เพลงรักที่หายไป
เพลงที่ 2 คืนที่ดาวเต็มฟ้า
ศิลปิน ปราโมทย์ วิเลปะนะ
คลาสเรียนในวันแรกไม่มีอะไรมากนัก อาจารย์ให้นักศึกษาทุกคนแนะนำตัวเอง ให้เล่าถึงความฝันและเป้าหมายพร้อมกับโชว์สิ่งที่ตัวเองถนัด หนูด้วงได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่อยู่หลายคน แต่ละคนมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีด้วยกันทั้งนั้น ส่วนหนูด้วงเลือกการขับร้องเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ทางครอบครัวก็ไม่ได้ว่าอะไรที่เลือกเรียนทางนี้ มีเพียงคุณตาพยนต์เท่านั้นที่อยากให้หนูด้วงเรียนด้านบริหารจะได้นำไปสานต่อในธุรกิจของครอบครัว แต่เมื่อหนูด้วงยืนยันที่จะเรียนคณะนี้คุณตาก็เลยต้องตามใจ
การได้ก้าวเข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสนุกมากกว่าที่คิดเอาไว้ ถึงแม้เพื่อนๆ ที่รู้จักกันตั้งแต่ชั้นประถมและมัธยมจะตามมาเรียนที่นี่กันหลายคน แต่หนูด้วงก็ยังแอบกังวลเรื่องการต้องพบเจอกับผู้คนใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย ที่ผ่านมาตัวเองอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิมๆ สังคมเดิมๆ เลยมีความกังวลเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
‘หนูด้วงต้องหัดออกมาจากเซฟโซนบ้าง มาทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆ เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ แต่ต้องเรียนรู้ด้วยความระมัดระวังนะครับ’
เพราะคำสอนของพี่โอบอุ้มจึงทำให้หนูด้วงตัดสินใจสมัครเข้าชมรมกล่องดนตรีแทนที่จะเลือกตามเพื่อนสนิทเหมือนอย่างทุกครั้ง ทั้งที่ชมรมเกี่ยวกับดนตรีมีมากมาย แต่ที่นี่แหละที่หนูด้วงคิดว่าเหมาะกับตัวเองมากที่สุด
“ทำไมต้องเป็นชมรมนี้” คำถามจากนกฮูก
“พี่โอบอุ้มเคยไปร้องเพลงเปิดหมวกหาเงินช่วยผู้ประสบภัย เราอยากทำบ้าง น้องเกลบอกว่าชมรมนี้มีจัดกิจกรรมนี้ด้วย ถ้าเราได้ทำจะได้มีเรื่องไปเล่าให้พี่โอบฟัง”
“ว่าแล้วเชียว”
“ว่าแล้วเชียวอะไร”
“พี่โอบอุ้มไง เป็นคำตอบสุดท้ายของหนูด้วงเสมอ”
“เชื่อพี่โอบอุ้มไม่ดีเหรอ” หนูด้วงเอียงคอถามเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่เราแค่สงสัย”
“สงสัยอะไร”
“หนูด้วงไม่ได้เจอพี่โอบอุ้มมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ พี่เขาเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้างก็ไม่รู้ จำหน้าเขาได้รึเปล่าเหอะ เราว่าพี่เขาคงไม่กลับมาแล้วแหละ”
“พี่เขาเหมือนเดิมกับเรานะ เราก็เขียนอีเมล์หาพี่โอบอุ้มทุกวัน พี่โอบอุ้มก็ตอบเราทุกวัน ถึงไม่ได้เจอกันแต่เราก็รู้เรื่องกันและกันตลอด”
“มันไม่น่าแปลกเหรอ ในยุคสมัยที่การสื่อสารติดต่อกันง่ายมากแต่กลับคุยผ่านอีเมล์อย่างเดียว แอพในโทรศัพท์ก็มีที่คุยแบบเห็นหน้าได้แต่ทำไมพี่โอบอุ้มถึงไม่ยอมคุยแบบนั้น พี่เขากลัวอะไร เราว่าหนูด้วงตัดใจเถอะ อย่ารอพี่เขาอีกเลย”
“ตัดใจจากอะไร พี่น้องตัดกันไม่ได้หรอก เราเชื่อว่าพี่โอบจะต้องมีเหตุผลแต่เหตุผลนั้นคงบอกเราไม่ได้”
“แล้วทำไมไม่ไปหาพี่โอบที่อังกฤษล่ะ”
“ยุงพญาไม่ให้ไป”
“ทำไม”
“ไม่รู้ดิ”
“แล้วหนูด้วงไม่อยากรู้เหรอว่าทำไม ทำไมยุงพญาไม่ให้ไป ทำไมพี่โอบไม่ยอมให้เห็นหน้า ปกติเป็นเจ้าหนูขี้สงสัยมาตลอดนะ”
“ก็ได้ก็ได้ ยอมรับว่าสงสัย เคยถามยุง ยุงก็บอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไป แล้วเราไม่กล้าถามพี่โอบหรอกว่าทำไมไม่ยอมให้เราเห็นหน้า พี่โอบว่าไงเราก็ว่างั้น”
“ถามจริง หนูด้วงคิดกับพี่โอบแค่พี่ชายเหรอ”
หนูด้วงนิ่งไปอึดใจ นกฮูกไม่ได้ถามคำถามแบบนี้เป็นครั้งแรก เคยถูกเพื่อนสนิทคนนี้ถามมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยตอบกลับไปสักครั้ง แต่ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะตอบ
“ไม่รู้ คิดแบบไหนได้อีก”
“เราก็ไม่รู้ ไม่เคยมีทั้งพี่แล้วก็ไม่เคยมีความรัก” นกฮูกส่ายหน้า
“ทำยังไงจะรู้ได้” หนูด้วงถามพลางถอนหายใจ
“ถ้าหนูด้วงเจอคนอื่นที่ทำให้รักได้ก็แปลว่าไม่ได้รักพี่โอบแบบแฟนล่ะมั๊ง”
“แด๊ดดี้บอกว่าแฟนคือคนที่ไม่ปล่อยมือจากกัน อยู่เคียงข้างกัน แต่เราไม่ได้จับมือแล้วก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างพี่โอบ”
หนูด้วงพยายามคิดว่าตัวเองใช้คำว่า ‘แฟน’ กับพี่ชายที่อยู่ไกลกันได้หรือเปล่า มัมกับแด๊ดเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ หนูด้วงชอบขี่ตู่ว่าพี่โอบอุ้มเป็นแฟนของตัวเอง ใครถามก็จะตอบแบบนี้ทุกครั้ง หนูด้วงไม่เคยสนใจความหมายของมัน รู้แต่ว่าแด๊ดดี้เป็นแฟนกับมัม พี่พายเป็นแฟนกับพี่เมี่ยง ยุงพญาเป็นแฟนกับอาน้อง พี่ก้านก็เป็นแฟนกับน้าตวง ทุกคนเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้ชาย เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะได้ผู้ชายสักคนมาเคียงข้าง หนูด้วงก็อยากให้เป็นพี่โอบอุ้มเท่านั้น
นกฮูกฟังแล้วอธิบายถึงความรักในแบบที่เคยอ่านเจอมาจากหนังสือเล่มหนึ่งบ้าง
“แฟนคือคนที่เรารักเขาแล้วเขาก็รักเราต่างหาก คนที่ทำให้เราใจเต้นทุกครั้งที่ได้สบตา ถ้าได้กอดกันแล้วหน้าจะร้อนผ่าว แล้วก็ถ้า...”
“ถ้าอะไร”
“ถ้าได้นอนด้วยกันจะเหมือนบินได้”
“บินได้เลยเหรอ” หนูด้วงทำตาโต
“อือ ก็เขาว่ามาแบบนั้นนะ”
“นกฮูกว่าเรามีแฟนผู้ชายหรือมีแฟนผู้หญิงดีกว่า”
“ไม่สำคัญหรอก ขึ้นอยู่กับว่าใครทำให้เราหัวใจเต้นแรงมากกว่า”
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเรารักใครไปรึยัง”
“.......”
“.......”
“ลองถามพี่โอบแล้วกัน”
“ลองถามพี่โอบแล้วกัน”
ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกันหลังจากที่เอาแต่มองหน้ากันอยู่นานเพราะไม่รู้ตอบยังไง แล้วก็พากันหัวเราะเพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่พ้นพี่โอบที่เป็นคำตอบสุดท้ายเหมือนเดิมอยู่ดี
“เราไปที่ชมรมก่อนนะ พี่ทำนุให้เราไปช่วยต้อนรับคนที่มาสมัครเข้าชมรม จะไปตามหาน้องด้าวด้วย” หนูด้วงดูเวลาก่อนจะลุกขึ้นเตรียมตัวไปที่ชมรมของตัวเองอีกครั้ง
“ไม่รอสิงโตเหรอ” นกฮูกถาม
“ต้องรอด้วยเหรอ”
“อ้าว ก็เห็นสิงโตบอกว่าจะไปกับหนูด้วงด้วย”
“ฝากนกฮูกรอแทนเราก็แล้วกัน ถ้าสิงโตไม่รู้จะไปไหนก็ฝากเอาไปด้วย เราไปนะ”
“เดี๋ยวสิหนูด้วง ของแบบนี้มันฝากกันได้ด้วยเหรอ หนูด้วง!!”
หนูด้วงหันมายิ้มให้นกฮูกก่อนจะโบกมือให้ ไม่ได้สนใจคำทักท้วงเพราะอยากจะไปเจอกับสมาชิกคนอื่นๆ ในชมรมเร็วๆ ตั้งใจไปก่อนเวลาเพราะถ้ามีคนมาสมัครเยอะๆ จะได้ช่วยพี่ทำนุต้อนรับเพื่อนใหม่ ถึงแม้ตัวเองจะเป็นสมาชิกใหม่เหมือนกันแต่ก็ถือว่าได้รับมอบหมายจากรุ่นพี่แล้วก็ต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่
...
กว่าจะวิ่งขึ้นมาถึงชมรมกล่องดนตรีก็เล่นเอาหนูด้วงยืนหอบอยู่หน้าประตูพักใหญ่ เมื่อรู้สึกหายเหนื่อยแล้วก็เปิดประตูเข้าไปทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงที่สดใส “สวัสดีฮะทุกคนทุกคน หนูมาแล้ว”
...ภาพที่คิดไว้...
สมาชิกในชมรมต่างกำลังพูดคุยและชวนกันร้องเพลงด้วยความสนุกสนาน รุ่นพี่ต้อนรับรุ่นน้องด้วยความอบอุ่น มีความชุลมุนเล็กน้อยเนื่องจากคนมาสมัครเต็มไปหมด
...ภาพแห่งความจริง....
“มาแล้วเหรอน้องหนูด้วง” ทำนุเดินมาจากทางด้านหลังของชมรม เมื่อเห็นสมาชิกคนใหม่มาถึงเลยเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง
หนูด้วงมองหน้าทำนุก่อนจะมองไปยังที่ผู้ชายแปลกหน้าอีกสามคนที่นั่งก้มหน้าจดจ่ออยู่กับเครื่องดนตรีของตัวเอง แต่ละคนดูไม่สนใจว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาด้วยซ้ำ ภายในชมรมก็เงียบจนแทบได้ยินเสียงแมงมุมชักใยอยู่ ที่ต้องเปรียบถึงแมงมุมเพราะตามมุมเพดานห้องมีใยแมงมุมกระจายอยู่เต็มไปหมด
“สวัสดีฮะพี่ทำนุ สวัสดีฮะทุกคนทุกคน” หนูด้วงเอ่ยทักทายอีกรอบเพราะพวกเขาอาจจะไม่ได้ยิน
“พวกมึง น้องมันทักอย่าเสียมารยาท น้องหนูด้วง...สามคนนี้เป็นสมาชิกในชมรมของเรา เป็นรุ่นพี่ปีสามกับปีสี่” ทำนุหันไปตำหนิเพื่อนก่อนจะหันมาพูดกับหนูด้วง
‘ตีด ติด ติ๊ววว’ เสียงรี๊ดกีต้าร์ไฟฟ้าจากชายหนุ่มผมยาวถึงกลางหลังดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ สักพักก็ได้ยินเสียงเบสและเสียงอิเล็กโทนจากพี่อีกสองคนดังขึ้นมาพร้อมกัน หนูด้วงได้แต่มองตาปริบๆ เพราะยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“ไอ้ป้ายมันบอกว่าสวัสดีน่ะหนูด้วง แต่มันติสท์ มันเลยทักด้วยเสียงกีต้าร์” ทำนุส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะอธิบายให้หนูด้วงฟัง
“เด็ดเด็ด!!” หนูด้วงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น เพิ่งรู้ว่าใช้เครื่องดนตรีทักทายกันได้ด้วย
“ส่วนไอ้แปะกับไอ้กาดมันเลยเอาบ้าง ทักทายด้วยเบสและอิเล็กโทน อย่าไปถือสานะ พวกมันกวนๆ แบบนี้แหละ” ทำนุรีบอธิบายให้น้องใหม่ของชมรมฟัง
หนูด้วงล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบใบไม้ขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากเพื่อเป่าทักทายทุกคนกลับบ้าง
‘แป๊ด แปด แป้ดดดด’
รอยยิ้มสดใสค่อยๆ จางหายไปเมื่อสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบงัน แต่เพียงเสี้ยวนาทีเสียงหัวเราะจากรุ่นพี่ทั้งสี่คนก็ดังขึ้นมาจนหนูด้วงตกใจ
“กูบอกพวกมึงแล้วว่าน้องมันฮา” ทำนุหัวเราะจนตัวงอ
“เฮ้อ ขำชิบหาย เออๆ กูชอบ” ป้ายปรบมือให้หนูด้วง
“ความสามารถพิเศษตามที่กรอกเอาไว้จริงๆ เป่าใบไม้เนี่ย ฮ่าๆ” แปะรู้สึกว่าชมรมกล่องดนตรีไม่มีเสียงหัวเราะแบบนี้มานานมากแล้วจริงๆ
“ยินดีต้อนรับนะน้องด้วง เป่าเก่งใช้ได้” กาดเดินเข้ามายื่นมือให้หนูด้วง
“เวลาเป่าทำปากจู๋แบบนี้นะฮะ” หนูด้วงนึกว่าพี่คนนี้อยากได้ใบไม้ไปลองเป่าจึงรีบส่งให้พร้อมกับห่อปากให้ดู
“คือ...พี่จะจับมือแสดงความยินดี” กาดมองใบไม้ในมือก่อนจะยิ้มแหยๆ แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาอีกรอบ หนูด้วงเห็นพี่ทุกคนหัวเราะก็เลยหัวเราะตามบ้าง กว่าจะได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการก็ต้องรอให้ทุกคนขำจบเสียก่อน
คนแรกที่แนะนำตัวคือพี่กาด ชื่อจริงว่าประกาศ อยู่ปี 3 อยู่คณะเดียวกับหนูด้วงและพี่ทำนุ พี่กาดเล่าว่าเขาเกิดในวันที่ตรงกับวันที่พระนเรศวรประกาศอิสรภาพพอดีพ่อแม่เลยตั้งชื่อนี้ให้ หนูด้วงแอบคิดในใจว่าโชคดีที่ไม่ได้เกิดตรงกับวันที่กรุงศรีถูกตีเมือง ไม่อย่างนั้นพี่กาดคงได้ชื่อกรุงแตกแน่ๆ
ส่วนพี่อีกสองคนเป็นคู่แฝดกัน ก็คือพี่ป้ายกับพี่แปะ ชื่อจริงของพี่แฝดคือชยกรกับธนกร เรียนอยู่ปีสี่ปีเดียวกับพี่ทำนุ ทั้งคู่อยู่คณะศิลปกรรม เป็นคู่แฝดที่หน้าตาเหมือนกันมาก แต่ก็มีวิธีจำง่ายๆ คือพี่ป้ายผมยาวพี่แปะผมสั้น พี่ป้ายชอบเก๊กมาดเข้ม ส่วนพี่แปะดูเป็นคนขี้เล่น
“หนูว่าพี่สามคนน่าจะอยู่คณะนิเทศฯ เอกโฆษณามากกว่า”
“ทำไม” ทั้งสามคนถามขึ้นพร้อมกัน
“ก็ถ้าพี่ไปยืนรวมกัน ก็เป็น...แปะป้ายประกาศ” หนูด้วงพูดแล้วก็ปิดปากขำอยู่คนเดียว เมื่อไม่เห็นว่ามีใครหัวเราะตามจึงหยุดหัวเราะแล้วส่งยิ้มแห้งๆ ไปแทน
“ฮ่าๆๆๆ” แล้วทำนุก็เป็นคนที่หัวเราะออกมาก่อน
“กูไม่เคยนึกถึงมุกนี้มาก่อนเลย” แปะมองหนูด้วงอย่างทึ่งๆ ก่อนจะขำตามทำนุไปอีกคน
“เด็กแสบ” กาดขำพลางตั้งฉายาให้หนูด้วงเสร็จสรรพ
“แล้วพี่นโมว่าไงเรื่องรับสมาชิกใหม่” ป้ายพยายามกลั้นขำเพราะไม่อยากให้เสียลุคศิลปินผมยาวสุดเซอร์
“เจอกันแล้ว พี่เขาไม่ได้ว่าอะไร” ทำนุบอกกับเพื่อน
“ดีเลย งั้นขอต้อนรับหนูด้วงเด็กแสบสู่ชมรมกล่องดนตรี” แปะปรบมือให้หนูด้วงอีกครั้ง
“ขอบคุณพี่ทุกคนทุกคนที่รับหนูเข้าชมรมครับ” หนูด้วงยกมือไหว้จนครบ
“นึกว่าปีนี้จะมีผู้หญิงมาสมัครเข้าชมรมกับเขาบ้าง กลายเป็นเจ้าเด็กนี่ไปได้ยังไงกัน” ป้ายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มลงไปสนใจกีต้าร์ในมือของตัวเองต่อ
“หนูว่าเดี๋ยวก็มีมาสมัคร เรารีบจัดโต๊ะรอรับสมัครกันเถอะครับ” เมื่อครู่ตอนที่หนูด้วงเดินผ่านชมรมต่างๆ เห็นเด็กปีหนึ่งเริ่มทยอยกันไปสมัครตามความสนใจของตัวเอง ชมรมที่มีนักศึกษาไปต่อแถวยาวที่สุดคือชมรมละครของคณะนิเทศฯ แต่ชมรมอื่นๆ ก็มีคนสนใจไม่น้อยเหมือนกัน
“เราปิดรับสมัครแล้ว” ป้ายบอกสั้นๆ
“ห๊ะ...หนูมาช้าไปเหรอครับ” หนูด้วงก็ว่าตัวเองมาก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ไม่ช้าหรอก แต่พวกมันบอกว่าปีนี้รับคนเดียวพอ” ทำนุอธิบายต่อ
“คนเดียวเองเหรอครับ” หนูด้วงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“อืม ไม่ชอบคนเยอะแยะ คนเยอะแล้วเรื่องมาก แค่นี้วงพวกเราก็ครบแล้ว” กาดอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นน้องใหม่ทำหน้าสงสัย
“ก็ยังดีที่มีเพื่อนอีกคน ไหนละครับคนที่รับเข้ามาใหม่” หนูด้วงมองหาสมาชิกใหม่คนเดียวที่ว่า จนสายตาทั้งสี่คู่มองตรงมาที่ตัวเองอีกครั้ง
“ก็เราไง มากรอกใบสมัครไว้เองแท้ๆ” เจ้าของเสียงที่ให้ความกระจ่างแก่หนูด้วงพูดพลางเอาตุ๊กตาเอเลี่ยนมาวางบนศีรษะกลมๆ ของคนขี้สงสัย
“น้องด้าว อยู่นี่เอง ไปเที่ยวไหนมาบอกพี่หนูด้วงสิ” หนูด้วงคว้าน้องด้าวลงมาจากหัวก่อนจะกอดรัดด้วยความดีใจ แต่ก็นึกสงสัยว่าพี่นโมเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้ยินเสียงเลย
“สรุปว่ามันแสบหรือมันไม่เต็มวะ” แปะถามอย่างขำๆ เมื่อเห็นหนูด้วงพูดกับตุ๊กตาหน้าตาประหลาดเหมือนมันเป็นสิ่งมีชีวิต
“เด็กมันมีจินตนาการ เหมาะแล้วที่จะอยู่กับพวกเรา” ป้ายอมยิ้มเมื่อเห็นความสดใสของสมาชิกใหม่
“ก็หนูมาสมัครตอนสายๆ ตอนนี้มันเย็นแล้วหนูก็ไม่ใช่สมาชิกใหม่ไง”
“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ” แปะหันไปถามคู่แฝดของตัวเอง ซึ่งอีกฝ่ายได้แต่ยกยิ้ม
“แล้วพี่นโมพาน้องด้าวไปไหนมา” หนูด้วงถามผู้ที่พาน้องด้าวกลับมาหาตัวเอง
“แถวนี้” นโมตอบสั้นๆ
“พี่นโม เมื่อไหร่ร้านพี่จะปรับปรุงเสร็จ พวกผมคันมือไปหมดแล้ว” กาดเป็นฝ่ายถามเพราะไม่ได้เล่นดนตรีมาเกือบเดือน
“อีกสองวันเปิด แต่วันนี้พวกมึงไปลองเครื่องดนตรีใหม่ที่กูสั่งมาก่อน”
“วู้! ได้เลยพี่”
“ร้านอยู่ไกลไหมครับ” หนูด้วงยืนฟังอยู่ก็รู้สึกสนใจ อยากขอตามไปด้วยแต่ก็กลัวจะเสียมารยาทเพราะเพิ่งจะรู้จักกัน
“อยู่ริมทะเล ร้านโคตรสวยอะ มีกล่องดนตรีเยอะกว่าที่นี่อีก” ทำนุพูดจบก็เห็นดวงตาของคนถามเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
“ยิ่งปรับปรุงใหม่นะ สวยแบบวินเทจสุดๆ บรรยากาศดี ดนตรีเพราะ” แปะบรรยายต่อ ดวงตาใสๆ ของหนูด้วงยิ่งเป็นประกายหนักกว่าเดิม
“ช่วงหัวค่ำเป็นช่วงน้ำทะเลเริ่มขึ้น จะได้ยินเสียงคลื่นเบาๆ ได้กลิ่นไอทะเลด้วย” กาดนึกอยากแกล้งเลยยั่วบ้าง ซึ่งหนูด้วงก็ยังไม่เอ่ยขอตามไป เอาแต่กัดริมฝีปากเอาไว้พร้อมกับดวงตาที่เปิดเผยว่าอยากจะขอไปด้วยจะแย่แล้ว
“สงสัยยั่วไม่ได้ผลว่ะพวกเรา จิตแข็งกว่าหน้าตา” ทำนุกระซิบกระซาบเพื่อนเมื่อเห็นว่าหนูด้วงยังคงไม่พูดอะไร ยังคงยืนทำตาเป็นประกายอยู่อย่างเดิม
“หมาล่าโคตรอร่อย”
“หนูขอไปด้วยนะ นะๆๆ ให้หนูไปด้วยนะ หนูจะไม่ทำตัวดื้อ หนูสัญญา” สิ้นคำของนโมหนูด้วงก็กระโดดเข้าไปเกาะแขนเจ้าของร้านแล้วอ้อนวอนสุดชีวิต
“ต้องเอาของกินมาล่อสินะ” กาดยืนขำ
“แม่ง พวกเราบรรยายแทบตาย พี่นโมมาสั้นๆ ปิดจ็อบเลย” ป้ายส่ายหน้าด้วยความเซ็งที่เท่ห์ได้ไม่เท่ารุ่นพี่ในตำนาน
“แต่วันนี้น้องปีหนึ่งต้องเข้าประชุมกับอาจารย์ประจำหอพักไม่ใช่เหรอ” ทำนุถามหนูด้วง
“จริงด้วย...หนูลืม อดเลย พวกพี่มาทำให้หนูอยากกินหมาล่า” หนูด้วงห่อไหล่พร้อมกับบ่นออกมา
“หรือจะโดด” แปะออกความเห็นเพราะว่าตัวเองเคยทำมาก่อน
“ไม่ได้ไม่ได้” หนูด้วงรีบส่ายหน้าเพราะถ้าโดดการประชุมน้าตวงจะต้องรู้แน่ๆ ถ้าน้าตวงรู้ยุงพญาก็จะรู้ ยุงพญารู้มัมก็จะรู้ มัมรู้แด๊ดดี้ก็จะรู้ แด๊ดดี้รู้คุณย่าพลอยก็จะรู้ คุณย่าพลอยรู้ปู่ช้วนก็จะรู้ แล้วถ้าปู่ช้วนรู้ตัวเองต้องโดนบ่นจนหูชาแน่ๆ ปู่ช้วนเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ตามใจหนูด้วง
“งั้นเดี๋ยวพี่ถ่ายรูปหมาล่ามาฝากก็แล้วกัน” กาดยังคงแกล้งต่อ
“พี่อ่า...” หนูด้วงทำหน้าบูด
“หรือรอให้ประชุมเสร็จแล้วมารับ” แปะเสนอ
“ได้เหรอ” หนูด้วงตาเป็นประกายอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ค่อยไป” นโมบอกสั้นๆ เป็นอันสิ้นสุดบทสนทนาในเรื่องนี้
“ก็ได้ก็ได้” หนูด้วงเสียงอ่อยเมื่อรู้ว่าต้องรอไปในวันพรุ่งนี้แทน รู้สึกว่าตัวเองหนีไม่พ้นคำว่า ‘รอ’ สักที
“มารับน้องใหม่กันดีกว่า” ทำนุเปลี่ยนเรื่อง ชักชวนให้เข้าพิธีรับน้องใหม่ของชมรมเพราะสงสารที่แกล้งจนน้องเล็กของชมรมหน้าหงอย
“คนล่าสุดที่ทำการรับน้องก็คือไอ้กาดเมื่อสองปีที่แล้วโน้น นึกว่าจะต้องเฉาตายเพราะนั่งมองกันเองซะแล้ว” แปะถอนหายใจ
แปะยอมรับว่าแปลกใจเหมือนกันที่ทุกคนยอมรับหนูด้วงเข้าชมรมง่ายๆ เป็นที่รู้กันว่าชมรมของตัวเองไม่ค่อยง้อใคร ไม่เคยของบจากทางมหา’ลัย เงินทุกบาทที่ใช้จ่ายในชมรมมาจากพี่นโมทั้งสิ้น การที่จะรับใครเข้ามาก็ต้องเห็นพ้องต้องกัน เลือกจากทัศนคติ ฝีมือ นิสัย เอาง่ายๆ คือต้องถูกชะตาสมาชิกทุกคน แต่ครั้งนี้ทำนุบอกว่าพี่นโมเป็นคนตัดสินใจ มันเล่าให้ฟังว่าพี่นโมไม่ได้พูดแต่มันมองตาพี่นโมก็รู้ว่าอยากรับเด็กคนนี้เข้าชมรมแน่ๆ มันเลยเป็นคนพูดแทน ตอนที่รู้..ทั้งเขา ป้ายและกาดก็ยังนึกเซ็งอยู่ว่าทำไมไม่รอถามความเห็นกันบ้าง แต่แล้วเขาก็ได้คำตอบและหายเซ็งเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้เจอกับสมาชิกใหม่คนนี้ด้วยตัวเอง
“มีรับน้องด้วยเหรอฮะ หนูชอบ” หนูด้วงรู้สึกตื่นเต้น
“มี ต้องวิ่งขึ้นลงเขาสิบรอบ”
“ก็ได้ก็ได้”
“ต้องทำความสะอาดชมรมทุกวันติดต่อกันหนึ่งอาทิตย์”
“ก็ได้ก็ได้”
“ต้องไปยืนที่ลานดาว ลานใหญ่กลางมอ แล้วร้องเพลงสามเพลงติดๆ โดยห้ามดื่มน้ำ”
“ก็..ก็ได้ก็ได้”
“ต้องแก้ผ้าวิ่งลงไปในทะเลแล้วตะโกนว่า...ข้าคือสมาชิกชมรมกล่องดนตรี”
“หนูรู้แล้วว่าทำไมไม่มีคนมาสมัครชมรมนี้” หนูด้วงพยักหน้าหงึกๆ เพราะเพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนในชมรมนี้ถึงน้อยเหลือเกิน
“ไงล่ะมึง โดนเด็กมันย้อนเข้าให้แล้ว ฮ่าๆๆๆ” ทำนุยืนหัวเราะแปะที่กำลังทำปากพะงาบพะงาบเพราะพูดไม่ออกอยู่
“ทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” ป้ายแกล้งถามต่อ
“หนูทำก็ได้” หนูด้วงยอมตกลงเพราะอยากจะอยู่ชมรมนี้จริงๆ
“ดี! มันต้องเด็ดขาดแบบนี้ถึงจะเป็นเพื่อนกันได้” กาดเดินไปตบบ่าหนูด้วงพร้อมกับกลั้นขำที่แกล้งหนูด้วงได้
“แต่เพื่อนกันเขาไม่มองก้นกันหรอกฮะ หนูจะแก้ผ้าลงทะเลก็ได้ แต่พวกพี่ห้ามอยู่ดูด้วย” หนูด้วงพูดจบกาดก็กลั้นขำไม่อยู่
“โอ้ยพอแล้ว ไม่แกล้งแล้ว กลั้นขำจนเมื่อยปากไปหมด มันน่ารักนะเด็กคนนี้” กาดเอื้อมมือเตรียมจะไปกอดคอน้องเล็กคนใหม่ของชมรมแต่ก็ต้องวืดเพราะนโมดึงตัวหนูด้วงออกมาแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ทรงสูงที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องแทน
“พวกมึงไปเตรียมตัวได้แล้ว ทำให้เสร็จๆ กูจะรีบกลับ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” นโมทำท่ารำคาญแบบไม่จริงจังเพราะรู้ดีว่ารุ่นน้องพวกนี้เอ็นดูหนูด้วงถึงได้แกล้งไม่เลิก
ป้ายคว้ากีต้าร์ของตัวเองไปยืนอยู่บนเวทีเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับเก้าอี้ที่หนูด้วงนั่งอยู่ แปะสะพายเบสตามไป ส่วนกาดมือคีย์บอร์ดก็ไปยืนประจำตำแหน่งของตัวเองเช่นกัน ทำนุเดินเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งมือกลองแล้วเริ่มลองเทสเสียงเครื่องดนตรี
“ในฐานะที่น้องหนูด้วงเป็นเด็กน่ารัก เดี๋ยวพวกพี่จะร้องเพลงให้ฟังแทนการรับน้องโหดๆ แล้วกัน” ทำนุพูดกับหนูด้วง
“ไม่ต้องวิ่งสิบรอบแล้วเหรอฮะ”
“อืม”
“ไม่ต้องทำความสะอาดชมรมแล้วเหรอฮะ”
“อืม”
“ไม่ต้องไปร้องเพลงที่ลานดาวแล้วเหรอฮะ”
“อืม”
“ไม่ต้องแก้ผ้าลงทะเล...”
“เออ!!” รุ่นพี่ทั้งห้าคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“ก็ได้ก็ได้ ไม่ถามแล้ว” หนูด้วงยิ้มแห้งๆ แล้วเอามือปิดปากน้องด้าวเอาไว้ ก่อนจะนั่งตัวตรงเพื่อตั้งใจฟังเพลงที่รุ่นพี่จะร้องให้ฟัง
‘ปล่อยให้ใจเข้าข้างตัวเองทุกที ว่าจะมีเธออยู่กับฉัน แม้วันนี้จะยังไม่มีวันนั้น ก็จะฝันจะเฝ้ารอ
เพราะคำว่ารัก จะมีให้เธอเท่านั้น ในใจฉันไม่มีที่ว่างให้ใคร อยากให้วันพรุ่งนี้ เธอรับรู้และเข้าใจ
ที่ว่ามีใคร ที่พร่ำเพ้อ’ เหมือนว่าภายในห้องนี้กลายเป็นจักรวาลที่มืดมิดทันทีที่เสียงนุ่มๆ ของพี่นโมถ่ายทอดมาถึง โดยเฉพาะดวงตาที่หนูด้วงกำลังมองจ้องอยู่มันเหมือนดวงดาวสองดวงที่กำลังส่องแสงท่ามกลางความมืดมิด หนูด้วงไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้เลย ทั้งเนื้อเพลง ท่วงทำนองและจังหวะดนตรีให้ความรู้สึกถึง ‘การคิดถึง’ ใครสักคน ได้ฟังแล้วอยากจะหลับตานึกถึงคนสำคัญ แต่หนูด้วงก็ไม่อาจจะทำได้เพราะสายตาตรงหน้าสะกดให้ต้องมองกลับไป
‘คืนที่ดาวเต็มฟ้าฉันจินตนาการเป็นหน้าเธอ ละเมอไปไกล มองไม่เห็นเป็นดาว
จันทร์ที่ดูสดใสนั้นเป็นดั่งใจเธอหรือเปล่า หากมันเป็นจริง จะเก็บเอาจันทร์มาใส่ใจ’..คนที่ทำให้เราใจเต้นทุกครั้งที่สบตา..นกฮูกบอกแบบนั้น
ตึกตัก..ตึกตัก...
‘แม้ไม่รู้ว่าเธอจะอยู่ไหน ขอฝากใจไปถึงหน่อย ใจดวงนี้อาจยังมีค่าน้อย แต่จะคอยเพียงรักเธอ’ ประโยคสุดท้ายนี้ทำให้หนูด้วงคิดไปถึงคนไกล คนสำคัญที่ยังสำคัญเสมอ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองยังสำคัญสำหรับเขาหรือเปล่า แด๊ดดี้เคยบอกว่าบางครั้งที่เราไม่ลืมใครบางคนเพราะเราใช้หัวใจจำ ถ้าเราคิดถึงเขาทุกวันทุกวัน เขาจะอยู่กับเราเสมอ แล้วถ้าเขาไม่ได้คิดถึงเราอย่างที่เราคิดถึงเขา เราจะหายไปจากใจของเขาในสักวันใช่ไหม ถ้าความคิดถึงมาจากฝ่ายนี้ฝ่ายเดียวจะช่วยทำให้คนทางโน้นไม่ลืมคนทางนี้ได้หรือเปล่า นี่เป็นเรื่องที่หนูด้วงยังคงสงสัยเสมอมา
(มีต่อด้านล่างค่ะ)
V
V