[ต่อ 6.2]
จนแล้วจนเล่าเขาก็ไม่เด็ดขาดพอ...
“คุณส่งผมแค่ตรงนี้เถอะ”
ตุลย์บอกเจ้าของรถตอนที่ซีดานวิ่งชะลอความเร็วเข้ามายังตรอกปลอดคนแห่งหนึ่ง
หลังวันที่ศานนท์เสนอตัวไปรับถึงหน้ามหาวิทยาลัย หนุ่มใหญ่จะมาส่งเขาในตรอกซึ่งห่างจากคลับพอสมควรทุกครั้ง เพราะความคนไม่พลุกพล่านมันจึงปลอดหูตาปลอดตาคนของธวัตร
เอาเข้าจริงมหาลัยเขาอยู่ห่างจากที่นี่แค่สองมุมถนน ไม่ได้จัดว่าไกลสักนิด แต่ที่ช้าและเสียเวลาเพราะศานนท์ดันพาอ้อมเป็นกิโลๆ ยิ่งวันไหนเบื่อหรือครึ้มอกครึ้มใจอะไรมาก็จะขับออกนอกเส้นทางเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะวกกลับมาส่งที่ประจำ
วันนี้ฝนตกหนัก จราจรติดขัดหนาแน่นเต็มท้องถนน กว่าพวกเขาจะมาถึงตรอกก็กินเวลาปาไปฟ้ามืด ตุลย์ลงจากรถ เดินเลาะไปตามชายคาทั้งที่ฝนยังตก ถนนที่มีน้ำขังชวนให้รู้สึกเฉอะแฉะไปด้วย
“ตุลย์!” จู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็เปิดกระจก ยื่นแท่งอะไรสักอย่างให้ “เอาร่มติดมือไปด้วย เดี๋ยวเธอก็เป็นหวัดแย่”
ตอนที่ร่มมานิ้วมือของศานนท์ลอบสัมผัสเบาๆ ตรงกลางฝ่ามือเขา ทำเอาชักมือกลับอย่างเร็ว
“ขอบคุณ” ตุลย์ยิ้มน้อยๆ “...แต่ผมว่าอายุอย่างคุณน่าจะห่วงสุขภาพตัวเองมากกว่า”
โดนตอกกลับแรงๆ แบบไม่ตั้งตัวหนุ่มใหญ่ก็นิ่งอึ้งทั้งที่ถือร่มค้างไว้ในมือ กระทั่งเขาพูดว่า ‘ล้อเล่นครับ’ แล้วหยิบร่มมากางนั่นแหละ ฝ่ายนั้นถึงบอกลาพร้อมรอยยิ้มอีกครั้งแล้วขับรถออกไป
ส่วนเขาก็อดจะขำเบาๆ ไม่ได้
ดูเหมือนเลขอายุจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับศานนท์ล่ะสิ...
พอแยกกับหนุ่มใหญ่ก็ต้องใช้เวลาพักกว่าจะเดินมาถึงไนท์คลับ ฝูงชนยังคึกคักแม้ฝนตกหนัก หน้าคลับก็มีผู้คนเข้าออกไม่ขาด คืนนี้เขาสายกว่าปกติ พอเก็บร่มดินผ่านเข้ามาด้านใน พื้นที่โซนต่างๆ ก็ครึกครื้นไปด้วยกลุ่มลูกค้าแล้ว
“คุณตุลย์”
ถูกการ์ดคนหนึ่งเรียกไว้ตอนกำลังจะเดินไปเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้า อาจเพราะปกติเขาใกล้ชิดกับธวัตร คำพูดคำจาจึงค่อนข้างให้เกียรติเป็นพิเศษ
“ครับ?”
“คุณธวัตรรออยู่ที่ ‘ห้องทำงาน’ เขาอยากพบคุณ”
“ครับ เอาไว้หลังรับแขกเสร็จ ผมจะไป”
“ไม่ได้ครับ เขาอยากพบคุณทันที” ชายร่างใหญ่ย้ำทุกคำชัดเจน
และเมื่อไม่มีทางอื่นตุลย์ก็แค่ตอบตกลง
เรื่องวิวาทเมื่อคราวก่อนเป็นเหมือนชนักติดหลังที่ทำให้เขาไม่อยากเจอหน้าธวัตร พอถูกเรียกตัวแบบเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษก็ยิ่งประหม่า
ธวัตรไม่ใช่คนจุกจิก ชายหนุ่มไม่เรียกเขาเข้าไปด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เว้นเสียแต่มันสร้างผลกระทบบางอย่างให้ธวัตร หรือไนท์คลับที่เจ้าตัวทุ่มเทสร้างมากับมือ
ซึ่งไม่เคยเป็นเรื่องดี...
ตุลย์สาวเท้าขึ้นบรรไดมาชั้นบน ส่วนที่แยกออกมาจากโซนวีไอพี คือฝั่งที่พักอันประกอบด้วยห้องชุดหลากหลายราคา สร้างให้ดูคล้ายกับโรมแรม โถงทางเดินตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยเครื่องแก้วและเซรามิก เช่น โหล หรือแจกันลายวิจิตร แซมด้วยไม้ประดับเป็นระยะ ใช้แค่คอมมอนเซนส์ก็น่าจะรู้ว่าพื้นที่นี้มีไว้ใช้สอยอะไร
ส่วนห้องของธวัตรอยู่สุดปลายทาง ค่อนข้างเป็นส่วนตัว มักจะถูกใช้ทำงานเอกสารหรือพักผ่อนบางคืน ตุลย์สูดหายใจลึก รู้สึกหวั่นๆ กับการเผชิญหน้าสองต่อสองอย่างอดไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้า เคาะประตูแล้วผลักเข้าไป
“แผลหายดีแล้วสิ?”
แค่ย่างเท้าเข้ามาก็ถูกจู่โจมด้วยคำถาม ธวัตรนิ่งเอกขเนกอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ที่หยิบมาเล่นฆ่าเวลารอเขา
ตุลย์เผลอลูบคอโดยไม่ตั้งใจ ที่จริงมันยังเหลือรอยม่วงริ้วๆ อยู่บ้าง แต่บีให้เขาใช้เครื่องสำอางพรางไว้จะได้ไม่สะดุดตาคน
“นั่งก่อนสิ”
“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี๋ยวผมจะไปรับแขก”
“นั่งสิ” ร่างสูงย้ำ “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายนิดหน่อย”
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นก็ได้แต่นั่งลงตรงข้าม เขาไม่อยากเหยียบห้องนี้นานนักจึงพยายามกระชับบทสนทนาให้สั้นกระทัดรัดที่สุด
“นายไม่ทำตามที่ฉันสั่ง รู้ไหม?”
“เรื่องอะไรครับ” เขาตีหน้าซื่อ หากไม่กระโตกกระตาก ธวัตรก็จับโกหกได้ยาก “ถ้าคืนนั้นผมไปทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจอีก ผมขอโทษ”
จู่ๆ ธวัตรก็ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง เดินอ้อมมาด้านหลังเก้าอี้เขา ก่อนทาบมือบนไหปลาร้าซึ่งใกล้กับคอ ทำเอาสะดุ้งโหยงขืนตัวกลับเร็วจนมือข้างนั้นเลื่อนหลุดไป
“ศานนท์ยังมาวอแวกับนายอยู่หรือเปล่า” ชายหนุ่มจ้องตาเขาตอนที่ถาม
ตราบใดที่ยังมาทำงานตรงเวลาและอยู่รับเงินทุกครั้ง เรื่องที่เขายังติดต่อกับศานนท์ก็ถูกซ่อนไว้ใต้พรมอย่างมิดชิด ทุกครั้งหนุ่มใหญ่จะส่งเขาในตรอกที่ไกลพอสมควร ไม่มีทางที่กลิ่นทะแม่งๆ จะหลุดไปถึงจมูกธวัตรจนเรื่องแดง ยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
ถ้าหากนี่เป็นแผนลองใจ ก็บอกได้เลยว่าประเมินเขาผิดถนัด!
“ก็ยังมีบ้าง แต่ผมเลิกติดต่อกับเขาแล้ว”
“งั้นช่วยอธิบายให้ฉันฟังว่านี่คืออะไร?” พอซองกระดาษถูกโยนแปะบนโต๊ะหน้าเขา รูปด้านในก็ไหลออกมา
“.......”
ตุลย์หน้าเสียตอนที่เห็นว่ามันคือ ปึกรูปตอนเขากำลังขึ้นรถไปกับศานนท์ ภาพถูกถ่ายรัวเป็นช็อตๆ ในอิริยาบถที่เปลี่ยนไปทีละเล็กน้อย หากเอามาเรียงต่อกันคงคล้ายภาพเคลื่อนไหว
ธวัตรชูรูปสองใบเปรียบเทียบ มันถูกถ่ายในสถานที่ต่างกัน ต่างวันเวลา ที่สำคัญคือเห็นใบหน้าคนใบภาพชัดเจน
“ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วยนี่...” ธวัตรยิ้มเหี้ยม
“คืนนั้นนายออกอาการจนหน้าสงสัย ฉันก็เลยให้คนตามสืบดู ถึงได้รู้ว่านายทำอะไรใต้จมูกฉันบ้าง ชอบมันมากเหรอ ถึงได้ยอมแหกกฏไปไหนมาไหนกับมันทั้งที่ฉันไม่อนุญาติ?”
สำหรับคนที่ขลุกอยู่แต่ในมุมมืด ไร้อิสระ และถูก ‘ตีค่า’ ด้วย ‘เงินตรา’ พอถูกใครทำดีเข้าหน่อยก็ย่อมต้องอยากไขว่คว้าแสงสว่างนั้นเอาไว้เป็นธรรมดา
“.......”
“อย่าเงียบใส่ฉัน!” ฝ่ายนั้นตวาดอย่างเหลืออด ก่อนจะคว้าคอเสื้อ
ตุลย์นิ่วหน้าเพราะยังเจ็บแผล ได้แต่ยึดข้อมือที่แข็งแกร่งเหมือนคีมเหล็กไว้เป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนถึงตัว ธวัตรมีหลักฐานตำตา ต่อให้เขากุเรื่อง เล่าอะไรไปก็ไร้ประโยชน์
“ตอบ!”
แรงกระชากที่ปกเสื้อทำให้ตุลย์แหงนหน้ามองธวัตร แววตาเกรี้ยวกราดจ้องทะลุทะลวงจนเขาเสหลบอย่างหวาดๆ แค่ปราดเดียวเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ดี...
ว่าหากคิดเล่นไม่ซื่อเป็นครั้งที่สอง จะไม่มีโอกาสสำหรับแก้ตัวเหลืออีก
“ครั้งนี้ผมผิดเอง จะไม่มีครั้งหน้า...”
“คิดว่าพูดแค่นี้เรื่องจะจบง่ายๆ หรือไง” มือหนาขยุ้มเสื้อแน่นขึ้นอีก
“ผมขอโทษ ครั้งต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมให้สัญญา”
“แน่ใจ?” ธวัตรจ้องหน้าเขา ประเมินความจริงในแววตา ก่อนปล่อยมือจากเสื้อเมื่อไม่พบคำโกหกเสแสร้ง “กลับไปทำงานซะ”
ถูกไล่ ตุลย์ไม่คิดจะเหยียบห้องนี้ต่อสักวินาทีเดียว เพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อตนเอง เขาสาวเท้าเร็วๆ กลับออกไปทางประตู
“เดี๋ยว”
ตุลย์เม้มปาก หยุดฝีเท้าโดยไม่มองย้อนกลับไป
“วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรม A ไปที่ห้อง 4XX” ธวัตรเว้นหายใจ
“ ‘เด็กพวกนั้น’ เป็นแขกของนาย”ในที่สุดก็ได้คำตอบสำหรับสิ่งที่เขาพะวักพะวงมาเป็นสัปดาห์ ...ซึ่งก็คือ ‘ไม่’ ไม่มีสัญญาอะไรทั้งนั้นระหว่างเขากับธวัตร ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า ที่เขาทุ่มเทไปมันเปล่าประโยชน์!
สำหรับ ‘ธวัตร’ คงไม่อะไรสำคัญไปกว่าอิธิพลและเงินทอง นั่นคือโลกทั้งใบของคนๆ นั้น ส่วนเขาเป็นแค่ ‘หมาก’ ตัวหนึ่งบนเกมที่ชื่อว่าธุรกิจ ถูกใช้เพียงเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้ผู้เล่นอย่างธวัตร ตราบที่กำไรคุ้มค่าความเสี่ยง เขาจะเป็นหรือตายไม่สำคัญสักนิด!
ตุลย์กัดฟันกรอด พอเดินออกจากห้อง มือที่กำแน่นก็ทุบกำแพงระบายสิ่งที่อัดอั้นกักเก็บไว้ภายใน
สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้รู้ว่าที่จริงเขาไร้ทางสู้แค่ไหน ธวัตรมีทุกอย่างที่ต้องใช้เพื่อควบคุมเขา ในขณะที่เขาไร้อำนาจแม้กระทั่งเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเอง หลงคิดว่าตัวเองมีอำนาจพอจะต่อรองสร้างเงื่อนไข แต่สุดท้ายก็แค่ลูกไก่ในกำมืออีกฝ่ายเท่านั้น!
-----------------------
“หิวน้ำรึไงวะ”
เก้าขมวดคิ้วเป็นปมหลังจากมองเพื่อนซัดเหล้าเอือกๆ เหมือนกระหายตายอดตายอยากมาจากไหน พอถามอะไรตอบสั้นๆ
“หยุดกินได้แล้วมั้ง ซัดเป็นน้ำเปล่าขนาดนี้เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้ไปนอนข้างถนน”
“........”
“ถ้าจะตายก็บอกล่วงหน้าก่อนนะเว้ย จะได้เตรียมของชำร่วยไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด” บาร์เทนเดอร์หนุ่มเอานิ้วจิ้มๆ คนที่นั่งหน้าแดง เงียบเป็นเป่าสาก เห็นหน้าเพื่อนไม่สู้ดีก็อดถามไม่ได้ “เครียดอะไรมาหรือเปล่าวะ หมู่นี้เอ็งดูไม่ค่อยแฮปปี้ดี้ด้า หรือเพราะไม่ได้เจอพี่บีเลยเหงา?”
ตุลย์ส่ายหน้า “หมู่นี้นายมือตก ชงเหล้าไม่อร่อยก็เลยไม่แฮปปี้”
“ห๊ะ?” เก้ารีบหยิบแก้วเขาไม่ยกซดทันที “ก็ปกตินี่หว่า มือตกจริงเหรอวะ!?”
เขาแกล้งหัวเราะ ยกยิ้มเสแสร้งที่ฝึกมานานจนดูจริงใจ
เก้าเป็นคนเดียวที่ยุ่งเกี่ยวกับมุมมืดของที่นี่น้อยที่สุด มุมมองของฝ่ายนั้นบางครั้งจึงอาจเรียกได้ว่าอ่อนต่อโลกไปมาก ซึ่งเขาและบีเห็นตรงกันว่าควรให้เป็นแอย่างนั้นต่อไป
อยู่ที่นี่ ยิ่งรู้ตื้นลึกหน้าบางน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
ตุลย์จัดการส่งเหล้าแก้วสุดท้ายลงท้องเสร็จก็ขอตัวกับเพื่อน เก้าบอกลาเขาเหมือนปกติด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเป็นแค่คืนวันอาทิตย์ในสัปดาห์ที่แสนรื่นเริงอีกคืนหนึ่ง แล้วกลับไปบริการลูกค้าอย่างยิ้มแย้ม
หมอนั่นดูมีความสุขจนหน้าอิจฉา...
พอออกจากไนท์คลับตุลย์ก็เรียกแท็กซี่ไปยังโรงแรม A เดินผ่านล็อบบี้แล้วตรงขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสี่ตามที่ได้หมายเลขห้องมาจากคนๆ นั้น ทุกย่างก้าวหนักอึ้งเหมือนถูกหินถ่วง ปลายทางคือประตูเรียบๆ บานหนึ่งที่ไม่อาจคาดเดาว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง ตุลย์มองเลขห้อง เช็คอยู่เกือบนาทีจนแน่ใจถึงเคาะมัน
ก๊อกๆๆ
ประตูเปิดออกแทบในทันทีที่สิ้นเสียง เบื้องหลังบานไม้คือหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เค้าโครงหน้าที่จัดว่าดูดีกับสายตาที่ประเมินเขาราวกับสิ่งของนั่น ไม่มีทางที่เขาจะลืมเมื่อเห็นกันแทบทุกวัน
โลกแห่งความจริงไม่มีปาฏิหารย์ ไม่ว่าวิงวอนร้องขอยังไงก็ตาม เรื่องนั้นเขารู้ดี...
“กำลังรออยู่พอดี ...ตุลย์”
พูดพร้อมเสียงหัวเราะในคอ ก่อนคนที่สวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำจะกระชากแขนเขาเข้าไปด้านใน
“ต้องจองล่วงหน้าตั้งนานกว่าจะได้คิว นานจนฉันแทบหมดความอดทนแหนะ”
ตุลย์เซแซดๆ ตามแรงลากถูไปที่เตียง เสียงประตูปิดทำให้เขาหันกลับไปมองก่อนจะพบว่ามี ‘แขก’ อีกสองคนอยู่ด้านหลัง
แค่นั้นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ
เห็นแววตาหวาดหวั่น เจ้าของห้องก็ถามเย้ย “เพื่อนฉันเอง... คงไม่มากไปหรอกใช่ไหม รับแขกออกจะบ่อยไม่ใช่เหรอ?”
แรงผลักทำให้เขาหงายหลังลงบนเตียง ตามด้วยเจ้าของประโยคที่ขึ้นมาคร่อม พลางปลดผ้าคาดเอวที่ผูกไว้หมิ่นเหม่
“เดี๋ยวก่อน!”
ตุลย์ดันไหล่คนที่พยายามจู่โจมด้วยการถอดเสื้อผ้าเขา สอดสายตาไปรอบๆ หาทางถ่วงเวลาด้วยอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ แขนสองข้างก็ถูกจับยึดไว้กับเตียงด้วยแรงของใครบางคน ตุลย์ขืนตัวให้หลุดจากพันธนาการอย่างยากลำบาก
“อย่าดื้อน่า...!”
เสียงที่ต่างไปกระซิบข้างหู รวบแขนแล้วกดไว้อีกครั้งด้วยน้ำหนักที่มากกว่าเดิม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มอีกคนอ้อมมาข้างหลังเขา เหลือแค่คนเดียวที่ยืนกอดอกพิงโซฟามองมาอย่างเพลิดเพลินเหมือนดูละคร
“ถ้าทำตัวดี สัญญาว่าผลัดกันทีละคน...”
ดูเหมือนบางคนคงหมดความอดทนกับการแกะกระตุมเสื้อเขา ถึงเปลี่ยนมากระชากกางเกงโยนทิ้งไปอีกทาง ก่อนใช้มือลูบสะโพก บีบบั้นท้ายและต้นขาด้านในอย่างหยาบโลน คนด้านบนโยนเสื้อคลุมทิ้ง ปากก็ฉีกถุงยาง แล้วแยกขาเขา
“เอ้อ เมื่อกี้ที่ว่าทีละคนน่ะ ล้อเล่นนะ”
กระตุกยิ้มเหมือนสะใจเมื่อเขาเบิกตากว้าง แทนที่ด้วยเสียงครางต่ำๆ ตอนที่ถูกรั้งขึ้นให้แก่นกายของคนด้านบนชำแหลกเข้ามาทีเดียวสุดทางโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้เลย
-----------------------------
มีใครสงสัยไหมคะ ว่าทำไมไม่เข้าธีมเด็กเสี่ยซะที ฮาาาา
เรื่องในสามเดือนนี้มีผลกับการตัดสินใจในอนาคตของหนูตุลย์และเนื้อเรื่องที่เหลือมากๆๆ เพราะสามเดือนที่อยู่กับธวัตรเปลี่ยนตัวตนนางไปมากกก #จะเล่าในตอนพิเศษที่ 8
เมลล่าไม่อยากเขียนแบบยกเมฆ เลยค่อยๆ ปูพื้น เบื่อกันหรือเปล่า ถถถ #ยกโทษให้มือใหม่ด้วย #แต่จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ #ค่อนข้างใส #อันนี้พูดจริงๆเพราะมีดราม่าน้อยมากส่วนใหญ่จะทึมๆ
ตอนหน้าทึมกว่าเก่านิดเนอะ แต่ก็ฟ้าหลังฝนค่ะ เดี๋ยวลั้นล้ากว่าเดิม ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามกันค่า
ช้าหน่อยเก๊าขอโต๊ด เค้ามันกลับกรอกเอง ฮรืออออ