ครอบครัวแสนสุข “เป็นยังไงบ้างหนูเปลว พอจะกินได้ไหม” ใบหน้าสวยของนภาฉายแววตึงเป็นกังวลขณะมองดูลูกสะใภ้ของตนกำลังตักอาหารเช้าขึ้นลองก่อนตักกินจริง ลูกตาลเองที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวถัดจากเปลวอรุณก็เทน้ำเตรียมใส่แก้วไว้รอพร้อมทั้งยกถังพลาสติกใบเล็กขึ้นมาวางที่ตักเตรียมพร้อมสำหรับอาการที่ร่างกายไม่รับอาหารของแม่ตัวเองด้วยสีหน้าไม่แตกต่างกัน
เปลวอรุณตักโจ๊กที่ทำจากไข่ขาวเนื้อนุ่มคลุกเคล้าให้เข้ากับตำลึงบดจนเนื้อไข่ขาวสีขาวกลายเป็นสีเขียวจากผักไม้เลื้อยนั้นเข้าปาก
เนื้อโจ๊กนุ่มลิ้นจนแทบไม่ต้องเขี้ยวก็สามารถที่จะกลืนลงได้เลย อีกทั้งตำลึงบดที่นำมาปรุงอาหารในวันนี้เองก็ไม่มีกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ปะปนมา พอได้กลืนแล้วพักรอดูผลแล้ว เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกทั้งยังพอใจในรสชาติของมื้อเช้ารอยยิ้มบางๆก็ปรากฏบนใบหน้าขาวซีด
“กินได้ครับ” และคำตอบที่ได้ออกมาก็พลอยทำให้อีกสองคนที่รอลุ้นฟังผลอยู่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“งั้นแม่เปลวต้องกินเยอะๆเลยนะครับ” ลูกตาลรีบส่งแก้วน้ำให้เปลวอรุณก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบทัพพีขึ้นมาตักโจ๊กแบ่งใส่ถ้วยเล็กให้อย่างกระตือรือร้น
อาการปฏิเสธอาหารหลังจากผ่านการเข้ารับการรักษาเริ่มปรากฏออกมาให้ได้เห็นบ้างแล้ว แม้จะไม่ใช่กับอาหารทุกประเภทแต่ด้วยความที่เปลวอรุณเริ่มกินได้น้อยลงด้วยแล้วทำให้คนที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกินของคนป่วยอย่างนภาและลูกตาลต่างพยายามสรรหาอาหารการกินอย่างอื่นเข้ามาทดแทนเพื่อไม่ให้ร่างกายของคนป่วยขาดสารอาหารที่จำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไป และโชคดีที่นอกจากจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้ดูแลแล้วยังมีราชันอีกคนที่คอยช่วยเหลือสองย่าหลานในเรื่องวิธีการเลือกของกินให้ผ่านสายโทรศัพท์
และพอพูดถึงราชันแล้ว
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ผ่านมาเกือบเดือนหนึ่งได้แล้ว แม้เปลวอรุณกับราชันจะยังคงติดต่อหากันอยู่เสมอทุกวันแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เปลวอรุณจะได้เห็นหน้าของน้องชายคนนี้เลยแม้จะเป็นการเห็นหน้าผ่านการโทรคุยแบบวิดีโอก็ตาม คล้ายกับว่าตัวราชันเองยังรู้สึกกลัวกับการที่จะต้องเจอหน้าของพี่ชายตัวเองอยู่หลังจากเกิดเรื่องเกิดราวในวันนั้น แม้ตัวของเปลวอรุณจะไม่ถือโทษโกรธอะไรทั้งยังเป็นฝ่ายร้องขอให้น้องยอมเปิดกล้องเพื่อที่จะได้เห็นหน้ากันให้หายคิดถึงแต่อีกคนหรือก็ใจแข็งใช้ได้จนเป็นเปลวอรุณเองที่ได้แต่เก็บเอามาแอบน้อยใจอยู่คนเดียว
“วันนี้มีอะไรดีๆหรือเปล่าครับ ดูเปลวมีอมยิ้มมีความสุขนะวันนี้” จู่ๆคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างอนิรุทธิ์ก็เอ่ยปากทักขึ้นมาคล้ายหยอก หลังลอบมองพฤติกรรมของเปลวอรุณที่ดูจะตื่นเต้นกระตือรือร้นกว่าทุกวันตั้งแต่อีกฝ่ายเข้ามาที่โต๊ะกินข้าวพร้อมอัมรินทร์
คนถูกทักเองชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองแล้วก็ยิ้มออกมา
“วันนี้ราชจะมาเยี่ยมครับ” แน่นอนว่าการที่จะได้พบน้องชายที่ตัวเองรักและเอ็นดูย่อมเป็นเรื่องที่สร้างความดีใจให้กับคนป่วยที่เอาแต่อยู่กับบ้านอย่างเปลวอรุณได้มากทีเดียว
“แล้วจะมากี่โมงละ” สุริยะทักขึ้นมาบ้างขณะพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่วางลงบนโต๊ะ
“น่าจะช่วงเที่ยงมั่งครับพ่อ เห็นว่าจะไปธุระก่อนแล้วจะเข้ามา” อัมรินทร์ตอบกลับแทนให้ขณะเอาทิชชูเช็ดมุมปากให้เปลวอรุณ
“ถ้างั้นก็ให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเลยดีไหม หนูเปลวจะได้มีเพื่อนคุยและเราก็จะได้ทำความรู้จักกันด้วย” นภาเสนอขึ้น ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วย และเมื่อไม่มีใครค้านเธอจึงหันไปบอกกล่าวแกมบังคับให้หลานชายโทรชวนพร้อมให้ไปรับลิลดามากินข้าวที่บ้านด้วยกันเย็นนี้
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่ทุกคนในบ้านนั่งรอบวงกินข้าวด้วยกันพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มมันให้ความรู้สึกเหมือนอากาศของเช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดไม่แรงมากแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและผ่อนคลาย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วเหมือนกันที่เปลวอรุณไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวแบบนี้ อาจสักสิบหรือยี่สิบปีตั้งแต่แม่เขาเสียไป หรืออาจนานกว่านั้น...
และเพราะไม่รู้ว่านานแค่ไหนนี้ละที่ทำให้เปลวอรุณรับรู้ได้จากเบื้องลึกของจิตใจว่าตัวเขาเองโหยหาความรักของสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ขนาดไหน ยิ่งพอได้ยินนภาเอ่ยบอกอยากให้ราชันอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันแล้วใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงด้วยความยินดีจนไม่อาจเก็บซ้อนรอยยิ้มมีความสุขเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นได้อีกเช่นกัน
แต่บางสิ่งก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมากเหมือนกัน...
หลังจากรอคอยการมาเยี่ยมเยือนของราชันจนตะวันคล้อยบ่ายในที่สุดรถยนต์สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ก็มาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้าน อาการดีใจจนออกนอกหน้าของเปลวอรุณก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนถึงขนาดที่แม้นภากับสุริยะบอกแกมบังคับให้นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกเดี๋ยวผู้ใหญ่ทั้งสองจะเป็นออกไปรับแขกที่หน้าบ้านให้ เปลวอรุณก็ยังคอยชะเง้อคอมองหาเรียกเสียงหัวเราะขบขันเบาๆจากอัมรินทร์และลูกตาลที่นั่งขนาบข้างอยู่ไม่ได้
ก็นะ นานๆทีพวกเขาจะได้เห็นมุมเด็กๆของเปลวอรุณบ้างนี่นะ...
พอเห็นสุริยะกับนภาก้าวเดินนำแขกเข้ามาในห้องรับแขกรอยยิ้มของเปลวอรุณก็ยิ่งกว้างขึ้นก่อนจะนิ่งค้างไปเสียดื้อๆ และที่ทำให้ใบหน้าเปรี่ยมยิ้มของเปลวอรุณกลายเป็นใบหน้าสงสัยขมวดคิ้วชนกันจนมุ่ยคงจะเป็นจำนวนแขกที่มากกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้
นอกจากราชันกับวาเลนติโน่ที่มาหาเขาในวันนี้แล้วยังมีชายชราที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอหน้ากันอีกอย่างธรรมภาสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนไฟฟ้าที่ถูกเข็นโดนหญิงวัยห้าสิบกลางๆคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าคือ วรรณา ภรรยาใหม่ของแสงธรรมบิดาของราชันตามด้วย ภูมิแสง กับ แสงรวี ลูกชายทั้งสองของเธอเดินปิดท้าย
เปลวอรุณมองคนทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจถึงการมาก่อนจะแบนสายตาหาคำตอบไปถามราชัน
“ขอโทษที่มาช้านะครับพี่เปลว” ราชันไม่ตอบความสงสัยนั้นแต่เลือกที่จะเอ่ยคำขอโทษแทน “ที่ช้าเพราะเครื่องบินที่บินมาจากเชียงใหม่ดีเลย์ไปหน่อยกว่าจะได้ออกจากสนามบินก็เลยช้ากว่าที่คิดเอาไว้” ก่อนจะบอกเหตุผลของเรื่องให้พี่ชายได้ฟัง
“ราชไม่เห็นบอกพี่เลยว่าจะมีใครมาด้วยอีก” เปลวอรุณเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของชายชราบนเก้าอี้เลื่อน
“พอดีพวกเราได้ยินว่าคุณเปลวป่วยอยู่ เลยขอให้คุณราชพามาเยี่ยมค่ะ” วรรณารีบเอ่ยขึ้นโดยไม่ระบุเจาะจงเมื่อเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดของบรรยากาศรอบๆตัวที่แพร่ออกมาจากแววตาของคนป่วยที่ตั้งใจจะมาเยี่ยม
“ขอบคุณคุณป้านะครับที่อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ภูมิกับรวีด้วยนะ” เปลวอรุณหันไปยิ้มให้กับคนทั้งสาม
ดวงตาสีอ่อนมองคนทั้งสามด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงโดยไม่วายเผลอมองสำรวจน้องชายทั้งสองไปด้วย จากที่ฟังราชันเล่าให้ฟังมา ภูมิแสงเพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจตอนนี้เพิ่งเข้าบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจอยู่ที่สำนักงานตำรวจที่เชียงใหม่ รูปร่างหน้าตาของน้องชายคนนี้ถอดแบบออกมาจากผู้เป็นลุงของเขาได้อย่างไม่มีที่ติโดยเฉพาะสายตาที่ดูเด็ดเดี่ยวนั่น ส่วนน้องชายคนเล็กตอนนี้เรียนอยู่ชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยในจังหวัด แต่เห็นว่ากำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ใหม่อีกครั้งหลังจากที่ปีที่แล้วพลาดไป แม้จะดูไม่เหมือนพ่อเท่าไรนักแต่ก็ดูรู้ว่าคล้ายคนแม่อยู่พอควร
“ถ้ายังไงก็คุยกันไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ไปดูของในครัวก่อนเผื่อถ้าขาดเหลืออะไรจะได้โทรบอกเจ้ารุทธิ์ให้ซื้อเข้ามาเพิ่ม” นภาขอตัวเมื่อรู้สึกว่าตนเหมือนเป็นคนนอกสำหรับการสนทนาต่อจากนี้ “เดี๋ยวตอนเย็นอยู่ทานข้าวด้วยกันนะคะ” โดยไม่ลืมเอ่ยชักชวนแขกตามความตั้งใจก่อนเดินออกจากห้องรับแขกนี้ไปพร้อมสามี
คล้อยหลังของสองเจ้าบ้านไปห้องรับแขกก็ตกอยู่ในความเงียบที่แสนจะอึดอัดในความรู้สึกของเปลวอรุณ ด้วยความไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับญาติฝั่งแม่ที่เดียวพร้อมกันหมดแบบนี้ด้วยแล้วเขายิ่งประหม่า
กับราชันและวาเลนติโน่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะเขาสนิทสนมกับราชันและคนรักของน้องชายคนนี้พอควร กับป้าสะใภ้คนใหม่และน้องทั้งสองเขาก็เคยพูดคุยกันบ้างแม้จะไม่สนิทเท่ากับราชันแต่ก็พอคุยกันได้ แต่กับผู้อาวุโสที่สุดนี่ต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจที่จะพบหน้า
“นั่นคงจะเป็นลูกตาลสินะ” เสียงของชายชราเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบเรียกสติของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อให้หันกลับไปมองพร้อมขานรับ
“มานี้มา มาให้ทวดรับขวัญเหลนคนโตหน่อย” ธรรมภาสยิ้มพลางกวักมือเรียก
ลูกตาลดูมีท่าทางลังเลหันมองหน้าแม่บุญธรรมของตัวเองเล็กน้อยเป็นเชิงถาม พอแม่พยักหน้าเจ้าตัวถึงได้ขยับลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างเก้าอี้เลื่อนของคนที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘ทวด’
“เห็นเจ้าราชบอกเรามันแสบใช่ย่อยเลยนิ ใช่ไหม” คนแก่ค้อมกายทักถามติดตลกกับเรื่องราวที่หลานชายเล่าให้ฟังก่อนมา
คนถูกถามยิ้มเก้อเขินด้วยไม่รู้ว่าวีรกรรมที่ถูกคนตัวซีดเล่ากล่าวให้ชายชราฟังเป็นไปในทิศทางไหน ครั้นหันไปหาอีกฝ่ายก็เชิดหน้าหนีไม่ยอมสบตาจนแอบหมั่นไส้กับท่าทางเช่นนั้นอยู่ไม่ใช่น้อย
คนแก่หัวเราะชอบใจกับสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ส่งสายตาเอาเรื่องเอาความหลานชายคนโปรดของเขา ก่อนจะหันไปกระซิบบางอย่างกับวรรณาเพื่อให้เธอหยิบของบางอย่างที่เตรียมเอาไว้ออกมาให้
“เอานี่ ทวดให้”
ซองผ้ามันแบบหูรูดสีน้ำเงินถูกยื่นส่งมาให้ตรงหน้า ลูกตาลยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะรับมาพร้อมเปิดดูของที่อยู่ข้างในตามคำร้องขอของผู้ให้
“ข้อมือเงินแท้เลยนะ สวมไว้ละ” ธรรมภาสว่าอย่างภูมิใจพลางหยิบข้อมือแบบวงสวมหัวบัวสีทองสวมให้เด็กหนุ่ม “ถือว่าเป็นของรับขวัญนะ” เขาว่าแล้วตบไหล่หนาสองสามที
ลูกตาลยกมือไหว้ขอบคุณธรรมภาสอีกครั้งก่อนคลานถอยกลับไปนั่งข้างเปลวอรุณอีกครั้ง
เปลวอรุณลูบแขนหนาของลูกชายหลังจากที่เด็กหนุ่มกลับมานั่งข้างตนอีกครั้ง
“เปลว” ก่อนจะชะงักเมื่อเสียงของธรรมภาสเอ่ยเรียกชื่อตน
“เป็นยังไงบ้าง” เปลวอรุณยิ้มแกนให้กับคำถามนั้น
“ก็ สบายดีครับ”
“ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันนี้ ใช่ตอนงานศพของแม่หลานหรือเปล่า” ธรรมภาสหยันเชิงถาม ด้วยความคะนึงหา
“ครับ” แต่เปลวอรุณกลับตอบคำถามนั้นเสียงแข็งฟังดูห่างเหินจนน่าใจหาย
“หลานยังโกรธตาอยู่ใช่ไหม” ธรรมภาสเข้าประเด็น จ้องมองหลานชายคนโตอย่างไม่ละสายตาหนี แม้คำตอบที่ได้กลับมาจะเป็นเสียงเย้ยเยาะ
“ผมมีสิทธิโกรธคุณด้วยหรือครับ”
“เปลว” อัมรินทร์เอ่ยปรามคนรักเบาๆ
เปลวอรุณสะบัดหน้าหนี
“ถึงหลานจะโกรธ ตาก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ธรรมภาสยิ้มเศร้า
วรรณาบีบท่อนแขนผอมแห้งของชายชราอย่างให้กำลังใจ
“แต่ตาอยากจะขอโทษที่ทิ้งหลานในวันนั้น ตาขอโทษจริงๆเปลว” เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำวันนั้นสร้างบาดแผลหลายๆอย่างให้กับหลานคนนี้เป็นอย่างมาก และเขาเองก็ขี้ขลาดที่หนีปัญหานี่มานานกว่ายี่สิบปี
“ขอโทษเพื่ออะไรครับ” เปลวอรุณย้อนถาม
ธรรมภาสหน้าม่อย
“คุณทิ้งผม ผมไม่เคยว่าไม่เคยเสียใจ แต่การที่คุณทิ้งผมเอาไว้กับความหวังที่หยิบยื่นให้แล้วหนีหายไปคุณรู้ไหมว่าผมเจ็บขนาดไหน” เปลวอรุณเค้นเสียงสั่น ขอบตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงวันนั้น...
การจากไปของแม่ของเขาคือวันที่เขาได้พบหน้าของผู้เป็นตาครั้งแรก...
เปลวอรุณจำได้ดีว่าตัวเขาในวัยสิบสามปีที่ต้องสูญเสียแม่อันเป็นที่รักมันเจ็บปวดขนาดไหน แม้จะไร้แม่แต่เขาก็ยังอยากให้พ่ออยู่กับเขาถึงจะแค่สองคนพ่อลูกเขาก็ยังรู้สึกดี เขาจำได้ว่าเขาเคยขอร้องพ่อขอให้พ่ออยู่กับเขาแค่สองคนในบ้านที่แม่มอบไว้ให้กับเขาก่อนที่แม่จะจากไป แต่พ่อกลับเลือกที่จะยืนยันคำเดิมว่าจะให้พิมพาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยเพื่อช่วยดูแลเขา
ซึ่งเขาไม่ต้องการ..
แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์จะเห็นใจ ในวันงานคืนแรกนอกจากผู้เป็นลุงที่เขาคุ้นเคยกันดีจะมาหามาปลอบโยนแล้วเขายังได้พบกับผู้เป็นตาที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้พบหน้า
“ตาจะดูแลบ้านของหลานให้แล้วจะพาหลานไปอยู่ด้วย อดทนหน่อยนะ”
คำพูดที่เหมือนคำสัญญาที่ได้รับพร้อมกับความอบอุ่นของฝ่ามือที่ทาบลงเหนือศีรษะมันทำให้รู้สึกดีและอุ่นใจ ในเมื่อพ่อไม่คิดจะเลือกเขาเขาก็ขอแค่มีบ้านที่แม่รักยังอยู่กับเขาก็พอ ส่วนพ่อกับผู้หญิงคนนั้นเขาก็จะไม่คิดสนใจ
แต่แล้วสัญญาที่ออกมาจากปากของญาติผู้ใหญ่ที่เขาให้ความไว้วางใจกลับเป็นเพียงแค่สัญญาลมปากไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้
ผู้เป็นตาบอกให้เขารอ เขาก็รอ รอว่าสักวันหนึ่งตาจะมารับเขาไป ตาจะไล่พ่อใจร้ายกับผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้แม่เขาตายออกไปจากบ้านที่แม่รัก เขารอ
แล้วเขาได้อะไรกลับมา...?
ไม่
เขาไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากความไว้ใจที่สูญเปล่า
หลังจากงานศพของแม่ ตาก็หายไปจากชีวิตของเขา คำสัญญาที่เคยให้ไว้ก็จางหายไป ยังดีที่ว่าบ้านหลังนี้อยู่ในความดูแลของผู้เป็นตาตามความประสงค์ของแม่เพราะเขายังเด็กจึงยังไม่สามารถจัดการทรัพย์สินอะไรได้ด้วยตนเองทำให้เขายังพอมั่นใจว่าบ้านจะยังเป็นบ้านของเขาอยู่ แค่ความน่าอยู่ลดลงจนเกือบไม่มี
ทุกๆวันเขาเฝ้ารอ รอว่าเมื่อไรตาจะมารับจะมาไล่คนที่ทำให้บ้านหลังนี่ไม่น่าอยู่ให้ออกไป ทุกวันที่ได้คุยกับราชันเขามักจะเฝ้าถามหาผู้เป็นตาที่ไม่แม้จะคุยกับเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น เขาได้แต่เฝ้ารอ รอจนรู้ว่าไม่ต้องรออีกต่อไปและรู้ว่าคนที่ให้ความหวังกับเขากลับกลายเป็นคนที่ทำลายความหวังของเขาจนแทบไม่เหลือชิ้นดี...
เริ่มแรกเขามี ‘พ่อ’ เป็นความคาดหวังแรกที่เขาคาดหวังว่าจะเลือกเขาที่เป็นลูก สุดท้ายพ่อก็ไม่เลือกความสุขของเขาแต่กลับโลภเลือกเอาความสุขขอตนเองเป็นที่ตั้ง และ ‘ตา’ คืออีกความคาดหวังของเขาที่ถูกทำลายลงไม่ต่างกัน
แล้วตอนนี้เพิ่งจะกลับมาเพื่ออะไร...?
“คุณหายไปตั้งยี่สิบกว่าปี แล้วตอนนี้กลับมาทำไมครับ หรือเพิ่งนึกได้ว่าเคยสัญญาอะไรเอาไว้กับผม” ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่คิดว่าถูกทอดทิ้งมาหลายปีทำให้เปลวอรุณใช้ถ้อยคำที่เสียดแทงทำร้ายใจทั้งตนเองและผู้ฟัง
“เปลวใจเย็นก่อน” จนอัมรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆต้องรั้งอีกคนเข้ามากอดเมื่อร่างทั้งร่างของเปลวอรุณเริ่มสั่น
“คุณเปลวอย่างพูดอย่างนั้นกับคุณตาสิคะ คุณท่านท่านมีเหตุผลที่ทำไปนะคะ” วรรณารีบแก้ต่างให้กับผู้ที่เธอเคารพ ด้วยตัวเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้ถึงเหตุผลดังกล่าวดีและไม่ต้องการให้สองตาหลานต้องผิดใจกันไปมากกว่านี้
“เหตุผลอะไรหรือครับคุณป้า เหตุผลที่ผมเป็นหลานชังที่เกิดจากผู้ชายคนที่เขาชังน้ำหน้าอย่างนั้นหรือครับ” ถึงได้ใจร้ายใจดำกับผมได้ขนาดนี้ เปลวอรุณสะอื้นไห้ในใจ
วรรณานิ่งเงียบด้วยไม่รู้จะกล่าวยังไง แม้เธอจะรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ตัวเธอเองก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้จะพูดอะไรออกมามากก็ดูจะเกินงามทำได้แค่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่มองหน้าชายชราที่นั่งหลับตาเงียบไม่พูดไม่จา
ภูมิแสงเองเมื่อเห็นบุพการีของตนมีท่าทีไม่สบายใจก็ทำได้แค่นั่งบีบมือให้กำลังใจไม่ปล่อยเช่นเดียวกับแสงรวีที่แม้จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยก็พลอยทำหน้าเครียดไม่ต่างกัน
“ใช่ จริงอย่างที่หลานพูดมาที่ตาชังน้ำหน้าพ่อของหลานมาตั้งแต่แรก” ธรรมภาสยอมรับด้วยอารามสงบนิ่ง เปลือกตาอ่อนลืมขึ้นให้เห็นดวงตาที่แสดงความอ่อนล้าออกมา
“ครั้งแรกที่พราวแสงแม่ของหลานพาผู้ชายคนนั้นเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ตารู้สึกได้คือ ผู้ชายคนนี้เป็นคนมุ่งมั่นดี แต่บางสิ่งบอกกับตาว่าผู้ชายคนนี้จะทำให้ลูกสาวที่รักของตาต้องเสียน้ำตา อีกทั้งตอนนั้นแม่ของหลานก็ยังเด็กดูจะแก่กว่าเจ้ารวีไม่กี่ปีเองด้วยซ้ำไป ตาก็อยากให้เขาได้เจอคนที่ดีกว่านี้ แต่แม่หลานมันดื้อเงียบ มั่นใจในตัวเองเกินไป และก็เดียงสาเรื่องรักนัก” ชายแก่ระบายยิ้มบางๆยามนึกถึงลูกสาวคนเล็กที่ตนถนอมรักและเอ็นดูมาอย่างกับไข่ในหิน
ลูกสาวคนเล็กที่ทั้งเขาและภรรยารักมาก
“พอตาคัดค้านไม่เห็นด้วยก็ประท้วงอดข้าวบ้างละ ไม่ออกจากห้องบ้างละ พอหนักข้อขึ้นก็กลายเป็นว่าทะเลาะกันเสียยกใหญ่แถมยังมีหน้ามาบอกว่าจะหนีออกจากบ้านอีกด้วย” ธรรมภาสยิ้มขำ “ตาเองตอนนั้นมันก็หัวร้อนได้ทีด้วย พอยายพราวพูดแบบนั้นก็พลั้งปากไล่แม่เราออกจากบ้านพร้อมบอกจะตัดพ่อตัดลูกกับมันด้วย คราวนี้ละก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แล้วแม่เราก็ไม่รู้ไปเอาความกล้าแบบบ้าๆนั้นมาจากไหนถึงได้หนีออกจากบ้านจริงๆอย่างที่ลั่นปากไว้” คราวนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของธรรมภาสกลายเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ
“ไม่รักพ่อรักแม่รักพี่ตาไม่ว่า แต่นี่แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นหญิงก็ไม่คิดจะรักษา หนีตามผู้ชายข้ามจังหวัดเพราะคิดว่าที่ทำที่เลือกนะถูก แล้วเป็นไงละ ฮึ” ชายชรายิ้มเยาะ “แต่บางทีอาจเป็นเพราะตานี่ละที่เลี้ยงลูกมาผิด ตามใจเสียจนเคยตัวห่วงมากจนเกินไปพอเขาได้มีสิทธิคิดเองเลือกเองได้ก็เลยทำตัวปีกกล้าแบบนั้น” และเยาะเย้ยตัวเองที่เลือกเลี้ยงลูกมากผิด
“แต่ก็ยังดีที่ยายพราวมันเลือกจะไปอยู่บ้านหลังนั้นที่แม่เขาสร้างเอาไว้ให้ก่อนหน้า เลยพอที่จะหมดกังวลได้หน่อย ความเป็นอยู่ของแม่เราตาไม่เคยมองข้ามหรอกนะ ตาส่งคนมาคอยดูตลอดแต่ทิฐิมันสูงเลยไม่เคยแม้จะไปหาหรือพูดคุยด้วยจนแม่เราจะคิดว่าตาโกรธตาไล่ทิ้งก็ไม่แปลก”
อาจเพราะทั้งตัวเขาและลูกสาวเองก็ต่างถือทิฐิไม่หันหน้าคุยกันเสียให้รู้เรื่องจนกลายเป็นเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยเอาเองจนสุดท้ายก็ได้แต่มานั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา
เปลวอรุณเงียบ
เรื่องราวมากมายที่ออกมาจากปากของธรรมภาสขยายความมากมายที่แม่ของเขาเคยเล่าให้ฟัง จริงอยู่ที่แม่เขาเคยเล่าให้ฟังว่าถูกตาไล่ออกจากบ้านเพราะแม่เลือกที่จะเลือกพ่อเป็นคู่ชีวิตจนทำให้ตาไม่พอใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แม่เขาไม่เคยรู้เลยตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาตามทางที่ตัวเองเลือกก็คือ ตาไม่เคยทอดทิ้งแม่อย่างที่แม่เข้าใจ
“แต่ตาดีใจนะ ที่สุดท้ายแล้วแม่เราเลือกที่จะให้ตาเป็นคนดูแลเรากับบ้านหลังนั้น” รอยยิ้มครั้งนี้ของธรรมภาสดูมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อคิดว่านี้คือสิ่งที่ลูกสาวต้องการจะสื่อถึงว่า ยังคงรักและคิดถึงพ่ออย่างเขาอยู่
“แต่กับพ่อหลาน ตาบอกแล้วว่าตาดูคนไม่ผิด” คราวนี้เสียงของชายชราดูเข้มขึ้นจนเปลวอรุณต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
“ตาไม่ได้อยากจะพูดให้หลานมองพ่อไม่ดีหรอกนะ” ธรรมภาสพูดให้เข้าใจตรงกันเสียก่อนที่จะกล่าวต่อ “แต่พ่อของหลานนะ นอกจากความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตที่ดีแล้วตามองไม่เห็นเลยว่าเขาจะรักแม่ของหลานจริง จะบอกว่าผู้ชายด้วยกันถึงมองกันออกด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่คำนี้เจ้าแสงพ่อของราชเองก็ยังพูดเหมือนกันกับตา”
“หมายความว่าไง” คล้ายกันมีสายฟ้าฟาดผ่านกลางใจกับคำที่ได้ยิน “พ่อไม่เคยรักแม่หรอ” เสียงของเปลวอรุณแผ่วเบาและสั่นเครือเมื่อคิดถึงความน่าหวาดหวั่นนี้
พ่อไม่เคยรักแม่ ในขณะที่แม่เขารักพ่อยิ่งกว่าอะไร...
“อย่าคิดอย่างนั้นเปลว ถ้าไม่รักกันพวกเขาคงไม่อยู่ด้วยกันจนหลานเกิดมาหรอกนะ” ธรรมภาสปรามความคิด ถึงจะไม่ได้นึกรักแต่ก็ไม่อยากให้หลานต้องมองพ่อของตัวเองไปในทางเลวร้าย
“ที่ตาจะเล่า ไม่ได้เล่าให้หลานเกลียดพ่อตัวเอง แต่ตาจะเล่าเพื่อให้หลานรู้ถึงความเข้าใจผิดที่เรามีต่อกันมา เข้าใจไหม” เขาพยายามย้ำให้เปลวอรุณเข้าใจถึงข้อเท็จจริงที่เขากำลังจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้
เปลวอรุณพยักหน้ารับช้าๆแม้ในใจจะรู้สึกปวดหนึบไปหมดแล้วก็ตามที
“วันนั้นที่ตาให้สัญญากับหลานไป ตาไม่คิดจะผิดคำเลยสักนิด” ธรรมภาสเข้าประเด็น
“ตาเรียกพ่อเราไปคุย ตาขอให้เขาเลิกกับผู้หญิงคนนั้นโดยให้เขาเห็นแก่หลาน แต่เขาดันบอกว่ากับตาว่า ‘พิมพ์ไม่ดีตรงไหน พิมพ์เองก็รักเปลวเหมือนลูกคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่เสี่ยงชีวิตช่วยเปลวที่กำลังจมน้ำขึ้นมาหรอก’ แถมยังบอกว่าตาคิดจะพรากพ่อพรากลูกจากกันตอนที่ตาขู่ว่าถ้าเขาไม่เลิกตาจะพาหลานไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้วฟ้องขับไล่เขากับแม่เมียใหม่นั่นออกจากบ้าน” คิดแล้วก็นึกขำในตัวผู้ชายคนนั้นอยู่ไม่น้อยที่กล้าเอาเรื่องสิทธิเลี้ยงดูเปลวอรุณขึ้นมาเป็นข้ออ้างมันยิ่งทำให้เขานึกถึงหน้าของลูกเขยตัวดีที่เขานึกชังน้ำหน้าตั้งแต่วันแรกที่เจอ
ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ลูกสาวเขารัก....
“พ่อเขารักหลานมากนะเปลว แต่เขาก็หลงผู้หญิงคนนั้นมากด้วยเหมือนกัน”
พอได้ฟังแบบนั้นแล้วเปลวอรุณก็เพิ่งแรงบีบมือของอัมรินทร์ที่เอื้อมมากจับมือของตนเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“ตอนแรกตาตั้งใจจะจ้างทนายเพื่อขอสิทธิ์เลี้ยงดูเราจากศาล แต่พ่อของเรามันร้ายมันขู่ตา ถ้าตาคิดจะเอาเปลวไปมันก็จะพาเปลวไปไว้ที่อื่นถ้าตายังติดต่อเปลวอีกหามันจะพาเปลวหนี ถึงตาจะเชื่อว่าคนอย่างมันจะไม่ทำร้ายลูกแต่ใจคนมันยากแท้ที่จะคาดเดา เปลวเข้าใจตาไหมว่าตาคิดยังไงรู้สึกแบบไหน” ธรรมภาสเล่าความ พร้อมเอ่ยถามไปด้วยแววตาที่เหนื่อยล้าและโศกเศร้า
“ตาเสียลูกสาวไปคนแล้ว และตาก็ไม่อยากจะเสียหลานไปอีกคน ต่อให้ตามีอำนาจมากขนาดไหนแต่คนมันจนตรอกมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรดี ตาไม่อยากเสี่ยง” ธรรมภาสพูดด้วยน้ำเสียงปวดใจยามนึกถึงคำพูดของลูกเขยตัวดีที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีวันยกลูกชายคนเดียวของตัวเองให้ผู้เป็นตาอย่างเขาเลี้ยงดู จนถึงขนาดว่าจะขู่ฆ่าลูกของตัวเองแล้วฆ่าตัวตายตามด้วยซ้ำไปและเขาไม่มีทางที่จะเล่าให้เปลวอรุณรับรู้ถึงเรื่องน่ากลัวที่ออกมาจากปากของผู้ให้กำเนิดแน่
เขากลัวหลานจะรับไม่ได้...
เปลวอรุณสูดหายใจเข้าปอดลึกกว่าเก่าหลายเท่าตัวเมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่ถูกปกปิดมานาน ความคับข้องใจของเขาถูกคลี่คลายลงแล้วก็จริง ก็มันก็มาพร้อมกับคำถามมากมายที่ว่า ทำไม และ ทำไม เต็มไปหมดจนปวดหัว
ฝ่ามือขาวยกขึ้นกุมขมับจนหลายคนในห้องมองอย่างนึกเป็นห่วง รวมถึงนภาและสุริยะที่ทำตัวเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาในครอบครัวอยู่ด้านนอก
“แล้วทำไมถึงเพิ่งมาพูดตอนนี้” เปลวอรุณเปิดปากถามขึ้นหลังจากเงียบไปนานจนหลายคนนึกหวั่นใจ แต่น้ำเสียงที่ราบนิ่งกว่าปกตินี้ต่างหากที่เริ่มทำให้ทุกคนมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ถ้าคุณบอกว่ากลัวพ่อจะพาผมหนีหรือกลัวว่าเขาจะทำอะไรกับผมก็ตามแต่ แล้วตอนที่พ่อตายแล้วละ ทำไมคุณยังหายเงียบไปอยู่อีก” ถ้าธรรมภาสกลัวคำข่มขู่ของพ่อเขาแล้วในตอนที่พ่อของเขาเสียไปแล้วละ ทำไมถึงยังทิ้งเขาเอาไว้ให้อยู่กับผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกทำไมไม่กลับมาทำตามที่ให้สัญญากับเขาเอาไว้ ทำให้เขารู้ว่าเขายังมีตาเป็นที่พึ่งพิง
“ตาขอโทษเปลว” ชายชรามีสีหน้าที่ดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งธรรมภาสไม่แก้ต่างหรือพูดอะไรออกมาเลยนอกจากคำว่า ขอโทษ ที่แสดงถึงความรู้สึกผิดก็ยิ่งทำให้เปลวอรุณเค้นยิ้มเยาะใส่ตัวเองมากขึ้นจนอัมรินทร์กับลูกตาลที่นั่งอยู่ขนาบข้างได้ยินเสียง ‘ฮึ’ ดังออกมาจากลำคอของเปลวอรุณ
“แล้วทำไมตอนนี้ถึงออกมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ผมฟังได้ละครับ” เปลวอรุณประชดประชัน
“เพราะตาไม่อยากให้เราผิดใจกันไปนานกว่านี้อีกแล้ว ตาเองก็แก่มาแล้-“
“แล้วผมเองก็ไม่รู้จะตาวันตายพรุ่งด้วยใช่ไหมครับ” เปลวอรุณยิ้มเหยียด
“พี่เปลว อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” ราชันรีบโผล่ขึ้นปรามด้วยไม่อยากให้พี่ตัวเองพูดจาเป็นลางร้ายแบบนั้น เพราะแค่นี้ตัวเขาเองก็ใจเสียมากพอแล้วที่ต้องมาเห็นพี่กับตาของตัวเองทะเลาะกัน
“พี่พูดจริงราช” เปลวอรุณปรายตามามองน้องชายเล็กน้อยก่อนหันกลับไปมองผู้เป็นตาอีกครั้ง
“ถึงจะมีหลายคนหายจากโรคนี้ได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ตายเพราะมันอยู่เหมือนกัน”
“เปลว” อัมรินทร์ท้วงขึ้นอย่างไม่พอใจปนปวดร้าว
“ถ้าผมไม่ป่วยคุณจะมาหาผมไหม จะมาบอกเรื่องพวกนี้กับผมหรือเปล่า” ความปวดร้าวในดวงตาของเปลวอรุณสื่อชัดถึงความน้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่ผู้เป็นตาเลือกที่จะทำให้ ยิ่งความในใจของเปลวอรุณสื่อออกมาชัดผ่านแววตาแบบนี้แล้วธรรมภาสเองก็รู้สึกคล้ายจะมีก้อนหินขนาดใหญ่จุกตันอยู่ที่ลำคอปิดกั้นเสียงพูดของเขาไม่ให้เปล่งออกมาได้อย่างที่ต้องการ