เรื่องของเด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ กับพี่ชายปากบอน บ้านข้างๆ # บทที่ 2
ความรัก...ก็เหมือนภาพที่ยังวาดไม่เสร็จ
ไม่รู้ว่าผมเคยบอกไปหรือยังว่าพี่ตะวันวาดรูปเก่ง...ชอบวาดรูป และเลือกเรียนสายอาชีพสาขาวิชาจิตรกรรมแทนที่จะเรียนสายสามัญ
หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างคือ...พี่ตะวันเรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่ชอบเรียนหนังสือ และหมดสิทธิ์เลือกเรียนสายวิชาสามัญ...เพราะสอบเข้าที่ไหนก็คงไม่ผ่าน
ในขณะที่ชื่อผมมักได้ขึ้นบอร์ดในฐานะนักเรียนที่ได้คะแนนสอบสูงสุด...ไม่ใช่แค่ระดับห้อง หากแต่เป็นระดับชั้น... ได้ใบประกาศเกียรติคุณสารพัดจนแม่เลิกเอามันใส่กรอบ หันมายัดใส่แฟ้มก่อนจะเทรวมลงกล่องไว้ในห้องเก็บของ เพื่อรอเวลาชั่งกิโลขายในที่สุด
ถ้าหนึ่งกิโลของเศษกระดาษที่ถูกชั่งกิโลขายเป็นใบประกาศเกียรติคุณของผมเสียครึ่งกิโล อีกครึ่งกิโลคือจดหมายเรียกผู้ปกครองไปพบของพี่ตะวัน
ผมอยากจะบอกว่ากฎข้อเดียวที่พี่ตะวันไม่ทำผิดก็คือ...อะไรสักข้อ...ซึ่งคิดให้ตายก็คิดไม่ออก
สำหรับพี่ตะวันดูคล้ายว่า กฎคือสิ่งที่ต้องทำผิด...
“ก็ทำไมล่ะ พอทำแล้วก็ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลยยกเว้นถูกด่าว่าทำผิดกฎ!”พี่ตะวันเถียงน้ำตานองหน้า เมื่อโดนแม่ของผมดุแค่ครึ่งประโยคยังไม่จบด้วยซ้ำ เมื่อทางอาจารย์เตือนมาว่า หากพี่ตะวันไม่ปรับปรุงตัว อาจจะโดนไล่ออกทั้งที่เกือบจะจบม.สามอยู่ไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว
“ก็กฎมันมีไว้ให้ทำตาม คุณครูตะวันไม่ได้สอนเหรอ?”ผมที่ตอนนั้นยังอายุแค่สิบขวบและยังไม่หลงรักพี่ตะวันถาม พลางมองน้ำตาบนแก้มพี่ตะวัน
“ก็ทำไมต้องทำล่ะ ไม่ทำก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย!”
“ไม่เป็นแล้วร้องไห้ทำไม?”
“ฉาย เราเป็นน้องพูดกับพี่เขาแบบนี้ได้ยังไง?”พ่อหันมาดุผม ก่อนหันกลับไปพูดกับพี่ตะวัน
พ่อดุผมบ่อยๆเรื่องทำตัวไม่ค่อยสมกับเป็นน้อง แต่ผมว่าพ่อน่าจะดุพี่ตะวันมากกว่าที่ทำตัวไม่สมกับเป็นพี่
“ตะวัน...กฏมันมีไว้ให้ทำตาม เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก...กฏในโรงเรียนตอนนี้ ตะวันอาจจะมองว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ก่อให้เกิดผลอะไรร้ายแรงถ้าทำผิด ใช่ไหม?”พ่อถาม และพี่ตะวันพยักหน้ารับ
“มันก็แค่ฝึกให้เรารู้จักบังคับตัวเองให้อยู่ในกฎ เคารพในสิ่งที่คนหมู่มากตั้งขึ้น เพื่อวันหนึ่งเราออกไปอยู่ในสังคมที่ใหญ่ขึ้น ผลของการทำผิดกฎ ก่อผลที่ร้ายแรงขึ้น ตะวันเข้าใจไหม?”พ่อถามอีก แต่คราวนี้พี่ตะวันส่ายหัว
“กฎไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเรา ตะวันเข้าใจหรือเปล่า แต่มีไว้เพื่อปกป้องคนอื่นด้วย”พ่อถามอีกครั้ง
“ไม่เข้าใจ!”แต่เป็นผมที่ตอบ
“โง่!”และพี่ตะวันหันมาด่า
“ตอบแทนตะวันนั่นแหละ!”ผมบอก
“ฉาย!”พ่อหันมาปรามผมอีก ก่อนหันไปหาพี่ตะวัน
“เอาง่ายๆอย่างกฎจราจร...เราเคารพกฎจราจรไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของตัวเราอย่างเดียว จริงๆมันเพื่อปกป้องคนอื่นด้วย เหตุผลมันคล้ายๆกัน...เรามองเห็นแค่ตัวเรา การเคารพกฎคือการปกป้องคนที่เรามองไม่เห็น แต่อาจได้รับกระทบจากการกระทำของเรา ตะวันเข้าใจไหม?...กฏง่ายๆในโรงเรียนเพื่อสอนให้เราคุ้นเคยกับการทำตามกฎอื่นๆในสังคม ตะวันเข้าใจหรือเปล่า...การที่ตะวันบอกว่าทำแล้วก็ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น...ผลมันอาจเกิดขึ้นกับคนอื่น โดยที่ตะวันไม่รู้...ตะวันเข้าใจไหม?”พ่อถาม แต่พี่ตะวันเงียบ
“ถ้าฉายไม่เป็นน้อง ฉายจะบอกว่าตะวันโง่...”ผมพูด
“ฉาย!”และพ่อหันมาปรามอีกครั้ง
“อะไรล่ะ พ่อ...ฉายก็ไม่ได้ว่าตะวันซักหน่อย ฉายบอกไงว่าถ้าฉายไม่เป็นน้อง ฉายถึงจะว่า!”ผมอธิบาย และพ่อก็ส่ายหัว
แม่บอกผมว่า ไอ้ที่พ่อพูดกับพี่ตะวันได้คล่องปากน่ะ ก็เพราะครั้งหนึ่ง...หรือจริงๆคือน่าจะหลายๆครั้ง...พ่อเคยพูดกับน้าโอ๋...และแน่นอน เข้าหูซ้ายเพื่อออกหูขวา จนพ่อเลิกพูดเพราะเมื่อยปาก...
แต่กับพี่ตะวัน...จะว่าพ่อสอนดีหรืออย่างไรก็ยากจะบอกแต่หลังจากนั้น ก็ไม่มีจดหมายจากทางโรงเรียนอีก
“เลยไม่มีกระดาษไปชั่งขายเลย!”น้าโอ๋บ่นเมื่อไม่มีจดหมายตักเตือนจากทางโรงเรียนพี่ตะวันอีก
การเรียนอยู่กับเฟรมรูปและสี ดูจะทำให้ชีวิตในโรงเรียนของพี่ตะวันมีความสุขกว่าการเรียนอยู่กับสูตรคูณและการท่องจำ
“ภาพของตะวันได้รางวัลที่หนึ่ง!”พี่ตะวันยิ้มหน้าบาน บอกพ่อกับแม่ ที่พลอยดีใจหน้าบานไปด้วย
พี่ตะวันอวดได้แต่กับพ่อและแม่เท่านั้น ส่วนน้าโอ๋และน้ามะมักบอกว่า...ฝีมือเท่าหางอึ่ง...
ดังนั้น ผมจึงไม่ค่อยแปลกใจที่ในบ้าน มีภาพวาดฝีมือพี่ตะวันเพิ่มเข้ามาทีละภาพ ทีละภาพ และต้องยอมรับว่ารูปพวกนั้นสวยกว่าใบประกาศอะไรต่อมิอะไรของผมบนข้างฝาเป็นไหนๆ...และถ้าถามว่าผมน้อยใจหรือเปล่าที่แม่และพ่อเอารูปวาดของพี่ตะวันมาแขวนข้างฝาบ้านแทนใบประกาศสารพัดของผม...คำตอบก็คือไม่!...ทำไมน่ะเหรอ?...ก็บนฝาผนังบ้านพี่ตะวันก็มีแต่ใบประกาศของผมเต็มไปหมด แถมไม่ใช่ใบประกาศแบบธรรมดาๆ เพราะน้าโอ๋กับน้าม่ะน่ะ เอาไปแต่งใหม่ให้ซะสวยจนเพื่อนๆผมพากันอิจฉา ส่วนครูอยากยึดคืน...
พี่ตะวันชอบวาดรูปดอกไม้ แต่ไม่ชอบวาดรูปคน ยกเว้นแต่งานที่ต้องวาดส่งอาจารย์ พี่ตะวันจึงจะยอมวาด และรูปคนของพี่ตะวันมักทัดดอกไม้ไว้ที่หู แม้จะเป็นรูปผู้ชาย...
จนเมื่อน้าโอ๋กับน้ามะออกเดินทางไปค้นหาตัวเอง พี่ตะวันตัดสินใจจะไปขายตัวสามครั้ง ก็ไม่มีครั้งที่สี่อีก แถมมีเงินมาคืนแม่
“เพื่อนชวนตะวันไปวาดรูป รูปตะวันขายได้!”พี่ตะวันบอกและยิ้มหน้าบาน ตอนเอาเงินมาให้แม่
“เพื่อนคนเดียวกับที่ชวนไปขายตัวหรือเปล่า?”แม่ถาม และพี่ตะวันพยักหน้ารับ
“แล้วเขาขายไปถึงไหนแล้วล่ะ?”แม่ถามอีก ไม่รู้หมายถึงรูปหรือตัว
“พี่เขาวาดรูปสวยกว่าตะวัน เลยขายรูปได้เยอะกว่า แต่ตัวนี่ขายไม่ออก พี่เขาบอกว่าถ้าเป็นตัว ตะวันน่าจะขายได้เยอะกว่า!”พี่ตะวันยิ้มภูมิใจ
“ถ้าวาดสวยกว่าตะวัน แล้วทำไมตะวันได้ที่หนึ่ง”แม่ค้านอย่างไม่ยอมเห็นจริงด้วย
“ตะวันเอารูปพี่เขาไปซ่อน ตะวันเลยได้ที่หนึ่งแค่ครั้งเดียวไง ครั้งหลังๆตะวันได้แต่ที่สอง น้าโอ๋จำไม่ได้เหรอ?”พี่ตะวันบอกเล่าความจริงแบบไม่มีอายสักนิด
“อ๋อ!...แล้วเขายังขายตัวอยู่หรือเปล่า?”
“ขาย แต่ยังขายไม่ออก!”
“ไว้น้าไปดูบ้างดีกว่า เขาขายยังไง”แม่พูด ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น
“เขาติดป้าย ขายตัว แต่ไม่ขายหัวใจ!”
“อ๋อ!...แล้วตะวันล่ะ?”
“ตะวันเลยติดว่า...ขายหัวใจ แต่ไม่ขายตัว!”
“อ๋อ!...แล้วมีคนมาขอซื้อหัวใจตะวันยังล่ะ?”แม่ถาม และค่อยยิ้มออก
“มีแล้ว...ขายไปแล้ว!”
“จริงสิ?”
“จริงสิ!”
พี่ตะวันบอกและยิ้ม ส่วนแม่ยิ้มไม่ออกไปอีกครั้ง
หลังจากนั้น ผมก็เห็นพี่ตะวันวาดรูปบ่อยขึ้น เพียงแต่รูปดอกไม้ของพี่ตะวันดูยากขึ้น และพี่ตะวันก็วาดรูปคนด้วย...พี่ตะวันบอกว่าต้องขยันวาด จะได้เอาไปขาย...
“ก็รับวาดรูปเหมือนด้วยไง...เพื่อนพี่วาดรูปล้อเลียน”
“แล้วตะวันจะเหน็บดอกไม้ไว้ที่หูทุกคนหรือเปล่า ?”ผมถาม นึกถึงรูปดอกไม้บนหูของรูปคนที่พี่ตะวันวาด
“ไม่รู้สิ...ฉายเป็นแบบให้พี่ฝึกมือหน่อยสิ!”
“แต่ห้ามเอาดอกไม้มาเสียบที่หูฉายนะ!”ผมแกล้งพูด ทั้งๆที่ดีใจจะตายที่พี่ตะวันจะวาดรูปผม
ผมชอบเวลาพี่ตะวันวาดรูป มันต่างกันลิบลับกับเวลาพี่ตะวันนั่งทำการบ้านเลข
“ทำไม่ได้ ทำให้หน่อยสิ!”พี่ตะวันมักโอดครวญกับการบ้านเลขเสมอๆ เพียงแต่พี่ตะวันไม่เคยขอให้สอน หากแต่มักบอกว่า...ทำให้หน่อย...ซึ่งก็โทษใครไม่ได้ เพราะแต่เด็ก เวลาพี่ตะวันโยเยไม่ยอมทำการบ้าน ก็แม่กับน้าโอ๋หรือน้ามะนั่นแหละ นั่งเขียนลายมือที่พยายามให้ดูโย้ๆเย้ๆ แทนให้ประจำ ซึ่งผมก็ไม่นึกตำหนิพี่ตะวัน เพราะการบ้านวาดรูปตั้งแต่เด็กจนโตก็น้าโอ๋ น้ามะจนถึงพี่ตะวันนั่นแหละทำให้ผมเหมือนๆกัน
แต่เมื่อการบ้านที่ว่าไม่ใช่คัดก.ไก่ หรือก.กา จึงไม่มีใครทำแทนพี่ตะวันได้
“แม่ไม่รู้เรื่อง ทำไมวิชาเลขมีภาษาปะกฤษด้วยล่ะ?” น้าโอ๋บอก เมื่อพี่ตะวันผลักสมุดการบ้านเลขไปให้ แถมมีคำถามแถมท้ายเป็นการยืนยันว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ
“พ่อก็ไม่รู้เรื่อง!”น้ามะรีบออกตัว เมื่อพี่ตะวันเหล่ตามอง
“น้าจำไม่ได้แล้ว”แม่ก็อีกคน แต่ดูจะรักษาฟอร์มมากกว่า
“งั๊นพรุ่งนี้แม่ปลุกเช้าๆนะ ตะวันจะไปลอกเพื่อน!”มันมักจบลงที่ประโยคนี้ถ้าพ่อของผมไม่อยู่บ้าน เพราะถ้าพ่ออยู่ พ่อจะเป็นคนนั่งสอน และพี่ตะวันมักบอกว่า
“น้าเจดสอนเก่งกว่าครูตะวันอีก...ครูตะวันสอนไม่รู้เรื่อง แต่น้าเจดสอนเกือบรู้เรื่อง!” หมายความว่า พ่อค่อยๆสอน ค่อยๆอธิบาย จนเสร็จไปเป็นข้อๆ แบบพี่ตะวันนั่งฟังและแอบหาวอย่างเดียว...
หากแต่เมื่อการบ้านคือการวาดรูป พี่ตะวันดูจะทำอย่างมีความสุขเสมอๆ ไม่เคยร้องขอให้ใครทำแทน ซ้ำยังหวงอีกต่างหาก
“ใครมายุ่งงานของตะวันอีกแล้ว?”คือประโยคที่ได้ยินจนชิน เพราะพอพี่ตะวันเผลอ น้าโอ๋หรือน้ามะ มักแอบไปหยอดนิดเติมหน่อย ด้วยข้อกล่าวหาว่า...ก็ตะวันไร้ฝีมือ!...
ผมจึงชอบดูเวลาพี่ตะวันวาดรูป...โดยเฉพาะเมื่อผมคิดว่าตัวเองหลงรักพี่ตะวัน ผมก็ยิ่งชอบนั่งดูเวลาพี่ตะวันวาดรูป ดังนั้นมันจึงอดดีใจไม่ได้เมื่อพี่ตะวันจะวาดรูปผม
ผมตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า สระผม ใส่เสื้อตัวโปรดที่คิดว่าตัวเองใส่แล้วโคตรหล่อ วิ่งไปเป็นแบบให้พี่ตะวันถึงที่บ้าน
“จะวาดรูปนู้ด!”พี่ตะวันบอก ก่อนปรายตามองเสื้อผม
“หมายถึงรูปโป๊?”
“อือ...นั่นแหละ!”พี่ตะวันบอก ผมถึงเพิ่งนึกได้ รูปคนที่พี่ตะวันวาดมักเป็นรูปเปลือยครึ่งตัวกับดอกไม้หนึ่งดอก
ผมเลยถอดเสื้อตัวโปรดที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามารีดจนเรียบกริบออก
“กางเกงด้วยดิ!”พี่ตะวันใช้ดินสอชี้มาที่กางเกงผม
“ทำไมล่ะ?”
“อ้าว ก็รูปนู้ดไง”
“ก็ตะวันวาดครึ่งตัวนี่”
“คราวนี้จะหัดวาดเต็มตัว...ถอดดิ”
ผมจำใจถอด ก็ไม่ได้เขินอะไร เพราะแก้ผ้าอาบน้ำกับพี่ตะวันมาแต่เด็ก
“กางเกงในด้วย!”
คราวนี้ผมเขิน เพราะแก้ผ้าอาบน้ำกับพี่ตะวันมาแต่เด็ก แต่ก็เลิกไปนานแล้ว
“เร็วดิ เป็นผู้ชายอายอะไร!”
“ไม่เอา!”
“ถอดดิ เร็ว!”
“ไม่!”
ให้นั่งยัน ยืนยัน สุดท้ายผมก็ต้องโป๊ยัน ตามใจพี่ตะวันจนได้
“เล็กชะมัด!”พี่ตะวันว่า เมื่อผมถอดกางเกงในออก
ผมยืนตัวแข็งมองดูพี่ตะวัน ที่ตาจับจ้องมาที่ผมสลับกับกระดาษที่ตรงหน้า...และสุดท้าย รูปที่พี่ตะวันร่างไว้ ก็เป็นแค่รูปครึ่งตัว
“ก็ไหนจะวาดเต็มตัว แล้วให้ฉายถอดกางเกงทำไม?”
“ก็มันเล็ก!”
“ฉายถามว่าให้ฉายถอดกางเกงทำไม?”
“ก็มันเล็ก...จิ๋วๆน่ะ รู้จักไหม จิ๋วหลิวเลย!”พี่ตะวันไม่พูดเปล่า ยังทำไม้ทำมือประกอบอีกต่างหาก
ผมไม่สนใจ เพราะผมรู้ว่ามันไม่เล็กขนาดนั้นซะหน่อย....ขนาดของมัน สมวัยต่างหาก!
เช้าวันใหม่ ผมวิ่งมาที่บ้านพี่ตะวันอย่างลิงโลด ตื่นเต้นนึกอยากเห็นรูปของตัวเองที่วาดโดยพี่ตะวัน และผมคิดว่าคงไม่โกรธหรอกถ้าพี่ตะวันจะวาดดอกไม้ไว้บนหูของผมด้วย...ผมตื่นเต้นด้วยซ้ำ ว่าที่ใบหูผมในรูปที่พี่ตะวันวาด พี่ตะวันจะทัดดอกอะไรไว้...
ภาพร่างของผมที่พี่ตะวันวาดค้างไว้ มันยังคงค้างคาอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ตรงข้ามกับกระดาษอีกใบ ที่เสร็จสมบูรณ์ เพียงแต่ไม่ใช่รูปผม...และเป็นภาพเต็มตัว...นู้ด...และ...สมวัย...
“ก็เขาเท่กว่า ไม่ขี้ก้างเหมือนฉาย!”พี่ตะวันให้เหตุผล พลางมองรูปวาดที่เสร็จสมบูรณ์นั้นอย่างชื่นชม
“อ๋อ...ไม่จิ๋วหลิวด้วย!”พี่ตะวันหันมาสำทับแถมเหลือบตามองเป้ากางเกงผมอีกตะหาก
พี่ตะวันพูดไม่ผิด ผู้ชายในรูปไม่ได้อายุสิบสองเหมือนผม...ไม่ขี้ก้างเหมือนผม แถมเหน็บดอกไม้ที่หูก็ไม่น่าเกลียด...เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร...ใช่คนที่ขอซื้อหัวใจของพี่ตะวันไปหรือเปล่า?
ผมชื่อตะวันฉาย เด็กชายอายุสิบสอง...ที่มีความรักและอกหัก
ความรักของผมก็เหมือนรูปใบนั้น มันแค่เริ่ม แล้วก็จบโดยไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์...เพียงเพราะผมขี้ก้าง
อกมันกลัดหนองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะมองไม่เห็น รู้แต่ว่าศักดิ์ศรีลูกผู้ชายวัยสิบสองขวบโดนย่ำยี
ผมเลยตั้งปณิธาน ...พรุ่งนี้ผมจะกินนมวันละลิตร วิ่งวันละหนึ่งกิโล ปลูกดอกชบาให้เต็มสวนที่บ้าน เผื่อว่าจะมีสักดอกที่เหมาะกับใบหูของผม และที่สำคัญ ต้องทำให้รูปนั้นเสร็จสมบูรณ์ให้ได้ เผื่อมันจะเป็นนิมิตอันดีว่า รักของผมอาจจะสมบูรณ์
จบ...ความรัก...ก็เหมือนภาพที่ยังวาดไม่เสร็จ
--------------------