เพลงรักที่หายไป
เพลงที่ 11 กาลครั้งหนึ่ง
ศิลปิน แสตมป์ ft. ปาล์มมี่
“อะไรนะหนูด้วง!” ต้นเหตุที่ทำให้นกฮูกต้องส่งเสียงตกใจออกมาก็เพราะเพิ่งรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวานนี้จากหนูด้วงนั่นเอง เมื่อคืนวานหนูด้วงแค่ส่งข้อความมาบอกว่าจะค้างกับพี่โอบแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรกับนกฮูกเลย จนกระทั่งเช้านี้เพื่อนตัวดีถึงได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องที่เจ้าตัวพยายามจะพิชิตใจพี่โอบด้วย
“ฮ่าๆๆๆ” สิงโตเป็นคนแรกที่หัวเราะออกมาหลังจากที่เพื่อนคนอื่นกำลังอึ้งเรื่องเล่าติดเรทจากผู้วิเศษของกลุ่ม
“ขำอะไรสิงโต” น้องเกลถามด้วยความสงสัยทั้งที่หน้าตัวเองยังแดงเพราะเขินที่หนูด้วงไปยั่วพี่โอบแบบนั้น
“ขำเด็กแก่แดด” สิงโตตอบพลางเอามือไปยีผมหนูด้วง
“เจ๋งสุด” เม่นได้ฟังก็นึกทึ่งที่หนูด้วงพยายามจะทำให้พี่โอบตบะแตก
“ชมเราเหรอ” หนูด้วงยิ้มกริ่ม
“ไม่อะ เราชมพี่โอบ อดทนได้ยังไง เป็นเราคงจับหนูด้วงกินไปแล้ว”
“เม่น!!!!” ทุกคนพร้อมใจกันส่งเสียงเข้มๆ ไปให้เม่น
“นกฮูกอย่าทำหน้าดุสิ เราผิดไปแล้ว เราขอโทษนะ” หนูด้วงหันไปเห็นนกฮูกยืนกอดอกหน้าเข้มก็ยิ้มแห้งๆ
“เขาแฟนกันนะนกฮูก” เม่นนึกว่านกฮูกจะดุเรื่องหนูด้วงไปยั่วพี่โอบ
“ถึงจะดูแก่แดดแต่มันก็ธรรมดาของคนรักกัน” สิงโตเห็นด้วยกับเม่น
“อยากจะเอาก้านมะยมมาตีก้นให้หลาบจำ แต่จะว่าไปหนูด้วงก็โตแล้ว ก็คงไม่เป็นอะไรมั้ง” น้องเกลครุ่นคิดก่อนจะสรุปว่าเห็นด้วยกับน้องเม่นและสิงโต
“ไม่ใช่เรื่องนั้น เราหมายถึงเรื่องไอ้โอ ทำไมถึงใจกล้าไปกับมันสองต่อสอง แล้วทำไมไม่โทรมาบอกเพื่อนว่ามันคิดมอมเหล้า”
“เออใช่ ทำไมไม่โทรบอกเพื่อน จำไม่ได้รึไงไอ้โอมันทำอะไรเอาไว้” น้องเกลเสียงเขียวใส่หนูด้วงทันที
“ถ้าพลาดท่าขึ้นมาจะทำยังไง” สิงโตถามเสียงเข้ม
“หนูด้วงผิดมากที่ชะล่าใจ” น้องเม่นหน้าขรึมลงทันทีที่พูดเรื่องส้มโอ
“อ้าว ไหงโกรธเรากันหมด ขอโทษฮะทุกคนทุกคน เราจะไม่ทำอีกแล้ว ยกโทษให้เรานะ นะๆๆๆ” หนูด้วงแทบจะปรับอารมณ์ไม่ทัน เมื่อกี้ยังเข้าข้างกันอยู่เลย ตอนนี้ทุกคนเปลี่ยนข้างมาทำหน้าดุใส่หนูด้วงกันหมด สุดท้ายเลยต้องใช้โหมดอ้อนให้เพื่อนหายโกรธ
“ต่อไปนี้ไปไหนต้องส่งข้อความมาบอกนะ ถึงหนูด้วงจะโตแล้วแต่เราทุกคนก็ห่วงอยู่ดี” น้องเกลเห็นดวงตาออดอ้อนของหนูด้วงก็อดใจอ่อนไม่ได้
“เราจะไม่ฟ้องยุงพญาก็ได้ ยกเว้นให้ครั้งหนึ่ง” เม่นเองก็อดใจอ่อนไม่ได้เหมือนกัน
“แล้วสิงโตกับนกฮูกล่ะ” หนูด้วงถามอีกสองคนที่ยังยืนกอดอกหน้าเข้มอยู่
“เอาไงดีสิงโต” นกฮูกไม่ได้โกรธหนูด้วงจริงจังหรอก แต่ก็อยากให้หนูด้วงรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง ขนาดตอนเด็กๆ ส้มโอยังร้ายกาจทำหนูด้วงเสียน้ำตามาแล้ว โตขึ้นคิดว่ามันต้องร้ายกว่าเดิมแน่ๆ
“เย็นนี้หนูด้วงต้องไปเล่นบอลกับเรา ต้องพาไปออกกำลังกายจะได้ไม่มีเวลาไปซนที่ไหน ดีไหมทุกคน” สิงโตถาม
“ดี!!” ทุกคนตอบรับ
“มันเหนื่อยนะ!!” หนูด้วงทำตาโตเมื่อถูกบังคับให้ไปวิ่งแย่งลูกบอล เป็นกีฬาที่ไม่ชอบเอาเสียเลย
“จะเล่นไม่เล่น” เพื่อนทุกคนถามขึ้นพร้อมกัน
“ก็ได้ก็ได้” หนูด้วงเสียงอ่อย กำลังอยู่ในโหมดสำนึกผิด แต่พอเพื่อนเดินเข้ามารุมกอดถึงได้ยิ้มออก คิดในใจว่าลงไปวิ่งๆ ในสนามนิดหน่อยค่อยชิ่งไปหาพี่โอบก็ได้
“แล้วก็ไม่ต้องคิดแวบไปไหนเลยนะ พี่โอบแอบบอกให้เราให้ดูหนูด้วงให้ดี” นกฮูกบอกจบก็ใช้สองนิ้วชี้มาที่ตาของตัวเองก่อนจะชี้ไปที่ตาของหนูด้วง เป็นสัญลักษณ์ว่าจะไม่มีวันให้หนูด้วงคลาดสายตาได้เลย
“วัยรุ่นเซ็งเลย” หนูด้วงเห็นเพื่อนรู้ทันจึงทำท่าประจำตัว นั้นก็คือท่าคอตกไหล่ลู่จนเพื่อนทุกคนแอบขำ
“วันนี้พวกพี่ๆ กล่องดนตรีเขาจะมาเล่นบอลด้วย นัดกระชับมิตร ไม่ต้องกลัวว่าไม่ได้เจอพี่โอบหรอกนะ รับรองว่ามีถอดเสื้อโชว์กล้ามท้อง” สิงโตรู้ใจว่าหนูด้วงคิดอะไรอยู่เลยบอกให้เพื่อนได้ดีใจ
“จริงเหรอ เย้ งั้นเราจะดูให้เต็มตาเลย เอ้ย!! เราจะเล่นให้เต็มที่เลย” หนูด้วงได้ยินก็เบิกบานขึ้นมาทันที
“อย่าให้หนูด้วงเป็นผู้รักษาประตูนะ” เม่นแย้งขึ้นมา
“ทำไมล่ะน้องเม่น” หนูด้วงเลิกคิ้ว กำลังจะขอเล่นตำแหน่งนี้อยู่พอดีเลยจะได้ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย
“ก็ถ้าเจอพี่โอบบุกมาท่าทางจะยอมเสียประตูง่ายๆ ฮ่าๆๆ”
“เม่น!!” เมื่อโดนเพื่อนหันมาค้อนใส่โดยพร้อมเพรียงกันอีกรอบเม่นถึงได้เอามืออุดปากตัวเอง
“แยกย้ายกันไปเรียนดีกว่า แล้วเจอกันที่สนามบอลตอนเย็นเลยแล้วกัน” น้องเกลเห็นว่าได้เวลาเข้าคลาสแล้ว อีกอย่างช่วงพักกลางวันก็ไม่ตรงกันคงไม่ได้เจอตอนทานข้าวเลยนัดเจอช่วงเย็นแทนเลย ซึ่งทุกคนตอบตกลงแล้วก็แยกย้ายกันไปที่คณะของตัวเอง
...
คลาสเช้าวันนี้อาจารย์พิชิตไม่ได้เข้าคลาสแต่ให้อาจารย์คนใหม่มาสอนแทน อาจารย์ท่านนี้ยังดูหนุ่มและก็หน้าตาดีจนลูกศิษย์สาวๆ แอบชื่นชมกันยกใหญ่ วันนี้อาจารย์ไม่ได้เข้ามาเพียงคนเดียวแต่พาชายหนุ่มคนหนึ่งมาเป็นแขกรับเชิญพิเศษด้วย เขาจะมาสาธิตให้นักศึกษาในคลาสได้เรียนรู้เรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเครื่องดนตรี หนูด้วงรู้สึกคุ้นหน้าแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน หน้าตาพี่เขายังดูเด็กอยู่เลย แต่อาจารย์บอกว่าพี่เขาอายุมากกว่าพวกเราและเล่นไวโอลินได้ไพเราะมาก
“หน้าตาน่ารักดี ตัวเล็กนิดเดียวเองเนอะ” แก้วชวนหนูด้วงคุยถึงแขกรับเชิญพิเศษ
“เหมือนเคยเจอที่ไหนแต่นึกไม่ออก” หนูด้วงยังคงพยายามนึกอยู่ ทีแรกนึกว่าพี่โอบจะมาเป็นแขกรับเชิญอีกเหมือนคราวที่แล้วแต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่คุ้นหน้าคนนี้แทน
“สวัสดีครับ พี่ชื่อตะโก้นะ อันที่จริงพี่เริ่มเล่นไวโอลินได้ห้าปีเท่านั้นเอง พี่ชายฝาแฝดของพี่เขาเล่นเก่งกว่าพี่มาก เขาเป็นครูสอนให้พี่เล่นอีกที ถ้าผิดพลาดยังไงก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ”
“พี่มีแฟนรึยังครับ”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยนะนายชาตรี” อาจารย์ส่งเสียงเตือนแบบไม่จริงจังเพราะรู้ว่าเป็นการหยอกเย้าให้บรรยากาศมันครื้นเครง
“มีแล้วครับ” ตะโก้ตอบพลางยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าจนหนูด้วงสัมผัสได้
“เอาล่ะ นักศึกษาทุกคนตั้งใจฟังให้ดี ลองดูว่าเราได้ฟังแค่เสียงไวโอลินแบบไม่มีเนื้อร้องแล้วเราเข้าถึงความรู้สึกของผู้ถ่ายทอดได้แค่ไหน เสียงดนตรีให้อะไรกับเรา แล้วเราได้อะไรมาจากเสียงดนตรีบ้าง เริ่มได้เลยครับ” อาจารย์กล่าวกับนักศึกษาก่อนจะหันไปพูดกับแขกรับเชิญ
ตะโก้หยิบไวโอลินขึ้นมาเตรียมพร้อม อาจารย์เดินไปหยิบกีต้าร์โปร่งมาเพื่อช่วยเล่นคลอเบาๆ นักศึกษาทุกคนตั้งใจฟังเพราะรู้ว่าอาจารย์คงให้การบ้านเป็นการเขียนความรู้สึกหลังจากที่ได้ฟังเหมือนของที่อาจารย์พิชิตให้ไว้คราวที่แล้ว บางคนก็นั่งหลับตาเพื่อซึมซับกับเสียงดนตรี
ส่วนหนูด้วงเอาแต่นั่งจ้องหน้าของชายหนุ่มรูปร่างผอมบางที่กำลังเริ่มสีไวโอลิน ตัวเขาผอมบางมาก ดวงตาก็เศร้า แต่เพียงแค่โน้ตท่อนแรกเริ่มขึ้นก็สัมผัสได้ถึงพลังของความคิดถึง ความเศร้า ความสุข เส้นสายที่ถูกเสียดสีจนออกมาเป็นเสียงเพลงบรรเลงมันให้ความรู้สึกได้มากมายจนยากที่จะบรรยายได้หมด ตอนนี้ทุกคนภายในห้องเหมือนตกอยู่ในภวังค์ หนูด้วงไม่รู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไร แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือน้ำตาของตัวเองที่มันไหลออกมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ไม่รู้จักเพลงนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเนื้อเพลงที่แท้จริงสื่อสารถึงอะไร แต่หนูด้วงรู้สึกได้ว่าคนที่กำลังเล่นไวโอลินอยู่กำลังมีความสุขบนความเจ็บปวด มันปะปนกันไปหมด โชคดีที่หยิบมือถือมาถ่ายคลิปเอาไว้ทัน อยากจะเอาไปให้พี่โอบได้ฟังเพื่อถามถึงชื่อเพลง
เสียงเพลงจบลงแล้วแต่ภายในห้องยังเงียบเหมือนเดิม จนได้ยินเสียงขอบคุณของแขกรับเชิญทุกคนถึงได้หันมามองหน้ากัน ไม่ใช่แค่หนูด้วงเท่านั้นที่ร้องไห้ แก้วเองก็กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่ เพื่อนอีกหลายคนก็ไม่ต่างกัน
“ทุกคนคงได้เห็นแล้วว่าดนตรีก็คือการสื่อสารในรูปแบบหนึ่ง บางทีต่อให้มีเสียงร้องที่ไพเราะก้องกังวานแต่มันจะไร้ประโยชน์ถ้าหากเสียงดนตรีมันเข้าไปไม่ถึงหัวใจคนฟัง ผู้ร้องเองก็ต้องเข้าใจในตัวโน้ต เข้าใจถึงทุกเส้นเสียงและหล่อหลอมให้เป็นหนึ่งเดียว การบ้านในวันนี้คือให้นักศึกษาเลือกเพลงที่ต้องการจะร้องมาหนึ่งเพลง แล้วไปเลือกเครื่องดนตรีเพียงหนึ่งชิ้นมาประกอบ จะเล่นเองหรือให้ใครเล่นให้ก็ได้ แต่ขอให้สื่อสารออกมาให้ได้ดีที่สุด ขอบคุณตะโก้มากนะครับที่มาช่วยถ่ายทอดให้ทุกคนได้ฟัง”
“ยินดีครับพี่เกลือ เอ้ย...อาจารย์” ตะโก้เผลอตัวเรียกชื่อเล่นของพี่ชายที่รู้จักกัน อันที่จริงพี่เกลือสนิทกับพี่ชายฝาแฝดของตะโก้ รู้มาว่าเขาออกจากวงการเพลงแล้วแต่ไม่คิดว่าจะมาเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ ตะโก้ได้เจอโดยบังเอิญเขาเลยออกปากเชิญให้ตะโก้มาช่วยเล่นไวโอลินให้นักศึกษาได้ฟัง
“พี่ตะโก้ฮะ” หนูด้วงตะโกนเรียกชื่อของตะโก้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไปจากห้อง
“ครับ” ตะโก้หันมามองหนูด้วงพร้อมกับเพื่อนๆ ทุกคนในห้องที่หันมาสนใจว่าหนูด้วงเรียกแขกของอาจารย์เอาไว้ทำไม
“ช่วยเล่นไวโอลินให้หนูได้ไหมฮะ” หนูด้วงก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้ารบกวนคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน มันไม่ใช่นิสัยของหนูด้วง แต่คิดว่าหากพลาดโอกาสในการร้องขอครั้งนี้อาจจะไม่ได้มันอีก หนูด้วงได้บทเรียนมาว่าถ้าต้องการอะไรควรจะบอกออกไป การรอคอยโอกาสให้กลับมาหามันอาจจะไม่มีเป็นครั้งที่สอง
“ได้ครับ” ตะโก้ยิ้มให้และตอบรับเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่ยืนชูมือชูไม้เรียกตัวเองเอาไว้ ปกติตะโก้ไม่ใช่คนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นนัก ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้ตอบรับคำขอจากน้องคนนี้ง่ายๆ
“ขอบคุณฮะ” หนูด้วงยิ้มกว้างเมื่อคำขอเป็นผล
“มีอะไรต้องการอีกไหมครับคุณพยัคฆ์” อาจารย์ถามพลางยิ้ม
“ไม่มีแล้วครับอาจารย์เกลือ” หนูด้วงถือวิสาสะเรียกชื่อเล่นอาจารย์บ้างก่อนจะยกมือไหว้อาจารย์แล้วนั่งลง
“สุดยอดเลยหนูด้วง เป็นเราคงไม่กล้าขอ” แก้วหันมาชูนิ้วให้หนูด้วง
“มันคือความกลัวในความกล้า” หนูด้วงกระซิบบอกเพื่อนคนเดียวในชั้นเรียนที่ยอมคุยกับตัวเองดีๆ คนอื่นถึงจะไม่ได้มาทำตัวร้ายใส่แต่ก็ไม่ค่อยมาคุย บางคนก็นินทาให้ได้ยิน แต่หนูด้วงก็ทำใจเอาไว้แล้วว่ามีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบเป็นธรรมดา
“คืออะไร”
“ก็เลียนแบบวงดนตรีวงหนึ่งไง ที่ชอบตั้งชื่อเพลงย้อนแย้งกันเอง ไกลแค่ไหนถึงใกล้ ความเงียบที่ดังที่สุด แตกต่างเหมือนกัน แบบนี้ไง”
“แล้วของหนูด้วงมันหมายถึงอะไร ความกลัวในความกล้า”
“กลัวที่จะพลาดโอกาสเลยกล้าที่จะร้องขอ ไงล่ะ...คมกริบ” หนูด้วงชมตัวเองก่อนจะหัวเราะเสียงใส จนได้ยินเสียงกระแอมจากอาจารย์ถึงได้ยิ้มแหยๆ ทั้งคู่หยุดคุยกันแล้วตั้งใจฟังอาจารย์ต่อไป
...
อากาศในวันนี้ร้อนอบอ้าวมากกว่าทุกวัน หนูด้วงเดินเหงื่อตกมานั่งรวมอยู่กับเพื่อนในคณะหลังจากที่จบคลาสเรียนสุดท้ายแล้ว จากที่คิดว่าจะได้ไปที่สนามบอลแต่ปรากฏว่ารุ่นพี่กักตัวเอาไว้ให้ทำกิจกรรมของคณะต่อ ซึ่งกิจกรรมที่รุ่นพี่ทำนั้นคนที่โดนเรียกออกมาบ่อยสุดก็คือหนูด้วง ทั้งเต้นทั้งร้อง ทั้งโดนแกล้งสารพัด แต่เป็นการแกล้งออกแนวไปทางขำขันเสียมากกว่า ในใจของหนูด้วงไม่อยากโดนเรียกสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะไม่อยากร่วมกิจกรรมกับรุ่นพี่ แต่หนูด้วงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบหน้าของเพื่อนรุ่นเดียวกัน ตอนเลิกคลาสอาจารย์ให้จับกลุ่มก็ไม่มีใครเรียกหนูด้วงไปเข้ากลุ่มด้วยเลย จนแก้วต้องเป็นคนพาหนูด้วงเข้าไปขอร้องเพื่อนที่ยังขาดคนถึงได้มีกลุ่มอย่างคนอื่นเขา
“ยิ่งทำท่าอยากกลับพวกพี่เขาก็ยิ่งไม่ปล่อย” แก้วกระซิบบอกหนูด้วงอย่างเบื่อๆ อากาศมันร้อนจนเหงื่อชุ่มกันไปทุกคน อยากจะกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก็ไม่ได้กลับกันสักที
“ร้อนเหรอ เราพัดให้นะ” หนูด้วงหยิบแผ่นกระดาษมาพัดให้แก้ว
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องทำให้เรา” แก้วรีบห้าม
“ทำไมล่ะ”
“คือ...”
“ทำไมเหรอ บอกเราได้นะ มีอะไร”
“มีคนมาบอกเราว่าน้าของหนูด้วงเป็นมาเฟีย แล้วก็ส่งลูกน้องมาคอยตามดูแลหนูด้วงตลอดเลย มันจริงหรือเปล่า” แก้วถามเสียงเบาก่อนจะมองไปรอบๆ
“ไม่จริงหรอก พูดกันไปเรื่อย แก้วเชื่อเหรอ” หนูด้วงถอนหายใจ
“อย่าคิดมากเลย” แก้วเห็นหนูด้วงมีสีหน้าไม่สบายใจเลยตัดบทไปเพราะเห็นใจ
ข่าวลือเรื่องของหนูด้วงมีมาให้ได้ยินตั้งแต่ก้าวเข้ามาเรียนที่นี่ตั้งแต่วันแรก หนูด้วงอาจจะไม่ได้ดูโดดเด่นที่สุดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มเพื่อนสนิทของหนูด้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แล้วตัวของหนูด้วงเองก็เป็นที่รักใคร่ของรุ่นพี่และอาจารย์ทุกคน คนที่ดูโดดเด่นที่สุดในชั้นปีอย่างสิงโตก็มักจะอยู่ใกล้เพื่อนสนิทคนนี้ไม่ห่าง จึงอาจทำให้มีคนอิจฉาและหมั่นไส้หนูด้วงได้ไม่ยาก
“น้องๆ คงอยากจะกลับที่พักกันแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ ถ้าใครตอบคำถามของพี่ได้ พี่จะให้กลับ” เสียงรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนบอก หนูด้วงกับแก้วจึงหยุดคุยแล้วตั้งใจฟังคำถามให้ดี
“ใครจะไปตอบได้” แก้วบ่นหลังจากได้ยินคำถาม
“นั่นสิ” หนูด้วงเองก็ตอบไม่ได้สักข้อเพราะเป็นคำถามอะไรเอ่ยแบบที่พวกตลกเขาเล่นกัน
หนูด้วงนั่งชะเง้อมองไปนอกหอประชุมบ่อยๆ จนกระทั่งนกฮูกส่งข้อความภาพมาให้ดูว่าทุกคนมารวมกันที่สนามบอลครบแล้ว ส่งรูปพี่โอบอุ้มกำลังวิ่งวอร์มอยู่ในสนาม แถมด้วยรูปน้องแฝดที่มานั่งเชียร์ด้วย หนูด้วงเห็นแล้วแทบจะถลาออกจากห้องประชุมไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ทำได้แค่คิด แล้วจู่ๆ ความคิดก็บรรเจิด หนูด้วงถอดรองเท้าของตัวเองเอาขึ้นมาวางไว้บนศีรษะ แก้วหันมาเห็นก็ตกใจ กำลังจะถามแต่เสียงของรุ่นพี่ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“ทำอะไรหนูด้วง!!” สิ้นคำถามของรุ่นพี่หนูด้วงก็ยิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นตอบแบบเสียงดังฟังชัด
“เอารองเท้ามาวางบนหัวฮะ หนูตอบคำถามของพี่ได้แล้ว หนูกลับบ้านได้แล้วใช่ไหมฮะ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นในหอประชุมเมื่อได้ยินคำตอบของหนูด้วง ทำนุที่ยืนอยู่ในกลุ่มรุ่นพี่ถึงกับปรบมือให้ในความเจ้าเล่ห์ของเจ้าตัวแสบ ส่วนรุ่นพี่ที่เสียทีให้กับหนูด้วงถึงกับกุมขมับแล้วโบกมือไล่ให้กลับได้ หนูด้วงยกมือไหว้รุ่นพี่ทุกคนก่อนจะรีบหอบหิ้วของออกไปจากหอประชุมของคณะก่อนที่จะโดนกักตัวต่อ
ใช้เวลาเพียงไม่นานหนูด้วงก็วิ่งมาถึงสนามบอล ตอนนี้เกมการแข่งขันเริ่มไปได้ห้านาทีแล้ว หนูด้วงขึ้นมานั่งบนอัฒจันทร์ข้างนกฮูกกับน้องแฝด ถัดไปก็เป็นน้องเกลกับน้องมิกินั่งอยู่
“พี่หนูด้วงดูนาโมสิ นาโมของน้องหม่อนวิ่งเร็วมาก” น้องหม่อนรีบชวนหนูด้วงคุยทันทีที่เห็นหน้า
“เดี๋ยวพี่หนูด้วงจะลงไปเล่นเหมือนกัน น้องหม่อนกับน้องไม้จะเชียร์พี่หนูด้วงไหม”
“พี่หนูด้วงวิ่งไม่ทันนาโมหรอก” น้องไม้หันมาบอก
“โห พี่หนูด้วงเป็นแชมป์วิ่งสามขาเลยนะ”
“พี่หนูด้วงมีสามขาเลยเหรอ ไหนอีกขา น้องหม่อนไม่เคยเห็นเลย” เจอคำถามซื่อๆ ของน้องหม่อนหนูด้วงถึงไปต่อไม่ถูก นกฮูกนั่งขำที่เจ้าหนูอะไดอย่างหนูด้วงโดนเอาคืนบ้าง
“ทำไมพี่ผู้หญิงคนนั้นต้องคอยวิ่งเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้นาโมด้วย” น้องไม้ชี้ไปนักศึกษาสาวคนหนึ่งที่คอยวิ่งเอาผ้าเอาน้ำไปให้โอบอุ้มทุกครั้งที่เกมหยุด
“นั่นสิ!” หนูด้วงกับน้องหม่อนพูดขึ้นพร้อมกัน แถมน้ำเสียงยังแสดงออกว่าหวงพี่โอบไม่ต่างกันเลย
“อย่างกับแฝดสาม” นกฮูกมองน้องแฝดกับหนูด้วงแล้วก็พึมพำออกมา
“ไปนกฮูก เราไปลงเล่นกัน” หนูด้วงชวนนกฮูก
“ไม่เอา ทำไมเราต้องไปด้วย หนูด้วงก็ไปคนเดียวสิ” นกฮูกรีบปฏิเสธ
“ไปเป็นเพื่อนกันนะๆๆ”
“ไม่เอา”
“เรายอมขัดห้องน้ำให้สามวันเลย”
“ไม่”
“ห้าวันเลย”
“ตกลง”
“เย้”
ในที่สุดหนูด้วงก็ลากนกฮูกให้ไปเปลี่ยนชุดแล้วมารอเปลี่ยนตัวอยู่ที่ข้างสนามจนได้ เสียงน้องหม่อนตะโกนเชียร์พี่หนูด้วงพร้อมกับส่ายเอวกลมๆ ไปมาเป็นที่น่าเอ็นดูให้คนที่ได้เห็น สักพักกรรมการก็ให้เปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ หนูด้วงกับนกฮูกอยู่ทีมเดียวกับสิงโตและเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆ ซึ่งโอบอุ้ม กาด แปะและป้ายอยู่ทีมตรงกันข้าม
“ไหวเหรอ” ป้ายเดิมมาประกบนกฮูกแล้วถาม
“เดี๋ยวก็รู้ครับ” นกฮูกตอบแต่ไม่ยอมมองหน้าป้าย
“พี่ไม่ต้องออมมือให้หนูนะ เพราะหนูเก่ง” หนูด้วงเดินไปประกบพี่โอบพร้อมกับคุยโว
“ครับผู้วิเศษ” โอบอุ้มยิ้มขำ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อนักศึกษาสาวคนเดิมก็วิ่งเอาขวดน้ำมาให้อีก
“น้ำค่ะพี่นโม”
“พี่กินจนจุกแล้วครับ พอก่อนดีกว่าครับน้องฟาง” โอบอุ้มตอบพลางยิ้มให้
“หนูกินเอง หนูหิว” หนูด้วงคว้าขวดน้ำมาดื่มจนหมดขวดแล้วส่งคืนให้หญิงสาว
“เดี๋ยวก็วิ่งไม่ไหวหรอก” โอบอุ้มยีผมของหนูด้วง
“กายไม่พร้อมแต่ใจพร้อมฮะ” หนูด้วงรีบดันหลังพี่โอบให้เข้าไปในสนามเพราะไม่อยากให้อยู่ใกล้ผู้หญิงที่ชื่อฟางคนนี้
มีต่อด้านล่างค่ะ