ตอนที่ 24
Another week just passed…
“นอนนานไปแล้วนะครับคนดี ตื่นได้แล้วนะ”เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกใครสักคนด้วยความอ่อนโยน ผมได้ยินเสียงเขาทุกวันตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา คนดีของเขาคือใครกันนะ โชคดีจังที่มีคนคอยห่วงใย
“เลิกนอนสักที บวมน้ำเกลือจะตายแล้ว”ผมขมวดคิ้วกับอีกเสียงเกรี้ยวกราดที่ได้ยิน เสียงนี้ก็เหมือนกัน…ได้ยินทุกวัน ใครกันที่เขาเอ่ยถึง โชคร้ายจริงๆ
“คนดี ตื่นเถอะนะครับ ไม่อยากตื่นมากินไอติมเหรอ”
“ตื่นมากินเค้กที่ชั้นซื้อให้ดีกว่า อร่อยกว่าตั้งเยอะ”
“รัตติกาล นายจะไม่เถียงชั้นสักวัน มันจะตายไหม”เอาอีกแล้ว ทะเลาะกันอีกแล้ว ทะเลาะกันเหมือนทุกๆวัน
ผู้ชายสองคนนี้รอใครกันนะ เขาทะเลาะกันให้ผมได้ยินทุกวันเลย แต่แปลกจังที่ผมไม่รู้สึกรำคาญใจ ในทางกลับกัน ผมกลับอิจฉาคนที่ผู้ชายสองคนนี้กำลังรอคอย
สำหรับผม…คนที่ไม่มีใครรอคอยให้กลับไป
ความตาย…อาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
สัมผัสนุ่มหยุ่นประทับลงตรงกลางหน้าผาก เอ๊ะ! ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนเอาเปรียบ “ตื่นได้แล้วไอ้เด็กแสบ นอนอ้วนอืดเป็นหมู เดี๋ยวจะเก็บดอกเบี้ยค่าห้องพิเศษ”
“กาล ชีวิตนายเป็นเงินเป็นทองทุกลมหายใจเลยรึไง”
“แน่นอน ชั้นเป็นนักธุรกิจ ไม่ทำอะไรที่ขาดทุนหรอก ถ้าตื่นมานะ จะเก็บคืนทั้งต้นทั้งดอกให้คุ้มเลย”
“ไปๆ ไปให้พ้นหน้าชั้นสักที น้องจะไม่ตื่นก็เพราะนายนี่แหละ”น้องเหรอ…คุ้นจัง เหมือนเคยมีคนเรียกผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแบบนี้ว่า ‘น้อง’
“รักนะครับ คนดี”สัมผัสอบอุ่นแผ่วเบาที่ข้างแก้มทำให้ผมอยากลืมตาตื่น อยากเห็นจังว่าใครกันที่แอบขโมยหอมแก้มผม
เดี๋ยวสิ! อย่าพึ่งไป อย่าปล่อยมือผม ขอเห็นหน้าก่อนได้ไหม
“กาล ไอ้เหี้ยกาล”
“อะไร!”
“น้องขยับมือ น้องขยับมือ”
“คุณมึงเป็นหมอภาษาอะไรครับ เด็กมันฟื้นก็กดออดเรียกพยาบาลสิ”
การถกเถียงกันแบบนี้มันช่างเป็นเรื่องที่คุ้นเคยจริงๆ
.
.
.
การลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากก้าวข้ามผ่านความตายแบบเส้นยาแดงผ่าแปดมาได้อย่างมหัศจรรย์ ทำให้ผมเริ่มตกตะกอนกับชีวิตตัวเอง ผมเฝ้าถามตัวเองว่าการฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งมันดีจริงๆเหรอ โลกใบเดิมที่แสนโหดร้ายทารุณยังต้องการให้ผมมีชีวิตอยู่จริงๆเหรอ
ยิ่งคิดทบทวนตัวเอง ผมก็ยิ่งโกรธ…โกรธที่ตัวเองอ่อนแอ ทำร้ายตัวเองเพียงเพราะคำพูดของคนอื่น
โกรธพี่ธิวาที่ยื้อชีวิตผมกลับมา ทั้งๆที่ผมไม่ต้องการมันแล้ว
“พริ้มครับ ดื่มน้ำหน่อยนะครับ”ผมเบือนหน้าหนีพี่ธิวา เอาจริงๆผมแทบไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เห็นหน้าเขาทีไร คำพูดของคุณพ่อเขาในวันนั้นก็ตามมาหลอกหลอนผมทุกที
“พริ้ม…”ผมดึงมือของตัวเองออกจากสัมผัสเกาะกุมของพี่ธิวาแล้วพลิกตัวหนีไปอีกทาง
“นี่ชั้นทำอะไรผิด”พี่ธิวาหันไปถามคุณท่านด้วยความงงงวย
“เป็นอะไร”คุณท่านเลิกคิ้วถามผม ผมเบื่อหน่ายคำถามที่ได้รับเหลือเกิน จึงเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการหลับตาหนี
“พริ้ม…”พี่ธิวายังคงไม่ละความพยายามจะเค้นหาคำตอบ
“พอเถอะไทม์ เด็กมันพึ่งฟื้นก็ให้มันพักก่อน นายเองก็เหนื่อยมาหลายวัน กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”
“แต่…”
“เดี๋ยวชั้นจัดการเอง”
สุดท้ายก็เป็นพี่ธิวาที่ยอมเลิกรากลับบ้านไป ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำตัวเป็นเด็กที่แยกแยะไม่ออก ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามจะทำ แต่มันทำไม่ได้จริงๆ
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู…ดีแล้วที่พี่ธิวาออกไป ผมไม่อยากทำตัวแย่ๆใส่เขามากกว่านี้ให้เป็นความทรงจำที่ไม่ดีระหว่างเรา แต่จะทำไงได้…ยิ่งครอบครัวเขารังเกียจผมมากเท่าไหร่ ระยะห่างระหว่างเรายิ่งไกลออกไปมากขึ้นเท่านั้น
“ช่วยบอกเหตุผลดีๆที่เธอก่อเรื่องให้ชั้นฟังที แต่ถ้ามันดีไม่พอ คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”คุณท่านลุกขึ้นยืนกอดอกแล้วกดเสียงต่ำถามผม ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกข่มขู่
“ไม่ว่าผมจะพูดอะไร เหตุผลที่ผมพูดไปมันก็ไม่ดีสำหรับคุณทั้งนั้นแหละ”
“ปากดี”คุณท่านคำรามเสียงต่ำ เดินเข้ามาใกล้ผม ผมรีบลุกลงจากเตียงแต่ด้วยความไม่ระวังทำให้ผมเกือบทำที่แขวนน้ำเกลือล้มลงบนพื้น ดีที่คุณท่านคว้ามันไว้ได้ทัน
“ตื่นมาก็ก่อเรื่อง”
ผมเม้มปากมองคุณท่านตาขวาง อะไรก็ดีแต่โทษผม ทำไมไม่เคยมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเองบ้าง ถ้าคุณท่านไม่เดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทีคุกคาม ผมจะหนีทำไม
“อย่ามองชั้นด้วยสายตาแบบนั้นนะพริ้ม”
“ต้องให้ผมมองแบบนี้เหรอครับ”ผมปั้นหน้ายิ้มหวานใส่เขาด้วยสายตาหวานเชื่อม
“ฟื้นขึ้นมาเป็นแบบนี้มันน่าปล่อยให้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีไหม”คุณท่านถอนหายใจใส่หน้าแล้วนั่งลงข้างผมบนเตียงผู้ป่วย
“ผมไม่ได้ขอให้คุณยื้อชีวิตผมไว้สักหน่อย”
“หนี้สิบล้านยังไม่ได้ใช้สักบาท คิดว่าจะหนีหนี้ตายไปง่ายๆแบบนี้รึไง”ผมสะอึกไปกับคำพูดที่เขาต่อว่า นั่นสินะ ‘บุญคุณต้องทดแทน หนี้สินต้องชำระ’
ผมดึงเชือกที่ผูกมัดปมเสื้อคนไข้ออก “จ่ายตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหมครับ”
“พริ้ม!!!”คุณท่านตวาดใส่ผมเสียงดังด้วยความไม่พอใจ สองมือของคุณท่านเท้าแขนลงบนเตียงกักผมไว้ไม่ให้หลุดรอดออกจากวงแขน
“จะรออะไรละครับ ร่างกายผมมันพร้อมใช้หนี้จะแย่”ผมดึงคอคุณท่านลงมาใกล้ บดริมฝีปากลงไปเบาๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคาวเลือดจากรสจูบรุนแรงที่ต้องการสั่งสอนเด็กปากดีอย่างผม
“ชั้นเกลียดเด็กขี้ประชดประชันแบบเธอที่สุด”ผมหันหน้าหนีคุณท่าน ต่อให้ผมไม่ใช่เด็กขี้ประชด คุณท่านก็เกลียดผมอยู่ดีนั่นแหละ
“ชั้นมีประชุมตอนบ่าย เดี๋ยวจะเรียกชัยมาเฝ้าแล้วอย่าก่อเรื่องอีก”คุณท่านชี้หน้าคาดโทษผม
ผมพลิกตัวหันหลังหนีหน้าคนใจยักษ์ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้มากความ หมดพลังแล้ว
.
.
.
ช่วงเย็นในวันนั้น
“พริ้ม ทานข้าวหน่อยนะ นะครับนะ พี่ป้อน”ผมเบือนหน้าหนีช้อนข้าวต้มคำโตของพี่ธิวา แค่เห็นหน้าเขาก็อิ่มจนจุกไปทั้งอก
“พริ้ม อย่าเรื่องมาก กินข้าว!”คุณท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุเมื่อผมไม่ยอมกินข้าวเย็นที่พี่ธิวาป้อน
“ไม่กิน”
“เด็กที่ดื้อกับชั้นชีวิตมันจบไม่สวยนักหรอกนะพริ้ม”คุณท่านก้าวเท้าเพียงช่วงเท้าเดียวก็ถึงตัวผมที่นอนอยู่บนเตียง
“ทำไมไม่กินข้าว จะต่อต้านธิวามันทำไมนักหนา”ผมสบัดหน้าหนีคุณท่าน ล้มตัวดึงผ้าห่มมาคลุมโปงหนี
“พริ้ม!!!”เสียงตะโกนของคุณท่านดังลั่นไปทั้งห้อง ผมที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสะดุ้งจนหัวใจแทบวาย ผมค่อยๆเลื่อนผ้าห่มลงแล้วหันไปมองคนที่ยืนโกรธหน้าดำหน้าแดงอยู่ข้างเตียง
“ถ้าชั้นนับจนถึง 10 แล้วข้ามต้มในชามนี้ยังไม่หมด คราวนี้เธอได้รู้จักนรกบนดินแน่ๆพริ้ม”
“1”
ผมยังคงนิ่ง ข่มขู่ผมอีกแล้ว เกลียดที่สุด
“2”
“3”
ปัง!
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงปิดประตูห้องจากฝีมือของพี่ธิวา ภาพคนตัวสูงที่ออกไปยืนพ่นควันพิษอยู่ที่ระเบียงทำให้ผมปวดใจ บุหรี่ที่พี่ธิวาเคยขอไม่ให้ผมสูบในวันนั้นกลับถูกใช้เพื่อคลายความเครียดด้วยเจ้าตัวเองในวันนี้
“4”
“คุณท่านหยุดนับสักทีได้ไหม”
“เดี๋ยวนี้กล้าสั่งชั้นเหรอพริ้ม”
“ขอร้องก็ได้”
“กินข้าวซะ ชั้นจะออกไปคุยกับธิวา”
ผมกินข้าวไปพลางเหลือบตามองออกไปนอกระเบียงที่พี่ธิวาเริ่มจุดบุหรี่มวนที่สามติดต่อกัน ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ผมรู้สึกผิดที่ทำให้พี่ธิวาสูบบุหรี่จนใจมันเจ็บจวนจะระเบิดอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าผมจะกินข้าวต้มจนหมดถ้วย เขาทั้งคู่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเดินเข้ามา ผมก้าวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง ค่อยๆลากสายน้ำเกลือระโยงระยางน่ารำคาญออกไปหาพี่ธิวาที่นอกระเบียง
ผมดึงชายเสื้อเชิ้ตเขา “พี่ครับ…”
“พี่ธิวา…”
“เข้าไปข้างในเถอะ ด้านนอกลมเย็นเดี๋ยวเราจะป่วยอีก”พูดจบเพียงเท่านั้น คนตัวสูงแสนอบอุ่นก็ดึงมือผมออกจากเสื้อเขาแล้วเดินออกไปจากห้อง
ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วแต่แค่เปลี่ยนคนโดนกระทำ พึ่งเข้าใจว่าเวลาโดนปฏิเสธจากคนที่เรารักมันเจ็บแบบนี้เองสินะ
“วันนั้นคุณพ่อมาพูดอะไรบ้าง”ผมเริ่มปวดหัวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของเขาสองคนแล้วนะ ตกลงพ่อใครกันแน่
ด้วยความที่ผมทำหน้าสงสัย คุณท่านเลยยอมเอ่ยขยายความ “พ่อธิวาก็เหมือนพ่อชั้น วันนั้นท่านมาพูดอะไรบ้าง”ถึงผมจะยังสงสัยว่าพ่อธิวาจะเป็นพ่อคุณท่านได้อย่างไร แต่ยังมีเรื่องอื่นที่น่าสงสัยมากกว่า
“คุณรู้ได้ยังไงว่าวันนั้นใครมาหาผม”
“ไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเธอที่ชั้นอยากรู้แล้วจะไม่รู้”
“ถ้าคุณรู้ทุกอย่างแล้วจะมาถามผมทำไม”
“เพราะชั้นอยากได้ยินจากปากเธอไง”ผมเงยหน้าสบตาคุณท่าน ประเมินความจริงใจของคำพูดเขาด้วยแววตา
“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านเลยไปเถอะครับ”
“ชั้นไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเป็นพวกขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง”
“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ครั้งหนึ่งผมก็เกือบตายเพราะคำพูดของพ่อพวกคุณเหมือนกัน แล้วผมก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นอีก”
“เอาเถอะ เรื่องคุณพ่อชั้นกับธิวาจะจัดการเอง”
.
.
.
ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมัวด้วยพายุฝน วันนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งคืนดีๆที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการ...ตีป้อม
“คุณชัย ROV กัน”ผมชวนคุณชัยเล่นเกมส์เสียงใส
“ไม่เอา ผมจะดูบอล”คุณชัยปฏิเสธพร้อมเปลี่ยนช่องทีวีเลื่อนหาช่องที่จะถ่ายทอดสดบอลโลก
“ไม่เห็นน่าสนุกเลย ลูกบอลลูกเดียวแย่งกันได้ตั้งสิบกว่าคน”ผมบ่นออกมาเมื่อคุณชัยไม่สนใจ
“ไม่สนุกก็ไม่ต้องดูสิครับ นี่เที่ยงคืนกว่าคุณควรนอนได้แล้ว”
“ไม่เอา ผมนอนมาหลายวันแล้ว เบื่อจะแย่”
“โอ้วๆ เลี้ยงไปๆ อย่างงั้นแหละ เฮ้ย! ระวัง ปัดโธ่เอ๊ย ปล่อยให้แย่งไปได้ไง”ผมมองคุณชัยที่ตั้งหน้าตั้งตาเชียร์บอลอย่างเมามัน ผมไม่เคยมีเวลาว่างมานั่งดูบอลแบบนี้หรอกครับ เพราะปกติในเวลานี้ผมกำลังรับแขกอยู่
สุดท้ายเมื่อผมชวนคุณชัยตีป้อมไม่สำเร็จ ผมเลยเปลี่ยนใจมานั่งดูบอลกับคุณชัยแทน ดูไปดูมา มันก็สนุกดีเหมือนกัน
“โหยคุณชัย ทำไมวันนี้เยอรมันเล่นห่วยงี้อะ ฟอร์มแย่แบบนี้ทุกวันปะ”ผมถามคุณชัยด้วยความสงสัยหลังจบเกมส์
“ปกติก็ไม่นะคุณ เยอรมันนี่ทีมเต็งแชมป์เลย”
“จริงเหรอคุณชัย แล้วมีทีมไหนเป็นตัวเต็งอีกบ้าง”ผมถามคุณชัยด้วยความสงสัย ส่วนคุณชัยก็ตั้งใจเล่าประวัติของแต่ละทีมที่มาแข่งบอลโลกให้ฟัง ผมนี่ฟังจนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
.
.
.
ผมยกมือขึ้นบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้องทันทีที่คุณพยาบาลรูดม่านเปิด รู้สึกเหมือนพึ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ยังรู้สึกเพลียอยู่เลย
“เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ”คุณพยาบาลเดินเอ่ยทักทายผมตามปกติทุกวัน
“ก็ดีครับ”แต่จะดีกว่านี้ถ้าคุณพยาบาลไม่เข้ามาปลุกผม
“คุณต้องพักผ่อนเยอะๆรู้ไหมคะ ไม่ใช่ว่าตีสองแล้วยังเชียร์บอลเสียงดังลั่น”
“ขอโทษครับ”ผมขอโทษด้วยความเกรงใจ ลืมซะสนิทว่าชั้นนี้ยังมีห้องพักผู้ป่วยห้องอื่นอีก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โชคดีที่ห้อง Premium ของเราเมื่อวานไม่มีคนไข้ท่านอื่นอีก”
“วันนี้ผมออกจากโรงพยาบาลได้รึยังครับ”ผมถามด้วยความเบื่อโรงพยาบาลเต็มทน
“ยังไม่ได้หรอกค่ะ ญาติคนไข้แจ้งคุณหมอว่าอยากให้นอนโรงพยาบาลดูอาการต่ออีกสักอาทิตย์”ได้ยินคำตอบจากคุณพยาบาลแล้วผมก็ลงไปนอนแผ่บนเตียงด้วยความเศร้าใจ
นี่อยู่โรงพยาบาลมากี่อาทิตย์แล้วนะ
ขาดเรียนนานขนาดนี้ เวลาเรียนจะพอได้ยังไง…
“คุณชัย ผมอยากคุยกับคุณท่าน”ผมหันไปขอร้องคุณชัยที่เดินออกจากห้องน้ำมาด้วยความสดชื่น
“รอเย็นนี้ดีกว่าครับ คุณท่านกับคุณธิวาน่าจะเข้ามา น่าจะได้คุยกันยาวววว…”ฟังคำว่ายาวของคุณชัยที่ลากเสียงยาวแปลกๆแล้วได้แต่ละเหี่ยใจ ไม่รู้จะยาวในแง่ไหน…บวกหรือลบก็สุดยากแท้หยั่งถึง
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาทุกตอนเลยน้าาาาา
อยู่อ่านกันไปแบบนี้จนจบเลยน้า
ช่วงนี้ชีวิตเราไม่ค่อยดีเลย มีแต่เรื่องปวดหัวตลอด ไม่อยากจะคิดเลยว่าเกี่ยวกับเบญจเพสไหม
ใครเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้วบ้างคะ เป็นไงกันบ้าง