12
[/b]
ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสตินักตอนที่งัวเงียลุกขึ้นมาจากโซฟา ปล่อยผ้าห่มผืนหนาร่วงลงไปกองแทบเท้า เท้าเปล่าเผลอเหยียบมันแต่ไม่ใส่ใจ เดินไปยังครัวที่มีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมา
แสงยามเช้าสาดกระทบร่างสูงที่กำลังง่วนกับการวางจานข้าวสองจานตรงข้ามกัน จานหนึ่งของเขา อีกจานสำหรับผม
...เหมือนภาพฝัน
ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสตินัก ถึงได้เดินเข้าไป... สวมกอดเอวหนาไว้จากด้านหลัง ซบหน้าลงกับไหล่กว้างที่ยืดขึ้นอย่างตกใจ
ร่างกายท่อนบนต่างเปลือยเปล่าถ่ายทอดอุณหภูมิร่างกายแก่กันและกัน...
มันคือภาพฝัน... ภาพที่ผมเคยฝัน... ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเขา อ้อมกอดอุ่นและกลิ่นกายที่ทำให้เช้าเซื่องซึมกลายเป็นสดใส
ภาพฝันที่คล้ายจะชัดเจนขึ้นเมื่อเราเจอกันอีกครั้ง แต่ก็ช่างห่างไกล
“พิชญ์...” ไม่อยากถูกปลุกสู่ความจริงแม้กระทั่งตอนที่ถูกเรียกชื่อพร้อมฝ่ามือที่จับแขนผม ทำท่าจะดึงออกจากเอว
“ผมกำลังละเมอ” ข้ออ้างที่โคตรไม่สมเหตุสมผลทำให้เขาชะงัก ฝ่ามือที่จับนิ่งงัน
“กูให้สิบวิ” ยิ้มขำกับข้อต่อรอง แต่ก็ยอมแม้เวลาจะแสนสั้น
เข็มวินาทีในใจเริ่มนับถอยหลัง... ช้ากว่าระยะทางจริงของเข็มนาฬิกา
“ฝันร้ายเหรอ” เข้าสู่วินาทีที่เก้าหรือแปด เขาเอ่ยถาม ผมเงียบสักพัก ก่อนพยักหน้า
โกหกน่ะ ไม่มีฝันร้ายอะไรทั้งนั้น... ในเมื่อความเป็นจริงมันร้ายกว่า
ผมฉวยโอกาสถูผิวแก้มกับบ่า ซุกซบสูดกลิ่นกายอย่างโหยหา เผลอยิ้มออกมาเมื่อเขาไม่ว่าอะไร แค่ไล้นิ้วโป้งกับมือผมเบาๆ
ความละโมบครอบงำให้เลื่อนใบหน้ามายังท้ายทอย จรดริมฝีปากลงกับแนวกระดูกสันหลัง ต้นคอ และลาดไหล่อีกฝั่ง คลอเคลียอยู่อย่างนั้น... ปล่อยความรู้สึกจมดิ่งกับความเงียบงัน
กระทั่งสัญญาณในหัวบอกหมดเวลา เขาแกะมือผมหันมาเผชิญหน้า ลบสิบวินาทีที่แล้วออกจากความทรงจำ
“ไปอาบน้ำไป” ออกปากไล่ ทำท่าจะเดินหนีไป
แต่ผมกักคนตัวโตกว่าไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างที่เท้าลงกับโต๊ะอาหาร ช้อนสายตาสบดวงตาสีรัตติกาล กดมุมปากเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยคำถามที่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
“ท้าหรือจริง”
“พิชญ์ กูไม่ใช่พระอิฐพระปูน” ผมหลุดยิ้ม ชะงักมือที่กำลังปลดคาลวิน ไคลน์... ปราการสุดท้ายที่เหลืออยู่บนร่างกาย แสร้งหันกลับไปเบิกตากว้างใส่คนที่กอดอกนิ่วหน้าพิงประตูห้องน้ำทำน้ำเสียงประหลาดใจ
“อ้าว ผมคิดว่าต้องถอดหมด”
“...” คิ้วเข้มขมวดแน่น สีหน้างุ่นง่านทำให้ผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง
“ถ้ามันเปียก ผมจะใส่อะไร” ข้ออ้างของผมทำให้ร่างสูงถอนหายใจ
“ยืมของกู” อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วกับคำตอบนั้น และมันยิ่งทำให้เขางุ่นง่าน คงไม่ทันเอะใจว่าข้อเสนอนั่นมันชวนให้คิดไกล
“ไม่ยักรู้ว่าสนิทกันถึงขั้นยืมได้” ผมหัวเราะ แต่เขาเหนื่อยใจจะโต้ตอบ เดินไปเปิดตู้ข้างอ่างล้างหน้าแล้วโยนผ้าขนหนูมาให้
“ใส่นี่ด้วย”
ผมรับผ้าขนหนูมาพันเอวอย่างว่าง่าย แต่ความสั้นเหนือเข่าก็ทำเอาหลุดขำ ใส่หรือไม่ใส่ก็ค่าเท่ากันไม่ใช่หรือไง ยกมือแกะยางรัดผมที่มัดหางม้าลวกๆ ไว้แล้วเดินเข้าไปนั่งในอ่างอาบน้ำกว้าง รอร่างสูงที่หยิบแชมพูกับผ้าพื้นเล็กอีกผืนมานั่งที่ขอบอ่าง
เตวิชญ์ยังมีสีหน้างุ่นง่าน เห็นชัดว่าเขาไม่ชอบใจคำท้าครั้งนี้ของผมเท่าไหร่ ทั้งที่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
แค่วานให้สระผมให้เท่านั้น
ทำไงได้ ช่วงใกล้ส่งงานผมไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ลำพังตื่นไปให้ทันคาบเรียนทั้งที่ปั่นงานโต้รุ่งได้ก็ยากเย็นแค่ไหน
"เงยหน้าหน่อย" ผมทำตาม เงยหน้าเสยผมทั้งหมดให้ตกไปด้านหลัง หลุดหัวเราะอีกครั้งเมื่อเจ้าของสีหน้างุ่นง่านรดน้ำลงมาบนหัวผมอย่างเก้กัง นิ้วเรียวสางผมยาวอย่างเบามือ คิ้วเข้มเริ่มขมวดแน่นอีกครั้ง... เป็นสีหน้าตั้งใจ
ห้องน้ำคับแคบมีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวที่ตกกระทบลงมาบนหัว... และเสียงหายใจ
ผมไม่มีปัญหาเท่าไหร่นักกับความเงียบ และการได้มองใบหน้าของเขา ไล่สำรวจร่างกายท่อนบนที่ยังเปลือยเปล่าจากมุมกลับหัวกลับหาง... เคยบอกหรือยังว่าไหปลาร้าของเขามันสวย เส้นโค้งสมบูรณ์แบบนูนชัด รับกับแผ่นอกกำยำและหัวไหล่หนั่นแน่นอย่างคนออกกำลังกาย เหมือนได้จ้องมองประติมากรรมชั้นยอดจากช่างฝีมือดี
แต่อีกคนดูจะไม่ใคร่ชอบใจ หลังจากปล่อยให้ผมจ้องอยู่นานเขาก็ถอนหายใจออกมา
“มันกดดัน” ผมหัวเราะ
ขอย้ำอีกครั้งว่าเวลาเขาหงุดหงิดน่ะน่ารักชะมัด
“หลับตา” พอราดน้ำจนผมชุ่มเขาก็ปิดฝักบัว เอื้อมมือไปหยิบแชมพูกลิ่นเดียวกับเจ้าตัวมาเทใส่ฝ่ามือนวดเบาๆ ก่อนขยี้ลงมาบนหัว ผมหลับตา ปล่อยให้ฝ่ามือหนานวดไปทั่วศีรษะ เคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นแชมพูและสัมผัสของเขา
“พี่มือเบากว่าช่างทำผมที่ร้านอีก” ผมยิ้ม จินตนาการว่าเขาคงหน้านิ่วคิ้วขมวดกับคำแซว แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
“พูดมากน่ะ” ตำหนิไม่จริงจัง ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดน้ำอีกครั้ง สายน้ำรินรดลงมาไล่ล้างฟองออกจากเส้นผมยาว
“ผมชอบกลิ่นนี้” กลิ่นแชมพูที่ไม่ค่อยได้กลิ่นทั่วไป ทำให้ทึกทักไปว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขาที่ผมจำได้
เขาไม่ได้ตอบอะไร แค่ทำตามขั้นตอนต่อไป กลิ่นใหม่ฟุ้งกระจายตอนที่เขาปิดน้ำแล้วนวดฝ่ามือลงมาแผ่วเบา
“ปกติพี่ใช้ครีมนวดกลิ่นนี้เหรอ” มันไม่ใช่กลิ่นคุ้นเคย อันที่จริงผมไม่เคยได้กลิ่นมันด้วยซ้ำ
“ปกติไม่ได้ใช้” คำตอบน่าประหลาดใจทำให้ผมลืมตา เขาขมวดคิ้วตำหนิ เคาะหน้าผากครั้งหนึ่งให้ผมหลับตา “ก็ผมมึงยาว” คำอธิบายตามมาโดยที่ผมไม่ต้องถาม ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกได้ว่าตอนที่ผมสั้นเท่าเขาก็ไม่ใคร่จะใส่ใจใส่ครีมนวดผมเหมือนกัน
ผมหลับตานิ่งปล่อยให้เขานวดผมไปแบบนั้น ไม่นานน้ำอุ่นๆ ก็รินรดลงมาอีกครั้ง ฝ่ามือหนานวดไปทั่วศีรษะแผ่วเบา สบายเกินไปจนเผลอคลี่ยิ้มกว้าง หลุดฮัมเพลงที่ช่วงนี้ฟังประจำออกมา ไม่มากไปกว่าการส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ
“...!” แต่แล้วก็ต้องชะงักรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่แตกต่าง
ถึงจะยังหลับตาแต่ผมจับได้... สัมผัสของริมฝีปากอุ่นที่แตะลงมาบนหน้าผากเพียงครั้งแล้วผละออกไป
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กะพริบตาปริบๆ ผสานกับสีรัตติกาลที่จ้องมองมาอย่างไม่เข้าใจ แต่แววตาที่ได้รับกลับดูสับสนไม่แพ้กัน
มันดู...โหยหาทว่างุ่นง่าน คล้ายมีด้ายบางๆ ขวางกั้น แต่สุดท้ายเขาเลือกปล่อยปละความละล้าละลัง โยนฝักบัวที่ยังมีน้ำไหลลงข้างกาย ยกมือทั้งสองข้างประคองสองแก้มผมไว้ ใบหน้าที่กลับหัวกลับหางเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากจะกดย้ำตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
“กูกำลังละเมอ” เขาพึมพำ ก่อนลากสัมผัสมาที่ปลายจมูก
“ขอสิบวิ” ปิดประทับริมฝีปากเพียงสั้นๆ แล้วทำท่าจะผละออกไป แต่ผมเอื้อมมือออกไปกดรั้งท้ายทอยเขาไว้ ยืดตัวขึ้นอีกนิดให้สัมผัสแผ่วเบากลายเป็นแนบสนิท...เนิ่นนาน ปล่อยให้จูบอุ่นอวลแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย อัดแน่นอยู่ตรงหัวใจที่เริ่มส่งเสียงเอะอะจนเขาอาจรับรู้ได้
“ผมให้พี่ได้มากกว่าสิบวิ” ผมกระซิบชิดริมฝีปากอย่างดื้อรั้น แต่ร่างสูงกลับหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากเลื่อนขึ้นไปแตะหน้าผากอีกครั้ง ก่อนซุกลงที่กลุ่มผมชื้น แขนข้างหนึ่งโอบรอบคอผมดึงเข้าไปปะทะอกกว้าง
อ้อมกอดที่ผมคล้ายจะเข้าใจความหมายแต่ไม่แน่ใจ
“แค่สิบวิก็พอ” น้ำเสียงของเขาราววอนขอ ทั้งที่ผมยื่นข้อเสนอที่ดีกว่า
...ไม่เป็นไร แค่สิบวิก็ได้
ผมหัวเราะเบาๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับมือเขา ซุกจมูกลงกับแขนกำยำ... อาจจริงของเขา เราต่างกำลังละเมอ
“ทำไมถึงยังอยู่” คำถามถูกเอ่ยขึ้นมา ในช่วงเวลาสิบวินาทีที่เขาอนุญาตให้ผมชิดใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจ “ไม่เคยมีใครอยู่”
คงหมายถึงคนที่เคยเข้ามาในชีวิต... คนที่ไม่เคยทนความเย็นชาของเขาได้
“พี่ก็รู้ว่าผมเป็นยังไง”
ดื้อด้าน... ดันทุรัง... ผมเป็นคนประเภทนั้น เขารู้ดียิ่งกว่าใคร
“กูไม่เข้าใจ” เสียงของเขาอ่อนแรง อ้อมแขนกระชับแน่นแต่ไร้ความมั่นคง “กูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร”
“ผมไม่ได้ต้องการอะไร” ผมหันกลับไปสบตาเขาเพื่อยืนยัน
“ผมก็แค่รัก...” แต่แล้วคำพูดที่ตั้งใจกลับกลืนหาย เมื่อเขาผละออกไป รอยจูบและอ้อมกอดกลายเป็นภาพลวงตา
“กูไม่รู้จักหรอก... รักที่มึงว่า”
“...” ผมถูกปะทะด้วยความหมายของข้อความนั้นจนได้แต่ชะงักงัน... รู้สึกหน้าชา ขณะที่ร่างสูงเอื้อมมือมาปิดฝักบัวแล้วลุกออกไป
“อาบน้ำซะ จะได้กินข้าว” เขาไม่ได้หันหลังกลับมา เพียงทิ้งคำพูดที่บ่งบอกว่าได้ลบเวลาสิบวินาทีก่อนหน้านี้ไปพร้อมสายน้ำที่แห้งขอดเพียงพริบตา
แต่รู้ไหม ผมไม่ลืมหรอกนะ...สิบวินาทีนั้นน่ะ
ก่อนสอบสองอาทิตย์เป็นช่วงเวลาของกิจกรรม
แต่ละคณะจัดงานประชันกันราวกับปลดปล่อยก่อนต้องไปเผชิญนรกไฟนอล แต่คณะเราไม่ใช่หนึ่งในนั้น งานสังสรรค์ไม่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนสอบต้องส่งงาน
แต่ผมก็มีเวลาปลีกตัวมาดูงานสำคัญ
เทศกาลดนตรีที่วงพี่เจดมีชื่อร่วมประกวดในนั้น... สุดท้ายไอ้พี่เคราก็หามือกลองทัน อันที่จริงก็เพื่อนที่เล่นวงปีสามด้วยกันนั่นแหละ เพราะพี่มันไม่ได้หวังรางวัลอะไร กะมาเอามัน เพลงที่เล่นไม่มีใครร้องตามได้ สภาพสมาชิกวงก็เหมือนซอมบี้ที่เพิ่งฟื้นจากความตาย ไม่ต้องอยู่จนท้ายงานก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง
“หิวสัด!” ผมหัวเราะกับเสียงบ่นของพี่เจดที่กระโดดลงมาจากเวที ก่อนยื่นถุงลูกชิ้นลวกที่ซื้อเตรียมไว้ให้พี่มันอย่างรู้ใจ
“เป็นไง” ไอ้พี่เครารับลูกชิ้นไปแจกให้เพื่อนในวงอีกสองคนก่อนจะหันมาถามพลางยัดลูกชิ้นเข้าปาก
“โคตรห่วย” ผมบอกตามตรง แค่เล่นให้จบเพลงก็ลุ้นแทบลืมหายใจ
“นี่แหละ น้องกู” พี่เจดหัวเราะลั่น พลางพาดแขนลงมาบนบ่าผมแล้วขยี้หัวแรงๆ อย่างหมั่นไส้
“เดินงานเป็นเพื่อนกูหน่อย” พี่เจดบังคับ ผมยักไหล่ ยังไงวันนี้กะจะพักผ่อนเต็มที่อยู่แล้ว
พี่รหัสหันไปบอกลาสมาชิกวง แล้วลากผมออกมาตรงโซนตลาดที่กินพื้นที่ทั้งถนนหลังมหาลัย ส่วนใหญ่เป็นของกิน มีบางโซนที่เปิดให้คนนอกเข้ามาขายของจิปาถะได้ ผมกับไอ้พี่เคราเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไร เหมือนแค่มาเดินฆ่าเวลาผลัดกันบ่นเรื่องงานที่ใกล้เดดไลน์
กระทั่งเดินมาถึงร้านหนึ่งที่อยู่เกือบสุดถนนได้
“ตุ๊กตา?” พี่เจดทำเสียงประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ผมก็หยุดเดิน พาให้เจ้าของแขนที่ยังพาดอยู่บนไหล่ชะงักตาม
ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะเห็นว่าตำแหน่งที่หยุดเป็นร้านตุ๊กตา แต่สิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่สินค้า เป็นตะกร้าสานใบเล็กๆ ที่ตั้งไว้กับเก้าอี้ข้างๆ ร้าน
ลูกหมาสีดำยื่นหน้าออกมาจ้องผมตาแป๋ว ที่ขาหน้ามีผ้าพันแผล เนื้อตัวมอมแมม
‘หาบ้านให้น้องหมา’
ผมขมวดคิ้วอ่านป้ายที่ติดตรงตะกร้าแล้วตัดสินใจผละออกจากอ้อมแขนพี่เคราไปยืนจ้องหน้าเจ้าตัวเล็กที่เริ่มส่งเสียงเห่าใส่คนแปลกหน้า
“พิชญ์...” มือหนาแตะลงมาที่ไหล่ พี่เจดขมวดคิ้วส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าอะไรก็ตามที่ผมกำลังคิดจะทำมันไม่เข้าท่า
ผมทำเพียงยิ้มให้ เอ่ยประโยคที่คนตรงหน้าคงไม่เข้าใจ
“เหมือนมาก...”
“มันน่าสงสารออก”
[ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามึงจะบุ่มบ่ามซื้อมาเลยได้ เลี้ยงเป็นหรือไง ] ปลายสายยังบ่นไม่เลิกเรื่องที่ผมเอาแต่ใจ ตั้งแต่ออกจากร้าน กระทั่งแยกย้ายกลับก็ยังอุตส่าห์โทรมา
“ไม่ต้องห่วงผมรู้จักผู้เชี่ยวชาญ” ผมยิ้ม หันไปมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังนอนซึมอยู่ในตะกร้า ข้างๆ มีตุ๊กตาที่หน้าตาเหมือนตัวเองเปี๊ยบที่ผมซื้อมาให้เป็นเพื่อนกัน
“แค่นี้ก่อนนะพี่ ผมถึงแล้ว” ตัดสายใส่ไอ้พี่เคราที่ทำท่าจะบ่นอีกยาว ยัดมือถือใส่กระเป๋าลวกๆ ก่อนหันไปอุ้มตะกร้าใบโต
โฮ่ง!
ขมวดคิ้วกับเสียงเห่า จุปากให้มันเบาๆ แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟังกัน
โอเค ขอสารภาพ... ผมไม่ได้ชอบหมาเท่าไหร่ เป็นสิ่งมีชีวิตร่วมโลกที่อยู่ร่วมกันได้ แต่จะให้เลี้ยงก็คงไม่ไหว...
ย้อนแย้งไหม?
ถ้าผมบอกว่าไม่ได้จะเลี้ยงเองคงเข้าใจง่ายกว่า
บอกแล้วไงว่าเหมือนมาก... เหมือนเจ้าลูกหมาตัวนั้นอย่างกับแกะ...
ลูกหมาที่ผมเกือบแลกชีวิตเพื่อช่วยชีวิตมัน
ผมขึ้นมาชั้นบนสุดของคอนโดฯ กดออดหน้าเพนท์เฮ้าท์ตามมารยาทแม้ในตัวจะยังมีคีย์การ์ดจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในเมื่อเจ้าของห้องอยู่ก็คงต้องเกรงใจ อีกอย่าง ผมกะจะเซอร์ไพรซ์...
แกรก~
ประตูเปิดออกพร้อมร่างสูงที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน งานของปีหนึ่งส่งก่อนชาวบ้าน อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์เขาเลยยุ่งทุกวัน แต่ถึงจะไม่เจอกันผมก็ยังเห็นเขาจากชั้นสาม ส่งเสบียงตามหน้าที่ของพี่รหัส ให้เด็กโค่งได้ตั้งใจทำงาน
“มีอะไร” คิ้วเข้มขมวดคล้ายหงุดหงิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าชุดเดิมตั้งแต่เมื่อวาน
ผมยิ้มกว้างกับสีหน้าน่ารักนั่น ก่อนยกตะกร้าขึ้นมาตรงหน้าเขา ทวนความจำเขาด้วยคำถาม
“ท้าหรือจริง”
“...” แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นความนิ่งเงียบ
ไม่มีคำตอบ ไม่มีรอยยิ้ม คิ้วเข้มยิ่งขมวดเมื่อสบตากับเจ้าตัวเล็กในตะกร้า... แววตายากจะหยั่ง
“ทำแบบนี้ทำไม” เขาถอนหายใจ ยกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ สีหน้าคล้ายกำลังโกรธ
ผมไม่เข้าใจคำถาม
“ผมเจอมันที่งาน หน้าเหมือน...” ใช้เวลาพักใหญ่กว่าผมจะเรียกเสียงตัวเองกลับมาได้ พยายามอธิบาย
“พิชญ์” แต่เขาไม่คิดฟัง
"..." ผมนิ่งงัน อยู่ๆ ก็รู้สึกกลัว... เมื่อดวงตาสีรัตติกาลที่มองสบมา ไม่มีสักเสี้ยวที่ผมเข้าใจความหมาย
“กลับไป”
เป็นการไล่ที่เย็นชากว่าครั้งไหนๆ
ปัง!
ผมผงะ เมื่อถูกปิดประตูใส่หน้าโดยทันได้ถามอะไร แต่เจ้างของห้องคงลืมไปว่าผมสามารถเปิดประตูด้วยตัวเองได้
“ผมไม่เข้าใจ พี่โกรธอะไร” คีย์การ์ดสำรองถูกดึงมาใช้ ผมวางตะกร้าในมือลงบนโต๊ะรับแขกก่อนสาวเท้าตามร่างสูงไปยังด้านล่าง พื้นที่ส่วนตัวของเขา... พื้นที่ที่เขาอนุญาตให้ผมรุกล้ำ แต่ไม่ใช้ทั้งหมด
"..." ไม่มีคำตอบของคำถาม เขาหยุดเดินแต่ไม่หันกลับมา แม้แต่แผ่นหลังกว้างก็ยังดูเย็นชา
“พี่เต... เป็นอะไร” ผมรู้ว่าตัวเองกำลังไม่พอใจเหมือนกัน แต่ความสับสนมีมากกว่า และสายตาของเขาที่มองมาก่อนหน้านี้... มันชวนให้ผมปวดใจ
“พิชญ์ทำอะไรผิด ขอโทษได้ไหม”
ไม่รู้ทำไม มันเหมือนกับ... เขากำลังจะหนีไป ทิ้งผมไว้กับความไม่เข้าใจ... อีกครั้ง
ผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับมา สบตาผมด้วยสายตาที่สับสนยิ่งกว่า
“มึงกำลังล้ำเส้น” แต่น้ำเสียงนั้นยังเต็มไปด้วยความเย็นชา
“หมายความว่ายังไง” ผมขมวดคิ้ว
เขาไม่เคยบอกว่ามีเส้นอะไรระหว่างเรา...
“มึงกำลังสร้างความผูกพัน”
ผมชะงัก ไม่คิดว่าแค่หมาตัวเดียวจะทำให้เขาคิดอย่างนั้น
แต่จริงของเขา... ผมกำลังพยายามสร้างความผูกพัน
“แล้วมันแย่ยังไง” ผมเถียง แต่เสียงกลับสั่นเกินควบคุมได้
“มึงไม่เข้าใจ” เขาถอนหายใจ ท่าทางเหนื่อยหน่ายขณะเอ่ยย้ำคำ “มึงล้ำเส้น”
“แล้ว...” ผมหลับตากำหมัดแน่น สงบสติพักใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผม...
"แล้วเส้นที่พี่ว่ามันอยู่ตรงไหน" เสียงของผมมันสั่นจนน่ารำคาญ แต่ก็ยังกัดฟันสบตาเขา...
ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความเย็นชา ภายใต้สีรัตติกาลคู่นั้น... มันคือความกลัว
ความกลัวที่ผมไม่เข้าใจ
“ถ้ามึงก้าวเข้ามาแล้วเจ็บ... นั่นแหละมึงล้ำเส้น”
...คำพูดที่ผมไม่เข้าใจ
"พิชญ์ มึงเคยพูดว่าที่ยังอยู่เพราะรักกูใช่ไหม" มันเหมือนจะเป็นคำถาม แต่ผมรู้ดีว่าไม่ใช่ "งั้นพิสูจน์สิ"
"..."
"ท้าหรือจริง" เช่นกัน... เกมนี้เขาไม่เปิดโอกาสให้ผมเป็นฝ่ายเลือก
"..."
"ห้าปี"
คำท้าถูกเอ่ย แม้ว่าผมจะยังไม่ได้ตอบอะไร
"พี่เต..."
"เลิกยุ่งกับกูนับตั้งแต่วันนี้..."
"..."
"จบปีห้า ถ้ามึงยังรักอยู่...กูจะกลับไป"
พี่เคยพูดว่าตัวเองไม่สามารถรักษาความรักได้
‘เหมือนกันเกินไป... กับผู้ชายคนนั้น’
พี่หมายถึงพ่อ... พ่อที่เป็นต้นเหตุของครอบครัวที่แตกสลาย
‘แต่พี่ไม่ใช่เขา’
ผมบอกแบบนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยนักกับการโยนความผิดให้คนคนเดียว ทั้งที่ความสัมพันธ์มันดำเนินด้วยขาข้างเดียวไม่ได้
พี่หัวเราะ เอื้อมมือมาลูบหัวผมที่เกยอยู่บนไหล่ มืออีกข้างจับมือผมไว้ ไล้นิ้วโป้งเล่นกับหลังมือผมเบาๆ
เรากำลังนอนอยู่บนม้านั่ง หันหัวชนกัน ใช้ไหล่ของอีกคนต่างหมอนมองท้องฟ้าใกล้พลบค่ำ
‘แต่ก็เหมือนกันเกินไป...’ พี่ย้ำ
‘กูไม่เคยรักษาสิ่งที่รักไว้ได้... ไม่มีทางทำได้’
‘แล้วผมล่ะ’ ไม่รู้อะไรดลใจให้ถาม ทั้งที่คำตอบที่ได้รับมีแต่ทำให้ปวดร้าว
ถ้าพี่พูดว่ารัก... หมายถึงผมต้องเตรียมใจกับความแตกหัก
‘กูไม่ได้รัก’
...มันหมายความว่าพี่อนุญาตให้ผมอยู่ข้างๆ
‘ดีแล้วที่ไม่ได้รัก’
ผมไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังคำตอบแบบไหน รู้แต่ว่าผมไม่เข้าใจ
ทำไมนะ ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น
...เป็นเส้นขนาน เป็นความย้อนแย้ง เป็นสองสิ่งที่ควรจะเคียงคู่แต่กลับสวนทาง
ความสัมพันธ์ในความหมายของพี่มันรวดร้าวเกินไป...
“เป็นไง” ผมสะดุ้งเล็กๆ หันไปมองพี่เจดที่เดินมาขยี้หัวจนผมที่มัดไว้ลวกๆ หลุดร่วงไม่เป็นทรง
ผมยิ้มตอบ หันกลับมามองเถ้าบุหรี่ในมือหลุดร่วงลงพื้นเกือบครึ่งมวนก่อนยกขึ้นมาสูบครั้งแรก
“ได้ข่าวว่ามึงเสร็จแล้ว” เสียงจอแจของเพื่อนในสตูกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง กำลังวุ่นวายได้ที่
“เหลือติดต้นไม้ในโมเดล” ผมยักคิ้วยียวน
พรุ่งนี้เช้าต้องส่งงาน ทั้งอาทิตย์ผมหามรุ่งหามค่ำ กดเก็บความฟุ้งซ่านเอาไว้ ทดแทนด้วยพลังงานมากมายที่ดึงออกมาใช้แบบไม่กลัวตาย
“มีคนบอกว่ามึงอยู่แต่สตู” พี่เจดเลิกคิ้ว หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ
“กลัวไม่เสร็จอ่ะ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ถึงมันจะเป็นเหตุผลข้างๆ คูๆ
ผมรู้ตัวดีว่ายังไงก็ทัน ต่อให้เยิ่นเย้อผลาญเวลาไปกับการตกแต่งโมเดลที่ไม่จำเป็นสักนิดก็ยังเสร็จก่อนชาวบ้าน
“ไม่ได้นอนมากี่วันละ” เสียงพี่รหัสหงุดหงิด ยกมือขึ้นมาจับคางผม หันไปมา
“สาม” ผมหัวเราะ แกล้งพ่นควันบุหรี่ใส่หน้า “ดูไม่ได้เลยใช่ป่ะ”
“ยังมีหน้ามาหัวเราะ ถ้าช็อกขึ้นมากูจะด่าให้ขำไม่ออก” ไอ้พี่เคราผลักหัวผมแรงๆ ทีหนึ่ง ส่ายหน้ากับความดื้อดึงไม่ดูสังขารของผม
“แล้วไอ้เตไปไหน” ผมชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะอัดนิโคตินเข้าปอดอีกครั้งแล้วยักไหล่
“ไม่เห็นมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว” ทอดสายตาลงไปยังลานกว้างที่มีงานของกลุ่มเขาตั้งอยู่ อาทิตย์ที่แล้วผมใช้ร่างสูงเป็นจุดพักสายตา
แต่วันนี้ที่ตรงนั้นมันว่างเปล่า...
“อ้าว วันก่อนมันยังมาช่วยกู...” พี่เจดชะงักไป เหมือนคราวก่อน ที่พี่มันอ่านใจผมได้ “ทะเลาะกัน?”
ผมแค่นยิ้ม ส่ายหน้า เรียกทะเลาะได้เหรอวะ
“เหนื่อยว่ะป๊า” ผมดับบุหรี่ที่ไหม้ถึงก้นกรอง หันไปโอบแขนรอบคอไอ้พี่เคราอย่างต้องการที่พักพิง
พี่เจดไม่ได้กอดตอบแค่ตบหลังผมสองสามทีแล้วหัวเราะ
“ธรรมดา ก็มึงว่ายทวนน้ำ” ผมหัวเราะตาม กับคำปลอบใจประหลาดที่ดันทำให้สบายใจง่ายๆ
“ผมหยุดว่ายดีป่ะ” ซุกหน้ากับบ่ากว้าง ส่งเสียงงอแงแบบที่ชอบทำเวลางุ่นง่าน
“ดื้อด้านอย่างมึงไม่หยุดง่ายๆ หรอก” เป็นอีกครั้งที่พี่รหัสเหมือนมานั่งอยู่ในใจ ผมหัวเราะอีกครั้ง กระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิมแล้วถอนใจ
“ทำไมเขาไม่ใจดีแบบป๊าวะ จะได้รักกันง่ายๆ” ผมบ่นไม่จริงจัง ไม่ทันระวังว่ามันจะกระทบใจอีกคนเข้า
“กูเคยจีบแล้วมึงไม่เอา ลืมหรือไง” พี่เจดดันผมออก แล้วดีดหน้าผากทีหนึ่งเหมือนจะทบทวนความจริงให้
ความจริงที่ว่านอกจากเขา ผมก็ยังไม่เคยมองใคร
โง่ชิบหาย... ทั้งที่ไม่มีอะไรรับประกันเลยสักนิดว่าจะได้กลับมาเจอกัน แต่ผมก็ยังลืมเขาไม่ได้
“แต่มึงหันมาชอบกูตอนนี้ก็ดี จะได้ทำใจง่ายๆ ตอนมันไป” พี่เจดดับบุหรี่ในมือ หยิบมวนใหม่มาคาบเตรียมจนไฟ
“หมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้ว
“เมื่อเช้ากูเจออาจารย์เหมี่ยว... ที่ปรึกษาไอ้เต” เอ่ยทั้งที่บุหรี่ยังอยู่ในปาก รั้งรอทรมานผมด้วยการลนปลายบุหรี่เชื่องช้า แล้วละเลียดควันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“เค้าว่าไอ้เตจะย้ายไปเรียนอเมริกา”
"..." คำตอบนั้นเหมือนกระชากสติของผมไป สายตาจกลับไปจดจ้องยังจุดที่เขาเคยอยู่อีกครั้ง ถูกปะทะด้วยความจริงที่เพิ่งเข้าใจ
ไม่รู้ว่าควรขำไหมที่ความลับที่เขาปิดไว้ถูกเปิดเผยง่ายดาย
แต่สุดท้ายผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ฝืนคำท้าตัวเองด้วยการหยิบบุหรี่มวนที่สองของวันขึ้นมา
จุดไฟ... อัดควัน ปล่อยให้ขาวขุ่นของนิโคตินบดบังหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาอย่างเงียบงัน
---------------------------------------------------------------------------------
เป็นตอนพีคๆ เนอะ...
ฮือออ แม่น้องพิชญ์ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเผาบ้านพี่เตนะคะ
เป็นตอนที่เหนื่อยมากเลยค่ะ ความจริงและความรู้สึกอัดแน่นมากเกินไป 5555
ด้วยความที่มันหน่วงมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเราจะไม่ดราม่านาน
ทนหน่อยนะคะ ใกล้แล้วล่ะ ;_;
ยังไงก็ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยนะคะ
ถ้าเขียนงงตรงไหน ไม่ชอบใจยังไงติติงได้เสมอเลยน้า
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันถึงตอนนี้นะคะ