CHAPTER 4
ALL OR NORTHING
สิ่งดีๆ ในชีวิตของมนุษย์มีอยู่มากมาย
สำหรับผมแล้ว มันอยู่ในอดีต
‘พวกมึง เลิกเรียนแล้วไปร้องคาราโอเกะกันเถอะ’
‘ขอบายว่ะ พอดีมีนัดดูหนัง’
‘กับใคร’
‘ไอ้เนย์’
‘โอ๊ยยยยยยย เบื่อผัวเมียคู่นี้ว่ะ เมื่อไหร่จะคบกันสักทีวะ รำคาญ’
‘ผัวเมียบ้านพ่อมึงสิ!’ ผมตวาดลั่นหลังได้ยินประโยคเอ่ยแซวของเพื่อน ใบหน้ารวมไปถึงสองหูร้อนผ่าวไม่กล้าสบตากับใคร จะได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสายของเพื่อนร่วมกลุ่มก่อนทุกคนจะแยกย้ายไปตามแพลนที่วางไว้
ผมกับบูเป็นเพื่อนที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้ชีวิตจะมีเพื่อนใหม่เข้ามามากมายแต่ก็ไม่มีใครที่แย่งตำแหน่งคนสนิทของเราไปได้ ทุกเย็นหากวันไหนเรียนหนักและอยากผ่อนคลายหน่อยเรามักจะพากันไปเดินห้าง หาของกินอร่อยๆ กินกันหรือไม่ก็จองตั๋วหนังเตรียมไว้เพื่อดูแก้เครียด วันนี้เองก็ไม่ต่าง
‘เชี่ย ทำไมไม่มีคนเลยวะ’ ไอ้ตัวดีบ่นงุบหลังเราก้าวเข้ามาภายในโรงหนังทั้งสองมือเต็มไปด้วยป๊อปคอร์นและแก้วเครื่องดื่ม
‘หนังมันใกล้ออกโรงแล้วป่ะ อีกอย่างแม่งก็เป็นหนังอินดี้ด้วย’
‘ดีๆ งั้นงานนี้ถือว่าป๋าเหมาโรงให้อาคเนย์แล้วกันนะครับ’
‘โอ๊ย ยอมใจความหน้าด้าน’
เพียงเท่านั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาผะแผ่ว แม้แต่ตอนนี้แทรกตัวไปยังแถวของเก้าอี้จำนวนมากบูรพาก็ยังไม่หยุดหัวเราะ ต้องรอกระทั่งหนังฉายความสนใจทั้งหมดจึงถูกดึงดูดไปทั้งหมด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราดูหนังรักด้วยกัน ทว่าวันนี้บางอย่างแตกต่างออกไป อาจเพราะบรรยากาศเงียบสนิทของโรงหนังที่แทบไม่มีคนเลย เสียงเพลง หรือแม้แต่ไดอาล็อกของตัวละครที่รับส่งกันไปมาส่งผลให้คนดูอินกว่าปกติ
ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ฝ่ามือของผมถูกเกาะกุมด้วยฝ่ามืออบอุ่นของเขา เลยอดไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอกลับมาที่เสี้ยวหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็มองอยู่ก่อนแล้ว
‘มีอะไร’ ผมเอ่ยถาม หัวใจเต้นเร่าแทบทะลุอกยามมองลึกเข้าไปในสายตาฉ่ำปรือ
‘โคตรโรแมนติกเลย’ จมูกสันโด่งโน้มมาชิดข้างหู ขยับริมฝีปากพูดเสียงผะแผ่วจนรู้สึกสะท้านไปทั้งกาย แต่ผมก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
‘กะ...ก็ดูหนังไปดิ’
‘ถ้าไม่ดูแล้วทำอย่างอื่นได้มั้ย’
‘ให้ทำอะไรวะ อย่ามาตลกน่า’
‘มึงก็ลองคิดดูดิเพลงเพราะแบบนี้ บรรยากาศโรแมนติกขนาดนี้ ตัวละครรักกันจนคนดูแทบสำลักตาย มึงไม่คิดอะไรเลยเหรอวะ’
‘ก็คิด...คิดว่าน่ารักดี’ ผมก้มหน้างุดไม่กล้าสบตากับเขา
‘ใช่กูก็คิดแบบนั้น มึงอ่ะโคตรน่ารักเลยรู้ตัวป่ะ’
ยอมรับว่าประมวลผลแทบไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวริมฝีปากก็ถูกครอบครัวโดยคนตัวสูงซะแล้ว แถมที่ตลกก็คือผมไม่คิดจะขัดขืน หนำซ้ำยังเป็นฝ่ายรุกจูบเป็นบางครั้งเพราะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกมากมายที่ตีวนอยู่ในหัวได้
รัก ใช่...ที่ผ่านมาผมรักเขา และคิดว่าเขาเองก็ใจตรงกัน
เรายังเด็กมาก เป็นแค่เด็กอายุ 16 ที่ไม่รู้หรอกว่าความรักแท้จริงเป็นแบบไหน ทว่าสำหรับตอนนี้ความรักในวัยมัธยมของผมมีแต่เขาเท่านั้นที่ผมอยากมอบให้
หนังความยาวสองชั่วโมงจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ฉากรักบนเตียงของเราไม่ได้จบลงเพียงสั้นๆ เท่านั้น หลังตัดสินใจโทรบอกแม่ว่าจะกลับดึก โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งก็เป็นที่หมายต่อไป
ที่นี่เราได้จูบกันเนิ่นนานโดยไม่ต้องกลัวใครมาเห็น ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยลอง ผมอยากโตเป็นผู้ใหญ่มาตลอด อยากทำอะไรก็ได้ที่คนมองเห็นว่าโตแล้ว อยากลองดื่มเหล้า อยากมีเซ็กซ์กับคนที่รัก อยากเป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีอะไรมาตีกรอบให้ผมต้องเป็น
และวันนี้ก็คือวันที่ผมได้ปลดปล่อย ถึงจะไม่รู้จักว่าแอลกอฮอล์รสชาติเป็นยังไง ทว่ากับจูบที่หวานล้ำของบูรพา ผมได้รู้จักมันแล้ว
ซึ่งเราก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นจนถลำลึกไปไกล แต่ผมไม่เสียใจ...ผมไม่เสียใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้
แม้เขาจะไม่เคยบอกรักผมตลอดเวลาที่เรามีความสัมพันธ์กันเลยก็ตาม
ครั้งแรกของผมมันเจ็บมาก แต่เราต่างก็มีความสุขร่วมกัน ได้กอดก่ายกันไว้ทั้งตัว ร่างกายทุกส่วนแนบชิดส่งมอบความอบอุ่นมาให้ ก่อนมันจะจบลงพร้อมกับน้ำตาด้วยความปิติยินดี
ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเขาจะบอกรักผมหรือเริ่มต้นความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่รอแล้วรอเล่าจนเวลาล่วงเลยไปหลายเดือนผมกลับไม่ได้ยินประโยคนั้น มันเลยมีวันหนึ่งที่กลับมานั่งคิด หรือควรเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายบอกกับเขา
หลังรวบรวมความกล้าอยู่นานในที่สุดเราก็มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในห้อง มีคำพูดสวยหรูมากมายที่เตรียมเอาไว้เพื่อบอกกับเขา แต่มีประโยคหนึ่งที่เรียบง่ายและเข้าถึง นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากบอกเขาที่สุด
อาคเนย์รักบูรพา...
แต่เขากลับหยุดความฝันเพ้อเจ้อของผมไว้เพียงประโยคเดียว
‘เนย์ กูเป็นแฟนกับจีนแล้วนะ’ เฮือก!!
ผมสะดุ้งตื่นจากฝัน มันเป็นฝันที่เกิดจากความทรงจำในอดีต แม้จะผ่านพ้นมานานและไม่เคยคิดถึงมานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจิตใต้สำนึกของผมจะกลับไปกังวลอยู่กับภาพจำเดิมๆ ที่แสนเจ็บปวด
ครั้งหนึ่งบูรพากับอาคเนย์เคยเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
แต่ครั้งหนึ่งความรู้สึกรักของผมในครั้งนั้นกลับเป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันและจบลงอย่างรวดเร็ว
กว่าจะผ่านพ้นเมื่อคืนมาได้ผมต้องพยายามอย่างหนักด้วยการสะกดกลั้นน้ำตาตัวเอง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ผลเพราะร่างกายมันเอาแต่ร้องสะอื้นไม่หยุด ขณะที่ไอ้บูเลือกเดินหนีออกจากห้องโดยไม่คิดหันกลับมามอง ถึงจะไม่ได้ทำร้ายให้รู้สึกเจ็บทางร่างกายก็จริง แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกับมีใครสักคนหยิบมีดมาแทงที่อกเท่าไหร่
ผมร้องไห้จนปวดหัว เรี่ยวแรงแทบไม่หลงเหลือให้ลุกขึ้นยืน ต้องสะกดจิตตัวเองอยู่นานให้ฝืนเปลือกตามองให้ชัด สิ่งแรกที่เห็นผ่านดวงตาทั้งสองข้างคือแสงไฟบนเพดาน มันสว่างจ้าจนต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสในการมอง
รอบกายมีแต่ความว่างเปล่า ไอ้บูเองก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ หลงเหลือเพียงตัวผมที่นอนหมดสภาพบนพื้นข้างเตียง ร่างกายชาดิกไร้ความรู้สึก และมักเจ็บทุกครั้งที่พยายามกัดฟันขยับส่วนใดส่วนหนึ่ง
น้ำตาที่เคยเหือดแห้งไหลลงมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมกัดปากตัวเองแน่น ยอมทนต่อความเจ็บชาด้วยการใช้แขนดันพื้นและพยุงตัวเองขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับปลายเท้าให้หายจากอาการชาแล้วกัดฟันลุกเพื่อยืนตัวตรง แม้จะรู้สึกได้ว่าการทรงตัวนั้นโงนเงนไม่ต่างจากคนเมา
ผมก้าวสองขาสั่นเทาไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า โดยไม่คิดสนใจกับสิ่งรอบกาย เพราะหัวใจแหลกเหลวนี้มันเอาแต่สั่งให้หนีไปให้เร็วที่สุด ไป...จากความเจ็บปวดที่เคยได้รับแต่ไม่รู้จักเข็ดหลาบสักที
มือข้างหนึ่งเอื้อมเกาะขอบประตูไว้แน่น สายตามุ่งตรงไปยังห้องส่วนตัวที่มักใช้หลับนอนในช่วงหลายคืนก่อน ถึงมันจะอยู่ติดกับห้องของไอ้บู แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกปลอดภัยกว่ารวมถึงมีเวลามากพอสำหรับขอความช่วยเหลือจากใครสักคน
พรุ่งนี้ก็หาย พรุ่งนี้คงดีขึ้น
กว่าจะลากสังขารมาถึงเตียงได้เรี่ยวแรงทั้งหมดก็อันตรธานหายไป ดวงตาที่ไม่เคยเหือดแห้งจากน้ำตาปรือขึ้นมองอย่างนึกฝืนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องทำอะไรต่อ ผมเอื้อมมือคว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้อยู่ตรงโต๊ะโคมไฟข้างหัวเตียง
เพื่อนคนเดียวที่คิดออกในตอนนี้ก็คือไอ้ดิน ถึงจะอยู่ในก๊วนแก๊งปาร์ตี้แต่มันก็เป็นคนเดียวที่ผมพอจะพึ่งพาและยอมให้มันเห็นสภาพย่ำแย่ในตอนนี้ได้ ไม่คิดเลย...หลังกดหน้าจอเพียงเสี้ยววินาทีสายตาพร่าเบลอนั้นจะสังเกตเห็นข้อความแจ้งเตือนปรากฏอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
สายไม่ได้รับ 5 สาย จาก...แม่ลืมไปซะสนิทว่าแม้ในวันที่แทบไม่เหลือใครผมยังคงมีแม่ คนที่คอยห่วงใยเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร เลยไม่รอช้ากดไปยังเบอร์เดิมๆ ที่เคยโทรหาทุกคืน รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ
[เนย์ วันนี้โทรหาไม่รับเลยนะ มัวแต่เที่ยวอยู่ล่ะสิ] แม่เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแซวตามความเคยชิน
“แม่...” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามเค้นออกมาอย่างยากลำบาก
ต้องอดทนแค่ไหนไม่ให้ตัวเองร้องไห้
ทรมานแค่ไหนที่ต้องคุยกับเขาให้เป็นปกติที่สุด ผมอยากบอกแม่ แต่ก็กลัวว่าสุดท้ายจะทำให้เขาเสียใจที่มีลูกชายเป็นแบบนี้
[เป็นอะไรเนย์ ไม่สบายเหรอลูก]
“ปะ...เปล่าครับ แม่เป็นไงบ้าง”
[ดีจ้ะ เมื่อวานไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หายเครียดไปเลย แล้วเนย์ล่ะลูกโทรมาแต่เช้า ที่โน่นน่าจะเพิ่งตีห้าเองนะ ได้นอนบ้างหรือยัง”
“ผมนอนแล้ว แม่...ผมหนาว แม่มากอดผมหน่อยสิ”
ไม่มีใครอยากกอดผมนอกจากแม่ ไม่มีใครอยากอยู่เคียงข้างผมอีกแล้ว
[ขี้หนาวจริงๆ เลยเรา ห่มผ้าหนาๆ ลูก แอร์ก็อย่าไปเปิดให้อุณหภูมิมันต่ำมากเดี๋ยวจะไม่สบายเอา แล้วบูล่ะเขาโอเคมั้ย อยู่ด้วยกันก็รักกันไว้นะ]
แม่จะรู้มั้ยคำว่ารักมันได้ตายจากหัวใจเราไปนานมากแล้ว ผมต้องทำยังไง ทำยังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่...
[เนย์ฟังแม่อยู่หรือเปล่า เงียบไปเลย]
“คะ...ครับแม่ ผมกับบูโอเคครับ มันทำดีกับผมทุกอย่างเลย”
ต้องโกหกต่อไปจนกว่าจะตายเหรอ
[ดีแล้ว]
ทนอยู่กับคนแบบนั้นมาได้ยังไงตั้งนาน คนที่ทะเลาะทุบตี เตะต่อยหรือแม้กระทั่งฆ่ากันให้ตาย คนที่ยัดเยียดคำว่าฆาตกรมาให้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูผิดไปหมด จะรักกันได้ยังไง แค่หวังไม่ให้เกลียดยังยากเลย
เจ็บจังเลยแม่...ผมเจ็บแต่กลับบอกใครไม่ได้
“มะ...แม่แค่นี้ก่อนนะครับ ผมง่วงแล้ว” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเริ่มสั่นพร่า พยายามอย่างมากเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้โฮออกมา
ต้องแสดงน้ำเสียงให้ปลายสายรับรู้ว่ามีความสุขแค่ไหนเวลาที่พูดถึงคนชื่อบูรพา
ต้องโกหกหน้าตายยังไง ขณะที่ข้างในมันเจ็บยิ่งกว่าเพราะหัวใจเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ
ผมไม่รู้จะพูดยังไง มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ระบายความในใจกับตัวเอง แต่ปากกลับพูดอีกอย่างหนึ่งซึ่งขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง
[โอเค ฝันดีนะครับสุดหล่อของแม่]
“ผมรักแม่นะ”
[รักเหมือนกันเลย]
“รักแม่”
[แม่รู้แล้ว]
รัก
สายถูกตัดไปนานแล้วแต่ผมยังคงจมจ่อมอยู่ในที่แห่งเดิม ตลกดีเหมือนกัน ผมนึกถึงตัวเองในอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าไม่ออกเลย ตอนที่ได้โตเป็นผู้ใหญ่และออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ถึงตอนนั้นผมจะยังเป็นอาคเนย์ที่ยังยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขได้อยู่มั้ย
ยังจดจำภาพเลวร้ายที่ผ่านมาได้อยู่หรือเปล่า
ผมอยากผ่านไปครับแม่ แต่มันยากเหลือเกิน
ย้อนอดีตไม่ได้ เดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือจมอยู่กับความเจ็บปวดและคงต้องยอมรับมัน
อีกเบอร์ที่ผมตั้งใจติดต่อก็คือไอ้ดิน สำหรับตอนนี้มันได้กลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายสำหรับผมแล้ว หลังรอสายอยู่นานผมก็ได้ยินเสียงครางเสียงงัวเงียตอบกลับมา
[อือ...]
“ดิน กูเนย์เองนะ”
[รู้แล้ว แต่ช่วยโทรมาในเวลาที่คนปกติเขาตื่นหน่อยได้มั้ยวะ นี่มันตีห้าครึ่งมึงบ้าป่ะ]
“คือกู...กูมีเรื่องนิดหน่อย จะ...จะเป็นอะไรมั้ยถ้ากูจะขอไปอยู่กับมึง” น้ำเสียงที่กลอกลงไปแหบพร่าเต็มที ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับสังเกตได้จึงตอบกลับมาด้วยความตื่นตระหนก
[มึงมีปัญหาอะไรป่ะวะ ทำไมเสียงแม่งเป็นอย่างนั้น]
“กูรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย เลยอยากขอ...ไปนอนด้วยสักคืน”
[ได้ดิ ตอนนี้ก็ยังได้]
“งั้น...เดี๋ยวกูไปหานะ...”
หลังพูดคุยกันสั้นๆ ผมรวบรวมแรงที่เหลืออยู่ไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อแขนยาวขึ้นมาสวมเพื่อคลายความหนาวเหน็บที่ค่อยๆ เกาะกุมทุกอณูผิว ดีที่ไอ้บูไม่อยู่ห้อง เดาว่าคงกำลังสุมหัวอยู่กับเพื่อนแล้วเล่าเรื่องของผมอย่างสนุกปาก ที่ผ่านมามันชอบทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ยังจะคาดหวังอะไรอีก
ข้าวของส่วนตัวต่างๆ ผมตัดใจทิ้งเอาไว้แล้วเลือกหยิบเฉพาะของที่จำเป็นติดตัวไปเท่านั้น ไม่กี่นาทีให้หลังจึงรีบลงไปด้านล่างแล้วเรียกแท็กซี่ไปยังจุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้
สีหน้าของไอ้ดินย่ำแย่มากหลังเห็นสภาพผมที่ยืนโงนเงนแทบจะล้มอยู่หน้าประตูห้อง มันเลยอาสาช่วยประคองเข้าไปภายใน
“นอนก่อนเถอะ หน้ามึงไม่ไหวแล้วล่ะกูว่า” เจ้าตัวไม่ถามอะไรด้วยซ้ำนอกจากไล่ให้ไปพัก
สงสัยคงไม่ชินล่ะมั้ง ปกติผมไม่เคยแสดงด้านที่อ่อนแอให้มันเห็นเลยสักครั้ง แม้กระทั่งตอนที่บาดเจ็บหนักหนาที่สุดในชีวิตผมก็ยังสามารถยิ้มได้ แตกต่างกับตอนนี้ราวกับคนละคน
“ขออาบน้ำก่อนได้มั้ย”
“เออ ได้หมดแหละ ผ้าเช็ดตัวอยู่ที่ตู้เดี๋ยวกูหยิบให้”
“ไม่...ไม่เป็นไร ขอบใจมึงมากนะ พอดีของกูก็มีอยู่ กูรบกวนไม่นานหรอกพรุ่งนี้ก็จะย้ายไปที่หอพักใหม่แล้ว”
“กูไม่ได้ซีเรียส มึงจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้”
“อย่าบอกใครนะว่ากูมาหามึง”
“ไม่บอกหรอก ไปอาบน้ำเถอะ”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ