นดู ดึงใบหน้าอีกคนมาซบไหล่ เอียงหน้าซุกกลุ่มผม ให้กลิ่นหอมจากคนรักกล่อมตัวเองนอน
   
ผมหลับไปหลายรอบด้วยฤทธิ์ยา และทุกครั้งที่ตื่นมาก็จะเห็นพิชญ์นอนอยู่ข้างๆ ขยับปลายจมูกมาถูแก้มผมคล้ายออดอ้อน
   
“น้ำไหม” พอมผมพยักหน้าน้องก็ลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปรินน้ำให้

ผมดื่มน้ำพลางมองเจ้าลูกลิงที่เกาะไม่ห่างอย่างขบขัน กระทั่งป้อนน้ำผมเสร็จน้องก็ยังโน้มตัวมาคร่อมร่างผมไว้ จับผมที่ทิ้งตัวเกะกะขึ้นทัดหู เลียริมฝีปากหนึ่งครั้งก่อนกดจูบลงมา
   
ผมหัวเราะเบาๆ เผยอปากยอมให้ลิ้นรั้นเกี่ยวกระหวัดอย่างเอาแต่ใจ เด็กดีของผมละเลียดป้อนรสจูบแสนหวานที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ทุกครั้ง
   
ผละออก ก่อนจ้องผมนิ่งนานแล้วเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ

“ท้าหรือจริง”

หลุดยิ้มกว้างพลางยกมือลูบผมยาว เกลี่ยนิ้วโป้งลงบนแก้มน้องเบาๆ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแสนรั้น ก่อนเอ่ยคำตอบที่คงไม่ต้องเดา
   
“ท้า...”
   
...ไม่ลังเลที่จะเริ่มเล่นเกมที่ผูกเราเข้าด้วยกันอีกครั้ง







---------------------------------------------------
มาสุขสันต์วันเด็กล่วงหน้าค่า
บอกแล้วว่าเด็กดีต้องได้รางวัล  :mew1:
ผ่านความเจ็บปวดกันมาแล้วนะ หลังจากนี้มาเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันเถอะค่ะ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันตลอดมา
ตอนหน้าจบแล้วนะคะ

ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยน้า
   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2018 16:58:02 โดย makok_num »

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ปาดดด

กรี๊ด ของขวัญวันเด็ก  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ผ่านฝนหนักๆมาแล้ว พิชญ์
พี่เตก็ให้โอกาสตัวเองมีความสุขสักที

// รู้สึกผูกพันธุไม่อยากให้จบเลย


ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
พี่เจดมาอยู่กับหนูมา 55555555555

ออฟไลน์ nnnnnnni

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ mayongc.

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอ็นดูน้องงงงง น้องกลัวโดนพี่ทิ้งอีกรอบ ตาบวมฉึ่งเลยสิ สงสารพี่เจดดดฮืออ5555

ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สงสารพี่เจดเบาๆ 5555555555 พี่เจดต้องเข้าใจเขานะคะน้องพิชญ์ต้องเสียใจขนาดไหน ถึงพี่จะโดนเมินและโดนไล่พี่ก็ต้องยอมเพื่อความฟินของเราๆนะคะ5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
« ตอบ #249 เมื่อ: 12-01-2018 21:15:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น้องพิชญ์น่าจะแกล้งโกรธอีกนิด เริ่มหมันไส้พี่เต คนไม่อ่อนโยนนน คิดจะทิ้งน้องงง

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮืออออออ จะจบแล้ว ชีวิตพี่เตคือสุดจริงๆอะ สงสารมาก :hao5:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารพี่เจด ช่วยหาคู่ให้พี่เจดหน่อยนะคะ 55555

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
หาคู่ให้พี่เจดที

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
 :pig4:ดีจังงง

ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
เอาล่ะ ปมหมดละ เดินสวยๆ บนทุ่งลาเวนเดอร์กันได้แล้วค่ะ เต พิชญ์ ฮาๆ

รออ่านบทหวานๆ

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ดีใจมากๆ.ในที่สุดดดดดด

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
พี่เจดผู้ถูกลืม สงสารเขานะคะ55555555

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
20
[/b]

“ก็สไตล์มันไม่ได้ไง”

“แต่ตอนนี้ก็ต้องหาคนแทนไปก่อน มีแค่กีตาร์กับเบสจะซ้อมยังไง”

“เปิดเทปมะ เอาที่เคยอัดของไอ้เตไว้มาเปิดละเล่นตามงี้”

“...”

“เฮ้ย กูว่าได้”

“ทำไมเจดดื้ออ่ะ”

“เอ๊า...” แทนที่ถูกดุแล้วจะสลด ไอ้พี่เครากลับหัวเราะ แต่พอเงยหน้าขึ้นจากโมเดลเห็นหน้าเจไดที่กอดอกขมวดคิ้วมุ่นก็อดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน

ท่าทางน่าแกล้งแบบนี้ถึงไม่มีใครเรียกว่าพี่ ทั้งที่เจไดเรียนอยู่เภสัชปีสี่ แก่กว่าผมกับไอ้พี่เคราอีก

สองคนนี้เถียงกันมาเกือบชั่วโมงเรื่องหาคนมาตีกลองแทนเพื่อนพี่เจดที่ไม่ว่างกะทันหัน แถมเพื่อนเจไดที่เคยชวนมาเทสต์ก็เล่นไม่เข้ากัน

“งั้นไม่ซ้อมแม่ง ขี้เกียจละ” สุดท้ายไอ้พี่เคราก็ตัดบท ถอดกีตาร์ออกจากไหล่ดื้อๆ จนอีกคนหน้าบึ้งกว่าเก่าถอนหายใจหนัก

“เราไปสูบบุหรี่ดีกว่า” ว่าแล้วก็ถอดเบสวางข้างกัน ควักบุหรี่เดินออกไปที่สวนอย่างไม่สบอารมณ์

ผมได้แต่ขำที่สองคนนี้เอาแต่ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ลุกขึ้นเดินไปหาพี่เจดที่หยิบบุหรี่ออกมาคาบพลางมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กกว่าไม่วางตา

“ไม่ง้อ?” ถือวิสาสะหยิบบุหรี่ในซองพี่เจดมาจุดสูบบ้าง

“เดี๋ยวค่อย” ไอ้พี่เครายักไหล่ พลางยิ้มขำ “เจมันน่ารักสุดเวลางอนนี่แหละ”   

ผมหัวเราะเสียงดัง “มิน่า ชอบหาเรื่องทะเลาะกัน”

ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจ ประมาณว่าคนหนึ่งตามจีบ ส่วนอีกคนก็กำลังเล่นตัวเพราะไม่เคยถูกใครจีบมาก่อนในชีวิต น่าตลกตรงที่คนออกตัวว่าจะเป็นฝ่ายจีบดันเป็นเจได... แต่เท่าที่ดูเหมือนจะเป็นไอ้พี่เคราต่างหากที่เป็นฝ่ายแพ้เขาทุกทาง

“แล้วไอ้เตอ่ะ”

“กลับบ้าน”

หลังออกจากโรงพยาบาล ทุกอาทิตย์จะมีคนมารับเขาไปบ้านใหญ่เพื่อคุยกับจิตแพทย์ประจำตระกูล แล้วอยู่กินข้าวเย็นที่นั่นต่อ... เป็นวิธีสานสัมพันธ์ของสองพ่อลูกที่ที่ผ่านมาแทบไม่ได้คุยกัน

“ตกลงมันจะไม่กลับมาตีกลอง?” เลิกคิ้วพลางเคาะบุหรี่ลงที่เขี่ยข้างตัว ผมสูดควัน ยักไหล่

“คงไม่”

“เสียดายสัด” ผมหัวเราะ พี่เจดบ่นเสียดายอยู่ทุกวันนับตั้งแต่พี่เตขอออกจากวงต่อให้แขนหายดี

เขาค้นพบมานานว่าลึกๆ แล้วไม่ได้ชอบมัน เหมือนที่เขาเลิกเล่นบาส... พี่เตกำลังตีตัวออกห่างจากอะไรก็ตามที่เคยทำเพื่อทดแทนตัวตนของพี่ชาย

อะไรก็ตามที่กัดกินอยู่ภายในใจเขามานาน

แน่นอนว่าเขาไม่ได้เกลียดมัน เขาแค่กำลังพยายามหาทางกลับมาเป็นตัวเอง

“แต่มึงเคยบอกว่ามันเก่งทุกอย่าง” พี่เจดหันมาเลิกคิ้วถาม ดับบุหรี่ที่สูบถึงก้นกรอง

“อือ เขาเล่นได้หมดอ่ะ กีตาร์ เบส กลอง ตัวท็อปวิชาดนตรี” ในห้องถึงมีเครื่องดนตรีครบวง บางครั้งผมเห็นเขาหยิบกีตาร์โปร่งมาเกาเล่นเป็นเพลงไม่คุ้นหูที่น่าจะแต่งเอง

“งั้นมันคงไม่ได้เกลียดดนตรี” พี่เจดหัวเราะเบาๆ จบบทสนทนาดื้อๆ ด้วยการลุกขึ้นจากลำโพงที่ใช้ต่างเก้าอี้ เดินเนือยๆ ออกไปที่ระเบียง

ผมอมยิ้ม มองไอ้พี่เคราที่แอบย่องไปยืนซ้อนหลังคนหน้าบูดที่ระเบียง ทำเป็นล้วงกระเป๋าแล้วโน้มตัวเอาคางเกยหัวคนตัวเล็กกว่าจนเจไดหันมาโวยวายใส่ ก่อกวนจนใบหน้าบึ้งตึงกลับมาหัวเราะ ปิดท้ายด้วยการยอมให้ลูบเคราเล่น เป็นอันจบการง้อแบบเนียนๆ

งี้ไม่เรียกจีบแล้วมั้ง... คบกันแล้วนี่หว่า

ผมดับบุหรี่ เบือนหน้าหนีจากคนกำลังสวีท หันมาหยิบกีตาร์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ดีดเล่นแก้เบื่อ ตอนมอต้นเคยเห่อเล่นอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน แต่เลิกไปนาน จำไม่ได้สักคอร์ดด้วยซ้ำ พอไอ้พี่เครากลับมาเห็นผมเล่นสั่วๆ ก็หัวเราะใส่

“ห่วยสัด” ผมยักไหล่ กำลังจะคืนกีตาร์ให้ แต่ดันนึกอะไรขึ้นได้

“ป๊า” เงยหน้าขึ้นสบตาทำหน้าจริงจัง

“สอนเล่นกีตาร์หน่อยดิ”






ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และริมฝีปากหยุ่นที่กดลงมาบนหน้าผาก เปลือกตา ผิวแก้ม... ปลายจมูก ก่อนจะทาบลงมาบนริมฝีปาก

สัมผัสที่คุ้นเคย กลิ่นที่จำได้ดีว่าเป็นของเขา ทำให้ผมหลุดยิ้มก่อนลืมตาขึ้นมา สบตากับเจ้าของใบหน้าที่อยู่ห่างเพียงลมหายใจ

“มานอนอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางงับปลายจมูกผมเบาๆ

ผมหัวเราะ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอหลับบนลานซ้อมทั้งที่ยังมีกีตาร์อยู่ในอ้อมกอด หัวซุกอยู่กับพุงเปียกปูนที่หลับอุตุข้างกัน

“พิชญ์ง่วง” ปล่อยมือจากกีตาร์แล้วพลิกตัวกลับมาหนุนตัก กอดเอวหนาอย่างออดอ้อน

พี่เตหัวเราะเบาๆ ลากนิ้วเกลี่ยผมทัดหู หมุนต่างหูผมเล่นไปพลาง “กินข้าวยัง”

“ยังไม่หิว” ผมส่ายหน้า ถูจมูกกับหน้าท้องเขา กะจะอยู่แบบนี้อีกสักพัก แต่นึกได้ว่ายังไม่ได้อวดสิ่งที่ตั้งใจฝึกมาค่อนวัน

“หืม?” พี่เตเลิกคิ้วเมื่ออยู่ๆ ผมก็ลืมตา เงยหน้าสบตาเขาแล้วยิ้ม

“วันนี้ผมให้พี่เจดสอนกีตาร์” ลุกขึ้นหยิบกีตาร์มาวางบนตัก เอื้อมหยิบปิ๊กที่ทำหล่นอยู่ใกล้ๆ

“แป๊บนะ” ยกนิ้วเกาใต้ตามึนๆ เพราะเพิ่งตื่น นึกอยู่สักพักกว่าจะจำคอร์ดได้ ทาบนิ้วลงไปบนสายกีตาร์อย่างเก้กัง

เปียกปูนสะดุ้งตื่นตอนผมเริ่มดีดคอร์ดหนึ่ง เจ้าตัวเล็กสะบัดตัวนั่งจ้องผมที่ดีดกีตาร์เป็นจังหวะกระท่อนกระแท่นไม่ถึงนาทีก็วิ่งหนีไปคล้ายรำคาญ ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันจากร่างสูงที่ขยับตัวมานั่งซ้อนหลังโอบเอวผมพลางแกล้งงับหูเบาๆ

“เพลงอะไร” เอ่ยถามเมื่อผมเล่นจนจบ มันคงไม่ปะติดปะต่อเกินไปจนเขาจำไม่ได้

“ไม่รู้เหมือนกัน” หัวเราะให้กับความอ่อนหัดของตัวเอง เอี้ยวตัวกลับไปสบตาเขาก่อนเฉลย “ผมเคยได้ยินพี่เล่น”

“หือ?” พอเห็นเขาทำสีหน้าประหลาดใจผมเลยเปลี่ยนจากดีดกีตาร์เป็นส่งเสียงฮัมในลำคอ

“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” คิ้วเข้มเลิกขึ้นก่อนหลุดหัวเราะใส่ทำนองประหลาดที่เปล่งออกมา ผมพยายามฮัมเท่าที่จำได้ แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะ ยกมือยอมแพ้ “โอเค ช่างมัน”

พี่เตหัวเราะอีกรอบ ก่อนเอื้อมมือมาจับกีตาร์ทั้งที่ยังนั่งซ้อนหลังผมอย่างนั้น นิ้วเรียวทาบคอร์ดแล้วเริ่มเกาเป็นทำนองที่ผมเพิ่งพยายามจะเล่น

คราวนี้มันลื่นไหล เป็นเสียงเพลงที่ผมจำได้ว่าเขาเคยเล่นมัน

“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” ไม่วายฮัมเสียงล้อเลียน ผมแกล้งหันไปทำหน้าคาดโทษแล้วหลุดยิ้มออกมา อ้อมแขนแกร่งกอดเอวผมแน่น จูบโหนกแก้มไล่ขึ้นไปถึงขมับก่อนเอ่ยพึมพำ

“เคยแต่งให้วงภพเล่น” ผมร้องอ๋อในใจ เอี้ยวหน้ากลับไปถามคำด้วยคำพูดพี่เจด

“พี่ไม่ได้เกลียดดนตรีใช่ไหม”

เขาเลิกคิ้ว นิ่งคิดสักพักแล้วยักไหล่ “ไม่รู้เหมือนกัน”

ผมหรี่ตา พยายามคิดว่ามีอะไรอีกที่เขาชอบหรือไม่ชอบ หลายอย่างที่ผมเคยรู้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่อุบัติเหตุคราวนั้น

“พี่ไม่ชอบบาส ไม่ชอบกลอง ไม่แน่ใจว่าเกลียดดนตรีไหม...แล้วสถาปัตย์อ่ะ ชอบไหม”

เขามองผม ยิ้มขำกับท่าทางจริงจัง ก่อนยกมือเกลี่ยเส้นผมเบาๆ พลางฝังริมฝีปากลงมาที่ขมับอีกครั้ง

“อืม”

คำตอบทำให้ผมยิ้มกว้าง หมุนตัวกลับไปนั่งคร่อมตักเขายกแขนโอบรอบคอแกร่งทั้งที่ยังมีกีตาร์คั่นกลาง

“ดีจัง” เขายิ้มกว้างกว่าเดิม สายตาฉาบความเอ็นดูปนขบขัน

“มีอีกอย่างที่ผมรู้ว่าพี่ชอบ” ผมแกล้งหรี่ตา ตีหน้าจริงจังอีกครั้ง กระชับอ้อมแขนคลอเคลียปลายจมูกกับจมูกเขา

“ผมไง” เฉลยคำตอบที่ทำให้ร่างสูงชะงัก ย่นคิ้วล้อเลียน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแล้วทาบริมฝีปากลงมา แทรกเรียวลิ้นเล่นล้อกับปลายลิ้น ดูดดุด ขบเม้มริมฝีปากล่างคล้ายมันเขี้ยวก่อนผละออกไป

มือหนาดึงหน้าผมลงไปซบไหล่ เอียงซุกปลายจมูกลงกับกลุ่มผมแล้วจับโยกไปมาเหมือนเด็กก่อนกระซิบแก้คำ

“รักต่างหาก”

แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน





ผมได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ตัวเอง แต่คนที่กดรับคือเจ้าของอ้อมกอดที่เอื้อมมือข้ามฝั่งมากดรับให้ราวกับกลัวว่าเสียงมันจะรบกวน

“อือ... กู” เสียงทุ้มตอบรับปลายสายที่ได้ยินเสียงแว่วมาก็เดาได้ว่าเป็นใคร

“น้องหลับ”

หลุดยิ้มกับสรรพนามที่เขาใช้ ก่อนขยับขึ้นไปซบอกกว้าง เกยก่ายร่างกำยำใต้ผ้าห่มที่เปลือยเปล่าไม่ต่าง

ต้นขาเสียดสีกับกลางร่าง...ที่ตื่นตัวขึ้นมาเพียงสัมผัส

“หึ” เขาหัวเราะในลำคอกับความซุกซน แกล้งกดจูบหนักๆ ลงมาบนกลุ่มผม ขบเม้มใบหูเบาๆ

ฝ่ามือใหญ่ไล้ลูบตามแนวสันหลัง ก่อนเลื่อนต่ำลงสู่สะโพก แล้วนวดคลึงเอาคืนบ้าง

“อืม...” หลุดเสียงครางจนคนที่คุยโทรศัพท์อยู่ก้มลงมาจูบปิดปาก หูยังฟังปลายสายบ่นอะไรเหยียดยาวก่อนผละออกไปตอบคำถาม

“ไม่ว่าง”

พี่เจดคงโทรมาชวนไปไหนอีก แต่อย่างว่า วันนี้เรามีนัดแล้ว

“ธุระครอบครัว” ผมหัวเราะให้ข้ออ้างของเขาอีกครั้ง หรี่ตาขึ้นมามองเจ้าของเสียงทุ้มที่ยิ้มมุมปาก ก่อนตัดสาย โยนโทรศัพท์ผมไว้ข้างเตียง

“ธุระครอบครัว?” ผมแกล้งเลิกคิ้วล้อเลียนจนอีกคนหัวเราะเบาๆ มือที่เพิ่งว่างสอดเข้ามานวดท้ายทอยเรียกให้ตอบรับริมฝีปากที่แนบสนิทลงมา มืออีกข้างยังวุ่นวายอยู่กับสะโพกที่คงขึ้นรอยจากกิจกามก่อนหน้า...

และคงไม่วายช้ำยิ่งกว่าจากกิจกรรมเดียวกัน

จูบที่เริ่มรุนแรงทำให้ผมขยับกายสูงขึ้นไป เท้าแขนคร่อมร่างคนตัวโตกว่าไว้เพื่อให้เรียวลิ้นรุกล้ำได้ดั่งใจ พี่เตหัวเราะเบาๆ มือซนบีบเค้นและทำท่าจะแหวกรอยแยกสู่ช่องทาง

"ยังก่อน..." แต่เขาใจร้อนเกินไป ผมจึงหยุดการกระทำนั้นไว้ ดึงฝ่ามือใหญ่กว่ามาประสานนิ้วมือ

ถอนริมฝีปากอ้อยอิ่ง แกล้งไล้เลียริมฝีปากเขา เลื่อนลงงับปลายคางก่อนลากต่ำสู่ลำคอที่มีรอยสีกุหลาบจาง แต่เพราะ ‘ธุระครอบครัว’ ที่ว่าผมจึงตัดสินใจไม่ทิ้งรอยใหม่... เพียงกดจูบแผ่วเบา แล้วผละจากสู่ส่วนอื่นของผิวเนื้อแน่นตึง

จูบลงที่รอยแผลเป็นเล็กๆ เหนือไหปลาร้าที่อุบัติทิ้งเอาไว้ ไล้ลิ้นเลียสลับจูบลามเรื่อยยังร่องรอยเก่าที่ลากผ่านแผ่นอกถึงหน้าท้องกำยำ ฝากรอยจุมพิตทั่วทุกตารางนิ้ว... กระทั่งถึงส่วนกลางร่างกาย

แกล้งทอดสายตามองนัยน์ตาสีรัตติกาล ยกยิ้มยั่วเย้าให้เจ้าของร่างกายที่ยอมให้แทะโลมตามใจ

"หึ" มุมปากบางคลี่ยิ้มร้าย มือที่ว่างเอื้อมมาเกลี่ยเส้นผมเกะกะออกจากใบหน้า...

ไม่ต้องการให้ผมแม้สักเส้นบดบังนิ้วมือที่ค่อยๆ ประคองส่วนชูชันเอาไว้... แกล้งไล้ปลายนิ้วกับส่วนปลายจุดไฟปรารถนาให้แล่นลาม

ดวงตาสีรัตติกาลฉายความท้าทาย คล้ายเร่งเร้าให้ผมครอบครองไว้ จึงเปลี่ยนจากนิ้วเป็นแตะเรียวลิ้นลงไป... ลากผ่านความยาวจากโคน... สู่ปลาย... ไล้เรื่อยรอบแก่นกาย ชะโลมชุ่มด้วยริมฝีปาก

จิลครูดผ่านเนื้อร้อนจนสัมผัสได้... ราวยิ่งกระตุ้นให้ตัวตนคับขยาย

“อืม...” เสียงทุ้มกดต่ำในลำคอราวทรมานเมื่อผมรับเขาไว้ในโพรงปาก ดูดดุนพร้อมไล้ลิ้นวนกับส่วนอ่อนไหวซ้ำๆ ...ใช้หมุดเงินเล่นล้ออย่างซุกซน

“อา... คุณพิชญ์” ได้ยินเสียงขบกรามเคล้ากับเสียงแหบพร่าที่เรียกอย่างคาดโทษ คิ้วเข้มขมวด มือที่ประสานไว้กำแน่น นิ้วเรียวอีกข้างแทรกในกลุ่มผมขยุ้มจนเสียทรง ...คล้ายกำลังฝืนทนไม่ให้กดหัวผมต่ำลงไป หรือสวนสะโพกบังคับดั่งใจ
   
...กลายเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายอยากลิ้มลอง... อยากครอบครองทั้งหมดไว้
   
ผมเงยหน้าสบตาสีรัตติกาล ราวต้องการให้เขาช่วยเร่งเร้าด้วยสายตา ประกายร้อนแรงที่ส่งผ่านมา ผลักดันให้ค่อยๆ กดริมฝีปากลงไป... ครอบครองทีละนิด... กระทั่งกลืนกินทั้งหมดได้

ทีแรกมันอึดอัดจนน้ำตาไหล เมื่อตัวตนที่ขยายแทรกลึกถึงลำคอ ขยับริมฝีปากปรับตัวเชื่องช้าจึงเริ่มกิจกาม ดูดดุนพลางไล้เลียสะเปะสะปะ รูดรั้งเนิบนาบ ก่อนเร่งจังหวะ...

คล้ายกลืนกินได้ลึกขึ้นในทุกครั้งที่แทรกเข้ามา
   
“พิชญ์...” มือที่ขยุ้มผมกำแน่น แต่ยังฝืนทนไม่กดทึ้งตามใจ เสียงคำรามต่ำหนักเน้นเมื่อถึงช่วงสุดท้ายของความทรมาน

...ในที่สุดโพรงปากฉ่ำชื้นด้วยหยาดน้ำจนล้นทะลัก ผมช้อนสายตามองเขาขณะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมารอรับ แลบลิ้นรองก่อนใช้มือกอบกำรูดรีดหยาดข้นที่คั่งค้าง ดวงตาสีรัตติกาลฉายความกระหายชัด มองทุกการกระทำอุกอาจ ยิ่งยั่วให้อยากเย้าด้วยการค่อยๆ ตวัดลิ้นคืนกลับ... กลืนกินทุกหยดของเขาเข้าไป ลิ้มรสตัวตนที่ติดริมฝีปาก... กระทั่งเรียวนิ้วที่เหนอะหนะอย่างตะกละตะกาม
   
“หึ” มุมปากบางยกยิ้มร้ายอีกครั้ง ก่อนร่างทั้งร่างจะหลุดลอยด้วยแรงกระชากจากแขนกำยำ ถูกจับให้พลิกคว่ำก่อนทิ้งตัวโถมทับ
   
สะโพกถูกจับยก สัมผัสส่วนที่ยังขยายร้อนราวยังไม่ผ่านศึกสนาม ความเฉอะแฉะแนบนาบลงมากับรอยแยก... ถูไถความยาวกับปากทาง

"อื้อ..." แรงเสียดสีเพียงแผ่วเบากลับทำให้ร่างกายร้อนเร่า หลุดผวาเมื่อฝ่ามือหนาคว้าเอาตันตนที่ตื่นตัวไม่ต่าง แกล้งไล้นิ้วหยอกเย้า เร่งความกระสันซ่านจนแทบทนไม่ไหว เผลอขยับช่วงขาอ้ากว้างเปิดทางให้
   
“คุณพิชญ์...” แต่คนขี้แกล้งกลับไม่ยอมตอบรับความปรารถนาง่ายๆ โน้มใบหน้ากระซิบข้างหูท้าทาย
   
“ท้าหรือจริง”
   
เผลอกลั้นหายใจเมื่อเขาขยับให้ส่วนปลายจดจ่อคล้ายจะแทรกเข้ามา ก่อนทำท่าจะผละจากจนต้องเร่งตอบอย่างเอาใจ
   
“ท้า...” แหบพร่าจนไม่อาจเรียกเป็นคำได้
   
“หือ?” คนขี้แกล้งแสร้งทำหูตึง กระซิบถามย้ำพลางกดจูบผมแก้มร้อนจัดซ้ำๆ ฝ่ามือที่กอบกำความแข็งขืนขยับเนิบนาบชวนทรมาน
   
“พี่เต...” เรียกเสียงกระเส่า เอียงหน้าให้ริมฝีปากชิดหูแล้วเอ่ยคำตอบที่เขาต้องการ “พิชญ์ท้า”
   
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนริมฝีปากร้ายกาจจะกดจูบจาบจ้วง ตักตวงสัมผัสหวานก่อนผละออกยังผิวแก้ม ลากลิ้นเลียใบหูที่ไวสัมผัสจนบิดร่าง หลุดเสียงครางแผ่ว

“ชู่ว” เขาส่งเสียงปราม “...อย่าส่งเสียง”

...ก่อนจะรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำท้ายทาย ที่มีบทลงโทษแสนร้ายกาจ

“ถ้าคราง... พี่จะไม่ปล่อยให้พิชญ์พัก”

“...!” เพียงสิ้นคำ ตัวตนที่จดจ่อก็แทรกเข้ามาสุดทาง ไม่ทันให้ตั้งตัว

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกกระทั้นจุดกระสัน ซ่านเสียวจนสองแขนหมดเรี่ยวแรงทรุดฮวบลงกับเตียง ยกเพียงสะโพกที่ยังเชื่อมต่อกับความแข็งขืนที่กดลึกลงมาในร่าง

...กัดฟันแน่นสะกดกลั้นเสียงคราง ก่อนต้องอ้าปากค้างเมื่อเขาถอนทั้งหมดออกไปปล่อยให้ภายในเต้นตุบตอดรัดความว่างโหวงอย่างทรมาน

“หึ” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะอย่างพอใจ กดจูบใบหน้าที่อาบด้วยหยาดน้ำที่ไหลไม่รู้ตัว

ก่อนค่อยๆ แทรกตัวตนเข้ามาอีกครั้ง... สัมผัสทุกจังหวะของการบีบรัดอย่างเชื่องช้า

“เด็กดี” เมื่อสุดทางเขาแช่ค้าง กดจูบซับที่หางตา คล้ายว่าจะปราณีแต่วินาทีต่อมากลับร้ายกาจ

"...!" ส่วนร้อนถอนสุดก่อนแทรกเข้ามาอีกครั้ง... นวดซ้ำจุดกระสัน

หมดทางอดกลั้น เมื่อมือหนาเอื้อมมาจับคาง ก่อนแทรกนิ้วเข้ามาในโพรงปาก แทรกอยู่ระหว่างฟันไม่ให้ขบคมเขี้ยวหากัน เล่นล้อกับปลายลิ้นไปพลาง ขณะที่ส่วนล่างยังคงกระแทกกระทั้น เนิบนาบทว่าหนักเน้น

"อ๊ะ...!" ...ในที่สุดผมหลุดเสียงร้อง
   
คนใจร้ายหัวเราะเบาๆ กดจูบลำคอขบกัดลาดไหล่ราวให้รางวัล เรียวนิ้วในโพรงปากผละออกเมื่อยอมแพ้ราบคาบ เลื่อนลงต่ำสู่แผ่นอก บีบเน้นขับแรงอารมณ์

“อื้อ...” ส่วนอ่อนไหวยิ่งไวต่อสัมผัสด้วยห่วงเงินที่กลัดติ่งไต ชูชันพร้อมกระเพื่อมหนักด้วยความหวามไหว ยิ่งแพ้หมดรูปเมื่อฝ่ามืออีกข้างที่ยังกอบกุมตัวตนไว้เริ่มขยับอีกครั้ง

“อะ!... พี่เต...”  ความกระสันซ่านแล่นปราบทั่วร่างราวประกายไฟลามเลียน้ำมันเมื่อถูกกระตุ้นจากทุกทาง

ช่องทางบีบรัดหนักหน่วงจนได้ยินเสียงคำรามต่ำ หยาดน้ำหล่อลื่นหลั่งให้ยิ่งกระแทกกระทั้นรุนแรง รัวเร็วและหยาบโลนด้วยแรงอารมณ์ เสียงผิวเนื้อกระทบเจือเสียงคราง ผสมความฉ่ำชื้น ปะปนจนไม่อาจแยก

"อา..." กระทั่งถึงปลายทาง...ราคะปลดปล่อยเปรอะที่นอน หอบกระชั้นทรุดลงหมดรูป ร่างหายกระตุกขณะยังโอบรับตัวตนของอีกคนที่ยังไม่ถึงฝั่งฝัน

“พิชญ์...” เพียงไม่นานเขาก็ถึงฝั่งตามมา ริมฝีปากร้ายเรียกให้หันหน้ากลับไปรับจูบร้อน แขนทั้งสองข้างรั้งผมไปนั่งทับตัก โอบรัดปลอบประโลมจนหมดทรมาน ก่อนวางร่างผมลงที่นอนอีกครั้ง ถอนตัวตนออกจากช่องทางฉ่ำน้ำ

ทว่าไม่ใช่เพื่อหยุดกิจกาม... เพียงปรับเปลี่ยนท่ารับในบทต่อไป...

ร่างของผมถูกพลิกกลับ หงายหน้าเผชิญร่างกำยำอีกครั้ง เรียวขายังคงอ้ากว้าง เข่าสองข้างถูกจับชัน... ชวนเชิญสู่ช่องทางหรรษาอีกครั้ง

รอยยิ้มร้ายผุดพราย ขณะก้มลงกดจูบต้นขาด้านใน ดูดดุนจนเกิดรอยไล่เรื่อยถึงรอยสักที่เชิงกราน บ่ากว้างสอดรับข้อพับขา วางไว้เช่นนั้นพลางเคลื่อนตัวขึ้นมา ลากจูบฝังรอยทุกตารางนิ้ว ทิ้งรอยทั่วผิว สู่ริมฝีปากที่เผยอรับจูบอ่อนหวาน

กระหวัดลิ้นตอบรับ โอบแขนรอบคอแกร่ง ก่อนจิกเล็บลงท้ายทอยเมื่อตัวตนให้ค่อยๆ แทรกเข้ามาในช่องทาง สมหายใจติดขัดเมื่อสัมผัสความคับแน่นอีกครั้ง

“บอกแล้วไง... พี่จะไม่ปล่อยให้พิชญ์พัก”

สิ้นเสียงกระซิบพร่า... เพลงรักบทใหม่เริ่มบรรเลง...

หนึ่งเพลงสำหรับหนึ่งท่าทาง ร้ายกาจสลับอ่อนหวาน... หยาบโลนสลับปลอบประโลม

เขาพาผมขึ้นสูงแล้วร่วงหล่นอยู่อย่างนั้นราวกลั่นแกล้ง หยาดราคะถูกรีดรดจนหมดร่าง อาบเต็มหน้าท้อง ปนเหงื่อที่ชะโลมกาย ช่องทางชื้นฉ่ำจนไม่อาจกักเก็บน้ำขุ่นขาวที่เติมเต็มเข้ามาซ้ำๆ ...เยิ้มหยดอาบต้นขา ทิ้งร่องรอยราคะชุ่มผ้าปูเตียง

กลิ่นสวาทคาวคลุ้ง... สองร่างโอบรัดเนิ่นนาน ผลัดกันขบกัด คล้ายจะเกาะเกี่ยวกลืนกินจนเป็นหนึ่งเดียว

“อีกรอบ...”

“อือ”

เราต่างซื่อสัตย์ต่อคำท้าทาย... เปล่งเสียงหนึ่งครั้งหมายถึงบทรักรอบใหม่

“พิชญ์ควบได้ไหม”

“หึ”

...สุดท้ายสลบไสลคาอกแกร่ง... หมดแรงร้องคราง

   

-มีต่อค่ะ-

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
-ต่อ-


ผมจัดปกเสื้อซ้ำๆ ดึงผมมาปรกจนมั่นใจว่ารอยสีกุหลาบจะไม่หลุดลอดสู่สายตา ขณะที่อีกคนใส่เพียงเสื้อยืดกางเกงยีน ไม่สนใจสักนิดว่าที่ลำคอจะมีร่องรอยใด

โชคดีที่เป็นเพียงสีจาง และผมยั้งใจไม่ให้ทำรอยใหม่นอกร่มผ้าได้ ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงไม่เอะใจ

“หล่อแล้ว” พอเห็นผมยืนส่องกระจกอยู่นาน ร่างสูงก็มายืนซ้อนหลัง แหวกผมที่เพิ่งจัดกดจูบลงมาที่ซอกคอหน้าตาเฉย

ผมเอียงคอหนีส่งสายตาตำหนิแล้วดึงผมลงมาปิดคอไว้อีกรอบ

“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องถอดนี่” ชี้จิลที่จมูกพร้อมแลบลิ้น แต่เขากลับหัวเราะ แกล้งยื่นหน้ามางับลิ้นผม ดูดดุนสักพักก่อนผละออกไปกดจูบปีกจมูกเบาๆ

“พ่อไม่ว่าหรอก”

นั่นแหละเหตุผลที่ทำให้ผมลุกมาเตรียมตัวตั้งแต่บ่ายทั้งที่เหนื่อยร่างแทบพัง... ‘ธุระครอบครัว’ ของเขา

คำพูดเฉยชาของพี่เตไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นขึ้นสักนิด ได้แต่ยักไหล่ยอมแพ้ หมุนตัวกลับมากอดร่างสูงออดอ้อนให้คลายกังวล

“ตื่นเต้น”

เขาหัวเราะ โอบกลับพลางจูบขมับ ลูบหลังเบาๆ “ก็เคยเจอกันแล้ว”

“มันเหมือนกันที่ไหน”

ตอนนั้นสถานการณ์กำลังวุ่นวาย ผมไม่มีสติสักนิดตอนโทรหาพ่อพี่เต กระทั่งเจอกันก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเขาจะปลอดภัย พยายามปลอบทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายร้องไห้จนตาบวม

“ไปเถอะ” จูบหน้าผากผมครั้งหนึ่งก่อนผละอ้อมแขน เอื้อมมือมาจับมือผมเดินออกจากห้อง

คนขับรถที่พ่อพี่เตส่งมารับพาเรามายังบ้านใหญ่ที่ไม่ได้ใหญ่ด้วยขนาด แต่พื้นที่หลายไร่ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวครึ้มร่มรื่น ขับผ่านรั้วบ้านมาสักระยะจึงเห็นสถาปัตยกรรมโมเดิร์นคล้ายกล่องที่ทำจากหินสีเข้มสองก้อนเชื่อมด้วยระเบียงสีอ่อน ไม่ได้ดูโออ่าแต่เรียบหรู ออกจะกะทัดรัด เหมาะกับการอยู่คนเดียว

พี่เตบอกว่าหลังหย่าจากครอบครัวใหญ่พ่อเขาก็ยกบ้านที่เคยอยู่ให้ครอบครัวฝ่ายหญิง แล้วแยกมาอยู่บ้านหลังนี้ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน บ้านสีครึ้มให้บรรยากาศต่างจากบ้านทั่วไป คล้ายเจ้าของจงใจให้มันดูเย็นชืดเปล่าดายแค่มองด้วยสายตา

แต่บรรยากาศข้างในตรงกันข้าม ด้วยรายละเอียดที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่โล่งเกินไป สีสันของแผ่นหินผสมไม้ที่ถูกจัดวางองค์ประกอบให้เข้ากับแสงจากทั้งภายในและภายนอกให้ความรู้สึกอบอุ่น กระจกบานกว้างที่ทำให้เห็นทัศนียภาพของต้นไม้รอบบ้านก็ชวนสบายตา

พี่เตพาผมเดินผ่านห้องรับแขกเข้ามาที่ครัว พอเห็นร่างสูงสมส่วนในเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนสบายๆ ไม่ต่างจากคนข้างๆ ก็ประหลาดใจ

ดูเหมือนผมจะเป็นคนเดียวที่กังวลกับการแต่งตัว

“พ่อ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียก เจ้าของบ้านจึงหันกลับมาคลี่ยิ้มรับเผยริ้วรอยแห่งวัยที่สร้างความแตกต่างให้สองพ่อลูกที่เหมือนกันราวถอดแบบ

ใบหน้าไร้ที่ติที่ผมเพิ่งได้คำตอบชัดว่าได้มาจากไหน

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ พ่อพี่เตรับไหว้ ยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนหันไปหาลูกชาย

“พ่อมาตรวจวัตถุดิบ” ผายมือไปยังโต๊ะหินอ่อนกลางห้องครัว มีวัตถุดิบสำหรับอาหารค่ำวางเรียงไว้

ร่างสูงเดินตามไปยืนข้างๆ พ่อตัวเอง หยิบนู่นนี่ขึ้นมาแตะๆ ดมๆ แล้วพยักหน้า สองพ่อลูกยักไหล่ให้กัน

ผมหลุดยิ้มกับท่าทางที่เหมือนกันไปซะหมด แล้วเผลอกัดริมฝีปากอย่างประหม่าอีกครั้งเมื่อทั้งคู่หันมา พ่อยิ้มให้ผมอีกรอบสายตาสีรัตติกาลที่เข้มกว่าของพี่เตฉายแววเอ็นดู

“ดีใจที่มา”

ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม มองหน้าท่านสลับกับพี่เตที่ยิ้มมาให้เหมือนกัน ร่างสูงเดินกลับมาหาผม ยกแขนพาดบ่าแล้วพาเดินไปด้วยกัน

“อยากช่วยไหม” ผมพยักหน้าทันควัน ถึงสกิลการทำอาหารของผมจะห่วยมาก แต่คงพอทำอะไรได้ ดีกว่าให้ยืนประหม่าอยู่คนเดียว

ทุกอาทิตย์ที่พี่เตกลับบ้านใหญ่ เขาจะเล่าให้ผมฟังว่าทำอะไรบ้าง ลุงหมอพูดว่าอะไร เขากับพ่อคุยอะไรกัน บอกทุกอย่างเพื่อให้ผมสบายใจ และวันนี้เขาพาผมมาเพื่อให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่พูดไว้จริงๆ

ความสัมพันธ์พ่อลูกกำลังก้าวหน้าไปในทางที่ดี ผ่านกิจกรรมง่ายๆ อย่างการเข้าครัวที่ทั้งคู่ถนัดเหมือนกัน... ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานว่าพี่เตได้พรสวรรค์ด้านการทำอาหารมาจากใคร

“แต่พ่อชอบอาหารไทย” บทสนทนาเรียบๆ ปัดบรรยากาศให้ความกระอักกระอ่วนหายไป

“พี่เตทำแต่อาหารฝรั่งให้พิชญ์กิน” ถ้าผมไม่ขอก็คงได้กินแต่พาสต้า แป้ง ชีสอะไรเทือกๆ นั้น

“เขาอยู่อเมริกามานาน” ผมหัวเราะ หันไปมองเจ้าตัวที่ยกยิ้มยักไหล่อย่างได้ใจที่มีคนแก้ตัวให้ ก่อนเดินไปหยิบไก่อบที่ตัวเองทำไว้มาส่งให้ผมจัดจาน

หน้าที่ผมมีเท่านั้น ใช้สกิลด้านศิลปะที่ร่ำเรียนมาจัดองค์ประกอบในจานสำหรับมื้อค่ำ

สองพ่อลูกแข่งกันทำอาหารซะเยอะ ทั้งอาหารไทยอาหารฝรั่งปะปนตามใจคนทำ ผ่านไปหลายชั่วโมงสำหรับอาหารเกือบสิบเมนูที่วางเต็มโต๊ะราวกับมีงานเลี้ยง

“หิว” ผมเบิกตากว้างใส่คนที่ล้างมือถอดผ้ากันเปื้อนเสร็จก็เดินมาโอบไหล่ จูบแก้มผมซ้ำๆ เหมือนขอรางวัล หันไปมองพ่อพี่เตก็เห็นท่านยิ้มขำ เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารคนแรก

พี่เตพาผมไปนั่งตาม มื้ออาหารเรียบง่ายเริ่มต้นโดยไม่มีพิธีรีตอง พ่อลูกคล้ายจะกดดันผมเงียบๆ ด้วยการจ้องมาทุกครั้งที่ผมตักอาหารของตัวเองใส่จาน รอลุ้นถึงรสชาติ และทำท่าน้อยใจเมื่อผมหันไปตักอาหารของอีกคน

สุดท้ายเลยต้องกินทุกอย่างเท่าๆ กันจนพุงกาง

“พิชญ์เรียนอีกสามปีใช่ไหม” เสียงทุ้มแหบเอ่ยถามหลังจากกินกันอิ่มได้ไม่นาน

“ครับ ปีนี้พิชญ์อยู่ปีสอง” ผมตอบพลางจิบไวน์ที่พ่อเพิ่งรินให้ ท่านเหลือบมองผมสลับกับพี่เตก่อนเอ่ยถาม

“สนใจมาทำงานบริษัทพ่อไหม”

“พ่อ” ได้แต่กะพริบตาปริบๆ เมื่อคนที่เงียบไปนานเอ่ยเสียงปราม พ่อพี่เตยักไหล่ จิบไวน์บ้าง แต่ยังไม่วายหันมาสบตา

“ลองมาฝึกงานก่อนก็ได้”

“ขอบคุณครับ แต่พิชญ์ชอบบริษัทเล็กๆ มากกว่า” ผมยิ้ม ตอบตามตรง เจ้าของฝ่ามือที่กุมมือผมไว้หัวเราะเบาๆ ขณะที่พ่อเลิกคิ้ว ยักไหล่ไม่คาดคั้น ก่อนหันไปพูดประเด็นใหม่กับลูกชาย

“แล้วเรื่องรถแก...”

“ผมว่าจะซ่อมมอเตอร์ไซค์” แต่ไม่ทันเอ่ยจบพี่เตก็เอ่ยขึ้นมา ทั้งผมทั้งพ่อเบิกตากว้างก่อนโพล่งออกมาพร้อมกัน

“ไม่ได้!”

พี่เตชะงักมือที่กำลังจะจิบไวน์ มองผมที่บีบมือเขาแรงขึ้น สบตาจริงจัง ก่อนที่พ่อจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา

“พ่อรู้ว่าแกไม่คิดจะทำแบบนั้นอีก... แต่เรื่องนี้พ่อขอ”

เขามองพ่อสลับกับผมคล้ายประหลาดใจ ก่อนถอนหายใจเบาๆ

“ผมแค่จะซ่อมของภพเก็บไว้ ไม่ได้ตั้งใจจะกลับไปขับ” ว่าพลางไล้นิ้วกับหลังมือผมให้คลายกังวล แล้วหันไปให้คำตอบพ่ออีกครั้ง

“ไม่ต้องซื้อใหม่หรอก เอาคันเก่าของพ่อมาให้ผมก็ได้ เห็นมีตั้งหลายคัน”

ผมหลุดยิ้มกับนิสัยแปลกๆ ของเขา ที่ไม่รู้ว่ากลัวสิ้นเปลืองหรือแค่ชอบของเก่า หลายๆ อย่างที่เขาใช้ถึงได้เป็นของมือสอง ตกทอดมาจากคนอื่นทั้งนั้น ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ ยันห้องที่อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นห้องที่พ่อเขาใช้สมัยมหาลัย

“เอาสิ อยากได้คันไหน”

“คันสีดำด้านที่อยู่ในโกดัง” ตอบไม่คิดราวกับเล็งไว้ แต่พ่อกลับชะงัก ขมวดคิ้วมองลูกชาย
 
“นั่นมัน... โชว์รูม”

อา ผมรู้แล้วว่าตึกที่แยกออกไปอีกหลังคืออะไร

“แล้วรถในนั้นก็ไม่ได้มีไว้ขับ”

“มันเสียแล้วเหรอ”

“เปล่า มันไม่ได้เสีย” พ่อถอนหายใจ วางแก้วไวน์ที่ยังไม่ทันได้จิบลงแล้วยกมืออธิบาย

“คันนั้นน่ะนะเตวิชญ์ มีแค่สามคันในโลก กว่าพ่อจะหาอะไหล่จนครบ...” แต่แล้วอยู่ๆ ก็เงียบ เหมือนรู้ตัวว่ากำลังจริงจังเกินไป หันมาสบตาผมที่ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนหลุดขำพร้อมกัน

“มันไม่ได้มีไว้ขับ” ยืนยันหนักแน่นก่อนหยิบไวน์ขึ้นมาจิบอีกครั้ง มุมปากยังยกยิ้ม มองมาเหมือนจะถามว่าผมเข้าใจใช่ไหม ผมยิ้มตอบ หันไปมองคนเอาแต่ใจที่มองมาเหมือนกัน

“งั้นผมใช้รถน้องก็ได้ ซื้อใหม่มาก็จอดทิ้งไว้เปล่าๆ”

“ก็ดีนะครับ ปกติก็ออกจากห้องพร้อมกัน” ผมพยักหน้ารับ ตารางเรียนของผมกับพี่เตคล้ายๆ กัน มีตัวนอกที่เรียนคนละเวลา แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในคณะมากกว่า

"เอางั้นก็ได้" คราวนี้พ่อไม่คัดค้านอะไรอีก เป็นอันตกลงกันได้ ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนเรื่องไปอย่างลื่นไหล ถึงจะไม่ได้คุยออกรสถึงขึ้นเฮฮาอะไร ออกจะเป็นเรื่องเรียบๆ ทั่วๆ ไป แต่ก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายตลอดบทสนทนา

กินข้าวเสร็จพ่อก็พาผมเดินดูบ้าน เล่าเรื่องต้นไม้ อวดโชว์รูมรถที่พ่อสะสมไว้... เข้าใจชัดเจนว่ารถในนี้ไม่สามารถเอาออกไปขับเล่นได้ ไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่หน้าตาทุกคันก็ออกจะ... โดดเด่นเกินไป

เราอยู่ที่บ้านใหญ่ต่อจนเกือบสี่ทุ่มก็ขอตัวกลับ รับปากว่าคราวหน้าจะมาค้างเพราะคืนนี้ผมมีงานค้างไว้ ระหว่างที่พี่เตไปเอาของฝากที่พ่อเตรียมให้ ท่านก็เดินเข้ามาหาผม ยิ้มบางๆ อย่างใจดี

“ขอบคุณที่มา”

ผมยิ้มตอบ ยกมือไหว้ขอบคุณพ่อสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นกัน

“แล้วก็ขอบคุณมากเรื่องวันนั้น" ผมเลิกคิ้ว พ่อเอื้อมมือแตะไหล่บีบเบาๆ

“ถ้าไม่ได้พิชญ์ พ่อคงไม่ได้เขากลับมา”

ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเองมีส่วนช่วยยังไง แต่ก็ยิ้มรับคำขอบคุณไว้ พ่อผละออกไป เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่เตเดินกลับมา

"ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ เต”
   
พี่เตเคยพูดว่าเขาเหมือนพ่อตัวเองเกินไป ผมเคยไม่เข้าใจว่าหมายความว่ายังไง
   
แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว
   
...เข้าใจแล้วว่ารอยยิ้มสวยๆ ของเขา กระทั่งความอ่อนโยนทั้งหมดนั้นเขาได้มาจากไหน

   




ผมเคยบอกว่าไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบว่ายน้ำไหม แต่ผมแน่ใจ... ว่าชอบมองเวลาที่เขาว่ายน้ำ
   
สรีระสมส่วนแหวกว่ายอยู่ในผืนน้ำ ลื่นไหลราวล่องลอยในอากาศ ให้ผิวน้ำและพระแสงจันทร์นวลไล้ร่าง สมบูรณ์แบบราวภาพวาด
   
ผมละมือจากงานที่เสร็จสิ้นตอนเที่ยงคืนกว่า อุ้มเปียกปูนที่กำลังหลับอุตุไว้ในอ้อมแขน ปากคาบบุหรี่ที่เพิ่งจุดไว้ เดินมาหาอีกคนที่กำลังออกกำลังกายยามดึงระหว่างรอผมไปนอนพร้อมกัน
   
ยืนมองอยู่สักพักก็เปลี่ยนเป็นทิ้งตัวนั่งหย่อนขาลงในน้ำ มองเขาว่ายไปถึงฝั่งหนึ่ง ก่อนหันกลับมา ผมยิ้มให้ รอเขาว่ายมาหา พอถึงตัวร่างกำยำก็แทรกมาอยู่ตรงหว่างขา เอื้อมแขนโอบหลังผมไว้ มืออีกข้างดึงบุหรี่ออกไป เรียกให้โน้มตัวลงไปจนริมฝีปากสัมผัสกัน
   
“งานเสร็จแล้วเหรอ” ถอนจูบอ้อยอิ่งฝ่ามือทาบแก้วผม เกลี่ยนิ้วเบาๆ
   
“อือ” ผมปล่อยเปียกปูนที่สะดุ้งตื่นเพราะน้ำจากผมเขาหยดใส่ เจ้าตัวเล็กวิ่งกลับไปนอนในบ้านของมัน

"ง่วงแล้ว" ผมอ้อน มองพี่เตค่อยๆ สูดควัน คลี่ยิ้มก่อนแกล้งก้มลงกดจูบหัวเข่าที่โผล่เหนือน้ำ

เขาไล่ริมฝีปากขึ้นมาตามต้นขา ปลายจมูกดันชายบ๊อกเซอร์ให้ถลกขึ้นมา รอยสีกุหลาบยังปรากฏชัด แต่ริมฝีปากยังกดย้ำ ฝังรอยใหม่ลงไป ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเขาคงไม่ยอมขึ้นจากสระง่ายๆ ดึงบุหรี่จากมือเขามาสูบอีกครั้งพลางแทรกนิ้วกับกลุ่มผมของใบหน้าคมซุกซบฝังจุมพิตอยู่อย่างนั้น 

“วันนี้ผมมีความสุขมากเลย” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา คลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าผมกำลังยิ้มกว้าง

“พ่อพี่น่ารักมาก” หัวเราะเบาๆ จูบฝ่ามือผมพลางดันหลังเข้าไปแนบชิด ซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องเปลือยเปล่า กดจูบเบาๆ

“เมื่อไหร่จะให้พี่ไปบ้านพิชญ์บ้าง” ช้อนสายตามอง คล้ายจะอ้อนกลายๆ ผมคลี่ยิ้ม สูดควันก่อนจะส่ายหน้า

“ยังไม่ถึงเวลา” พี่เตขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ ผมเอื้อมมือประคองใบหน้าเขา ก่อนโน้มตัวลงจูบริมฝีปากเอาใจ “บ้านพิชญ์ยังยอมรับไม่ได้”

ถึงจะรู้มานานแล้วว่าผมเป็นยังไง แต่พ่อกับแม่ยังปิดหูปิดตา ถึงได้ไม่ว่าเรื่องที่ผมเจาะโน่นนี่ กินเหล้า สูบบุหรี่...

อะไรก็ได้ แค่ลูกยอมกลับไปเป็นผู้ชาย

“ผมกำลังพยายามอยู่” ไม่ใช่การดื้อแพ่ง หัวชนฝาจนแตกหัก เพราะเรารู้ว่าต่างฝ่ายต่างรัก... ต่างก็กำลังพยายาม

แค่ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ผมค่อยๆ ส่งให้ และพวกท่านก็ค่อยๆ รับไป แล้ววันหนึ่งเราก็จะเข้าใจตัวตนและความหวังดีของอีกฝ่าย... ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ต้องปรับความเข้าใจ

“พิชญ์...” ผมยิ้มเมื่อเห็นแววตาเป็นห่วงของเขา เสยผมชื้นออกเพื่อจูบหน้าผากเขา

“ไม่ต้องห่วง พี่ก็รู้ว่าพิชญ์เก่งเรื่องชนะใจ”

ถ้าเทียบกับพ่อแม่แล้ว คนตรงหน้านี้ใจแข็งกว่าตั้งหลายเท่า

พี่เตหัวเราะเบาๆ รั้งท้ายทอยผมให้ทาบริมฝีปากลงไป กดจูบลึก บดเบียดริมฝีปากเข้าหา มอบสัมผัสหวานล้ำ เนิ่นนาน

“ให้พี่พยายามบ้าง” จับผมทัดหูให้ พลางเกลี่ยแก้มเบาๆ ดวงตาสีรัตติกาลจ้องลึก จริงจัง

“ให้สมกับความโชคดีที่มีพิชญ์อยู่ข้างๆ”     

ผมอมยิ้ม ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะพูดประโยคแบบนี้ได้ แสร้งเบือนหน้าหนี อัดบุหรี่เข้าปอดดับความอาย แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของอีกคนก็หลุดยิ้มกว้างจนได้ พี่เตดึงบุหรี่ไปอัดควันครั้งสุดท้าย ดวงตาสีรัตติกาลพราวระยับราวกับรู้ว่าต้องการอะไร

และใช่... ผมต้องการเขา

ผมเอื้อมมือประคองใบหน้าหล่อเหลาก่อนโน้มตัวลงไป ลิ้มรสนิโคตินด้วยริมฝีปากที่ทาบทับอย่างโหยหา ปันสารเสพติดผ่านปลายลิ้นที่แทรกเข้ามา

ให้ควันอ้อยอิ่งที่เชื่อมเราไว้... กระทั่งทั่งร่างถูกดึงสู่ผืนน้ำ

ริมฝีปากร้อนยังบดเบียดไม่ห่าง ความเย็นเยียบไม่อาจกลบทับความอบอุ่นของอ้อมกอดที่โอบรัดผมไว้...

...ไม่มีทางต้านทานสัมผัสหวานล้ำ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนน้ำในสระให้ร้อนจัด เป็นทะเลราคะอีกครั้ง

   





หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เราผ่านสิ่งต่างๆ มาด้วยกันอีกมากมาย

มีวันที่ดี มีวันเลวร้าย...

ชีวิตที่ยังต้องดิ้นรน วุ่นวาย... เซ็กซ์ที่เร่าร้อน กระทั่งเรียบง่าย ผ่านความสุข ความทุกข์และอุปสรรคที่ไม่คิดว่าจะผ่านได้

แต่ช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุดในแต่ละวัน คือความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าผมยังอยู่ในอ้อมกอดเขา... ยังได้เห็นใบหน้าคมที่กำลังหลับใหล ได้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดลงมาบนปลายจมูกยามที่ผมลักลอบจรดริมฝีปากลงไป
   
ชอบเวลาที่เขาลืมตาขึ้นมาสบตาผม ยิ้มบางๆ แล้วกดจูบลงมา...

ทุกการกระทำที่บ่งบอกว่าเขายังอยู่ข้างๆ
   
ใช้เวลานานกว่าเหตุการณ์ฝังใจจะลบเลือนได้... ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าผมจะเชื่อว่าเขาจะไม่หายไป พี่เตใช้สัมผัสอุ่นร้อนและอ้อมกอดกระชับทำให้ผมมั่นใจ

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมใช้มันรั้งเขาไว้...
   
มันคือเกม...

เกมที่ทุกๆ เช้าเราจะเริ่มเล่น ผมจะเป็นฝ่ายถาม และเขามีสิทธิ์เลือกสองทาง
   
ถ้าเขาเลือก 'จริง' ผมจะถาม... รู้ใช่ไหมว่าเขาคือคนสำคัญ
   
ถ้าเลือก 'ท้า' ...ผมจะบอกเป้าหมายที่บังคับใช้ในวันถัดไป
   
คำสั่งที่ต้องทำทันที เปลี่ยนเป็นคำท้าของอนาคตที่ผมใช้แทนคำยืนยัน... ง่ายดายเท่าชีวิตประจำวัน

พรุ่งนี้พี่ต้องปลุกผม...
   
พรุ่งนี้เราจะกินข้าวเช้าด้วยกัน...
   
พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยว... ดูหนัง... หรือแค่นอนเอกขเนกบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน
   
พรุ่งนี้ผมจะยังมีเขา...
   
รู้ตัวอีกที... เราก็ก้าวผ่านอดีตอันเลวร้ายมาไกล... รู้ตัวอีกที เราเปลี่ยนความหวาดระแวงเป็นความเชื่อใจ

รู้ตัวอีกที...คำว่าพรุ่งนี้ของผม ก็มีความหมายไม่ต่างจากสัญญาที่เคยให้ไว้

พรุ่งนี้ที่หมายถึงตลอดไป...

“ท้าหรือจริง?”



- Tomorrow we will… -






-----------------------------------------------------------
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ
เป็นคำที่เราใช้ปิดท้ายแทบทุกตอน ด้วยความรู้สึกว่าน่าจะมีคนอ่านไม่มาก และคงลดน้อยลงตอนถึงปลายทาง
เริ่มเขียนจากปมสุดท้ายของเรื่อง ซึ่งหนักหนาเอาการ และเป็นคนเดียวที่รู้ว่าจะเหตุการณ์นั้นขึ้น ตอนเขียนเลยอึดอัดน่าดูเลยค่ะ ทั้งที่ปกติชอบเม้าท์มอยเรื่องคาแร็กเตอร์ตัวละคร แต่เรื่องนี้ต้องอุบไว้ก่อน บอกสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น ตอนเฉลยแล้วก็โล่งใจ เปลี่ยนมาเครียดเรื่องมันจะสมเหตุสมผลมั้ยแทน 55555

เป็นเรื่องที่เราลองปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง มู้ดของเรื่อง (หม่นสุดและอีโรติกสุดเท่าที่เคยเขียนแล้วค่ะ 5555) จังหวะ การตัดฉาก ภาษา รู้สึกสนุกมากกับการผสมคำ หาคำเปรียบเปรยมาใช้ ยังประดักประเดิดอยู่บ้าง หรือมีอะไรบกพร่องไป ก็ขอโทษด้วยนะคะ ถือเป็นการทดลองเขียนและทดลองอ่านไปพร้อมกันเนอะ

เรื่องนี้เราจะลองรีไรต์ส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณานะคะ ไม่มั่นใจว่าจะผ่านมั้ยเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องรวมเล่มก็คง 50/50 รับปากอะไรไม่ได้ แงง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณมากๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน
รักพิชญ์ รักพี่เต รักป๊าเจด เจได รักตัวละครทุกตัว ขอบคุณที่เป็นคนดี :)
สุดท้ายรักคนอ่านมากๆ 

แล้วเจอกันใหม่นะคะ

 :กอด1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2018 02:01:53 โดย makok_num »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ดีใจที่น้องพิชญ์และพี่เตมีความสุขขขข  :hao5:
ให้เป็นพรุ่งนี้ของกันตลอดไปนะะะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2018 21:12:31 โดย Raccool »

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮื่ออออออ จบแล้ววววว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ภาษาดีๆอีกเรื่องนะคะ ชอบภาษาเรื่องนี้มากๆเลย ภาษาสวยมาก บรรยายเห็นภาพโดยเฉพาะ nc 555555555555555 รอติดตามเรื่องต่อไปค่า :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โธ่ โดนปาดดด 55555555
น้องพิชญ์ยังคงน่ารักและเร่าร้อนเสมอต้นเสมอปลาย พี่เตจริงๆแล้วเป็นคนอ่อนโยนมาแต่แรกเลยยยย ขอบคุณน้องพิชญ์ที่สู้มาจนมีวันนี้ค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆสนุกๆแบบนี้นะคะ ติดตามผลงานต่อๆไปเรื่อยๆเลยยย  :o8:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
มิติของความเป็นมนุษย์ของเตวิชญ์ สอนให้เรามองคนที่ผ่านเข้ามาเปลี่ยนไป ความอดทน ความพยายามของพิชญ์บอกย้ำเราอีกครั้งว่าทั้งหมดที่เราทำมาจะไม่สูญเปล่า เรื่องราวของทั้งคู่บอกให้เรารู้ว่า พรุ่งอาจจะไม่มีจริง การแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อคนที่เรารักเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอบคุณที่ให้เราได้มากว่าความบันเทิงใจ การเตือนใจและสอนใจที่ได้รับมันมีค่ามากเลยค่ะ หวังว่าจะผ่านการพิจารณานะคะ เอาใจช่วยและรอสนุบสนุนค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แปะ​ไว้​ก่อน​

ออฟไลน์ Mamars

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณนะคะ เก่งมากๆเลย สารภาพว่าแม้ตอนสุดท้ายก็ยังลุ้น อ่านมาถึงบรรทัดสุดท้าย เฮ้อ โล่งอก 555 เป็นอีกเรื่องที่ชอบมากๆ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ tipppppp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือดีมากกกกกกก ทุกอย่างลงตัวไปหมดเลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่านนะ

ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เป็นตอนจบที่อ่านแล้วอบอุ่นไปกับน้องพิชญ์มาก อบอุ่นไปกับสัญญาในทุกเช้าว่าจะยังมีกันและกันเพื่อนทำตามคำท้า คนเขียนเขียนออกมาได้ดีมากเลย ถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครได้ชัดมาก เรารู้สึกไปกับตัวละครที่คุณเล่า เหมือนเราไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์เองเลย ขอบคุณคนเขียนมากนะคะที่สร้างผลงานดีๆให้เราได้ติดตาม ชอบทุกตัวละคร แม้ว่าบางทีจะด่าพี่เตไปบ้างด้วยความไม่รู้ แต่ก็เกลียดเขาไม่ลง รักทุกคนค่ะ อยากได้ๆ5555555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านกันนะคะ  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด