เป็นหนี้ครั้งที่ 1 “นี้คือน้าพิมพา ต่อจากนี้ไปเขาจะมาอยู่กับเราที่บ้านหลังนี้” เสียงพูดของชายวัยกลางคนที่เขาคุ้นเคยเอ่ยขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ น้ำเสียงที่แม้จะไม่ได้ยินมานานแต่เขาก็ไม่เคยที่จะลืมได้ เสียงของพ่อที่เอ่ยแนะนำสมาชิกคนใหม่ของบ้าน...........
“พิม นี้ลูกชายฉันเองชื่อเปลวอรุณ” รอยยิ้มสวยจากริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด ยิ้มรับคำที่ผู้ชายข้างกายแนะนำ ถึงตอนนั้นเขาจะยังเด็กอยู่มากแต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ความจนมองไม่ออกว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ได้สวยหวานเหมือนที่พ่อเขาเห็น
เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้.......... “ต่อจากนี้น้าพิมจะมาอยู่ดูแลพ่อ และก็จะมาเป็น แม่ ของเปลวด้วยเข้าใจไหม” ชายวัยกลางคนพูดอย่างมีความสุขพร้อมโอบร่างอรชรของภรรยาคนใหม่อย่างรักใคร่ แต่นั้นไม่ใช่กับเปลวอรุณในวัยสิบขวบที่มองมายังทั้งคู่ด้วยสายตาว่างเปล่า
พ่อของเปลวอรุณเป็นเจ้าของกิจการเล็กที่ไม่ใหญ่โตอะไรมาแต่ก็มีเงินเหลือใช้ไม่ขัดสนอะไร ส่วนแม่ของเขาก็เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่คอยดูแลลูกและก็สามี แต่ก็นั้นแหละยิ่งพ่อของเขาทำงานนอกบ้านมากเท่าไรการพบเจอกับผู้คนก็ยิ่งมาก พ่อของเขาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆดูมีลับลมคมในบ้างอยากกับเขาและแม่ จากที่ทุกครั้งเราสามคนจะต้องมานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันกลับเหลือแค่ลูกกับแม่แค่สองคน และเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนสุดท้ายแม่ก็มาจับได้ว่าพ่อของเขาแอบมีเมียน้อย เขายังจำได้ดีเลยว่าดึกๆเสียงที่เขาได้ยินแทนเสียงเพลงกล่อมนอนในตอนกลางคืนคืออะไร........
ความอ่อนแอของผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดที่ไม่ยอมแสดงออกมาให้ใครเห็นได้แต่แอบร้องไห้คนเดียวในมุมมืดๆผิดกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่แม่มักจะส่งออกมาให้ใครต่อใครเห็น
แล้วมันก็พรากเอาแม่ของเขาไป..............
ห้าปีหลังจากนั้นแม่ที่ตรอมใจมานานก็ล้มป่วยและไม่นานแม่ก็จากไปโดยที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของพ่อที่เป็นควรจะมาอยู่ดูใจแม่ หลังจากนั้นพ่อเขาก็พาตัวต้นเหตุอย่างผู้หญิงคนนั้นเขามาในบ้าน พาเขามาทั้งๆที่ศพของแม่ยังไม่เผา.........
เขาเกลียดพ่อ.....
เขาเกลียดความรัก...........
เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆกระพริบถี่เพื่อปรับสภาพการมองเห็นในยามเช้าที่แสงแดดยามสายสาดเข้ามาในห้องนอน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองรอบข้างก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน
ฝันงั้นหรอ.........
เวลาก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วแต่ทำไมอยู่เขาถึงมาฝันอะไรแบบนี้อีกกัน ดวงตากลมจ้องมองเพดานสีขาวด้านบนอย่างเหม่อลอยอย่างไม่คิดจะขยับตัว ไม่ใช่ว่าไม่อยากลุกไปไหนแต่เพราะเขาอยากจะลองหลับตาแล้วตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้งดูก็เท่านั้น เพื่อว่าบางที่สิ่งที่เขาเห็นหรือสัมผัสอยู่ตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันที่ซ้อนทับอยู่อีกชั้นแต่เพราะแรงยวบของพื้นที่บนเตียงนอนด้านข้างกับความหนักของท่อนแขนที่พากทับช่วงท้องของเขานี้ต่างหากที่ช่วยยืนยันความจริงให้เขาได้ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเรื่องจริง
“คิดอะไรอยู่หรอ”
น้ำเสียงนุ่มชวนฟังของอัมรินทร์ดังขึ้นพร้อมรั้งร่างของคนที่เอาแต่นอนเหม่อเข้ามาใกล้เพื่อหมายจะกอดเอาไว้ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ยินดีกับการกระทำนั้นเท่าไรเพราะพอเขาเพิ่มแรงเพื่อกระชับกอดเปลวอรุณกลับเลือกที่จะพลิกตัวหนีเตรียมจะลุกจากที่นอน
“จะรีบไปไหนละเปลว วันนี้วันหยุดนอนต่อกันเถอะ”
“เชิญคุณนอนไปคนเดียวเถอะครับ ผมจะไปอาบน้ำ”
“งั่นฉันอาบด้วย”
“ไม่ต้อง”
อัมรินทร์ยิ้มขำกับเสียงขู่ของอีกคน ชายหนุ่มเลื่อนตัวไปนั่งซ้อนหลังโดนที่ท่อนแขนยังไม่ละออกจากช่วงเอวบางทั้งยังซบหน้าลงกับแผ่นหลังเล็กของเจ้าตัว เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆว่ากลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของเขามันจะหอมขนาดนี้จนมันมาอยู่บนตัวของเปลวอรุณ
“คุณอัมรินทร์ปล่อย”
“ไม่”
เปลวอรุณพยายามที่จะงัดเอาแขนปลาหมึกของคนตัวโตกว่าออกแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไรอัมรินทร์ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดนั้นมากขึ้นเรื่องๆจนกลายเป็นว่านอกจากจะไม่สามารถออกจากอ้อมแขนของอีกคนได้แล้วเขายังจมลงกับแผ่นอดกว้างนั้นเรื่อยๆเข้าไปอีก
“อ้าวหยุดดิ้นแล้วหรอ” ก็เพราะมันไร้ประโยชน์ไงถึงหยุด เปลวอรุณบ่นในใจ
“อ๊ะ ทำอะไรนะ”
เปลวอรุณแว๊ดเสียงใส่อีกคนทันทีเมื่ออยู่ๆมือปลาหมึกที่ว่าก็เลื่อนเสื้อตัวหลวมโครงที่เขาใส่อยู่ลงจนหัวไหล่มนของเขาออกมาต้องความเย็นของเครื่องปรับอากาศแต่แค่นั้นมันไม่พอเพราะได้คนมือซนที่ว่ามันยังกดจูบลงกับหัวไหล่ของเขาอีกด้วย
“ทำไมละ ทีเมื่อคืนเรายัง...”
“ยังอะไร อย่ามาพูดจาพร้อยๆนะคุณอัมรินทร์” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อนิ่งค้างกลางอากาศเมื่อเจอคำพูดดักทางของคนแก่กว่า
ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไรก็เถอะ แต่นอนจากกอดจูบลูบคลำแล้วเขาไม่ได้อะไรอย่างอื่นที่เกินเลยกับเปลวอรุณเลยสักอย่าง ทั้งๆที่รอเวลาแบบนี้มาตั้งสามปี
“ชิส์”
อัมรินทร์ส่งเสียงแสดงอาการตัดพ้อน้อยใจที่ถูกขัดความฝันก่อนจะล้มตัวนอนหันหลังให้อีกคนที่ เปลวอรุณส่ายหน้ากับท่าทีเป็นเด็กๆโดนขัดใจของชายหนุ่มอายุใกล้เลขสามอย่างเขาลุกขึ้นจากเตียงนอนก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
ผ้าเช็ดตัวผืนหนาที่อัทรินทร์ยกให้เขาใช้ถูกพาดอยู่ที่ราว มือบางไล่ปลดเม็ดกระดุมเสื้อตัวใหญ่ออกจากร่างแต่ปลดไปได้เพียงสองเม็ดร่องรอยที่อีกฝ่ายทำไว้เมื่อวานก็ปรากฏเต็มตั้งแต่ช่วงลำคอลากยาวมาจนถึงแผ่นอก ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงก่ำทันทีเมื่อภาพวาบหวิวของตนกับอัมรินทร์ในห้องทำงานฉายขึ้นในโสตประสาท
“บ้าชะมัด”
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ละก็เปลวอรุณอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อสองเดือนก่อน อ๋อ ไม่สิ.. เอาก่อนหน้านั้นสักยี่สิบปีเลยแล้วกันเพราะถ้าเรื่องเมื่อยี่สิบปีไม่เกิดขึ้นละก็ชีวิตของเขาก็คงจะมีแต่ความสงบไม่วุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา และแน่นอนว่าเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน.....................
2 เดือนก่อน “ฉันบอกให้เอาเงินมาแกก็เอามาสิ”
น้ำเสียงแหลมเล็กที่ส่อเจตนาชัดเจนตรงตามคำพูดที่เขาได้ยินมาเป็นสิบปีจนนึกชินชาพอๆกับความสมเพชในตัวผู้หญิงตรงหน้าที่แก่ใกล้ลงโลงขนาดนี้แล้วยังแบมือขอเงินคนคราวลูกแบบเขาอยู่ได้ไม่นึกอาย ถึงจะฉีดจะดึงมาขนาดไหนแล้วก็เถอะ
“แต่เงินสำหรับเดือนนี้ผมก็ให้คุณไปแล้วไง”
เขาตอบเสียงเรียบอย่างนึกรำคาญใจที่วันหยุดอันแสนสุขของเขาต้องมาเจอมลพิษทางเสียงแต่เช้าแบบนี้ นี้ถ้าต้นไม้ของเขาช็อคตายยกสวนเพราะเสียงผีบ้านี้ละก็เขามั่นใจเลยว่ามีดปอกผลไม้ในครัวได้ปักกลางอกมันแน่
“ก็ฉันใช้มันไปหมดแล้ว”
“แต่ผมเพิ่งให้ไป”
“หมดก็คือหมด แกมีหน้าที่แค่เอาเงินมาให้ฉันจะพูดมากทำไม”
พิมพากอดอกแน่นอย่างเอาแต่ใจกับอีกแค่ขอเงินเพิ่มแค่นี้ทำมาเป็นบ่ายเบี่ยงคิดว่าเงินแค่สามหมื่นมันจะไปพออะไรใช้ไม่ถึงอาทิตย์ก็หมดแล้ว
เปลวอรุณกรอกตากับเหตุผลประจำที่เจ้าหล่อนยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างขอเงินเพิ่มจากเงินประจำที่ขูดเลือดขูดเนื้อจากปูแรงงานอย่างเขาอยู่ทุกเดือน ให้ตายเถอะ เงินเดือนที่เขาอุตสาห์ทำงานเอาเป็นเอาตายอย่างหนักมาทั้งเดือนเกินครึ่งต้องแบ่งให้อีผีนี้ใช้จ่ายมือเติบจนเขาแทบจะไม่เหลือเงินเก็บอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาของเพิ่มอีก มือเรียวเอื้อมไปปิดก๊อกน้ำที่ใช้รดต้นไม้อยู่ก่อนจะหันกลับขึ้นมาเผชิญหน้ากับพิมพาตรงๆเป็นครั้งแรก
“จนกว่าจะถึงเดือนหน้าผมจะไม่ให้เงินคุณอีก เพราะผมถือว่าเดือนนี้ผมให้แล้ว”
เขายื่นคำขาดพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้คุณป้าข้างบ้านที่โผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์เล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านหญิงวัยกลางคนปลายๆเข้าบ้านไปอย่างไม่ค่อยจะอยากสนทนาด้วยเสียเท่าไร แต่มีหรือที่คนอย่าพิมพาจะยอม
พิมพาไม่รอช้ารีบหมุนกลายตามชายรูปร่างบางที่มีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของตนที่เดินหนีเข้ามาในบ้านหล่อนคว้าท่อนแขนเล็กที่ขนาดไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงของเปลวอรุณเอาไว้แทบจะทันทีที่เข้าถึงตัวอีกคน
“แต่ฉันเป็นแม่แก ฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำ” หล่อนตะคอกเสียงกร้าว
“ก็แค่
แม่เลี้ยง พูดให้หมดด้วย”
เขาสะบัดมือของอีกคนออกอย่างไม่ใยดีแล้วเดินกระแทรกเท้าหนีความวุ่นวายนั้นขึ้นไปบนห้องของตัวเองทันที ไม่สนด้วยว่าคนที่เดินตามรังควานทวงหนี้บุญคุณเขามาจะโดนบานประตูห้องของเขากระแทรกหน้าหรือไม่ เขาไม่สน............
ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่ใครเกลียดใครได้มากได้มายเท่าผู้หญิงคนนี้มาก่อน ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพิมพาไปเอาความภาคภูมิใจทุเรศๆแบบนี้มาจากไหนตั้งแต่พ่อพามันเข้ามาเย้ยแม่เขาถึงในบ้านยังไม่พอมันยังชูคอทำตัวเหมือนเป็นเข้าของบ้านกดขี่แม่เขาอย่างกับเป็นขี้ข้าทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้อยู่อาศัย พ่อเขาก็เหมือนกันหลงแต่นางลายดอกนี้จนหน้ามืดตามัวบอกอะไรก็ไม่เชื่อ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างว่าทุกคืนแม่ต้องนอนร้องไห้ขนาดไหน ไม่รู้เลยว่าไอ้เมียน้อยตัวดีของตัวเองมันรีดไถ่เมียในทะเบียนของตนเหมือนกุ๊ยข้างถนนขนาดไหนเพื่อเอาเงินไปเล่นพนันกับซื้อของประโคมตัวเอง เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าแม่ทนอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไงกัน
“แม่ทนผู้หญิงคนนี้ได้ไงยังไง เปลวไม่เข้าใจ”
ดวงตาสวยจ้องมองกรอบรูปสีอ่อนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานที่มุมห้องอย่างไม่เข้าใจ อาจเพราะตอนนั้นเขายังเด็กด้วยหรือเปล่าก็ไม่นะเขาถึงไม่เคยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไรแม่ถึงยังยิ้มได้แม้พ่อจะพาผู้หญิงอีกคนเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย
“เพราะรักไงเปลว”
“..”
“เพราะพ่อคือคนที่แม่รัก ไม่ว่าอะไรที่ทำให้คนที่แม่รักมีความสุขแม่ทนได้ทั้งนั้นแหละ” พอคิดถึงคำที่แม่พูดมันก็อดไม่ได้จริงๆที่เขาจะทำเสียงขึ้นจมูก แน่ละ ถ้าต้องยิ้มทั้งๆที่ในใจร้องไห้จะเป็นจะตายมันจะยังเรียกว่าความสุขได้ยังไง
เปลวอรุณส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย มือบางยกขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆไปทีหนึ่งก่อนจะคว้าเอาของที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋าสะพายอันเล็กๆที่เขามักชอบสะพายไปไหนมาไหนเวลาออกจากบ้าน
ไหนๆก็ไหนๆละออกไปหาอะไรทำข้างนอกดีกว่า...........
เขาชื่อ
เปลวอรุณ ปีนี้ก็อายุครบ 35 ปีพอดี เขาทำงานเป็นเลขาของรองประธานบริษัทส่งออกอัญมณีรายใหญ่ของประเทศไทยที่ส่งออกทั้งเครื่องประดับที่เจียระไนแล้วและยังไม่เจียรระไน ตอนแรกเขาทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของประธานบริษัทแต่เมื่อสามปีก่อนเขาถูกย้ายให้มาเป็นเลขาของลูกชายคนเดียวของท่านประธานที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัท หน้าที่หลักๆของเขานอกจากช่วยสอนงานต่างๆให้แล้ว ยังต้องช่วยดูแลเรื่องอื่นๆของเจ้าตัวอีกด้วย ซึ่งนั้นก็ไม่ใช้ปัญหาอะไรขอแค่งานที่เขาทำมันจะช่วยให้เขาได้เงินเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าอะไรเขาก็ไม่เกี่ยงหรอก...............
“ทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นละ”
เสียงทุ้มต่ำในลำคอที่กระซิบอยู่ข้างหูเรียกสติการรับรู้ของเขาให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน พร้อมกับกับใบหน้าคมคายของเจ้านายหนุ่มรุ่นน้องที่ใบหน้าอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนยามที่เขาหันไปตามเสียงเรียกจนเผลออุทานเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างตกใจ
“คุณอัมรินทร์”
เจ้าของชื่อยิ้มกว้างจนตาหยีให้อีกคนโดยไม่ยอมละใบหน้าออกจาตำแหน่งเดิมแถมดูเหมือนจะพยายามเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าสวยชวนมองนั้นเรื่อยๆ และเป็นเปลวอรุณทนต่อสภาพความใกล้ชินเกินความจำเป็นนี้ของตัวเองกับอัมรินทร์ไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายที่ผละออกจากตำแหน่งที่นั่งอยู่โดยการเลื่อนเก้าอี้ออกไปด้านหลังเพิ่มแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง
อัมรินทร์ เป็นเจ้านายของเขาที่อายุน้อยกว่าถึงเจ็ดปีเป็นลูกชายคนเดียวของท่านประธารที่เขาได้รับการฝากฝั่งให้ช่วยดูแลทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวในฐานะเลขาส่วนตัวของอัมรินทร์ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่เขากลับไม่เคยยินดีเลยที่ต้องมาดูแลผู้ชายคนนี้เลยสักนิดจริงๆ แม้ตำแหน่งนี้จะเป็นที่เฝ้าฝันของสาวๆทั้งออฟฟิตแต่มันไม่ใช่กับเขาแน่
ส่วนหนึ่งที่เขาไม่อยากจะเข้าไปสนิทด้วยอาจเพราะนิสัยเจ้าชู้ของเจ้าตัวที่มักจะคบกับใครไปทั่วจนบางที่เขาเองก็ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องที่ตามมาของอีกคนเพราะหน้าที่ที่ต้องคอยดูแลเจ้านายหนุ่มในทุกๆด้านด้วยแล้วการจัดการกับตารางรถไฟที่จะชนกันเมื่อไรก็ได้ของคนไม่รู้จักพอก็เลยกลายเป็นอีกงานของเขาเช่นกันถึงความจริงแล้วมันจะไม่เคยมีเรื่องทำนองนี้มาให้เขาปวดหัวเหมือนที่คิดก็เถอะแต่เขาก็ไม่ชอบมันอยู่ดี และอีกส่วนหนึ่งที่น่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่เขาไม่อยากเข้าใกล้อัมรินทร์เสียเท่าไรก็คงจะเป็นสายตาที่อีกคนใช้มองมาทางเขา ความวาววับอย่างมีเล่ห์นัยนั้นไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าเจ้าของดวงตาคมต้องที่จะสื่ออะไรแต่เพราะเขารู้ต่างหากล่ะ เขาจึงพยายามหนี........ เหมือนอย่างทำอยู่ในตอนนี้
“คุณอัมรินทร์มีอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณเอ่ยถาม
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่นั่งอยู่ในห้องแล้วมันเบื่อๆเลยออกมาข้างนอกนะ” อัมรินทร์ว่าด้วยสายตาพราวประกายยามมองไปที่ใบหน้าขาวของคนตรงหน้าที่อยู่ต่ำกว่าในยามที่เขายืดตัวตรงเป็นปกติ
“ว่าแต่นายเถอะ นั่งเหม่อแบบนี้คิดถึงใครอยู่” คนถูกถามรีบโปกมือปฏิเสธทันควัน
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ก็แค่....” ปัญหาเดิมๆก็เท่านั้น......
“หืออ ว่าไงปัญหาอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เปลวอรุณว่าตัดบทก่อนจะคว้าเอาแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ขึ้นแนบอกแล้วเดินผ่านอีกคนไปโดยอ้างว่าต้องเอาเอกสารไปส่งคืนให้แผนกออกแบบ ซึ่งเจ้านายหนุ่มก็ไม่ได้ว่าขัดอะไรแถมยังยินดีเปิดทางให้อีกต่างหาก ซึ่งนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเปลวอรุณอยู่ไม่น้อยที่อีกคนไม่รู้สึกติดใจอะไรกับคำโป้ปดของตนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เอกสารอะไรมันไม่มีหรอกมันก็แค่ข้ออ้างที่จะไม่ต้องอยู่ใกล้อีกคนก็เท่านั้น... แต่ไหนๆก็ได้ลุกออกมาแบบนี้แล้วเจ้าตัวเลยถือโอกาสไปหาอะไรกินรองท้องเลยก็แล้วกัน
ดวงตาคมที่พราวระยับยามมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นแปลเปลี่ยนกลับเป็นความเรียบนิ่งทันทีที่ร่างขาวสว่างของเลขาส่วนตัวหายเข้าไปในตัวลิฟท์ อัมรินทร์จับจ้องไปทางที่เปลวอรุณเดินไปก่อนจะกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังสีดำตัวใหญ่ที่ประจำของเขาอีกครั้งพร้อมกับทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่กว้างมากพอที่จะทำให้เขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตึกสูงด้านนอกได้เป็นวงกว้างอย่างใช้ความคิด
ตั้งแต่เกิดมา อัมรินทร์ มีทุกอย่างที่ใครๆก็ปรารถนา ทั้งลาภยศ เงิน ทอง หน้าที่การงาน ไหนจะรูปร่างหน้าตาที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต่างต้องเลียวมามองซ้ำ หากแต่นั้นมันเอามาใช้กับเปลวอรุณไม่ได้เลย........
เปลวอรุณไม่เหมือนคนอื่นที่เขารู้จัก เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สนใจใยดีอะไรในตัวเขาสักอย่างแต่กลับเป็นเขาที่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเขายอมรับอยู่ลึกๆในใจเลยว่าเขาสนใจกุหลาบดอกนี้มากขนาดไหน มากขนาดที่เอ่ยปากขอผู้ช่วยเลขาของพ่อมาเป็นของตนเพียงเพื่อหวังจะได้เชยชมดอกไม้งามดอกนี้ แต่เขาก็คิดผิด.......
หากเปรียบเปลวอรุณเป็นดอกกุหลาบแสนสวยแล้วก็คนเป็นกุหลายน้ำแข็งสีขาวแสนบริสุทธิ์ เพราะนอกจะไม่เคยยิ้มมาให้เขาแล้วใบหน้าสวยนั้นยังเรียบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับโลกภายนอกคล้ายคนปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่ง และสิ่งที่หลอมรวมกันมาเป็นเปลวอรุณอย่างนี้แหละคือความสวยงามที่กระตุ้นความกระหายอยากของนักล่าเช่นเขา
ความปรารถนาที่เขาต้องได้คิดการขยี้เปลือกน้ำแข็งแสนเย็นชานั้นออกแล้วดอมดมความหอมจากกุหลาบพิสุทธิ์ดอกนี้ เขาไม่สนวิธีการที่จะได้มา เขาสนแค่เปลวอรุณต้องเป็นของเขาไม่ว่าจะยังไงหรือต่อให้กุหลาบดอกนี้ต้องเฉาคามือเขาก็จะต้องได้เป็นเจ้าของมัน
“อยากหนีก็หนีไป แต่ถึงเวลาเมื่อไรนายหนีฉันไม่พ้นแน่”
…………………………………………………………………………………..
เย็นวันนี้ก็เหมือนกับวันอื่นๆในสัปดาห์ที่อัมรินทร์จะถ่วงเวลาทำงานในช่วงเย็นของตัวเองออกไปนานที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลานั้นในการอยู่ทำงานกับเปลวอรุณให้ได้นานที่สุด
“นี้เป็นตารางงานของวันอาทิตย์หน้า ถ้าคุณอยากจะเพิ่มหรือยกเลิกอะไรก็เขียนเพิ่มเข้าไปได้เลยเดี๋ยวผมจะเอามาจัดตารางให้ใหม่อีกที”
เปลวอรุณยื่นกระดาษที่เขียนถึงตารางงานในส่วนของอาทิตย์ถัดไปให้ชายหนุ่มตรงหน้าที่ถือว่าเป็นงานสุดท้ายของวันในสัปดาห์นี้ของเขาก่อนที่จะได้กลับบ้านเสียที
อัมรินทร์รับใบตารางมาดูราการงานก่อนจะวางลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนจะบอกให้เปลวอรุณกลับไปได้ แม้ความจริงเขาอยากจะรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่อ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือเปลวอรุณผู้ที่ระวังตัวจากเขามากกว่าอะไรครั้งจะหาข้ออ้างเล็กๆน้อยๆมาอ้างคนตัวขาวก็รู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่อง เขาลองมาแล้วเขารู้ดี.....
ยิ่งอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยจะให้เขาดันทุรังต่อไปก็มีแต่ทำให้คนขี้ระแวงระวังตัวมากขึ้นไปอีกแค่นี้เขาก็แทบจะหาทางเข้าหายากพออยู่แล้ว สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ขับรถตามอีกคนมาถึงบ้านหลังสีขาวของอีกคนแล้วก็นั่งมองมันอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจแล้วว่าอีกคนจะเข้าบ้านของตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาถึงจะได้ฤกษ์ขับรถกลับบ้านบ้าง ที่เขาทำแบบนี้มากว่าสามปีไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงหรืออะไรเปลวอรุณหรอกนะ เขาก็แค่อยากให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครอื่นมีชิ่งตัดหน้าเขาไปก่อน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ทางยอมแน่ๆ
ประตูรั้วไม้สีเข้มเปิดออกกว้างเพื่อเปิดรับรถยนต์ดำสนิทให้เข้ามาด้านในเสียงเครื่องยนต์สี่ล้อราคาเหยียบล้านดับลงเมื่อเข้ามาจอดสนิทอยู่ที่โรงจอดรถของคฤหาสน์หรูกลางเมือง ก่อนประตูรถที่เปิดออกด้วยฝีมือของเจ้าของรถหนุ่ม
อัมรินทร์ส่งของให้กับคนรับใช้สาวที่เดินเข้ามารอรับของก่อนจะเดินตามหลังเขาเข้าไปในบ้าน มือหนาปลดเนคไทที่ผูกอยู่ที่คอออกเพื่อคลายความอึกอัดอย่างเหนื่อยหน่ายจนไม่ทันได้สังเกตว่าไม่ได้มีแค่สาวใช้เท่านั้นที่ออกมารอรับเขากลับบ้าน
“กลับบ้านดึกๆดื่นๆทุกวันอย่างนี้ถ้าพ่อแกรู้เข้าจะเป็นยังไงนะ”
เสียงทุ้มติดจะทะเล้นของคนที่ออกมารับเขาอยู่ที่หน้าประตูบ้านเรียกสายตาของคนที่เพิ่งกลับเข้ามาให้หันไปมองชายหนุ่มผิวเข้มกว่าเขาอยู่ถึงสองระดับรูปกายหนาอย่างคนชอบออกกำลังกายยืนกอดอกพิงกรอบประตูบานใหญ่ใบหน้าหล่อเข้มที่ถูกล้อมกรอบด้วยหมวดที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดี มันจะเป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่....
“ไอ้รุทธ์”
รุทธ์ หรือ
อนิรุทธิ์ ลูกชายคนเดียวของน้าสาวแท้ๆของเขาที่ล้วงลับไปแล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาแต่แก่เดือนกว่าถ้าให้นับตามศักดิ์แล้วก็คงต้องบอกว่าอีกคนคือพี่ชายของเขา แต่ด้วยความที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้พวกเขาสองคนสนิทกันเหมือนเพื่อนมากกว่าความเคารพซึ้งกันจึงไม่ค่อยจะมี
“ว่าไงไอ้เสือ ทำไมกลับบ้านดึก”
อนิรุทธิ์ถามย้ำอีกครั้งพลางยืนกอดอกมองมาที่รองประธานหนุ่มอย่างจับผิด แต่อัมรินทร์กลับเลือกที่จะไม่สนใจคำพูดนั้นแล้วเดินผ่านอีกคนเข้าบ้านแทน อนิรุทธิ์จิ๊ปากอย่างไม่พอใจก่อนจะเดินตามอีกคนเข้าไปด้านใน
“หน้างอมาแบบนี้อย่าบอกนะว่ายังจับพ่อเลขาคนสวยนั้นมาเป็นของมึงไม่ได้อีกละสิ”
ปลายเท้าที่กำลังเดินอยู่ถึงกลับชะงักเมื่อต้องมาเจอคำพูดที่เหมือนแทงใจดำของเขาเข้าให้ ดวงตาคมตวัดมองหน้าญาติผู้พี่ของตนตาขวางอย่างเอาเรื่อง
“เรื่องของกู!” อัมรินทร์ว่าอย่างหัวเสียก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องของตัวเองเข้าไปโดยมีอนิรุทธิ์เดินตามเข้ามา
ช่วงนี้เขากลับบ้านดึกจริงอย่างที่อนิรุทธิ์ว่าแต่นั้นมันเป็นเพราะใครกันล่ะถ้าไม่ใช่เพราะเลขาคนสวยของเขาอย่างเปลวอรุณ วันนี้เขาอุตสาห์นั่งทำงานจนดึงเพื่อถ่วงเวลาให้คนตัวบางอยู่กับเขาที่ทำงานนานขึ้นกว่าเดิม เพราะด้วยนิสัยของอีกที่ทำงานมาด้วยกันสักระยะทำให้เขารู้ว่าเปลวอรุณจะไม่กลับบ้านจนกว่าเขาจะออกจากบริษัท แถมยังทำตัวเหมือนพวกโรคจิตที่คอยตามดูอีกฝ่ายถึงบ้านและสุดท้ายก็เลยจบด้วยการที่เขาไปหิ้วเอาผู้หญิงที่เจอกันที่คลับไปเอาที่โรงแรมใกล้ๆแล้วก็กลับบ้านวนเป็นลูปอย่างนี้เกือบทุกวัน ให้ตายเถอะ........
“มึงนี้ดูๆไปก็น่าสงสารวะ จะมีใครรู้ไหมนะว่าไอ้เสือแดกไม่เลือกเนี้ยจริงๆแล้วมันล่าเหยื่อที่ต้องการไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
อนิรุทธิ์หัวเราะลั่นเสียงดังอย่างขบขำกับความจริงตรงหน้าที่ผิดกับเจ้าของห้องที่นั่งหน้าเครียดไม่สบอารมณ์ ก็นะ เรื่องของอัมรินทร์กับเปลวอรุณไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เขารู้ดีเลยแหละ ถึงเขาจะไม่ได้ทำงานที่เดียวกับอัมรินทร์แต่เขาเองมีเวลาว่างมากพอที่จะตามติดชีวิตรักของญาติตัวเองเล่นเป็นงานอดิเรกเหมือนกัน ยิ่งเรื่องของรองประธานหนุ่มกับเลขาหน้าห้องด้วยแล้วบอกเลยว่ามันน่าติดตามยิ่งกว่ารายการเรียลลิตี้สะอีกและจากที่เขาสังเกตดูแล้วนอกจากเปลวอรุณจะไม่สนใจอะไรในตัวของญาติเขาแล้วแม้แต่หางตาจะมองยังไม่เคยคิดจะแลแบบนี้ เขาบอกเลยว่าโอกาสที่มันจะได้แดกหญ้าแก่เกิดชาติหน้ายังไม่รู้ว่าจะได้กินหรือเปล่าเลย
“ถ้ามึงจะซ้ำเติมมึงกลับห้องของมึงไปเลยไอ้รุทธ์” อัมรินทร์ชัดสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจที่ถูกเอาเรื่องจริงมาพูดล้อเลียนเหมือนจะบอกว่าเขาไร้น้ำยา แบบนี้มันทนไม่ได้ อัมรินทร์จะไม่ทน!
“เอาน่าๆ อย่างเพิ่งไล่กูสิมึงไม่อยากได้วิธีที่จะทำให้คุณเลขานั้นมาเป็นของมึงหน่อยหรอ” อนิรุทธิ์กอดคอน้องชายตัวเองเน้นพร้อมยักคิ้วหลิวตาใส่อัมรินทร์อย่างคนที่มีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ
“มึงหมายความว่ายังไง” อัมรินทร์ถามอย่างไม่ค่อยไว้วางใจกับความคิดในหัวของผู้ชายตัวใหญ่ข้างๆ
“อยากรู้หรอ”
“เออ”
อนิรุทธิ์ยกยิ้มมุมปากอยากพอใจกับคำตอบที่ไม่ไกลจากความคาดหมายของเขาเท่าไร ชายหนุ่มผละตัวจากญาติตัวเองลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกจากห้องไปดื้อๆไม่พูดไม่จาอะไร อัมรินทร์ขมวดคิ้วมองตามหลังอีกคนอย่างไม่เข้าใจ
รออยู่ครู่หนึ่งคนเจ้าแผนการก็เดินกลับเข้ามาในห้องของเขาอีกครั้งด้วยใบหน้าเริงร่าแต่สิ่งที่เรียกความสนใจจากสายตาคมของอัมรินทร์ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายมากกว่า
“นั้นอะไร” เขาถาม
“ก็ของที่จะทำให้คุณเลขาเป็นของมึงไง”
________________________________________________________________
ต่อจากนี้เราจะพาผู้โดยสารทุกท่านนั่งเก้าอี้ย้อนเวลาไปกับแผนการเอาเมียของคุณหนูอันอันกันนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ[/color]