ตอน 13 The End
ปริ๊นๆๆๆๆๆ
เสียงคุ้นหูที่ร่างเล็กได้ยินมาตลอดทั้งเดือนทำให้ต้องผละจากงานที่ทำค้างอยู่ ออกไปที่หน้าบ้าน
“มาทำไมอีกเนี่ย” เสียงบ่นไม่พอใจดังขึ้นทันทีที่คนตัวสูงเดินเข้ามาในบ้าน
“ถ้าจะบอกว่า มาเพราะใจเรียกร้องล่ะครับ” เสียงทุ้มบอก ก่อนจะได้ค้อนวงโตจากร่างเล็กๆ ตรงหน้า
“เสี่ยวชะมัด ไอ้ยาวเอ้ย” เหวใส่คนร่างสูง ก่อนจะรีบหลบเข้าห้องทำงานไป
“บ้าเอ้ย ยิ้มทำไมเนี่ย ไอ้ตะวัน ” บ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะจับหน้าที่เริ่มร้อนเพราะคำพูดของใครบางคน ตั้งแต่เจอกันจนถึงวันนี้ร่างสูงก็มาบ้านเขาแทบทุกวันจนเรียกว่าเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
“บ้านตัวเองไม่มีให้กลับหรือไงนะ มาบ้านคนอื่นเขาได้ทุกวัน ชิ”
“ก็ที่บ้านอ่ะ มันไม่มีอะไรน่าสนใจนิครับ” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู
“เฮ้ย !!! เข้ามาทำไมเงียบๆเนี่ยคุณ” ตะวันเหวใส่คนตัวโตก่อนจะผลักร่างสูงออกห่าง
“พี่รุทร”
“อะไรเนี่ยคุณ พูดอะไรให้มันมีประธาน กริยา กรรม หน่อยได้ไหม ห่ะ”
“ก็รู้จักกันมาตั้งเดือนแล้ว ยังเรียกคุณๆอยู่ได้ บอกแล้วไงว่ามัน ห่างเหิน”
เหอะ อีตาบ้านี่ ชักเอาใหญ่พอไม่ว่าเข้าหน่อย หยอดใหญ่เลยนะ
“แล้วใคร สนิทกับคุณไม่ทราบ แล้วก็ไม่ได้อยากให้มาเลยเหอะ”
“แหมๆ ก็บอกแล้วไงว่าหัวใจมันเรียกร้อง”
“เสี่ยว!!”
“อ่า ถึงเสี่ยวก็จริงใจนะคร้าบ”
“นี่ถามจริงเถอะคุณ อะไรดลใจให้คุณพูดจาอะไรแบบนี้ห่ะ”
“อ้าว คุณไม่ชอบเหรอ ไหนไอ้เซ้นส์มันบอกว่า มุขนี้ใช้จีบได้ตลอดกาลไงหว่า” ถามอีกคนอย่างแปลกใจ
สงสัยคงต้องกลับไปตบกระบาลไอ้เซ้นส์ อีกสักหลายดอกซะแล้วไหนบอกว่ามันใช้มุขนี้จีบเมียมันจนติดไง ทำไมคนหน้างอ ตรงหน้าเนี่ยยังขยันไล่เขาอยู่เลย
“กะ ก็ ………….. ไม่ชอบ”
ร่างเล็กตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะเอาเข้าจริงใจ แล้วก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า บางครั้งไอ้คนพูดเสี่ยวๆบ้าๆ นั่นมันก็ทำเอาใจสั่นเหมือนกัน
“หึหึ ตอบไม่เต็มเสียงแบบนี้ ไม่สมกับเป็นน้องตะวันคนเก่งเลยนะ” อนิรุทร เอ่ยล้อ
“อะ อะไรเล่า คุณออกไปเลยนะ ผมจะทำงาน”
“ไม่ออกครับ เมื่อกี้พี่บอกให้เรียกว่ายังไง ถ้าไม่ยอมเรียกดีๆพี่ก็ไม่ออก”
“ไหนลองพูดสิครับ ……. พี่รุทรออกไปก่อนนะ ตะวันจะทำงานนะครับ” ร่างสูงพูดนำก่อนจะกอดอกนิ่ง
“ถ้าพูดแล้วต้องออกไปตกลงไหม”
“ครับ พี่ไปแน่ แต่ไปรอกินข้าวนะ”
“พี่รุทรคร้าบ ออกไปเถอะคร้าบ ตะวันจะทำงานนะคร้าบบบบบบบบ”
“อย่างนี้สิครับถึงจะน่ารัก” ร่างสูงบอกก่อนจะยิ้มน่าระรื่น ออกจากห้องไป
ร่างเล็กได้แต่ถอนหายใจกับผู้ใหญ่ดื้อ ตรงหน้า อย่างขำๆ ไม่รู้ว่ามันเดินมาถึงจุดนี้ได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมามันคืออะไร รู้ตัวอีกที คนตัวสูงแปลกหน้าก็กลายเป็นคนที่เข้ามากวนใจได้ทุกวัน
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“ว่าไงครับมึง” ร่างเล็กรับโทรศัพท์เสียงใส
(เสียงสดใสเชียวนะครับคุณตะวัน) คนในสายเอ่ยตอบ
“แล้วนี่ โทรมาทำไมมิทราบคร้าบ คุณเคน ว่างโทรหาเพื่อนด้วยเหรอ นึกว่าขลุกอยู่กับแฟน”
(เหอๆ ใครกันแน่ที่มัวขลุกอยู่กับแฟนน่ะ ไม่น่าจะใช่กูนะครับ)
“มึงหมายถึงใครว่ะ คนๆนั้นไม่น่าจะใช่กูนะ”
(อ้าว นี่มึงกับพี่ชายสุดหล่อของมึง ยังไม่ตกลงปลงใจอยู่กินกันอีกเหรอว่ะ) คนในสายถามทีเล่นทีจริง จนร่างเล็กอดที่ค้อนเพื่อน
ไม่ได้ ทั้งๆที่ค้อนไปก็ไม่มีใครเห็นสักนิด
“พูดไรว่ะ กูกับพี่รุทรไม่ได้เป็นอะไรกันเว้ย”
(โห น่าสงสารพี่ชายมึงว่ะ นี่ตามจีบมาเป็นเดือนแล้วมึงยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอเนี่ย)
“มึงไม่คิดว่ามันเร็วไปเหรอเคน ถ้ากูจะเอ่อ…….ใจอ่อนกับพี่รุทร”
เอ่ยถามเพื่อนเสียงแผ่ว สำหรับตะวันนอกจากพ่อกับป๋าแล้วคนที่ไว้ใจที่สุดคงหนีไม่พ้นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมคนนี้ เรียกว่าเคนเป็นที่ปรึกษาและผู้รับฟังปัญหาของร่างเล็กมาแต่ไรแต่ไรถึงแม้ว่าบางครั้งวิธีแก้ปัญหาของไอ้เพื่อนสนิทนี่มันจะออกแนวบ้าๆบอๆไปบ้างก็ตาม
(ไอ้ตะวัน เพื่อนรัก มึงเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม)
“ทำไมว่ะ พรหมลิขิตเกี่ยวอะไร”
(มึงนี่แมร่งไม่มีความโรแมนติกเล๊ยยยยย ก็มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าการที่มึงเจอกับพี่รุทรวันนั้นมันอาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้นะมึง )
“เหอะ พรหมลิขิตที่มึงว่าต้องไปเจอที่ต้นมะม่วงด้วยหรือเปล่า”
(อย่ามาทำเป็นเล่นนะครับเพื่อน ถึงกูกับแมทจะเจอกันที่ต้นมะม่วงจริงๆ แต่ก็คบกันมาได้จนถึงวันนี้ก็แล้วกัน ตะวันกูอยากจะบอกมึงสักหน่อยนะ สำหรับความรักมันไม่มีเร็วไปหรือช้าไปหรอกนะ แค่รู้ว่าวันนี้หัวใจมึงอยู่ที่ใครก็พอ )
“แต่กูว่ามันเร็วไป”
(เฮ้อ) เสียงปลายสายทอดหายใจระอากับความดือของเพื่อน
(มึงครับ มึงแน่ใจได้ยังว่าพรุ่งนี้มึงจะยังหายใจอยู่ ถามหน่อย แน่ใจได้ยังว่าถ้าปล่อยให้ถึงวันที่เรียกว่า “เหมาะสม” แล้วมันจะไม่
สายเกินไป ตะวันทำตามใจตัวเองซะบ้างเถอะน่า อย่ามัวคิดโน่นคิดนี่อยู่เลย เชื่อกูสักครั้ง ทำตามที่ใจมึงเรียกร้องซะ)
“อืม ขอบคุณมากนะเคน”
“อืม มึงก็คิดดีๆล่ะ จะได้มีสามีเป็นตัวเป็นตนสักที กูอยากอุ้มหลานแล้วฮ่าๆๆๆ ”
ปลายสายบอกเสียงร่าเริงก่อนจะวางสายไป ร่างเล็กได้แต่นั่งเหม่อจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่ใช่ไม่รู้ว่า ใจเต้นทุกครั้งที่ถูกมอง ใจทุกครั้งที่เห็นหน้า เจ็บปวดทุกครั้งที่เห็น เขาคนนั้นใสใจคนอื่นมากกว่า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความกลัว ความกลัวที่ไม่มีที่มา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร
ก๊อกๆๆๆ
“ตะวัน ทานข้าวได้แล้วนะ” อนิรุทรเอ่ยเรียกร่างเล็กที่อยู่ในห้องทำงาน เบาๆ
“อืม ได้ยินแล้ว” คนในห้องขานรับก่อนจะเปิดประตูออกมา
อนิรุทรได้แต่นั่งมองคนที่ดูท่าทางเหมือนคิดอะไรในใจตลอดเวลาอยู่เงียบๆ ตะวันที่เคยร่าเริงวันนี้ดูร่างเล็กไม่ค่อยจะคุยเหมือนเดิมเท่าไหร่ ถึงเขาจะแกล้งแหย่บ้าง ล้อบ้างตลอดเวลาที่ทานข้าว ร่างเล็กก็ดูเหมือนจะแค่นยิ้มบางๆเท่านั้น แม้แต่กับคุณอาทั้งสอง ร่างเล็กก็แทบจะไม่คุยด้วยเลย
“ตะวัน อิ่มแล้ว ขอตัวนะครับ” ร่างเล็กบอกก่อนจะเดินออกไปที่สวนหลังบ้าน
อนิรุทรมองตามร่างเล็กๆจนลับตา ความกังวลเริ่มก่อกวนจนอยู่ไม่สุข แววตาหม่นๆของคนร่างเล็กทำเอามื้ออาหารที่ควรจะครึกครื้น
เหมือนมุกวันดูกร่อยลงไปถนัดตา พาลเอาอีก 3 คนคอแข็งเอาดื้อๆ
“รุทร ไปดูน้องหน่อยสิลูกไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า” นทีเอ่ยบอกร่างสูงด้วยแววตาเป็นกังวล
“ครับอา”
ร่างสูงของอนิรุทรทรุดนั่งข้างๆร่างเล็กบนชิงช้าในสวนพลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ตะวัน เป็นอะไรบอกพี่ได้ไหม”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ตะวัน พี่ขอล่ะนะ ถ้าไม่เห็นแก่พี่ก็เห็นแก่คุณอาได้ไหม พ่อกับป๋าของตะวันเป็นห่วงมากเลยนะ”
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับคุณรุทร” เสียงเล็กเอ่ยบอกก่อนจะเหม่อมองไปอีกทาง
ร่างสูงถอนหายใจเสียงดังก่อนจะมองเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ไม่ชอบเลยที่คนตัวเล็กแสนร่าเริงดูหงอยแบบนี้ มันเหมือนหัวใจโดนทับด้วยอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ อนิรุทรเฝ้าถามตัวเองเสมอว่า ทำไมถึงยังคงมาที่นี่ทุกวัน ทั้งๆที่ถูกไล่ทุกวัน เขาเองก็ตอบคำถามตัวเองไม่ได้สักที รู้แค่ว่า คิดถึง อยากเจอคนๆนี้มากเหลือเกิน มันเหมือนเขารอคนๆนี้มานาน อาจจะฟังดูงี่เง่าไร้สาระแต่เขาคิดกับคนที่นั่งข้างๆแบบนี้จริงๆ ตั้งแต่วันแรกที่เดินชนกันที่สนามบิน หัวใจที่ไม่เคยรักใครของเขาเหมือนมันหาเจ้าของเจอแล้ว คนที่ไม่เคยแคร์หรือห่วงใคร กลับเก็บเอาร่างเล็กๆตาหวานๆ พร้อมกับเสียงตวาดแว๊ดๆๆ ของใครบางคนมานอนฝัน คิดแล้วก็น่าหัวเราะเหมือน
“ตะวันคิดมากเรื่องพี่เหรอ” ตัดสินใจเอ่ยถามคนตัวเล็ก
“ทำไมคุณคิดแบบนั้น”
“ไม่รู้สิ ทุกครั้งที่พี่มาที่นี่ เหมือนตะวันจะไม่ค่อยอยากคุยกับพี่เท่าไหร่ พี่ทำให้ตะวันลำบากใจหรือเปล่า”
ร่างเล็กไม่ยอมตอบ แต่สำหรับอนิรุทร ความเงียบของคนข้างๆมันน่ากลัวกว่าคำพูดร้อยพันเป็นไหนๆ
“อ่า นี่ก็ดึกแล้ว พี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่า ตะวันเองก็อย่าเอาแต่ทำงานนะ พี่ไปล่ะ ฝากลาคุณอาทั้งสองด้วยนะ”
เอ่ยบอกกับคนตัวเล็กก่อนจะเดินไปที่รถของตัวเอง
ตะวันเฝ้ามองรถยนต์คุ้นตาค่อยๆขับห่างออกไปจากบ้าน พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
ขอเวลาตะวันหน่อยนะพี่รุทร ตะวันยังไม่พร้อมจริงๆ
ร่างเล็กนอนกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนแต่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้สักที
“โอ้ย แกเป็นอะไรของแกเนี่ย ไอ้ตะวัน ทำไมนอนไม่หลับว่ะ” บ่นกับตัวเองเบาๆเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งๆที่วันนี้มันก็
เหมือนกับทุกๆวันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมวันนี้ถึงนอนไม่หลับล่ะ ไม่สิ วันนี้ มันขาดไปจริงๆด้วย มันขาดเสียงโทรศัพท์จากใครบาง
คนที่ต้องโทรมาตอนสี่ทุ่มของทุกวัน แต่วันนี้ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ทำไมเสียงโทรศัพท์ยังไม่ดังสักนิดนะ
“โอ้ยๆๆๆ ไอ้ตะวัน นอนเดี๋ยวนี้นะ แกจะรอทำไมห่ะ นอนได้แล้ว” บอกตัวเองอย่างหงุดหงิดแต่ทำไมตามันไม่ยอมปิดสักทีเนี่ย
ร่างเล็กนั่งโงนเงนอยู่บนโต๊ะอาหารจน ฤทธิ์อดที่จะขำลูกชายไม่ได้
“วันนี้เป็นอะไรห่ะ ตะวันทำเหมือนไม่ได้นอน”
“เปล่าหรอกป๋า ตะวันแค่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่า เห็นเราไม่ค่อยร่าเริงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” นทีที่เพิ่งเดินออกมาจากครัวพร้อมกับข้าวต้มหอมฉุยเอ่ยถามขึ้น
“เปล่าครับพ่อ ตะวันไม่เป็นอะไร” เอ่ยบอกบุพการี ก่อนจะลงมือกินข้าต้มเงียบๆ
ตะวันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่ว่าน้ำเสียงตัดพ้อของใครบางคนกำลลังทำให้หวั่นไหว มันเป็นความหวั่นไหวที่ตะวันกลัวมา
ตลอด ความหวั่นไหวจาก “ความรัก”
สามวันแล้วที่ร่างเล็กคอยเงี่ยหัวฟังเสียงรถยนต์ที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่มีวี่แวว ว่าร่างสูงคุ้นตาจะมาสักที สามวันที่ผ่านมาร่างเล็กที่เคยร่าเริงกลับดูหงอยลงจนคนรอบข้างรู้สึกได้ ตั้งแต่วันที่ร่างสูงหายไป ก็เหมือนกับว่ารอยยิ้มของร่างเล็กหายไปด้วยเหมือนกัน
ปริ๊นๆๆๆๆ เสียงแตรรถยนต์ปลุกให้ร่างเล็กรีบวิ่งออกมาที่หน้าบ้านหวังเหลือเกินว่าจะเป็นใครคนนั้น
“ตะวันเพื่อนเลิฟ” เสียงห้าวๆของเจ้าของรถทักเจ้าของบ้านเสียงใส ก่อนจะวิ่งเข้าไปสวมกอดเพื่อนทันที
“ไอ้เคน มาได้ไงว่ะ”
“มึงก็เห็นว่ากูนั่งรถมา” เคนตอบกลับกวนๆ ก่อนจะสังเกตว่าสีหน้าเพื่อนไม่สู้ดีนัก
“ตะวันเป็นอะไร ใครทำอะไรมึงว่ะ บอกท่าเคนมาดิ เดี๋ยวกูไปจัดการให้”
“เก่งตลอดอ่ะมึง ไม่มีใครทำอะไรกูหรอก กูคงบ้าของกูเอง” บอกเพื่อนเสียงแผ่ว
“ตะวัน มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมา 10 กว่าปีแล้วนะ มึงคิดว่ากูดูมึงไม่ออกรึไงห่ะ”
“ไปคุยที่ห้องกูได้ไหม”
“เอาล่ะไหนคุณตะวัน บอกเพื่อนสิว่าเป็นอะไรอะไร” เคนเอ่ยถามทันทีที่มาถึงห้องของเพื่อนตัวเล็ก
“เคน กู คิดถึง เขา ว่ะ” ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องปิดบัง ระยะเวลาสามวัน มันทำให้เขาเข้าใจอะไรๆมากขึ้น เขาใจ ว่าตัวเอง
ต้องการอะไร แต่เขาไม่ว่าเขาเข้าใจ มันสายไปหรือเปล่า
“อ้าว พี่ชายสุดหล่อ ถอดใจแล้วเหรอ”
“ไม่รู้ แต่เขาไม่มา สามวันแล้ว”
“นางเอกจริงเพื่อนกู เฮ้อๆๆ” บ่นกับตัวเองเสียงไม่เบานักจนอีกคนแทบอยากจะตบกะโหลกสักสองป๊าบ
“กูบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้ซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเองน่ะ ถามจริงเถอะ มึงเคยโทรหาพี่เขาสักครั้งยัง เคยถามไหมว่าเขาหายไปไหน ”
“ไม่เคย”
“เฮ้อ นางเอกหนังไทยสุดๆ อ่ะโทรซะ ให้ว่องครับเพื่อน” เอ่ยกับเพื่อนตัวเล็กก่อนจะยื่นโทรศัทพ์ให้
“กู….”
“เลือกเองนะ ถ้าไม่อยากเสียใจก็คว้ามันไง้ซะ ถ้าอยากเสียใจก็ปล่อยมันไว้แบบนี้แหล่ะ แต่กูจะบอกว่ามันไม่ง่ายนะที่เจอใครสัก
คนที่รักเราจริงๆ ”
ร่างเล็กทำหน้าลำบากใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ไปโทรหาร่างสูงอย่างเสียไม่ได้ เสียงสัญญาณโทรศัพท์ทำเอาร่างเล็กใจสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ มันตื่นเต้นซะยิ่งกว่าดูผลสอบเข้ามหาลัยอีกนะเนี่ย
(สวัสดีค่ะ) เสียงหวานรับสายทำเอาร่างเล็กใจสั่น
“เอ่อ ขอสายคุณรุทรหน่อยครับ” ตะวันเอ่ยบอก แต่ทำไมรู้สึกว่าเสียงตัวเองมันสั่นแปลกๆนะ
(เอ๋ ตะวันเหรอ) เสียงปลายสายถามกลับทำเอาคนที่โทรไปได้แต่อึ้งเพราะไม่นึกว่าคนปลายสาบจะรู้จักเขา
“คะ….. ครับ”
(พี่ก็นึกว่าใคร อิอิ เพราะน้องชายพี่ไม่ได้เมมชื่อเราไว้น่ะพี่เลยไม่รู้)
“ระ เหรอ ครับ ละ แล้ว เอ่อ…”
(รุทรนะเหรอ อ่า ตอนนี้รุทรไม่สบายน่ะจ๊ะ ไม่รู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ไปยืนตากฝนทำพระเอกซะอย่างนั้น)
“แล้วพี่รุทรเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” เอ่ยถามคนในสายเสียงเครียด
(อาการป่วยกายน่ะพี่ว่าไม่เท่าไหร่หรอก แต่ป่วยใจเนี่ยสิ ท่าจะหนัก พี่ไม่รู้นะว่า ตะวันกับน้องชายพี่ทะเลาะอะไรกัน แต่พี่แค่
อยากจะบอกว่า รุทรไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนะ พี่รู้จักน้องชายพี่ดี มีเรื่องอะไรกันก็รีบเคลียร์นะ พี่ไม่อยากเห็นน้องของพี่สองคนงอนกันนาน)
“ตะ แต่”
(มาเถอะนา เดี๋ยวพี่เมจเซสที่อยู่คอนโด รุทรไปให้นะ รีบๆมาล่ะ น้องชายพี่รอตะวันมานานแล้วนะ)
สัมผัสชื้นจากจากผ้าชุบน้ำทำให้ร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงรู้เริ่มสึกตัวขึ้น
“อื้อ พี่นีเหรอครับ” ร่างสูงถามเสียงแผ่ว แต่กลับไร้เสียงตอบรับจากพี่สาว จนต้องพยายามลืมตาที่หนักอึ้งขึ้น ช้าๆ แต่คนที่อยู่ตรง
หน้ากลับทำให้ เขาต้องขยี้ตาทันที
เหอๆๆ นี่ไข้สูงจนหลอนเลยเหรอเนี่ย
“พี่รุทร เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงเล็กถามยิ่งทำเอาคนป่วย ลืมตาโพรงด้วยความตกใจ
“ตะวัน”
“ครับ”
“นี่พี่ไม่ได้ เป็นไข้จนเพ้อใช่ไหม ตะวันจริงๆใช่ไหม” ถามพลางโอบอีกคนแน่น จนพยาบาลจำเป็นต้องก้มหน้าซ่อนความอายหรือจะเป็นเพราะมือร้อนๆคู่นี้นะ ที่ทำเอาเขาน่าร้อนไปด้วย
“พะ พี่รุทร ปล่อยตะวันก่อนนะ เดี๋ยวเช็ดตัวก่อน”
คนตัวเล็กบอกอย่างประหม่าเพราะตอนนี้โดนคนป่วยกอดเอาซะจนแทบหายใจไม่ออก
“พี่ขอโทษครับ พี่แค่ดีใจมากไปหน่อย ดีใจที่ตะวันเป็นห่วงพี่ แต่ นี่ตะวันยอมเรียกพี่ว่าพี่แล้วเหรอ” คนป่วยที่เพิ่งรู้ตัวว่า
สรรพนามเปลี่ยนไปยกยิ้มกว้างส่งให้ร่างเล็ก
“เพิ่งรู้ตัวรึไงเล่า ไอ้เสาไฟฟ้าเอ้ย”
คนป่วยยิ้มร่าเพราะคนตัวเล็กแสร่าเริงของเขากลับมาแล้ว ถึงจะชอบท่าทาง ของตะวันเวลาอายแค่ไหนแต่ว่าตะวันที่เขารู้จักต้องปากจัดแบบนี้ตะหาก
“ตะวันครับ พี่ขอเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าตะวันยอมคบกับพี่แล้ว”
“เหอะ พี่เคยขอตะวันคบหรือยัง ล่ะ ถ้ายังก็แปลว่าตอนนี้เราก็เป็นคนรู้จักกันเหมือนเดิมนะครับ” คนตัวเล็กว่างอนๆ
“อ่า นั่นสิเนาะ งั้น ตะวันครับ พี่รักตะวันเป็นแฟนกับพี่นะครับ”
“ครับ”
เสียงตอบรับหนักแน่นจาดร่างเล็กทำให้อนิรุทรกอดอีกคนไว้แน่น ในที่สุดสิ่งที่รอคอยก็เป็นจริงถึงใครจะมองว่าเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนมันดูจะเร็วเกินไปแต่สำหรับ คนสองคนแล้ว มันเหมือนพวกเขารอคอยกันและกันมานานแสนนาน แต่ไม่ว่าจะรออีกนานแค่ไหน พวกเขาก็พร้อมที่จะรอ ไม่ว่าสิ่งที่นำทางให้พวกเขามาพบกันจะเป็น เวรกรรมหรือพรหมลิขิต มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ “ความรักไม่มีวันตาย” ต่อให้ต้องรออีกนานแสนานแค่ไหน ก็เพียง…………………………………………………………
ขอให้เราสอง ครองรักกันทุกชาติไปปล่อยความคิดถึงปลิวไปในอากาศ
ล่องลอยหัวใจสะอาด ปล่อยไปแสนไกล
กรุ่นกลิ่นบุหงาพัดมาด้วยรักจากใจ
เพียงหวังให้ถึงใคร คนที่รอคนนั้น
ส่งความคิดถึงปลิวไปในอากาศ
คิดถึงใจจะขาด เธออาจไม่เข้าใจ
แค่อยากให้รู้ ไม่ได้ต้องการสิ่งใด
เธอไม่ต้องขืนใจ ถ้าเธอไม่ต้องการ
ฝากเป็นเพลง ให้ลอย เล่นลมไป ล่องลอย ผ่านไปถึงเธอ
แม้จะเนิ่นนาน ยังรักเธอ ตราบนาน อสงไขยเวลา
หากเพลงคิดถึงที่ปลิวไปในอากาส
เพียงถ้ามันพลั้งพลาด ไปไม่พบเธอ
ให้บทเพลงนี้ล่องลอยไปเสมอ
รอสักวันที่เจอ คนที่เขาต้องการ
ฝากเป็นเพลง ให้ลอย เล่นลมไป ล่องลอย ผ่านไปถึงเธอ
แม้จะเนิ่นนาน ยังรักเธอ ตราบนาน อสงไขยเวลา
แม้จะเนิ่นนาน ยังรักเธอ ตราบนาน อสงไขยเวลา
............................................ END....................................................
ปล เพลงอสงไขย เดอะซิส
ถึงเวลาที่ต้องจบแล้วค่ะเรื่องนี้
ไม่มีเวลาแต่งเลย มันออกมาขาดๆยังไง
ก็ไม่รู้ ขอโทษ นะคะ
แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม นะคะ
รักนะม๊วฟๆๆๆ