เมียรัก
ตอนที่ ๘ ว่าที่ลูกเขย
“พร้อมหรือยัง?”
ปอนด์เอ่ยถามคนตัวโตที่ยืนตัวเกร็งอยู่ข้างกาย อมยิ้มเล็กๆกับท่าทีดูตื่นเต้นมากมายนั่น จะไปรอดไหมนี่เจฟฟรี่ ดีฟไคล์
“อย่าถามแบบนี้สิปอนด์ คำถามพาผมตื่นเต้นขึ้นไปคูณสิบ”
“เอ๊า” ปอนด์เสียงสูงแล้วหัวเราะพลางบอกคนตื่นเต้น “สูดลมหายใจเข้าลึกๆ”
ช่วยทำท่าทางประกอบให้เสียด้วย เจฟฟรี่ทำตาม สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วผ่อนออกมาช้าๆ ก่อนเลี้ยวมาจูบแก้มคนข้างกาย
“คุณนี่ ผมบอกสูดลมหายใจ ไม่ได้ให้มาจูบแก้ม” ปอนด์หน้ามุ่ย ถูแก้มตัวเองที่ถูกจูบ
เจฟฟรี่ยิ้มร่า ก่อนว่าหน้าตาเฉย “ก็สูดลมหายใจไง แต่อยากได้กลิ่นหอมๆจากแก้มเมียด้วย”
“แหนะ อีกแล้ว อย่าเผลอพูดว่าเมียต่อหน้าพ่อผมเชียว เดี๋ยวได้เรื่อง” นิ้วเรียวชี้หน้าอีกคนเป็นการสำทับ เพราะตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะยังไม่บอกครอบครัวของปอนด์ถึงความสัมพันธ์ที่มี ขอดูท่าทีไปก่อน
“ครับผม ไม่พูด ไม่บอก แล้วแต่ปอนด์จะจัดการครับ”
เมื่ออีกคนรับปากมั่นเหมาะปอนด์จึงได้พาเข้าบ้าน เจอญาดา พี่สะใภ้ของปอนด์จึงหยุดทักทาย หญิงสาวมองพวกเขางงๆในทีแรก ก่อนจะยิ้มออกมา
“อ้าว ปอนด์”
“สวัสดีครับพี่ดา” ปอนด์ยิ้มทักพร้อมไหว้พี่สะใภ้คนงาม
“ตายจริง พี่ก็นึกว่าหนุ่มที่ไหน”
เธอหัวเราะกับความก๊งของตัวเองที่จำน้องสามีไม่ได้ เมื่อได้พูดคุยทักทายปอนด์จึงได้แนะนำเจฟฟรี่ให้ญาดาได้รู้จักเพราะเห็นเธอมองฝรั่งตัวโตอย่างสงสัย เจฟฟรี่เคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่อเล็กซานเดอร์บุกมาตามหาอัลเบิร์ต แต่ตอนนั้นปอนด์ยังไม่ทันจะได้แนะนำให้ใครได้รู้จักเพราะอเล็กซานเดอร์ทำกร่างค้นหาอัลเบิร์ตทั่วทั้งฟาร์มแล้วก็กลับ
“คนนี้ใครน่ะปอนด์?” เจฟฟรี่ก้มลงกระซิบถามเมื่อญาดาเดินออกไปแล้ว ปอนด์เงยมองแล้วยิ้มบอก
“พี่สะใภ้ ชื่อญาดา หรือพี่ดา”
“อ้อ” เจฟฟรี่พยักหน้ารับรู้ เก็บข้อมูลเอาไว้ในหัว
“เดี๋ยวพาไปหาพ่อกับแม่ พร้อมไหม?” คนตัวเล็กอมยิ้มล้อ เจฟฟรี่กระตุกยิ้มมุมปาก
“จะไม่พร้อมก็เพราะคุณนี่ล่ะที่ระ... ปอนด์” เกือบหลุดไปแล้ว ดีที่ปอนด์ขึงตาใส่
หนุ่มตัวเล็กพายักษ์ตัวโตไปแนะนำให้รู้จักกับพ่อแม่ของตน คุณภาสกร เจ้าของฟาร์มโคนมภาสกร และคุณประภา ผู้เป็นภรรยา เมื่อเห็นว่าลูกชายกลับบ้านก็ดีใจ นานทีปีหนกว่าปอนด์จะกลับบ้านเพราะอยู่ไกลกัน พอลูกกลับมาพร้อมกับเพื่อนฝรั่งตัวโตพ่อกับแม่ก็ออกจะแปลกใจ เมื่อได้รับการแนะนำว่าเป็นเพื่อน พ่อของปอนด์ก็มองเจฟฟรี่เขม็ง ซึ่งเจฟฟรี่ก็ยิ้มให้ท่านอย่างมีไมตรี เอารอยยิ้มเข้าสู้ถึงแม้ว่าใจจะสั่นอยู่นิดหน่อย
“รู้จักกันมานานแล้วหรือ?” เสียงเข้มเอ่ยถามฝรั่งตัวโต
ปอนด์สะกิดให้เจฟฟรี่ตอบ ก่อนจะฉีกยิ้มให้พ่อเมื่อท่านมองมาอย่างสงสัย
“ตั้งแต่เรียนมหา’ลัยครับคุณพ่อ เราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันเลยรู้จักกันครับ” เจฟฟรี่ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ก็นานแล้วนะ”
“ครับผม”
“ปรกติปอนด์เขาไม่ค่อยพาใครมาที่บ้าน ตั้งแต่อยู่ที่ไทยแล้ว แสดงว่าคงสนิทกันพอสมควร”
สองหนุ่มสะดุ้งในใจกับประโยคเรียบเรื่อยที่คล้ายจะชวนคุยแต่ก็เหมือนกำลังจับพิรุธพวกเขาอยู่กลายๆ ปอนด์เหลือบมองเจฟฟรี่ที่ยังคงรักษาอาการได้ดีอยู่ก็พอจะเบาใจ
“...ประมาณนั้นครับ”
เจฟฟรี่ตอบกลับไปไม่เต็มเสียงนัก ขณะที่ปอนด์นั่งเงียบตลอดการสนทนา พ่อของเขาถามเยอะกว่าตอนพาอัลเบิร์ตมาที่นี่เสียอีก กับอัลเบิร์ตแทบไม่ได้ถามอะไรเลย แค่บอกว่าเป็นเพื่อน พ่อก็แค่รับรู้ตามนั้น แถมยังให้การต้อนรับดีกว่านี้ หรือหน้าเจฟฟรี่มันแปะป้ายเอาไว้ว่าไม่ควรให้การต้อนรับขับสู้กันนี่
“แล้วทำงานทำการอะไรกันล่ะ?” คำถามยังมีมาให้เจฟฟรี่ได้ตอบอีก
“เป็นบอดีการ์ดครับ”
“หือ งานอันตรายไม่ใช่หรือ?”
เจฟฟรี่ชะงักไปเมื่อน้ำเสียงคุณพ่อของปอนด์เปลี่ยนไปจากเดิม เหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบใจกับคำตอบของเขานัก ท่านคงไม่อยากให้ลูกมีเพื่อนที่ทำงานอันตรายแบบนี้กระมัง
“เที่ยวให้สนุกแล้วกัน ที่นี่มันคงไม่ได้หรูหราเหมือนบ้านเธอหรอกนะ” คุณภาสกรสรุปจบเมื่อถามไถ่ได้ความมาพอสมควร แม้จะตงิดใจกับหน้าที่การงานของเจ้าหนุ่มฝรั่งตรงหน้าก็ตาม
“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบที่นี่เพราะเป็นที่ที่ปอนด์เกิดและเติบโต”
ดวงตาของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนหรี่มองคนพูด ทำให้ปอนด์สะกิดคนตัวโตที่นั่งยิ้มแป้น อีกฝ่ายกลับยังคงยิ้มอยู่อย่างไม่สนใจว่าเขาจะสะกิด ตาบ้า
“เดี๋ยวแม่ให้เด็กไปทำความสะอาดห้องพักแขกให้ เสร็จแล้วปอนด์ค่อยพาเพื่อนไปพักนะ” คุณประภาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอารี
“ขอบคุณครับแม่”
คุณประภาลุกไปเรียกเด็กให้จัดการปัดกวาดห้องพักแขกใหม่ หาผ้ามาปูเตียง ทั้งหมอนผ้าห่มจัดมาให้เรียบร้อย สองหนุ่มจึงเอ่ยขอตัวกับคุณพ่อเพื่อเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องของปอนด์ก่อน
“คุณว่าพ่อจะรู้ไหม?” เจฟฟรี่เอ่ยถามเมื่อเข้ามาในห้องของปอนด์ ดวงตาคมมองการแต่งห้อง คล้ายกับห้องที่อังกฤษ ดูเหมาะกับปอนด์ดี
“แหงล่ะ คุณดันไปพูดให้ท่านสงสัย” ปอนด์ว่า ถอดเสื้อแขนยาวออกแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
“ผมอยากบอกใจจะขาดว่าไม่ได้เป็นเพื่อนครับแต่เป็นผะ... สามี” คนตัวโตยิ้มเจ้าเล่ห์ ปอนด์เลยเบ้ปากใส่
ปอนด์ลากกระเป๋าที่วางอยู่บนเตียงมาค้นเอาข้าวของออกมา จัดเป็นหมวดแล้วเอาไปเก็บในที่ที่ต้องใช้ ก่อนจะบอกให้เจฟฟรี่ยกกระเป๋าของตัวเองมาบ้าง เขาจะจัดการให้
“วันนี้ใจดีจัง” เจฟฟรี่นั่งลงข้างคนตัวเล็กที่จัดของให้เขาอยู่บนเตียง
“ก็ใจดีทุกวัน”
“จริงอ่ะ?” อีกคนอมยิ้มล้อ ทำให้ตากลมเหลือบขึ้นมามอง
“เดี๋ยวไม่ทำให้เลยนี่”
“โอ๋ ล้อเล่นนิดเดียวเองที่รัก” คนตัวโตเขยิบเข้าไปหา วาดแขนโอบเอวบางแล้วอ้อน ปอนด์ทุบต้นแขนแกร่งแล้วจึงค่อยยิ้มออกมา
ไม่รู้ว่าจะตีเนียนเป็นเพื่อนกันต่อหน้าพ่อแม่ไปได้สักกี่น้ำ ครั้งแรกที่เจฟฟรี่ได้แนะนำตัวให้พ่อแม่ปอนด์รู้จัก แต่ดันเป็นในฐานะเพื่อนเสียนี่ แล้วต่อไปจะบอกพวกท่านอย่างไรหนอว่า... ผมไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นสามีปอนด์ครับ คุณพ่อ
--------------
เจฟฟรี่ลงมาจากห้องแต่เช้าตรู่ในวันต่อมา เวลามันเปลี่ยนทำให้เขายังปรับตัวไม่ทัน เห็นคุณพ่อของปอนด์ออกไปที่ฟาร์มเลี้ยงโคนมจึงได้เดินตามไปด้วย ท่านดูทะมัดทะแมงแม้อายุมากแล้ว ฝรั่งตัวโตมาหยุดยืนดูการทำงานของคนในฟาร์มทำให้คนงานซุบซิบกัน คุณภาสกรขมวดคิ้ว ก่อนหันมามองตามสายตาเหล่าคนงานทั้งหลาย เมื่อปะหน้ากันเจฟฟรี่ก็ชะงัก ก่อนเปิดยิ้มแล้วเดินมาหาท่าน
“ตื่นเช้าเหมือนกันนี่” คุณพ่อเอ่ยทัก
“ยังปรับตัวกับเวลาไม่ได้ครับ เลยนอนไม่ค่อยหลับ” เจฟฟรี่ยิ้มบอก มองบรรยากาศรอบๆที่เต็มไปด้วยพื้นที่เขียวขจี และคนงานที่ต่างตั้งใจทำงานของตนอย่างขะมักเขม้น
“สนใจหรือ?” มองตามสายตาเจฟฟรี่แล้วคุณพ่อก็ถาม ทำให้ฝรั่งตัวโตละสายตามามองท่าน
“ก็... อยากลองอยู่เหมือนครับ เผื่อในอนาคตต้องทำฟาร์มโคนม”
“จะเปิดฟาร์มของตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เชิงครับ” เจฟฟรี่ยังคงยิ้ม อธิบายอะไรมากมายไม่ได้
“ลองดูสักหน่อยไหมล่ะ ตัวโตแบบนี้น่าจะมีเรี่ยวมีแรงอยู่นะ”
ฟังคำชวนของท่านแล้วก็ดูเข้าที เจฟฟรี่จึงตอบรับไป “ครับ”
คุณภาสกรเรียกหัวหน้าคนงานมาหา ก่อนบอกให้ช่วยสอนงานให้เจฟฟรี่สักหน่อย แนะนำกับทุกคนว่าเป็นเพื่อนของลูกชาย แต่ใช้ได้ไม่ต้องเกรงใจ เพราะคนเขาใฝ่อยากทำงานแบบจริงจัง เมื่อมีโอกาสได้ทำเจฟฟรี่ก็ตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างมาก พยายามใช้ภาษาที่ตนเองพอรู้มาสื่อสารกับคนงาน หัวหน้าคนงานพูดอังกฤษพอได้ แต่กับคนอื่นเขาคงรัวอังกฤษแบบไฟแลบใส่ไม่ได้ จึงพยายามตั้งใจฟังแล้วทำตาม
คุณภาสกรมองฝรั่งตัวโตที่สนอกสนใจงานในฟาร์มแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก จะไปได้สักกี่น้ำกัน คงนึกสนุกเพียงครั้งคราว อย่าได้นึกดูถูกงานของพวกเขาเชียว เห็นว่ามันง่ายดายเลยอยากลองท่านก็ปล่อยให้ได้ลองจนสมใจ
ปอนด์เดินหน้าบูดมาหาผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้โรงเลี้ยงวัว สายตาสะดุดเข้ากับยักษ์บ้าก็บ่นพึมพำ “มาอยู่นี่เอง”
“ตามหาเพื่อนหรือปอนด์?” คุณพ่อหันมาถามไถ่
“อ่ะ... ครับ นึกว่าหายหัวไปไหน แล้วนี่...”
มองเจฟฟรี่ที่ขะมุกขะมอมอยู่ในโรงเลี้ยงวัวแล้วก็ทำหน้าแหย เพราะคนงานสอนให้กวาดมูลวัวใส่รถเข็นไปที่โรงเก็บมูลเพื่อทำปุ๋ยไว้ใส่ต้นไม้ ทั้งยังขายได้ราคา ก่อนจะพากันล้างคอกวัวแต่ละคอกเพื่อสุขลักษณะที่ดี ที่ฟาร์มภาสกรจะล้างโรงเลี้ยงวัวเดือนละสองครั้ง แต่การเก็บมูลวัวจะเก็บทุกวัน บนพื้นปูนนั่นถูกปูด้วยฟางแห้งเพื่อให้วัวขับถ่ายไว้บนนั้นเวลาเก็บจะได้เก็บง่ายไม่เลอะติดพื้น ส่วนการล้างจะไม่ทำบ่อยเดี๋ยววัวจะไม่ชินกลิ่น วันนี้ไม่ใช่วันที่ต้องล้างโรงเลี้ยง แต่เพราะถือเป็นการสอนงานเจฟฟรี่วันนี้จึงให้หัดล้างตามคำสั่งของเจ้าของฟาร์ม
“เขาเข้าไปทำอะไรในคอกวัว?” ปอนด์คิ้วขมวด
“เขาว่าในอนาคตอยากทำฟาร์ม พ่อเลยให้ลองฝึกงานกับลูกน้องพ่อดู”
คุณภาสกรเป็นคนตอบคำถามนั้น เห็นท่านยิ้มในสีหน้าปอนด์ก็มองอย่างแปลกใจ นี่เข้ากันได้แล้วหรือ? หรือที่เจฟฟรี่ต้องไปล้างคอกวัวแบบนั้นเป็นเพราะถูกพ่อของเขาแกล้ง? แต่คงไม่หรอกน่า ท่านออกจะใจดีมีเมตตา คงอยากสอนงานให้เจฟฟรี่นั่นล่ะนะ
หลังจากเจฟฟรี่ได้เรียนรู้งานจนครบทุกขั้นตอนไม่มีขาดมีเหลือ เสร็จจากล้างคอกก็ไปดูการหมักปุ๋ย มีหัวหน้าคนงานประจำอยู่ที่นั่นช่วยสอนงานเขาเสียดิบดี หมักปุ๋ยเสร็จได้นั่งพักครู่หนึ่งก็เข้าไปดูเขาใช้รถเกี่ยวหญ้าสดที่ปลูกเอาไว้อีกฝั่งหนึ่งของฟาร์มมาให้วัวกิน ต้องช่วยเขาขนมาที่คอกแล้วโกยใส่กระบะด้านหน้าแต่ละคอกจนกระทั่งครบอีก เท่านั้นก็ยังไม่จบสิ้นกระบวนการเพราะคุณภาสกรให้ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนพาไปดูที่โรงงานผลิตนมสดส่งขาย ทั้งยังวิธีการแปรรูปนมให้เป็นผลิตภัณฑ์พร้อมบริโภคหลากรูปแบบ วันเดียวครบ เกือบจะจบทุกสิ่ง เหลือแต่ยังไม่ได้นั่งรถไปส่งนมเท่านั้นเอง
“เป็นไงบ้างเจฟฟรี่ สนุกเลยสิ”
เจฟฟรี่เหลือบตาขึ้นมองคนที่โน้มก้มอยู่เหนือตัวเขาที่นอนแผ่บนเก้าอี้ยาวแล้วลากเสียงตอบ
“มากกก”
ปอนด์หัวเราะ นั่งลงข้างๆเมื่อเจฟฟรี่ขยับลุกขึ้นนั่งแทนการนอนเอกเขนก
“นี่คุณพ่อโกรธอะไรผมหรือเปล่า ใช้ซะคุ้มเลย”
“เธอเป็นคนอยากลองทำเองไม่ใช่หรือเจฟฟรี่?”
เสียงเข้มที่เริ่มคุ้นดังมาให้ได้ยิน เจฟฟรี่ตัวชา แทบไม่ต้องหันไปมองทางต้นเสียงก็รู้ว่าใคร “คุณพ่อ...”
“ฉันไม่นึกว่าความหวังดีของฉันจะถูกมองเป็นอื่นไปแบบนี้ ถ้ารู้ว่าเธอคิดแบบนี้แต่แรกคงไม่ให้เธอทำ” สีหน้าคุณภาสกรดูเรียบเฉย แต่คำพูดที่แฝงแววเคืองขุ่นนั่นทำให้เจฟฟรี่นั่งไม่ติด
“คุณพ่อครับ คือผม...” อยากที่จะอธิบายแต่มันก็คงเป็นการแก้ตัว เมื่อท่านหันหลังแล้วเดินจากไปเจฟฟรี่ก็ยืนเคว้ง
“ปอนด์...”
“หา...” ปอนด์ขานรับด้วยเสียงล่องลอย รู้สึกไม่ต่างจากเจฟฟรี่เลยตอนนี้
“ทำไงดี...?”
ยักษ์ตัวโตหันมาขอความคิดเห็นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ปอนด์ยิ้มเจื่อน ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร การพบกันครั้งแรกของเจฟฟรี่และครอบครัวปอนด์ ดูๆไปแล้วก็ช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
เวลาอาหารค่ำ ครอบครัวพี่ชายของปอนด์ก็มาร่วมโต๊ะด้วย พวกเขาอยู่ไร่ข้างๆนี่เอง เป็นไร่ส้มของญาดา พี่สะใภ้ของปอนด์ เมื่อธนัส พี่ชายปอนด์แต่งงานจึงได้เข้าไปจัดการดูแลไร่ส้ม ถึงแม้จะบอกว่าอยู่ติดกันแต่ก็ต้องขับรถไปมา เพราะอาณาบริเวณแสนกว้างของฟาร์มภาสกรและไร่ส้มของพี่สะใภ้ปอนด์
พี่ชายของเขามีลูกชายหนึ่งคนชื่อน้องฌาน น้องฌานเป็นเด็กน่ารักแต่ไม่ค่อยช่างพูดเหมือนเด็กวัยเดียวกันสักเท่าไรนัก เห็นพวกเขามีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมแล้วปอนด์ก็ยินดีด้วย
ระหว่างมื้ออาหาร ผู้เป็นพ่อนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่หัวโต๊ะ ไม่พูดไม่จากับใคร ขณะที่แขกของบ้านอย่างเจฟฟรี่ก็ถูกเอาใจจากครอบครัวปอนด์ ชวนชิมอาหารสารพัดอย่างบนโต๊ะกันใหญ่ แต่เจฟฟรี่ที่ทานเผ็ดนักไม่ได้เพราะอย่างไรเสียก็ลิ้นฝรั่งทำให้เลี่ยงถ้วยน้ำพริกบนโต๊ะจนคุณพ่อของปอนด์เริ่มสังเกตเห็น
“พวกมีเหลือกินเหลือใช้ ก็เลือกกินกันไป”
ทั้งโต๊ะชะงักกึกเมื่อคุณพ่อว่ากระทบใครบางคนขึ้นมา เหลือบมองเจฟฟรี่ก็ดูท่าจะฟังออกทำให้ฝรั่งตัวโตหน้าเจื่อนไป
“คุณคะ” คุณประภาปรามสามีเมื่อเห็นท่าว่าอาหารบนโต๊ะจะกร่อยเอา
“ฉันมั่นใจนะว่าคุณภาทำอาหารอร่อยทุกอย่าง หรือเธอว่าไงเจฟฟรี่?” ท่านเอ่ยถามเสียงเรียบ
ธนัสหันมามองน้องชายที่นั่งอยู่ข้างตนอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพ่อกับเพื่อนของน้องหรือเปล่า คนเป็นน้องก็ได้แต่ยิ้มแห้ง
“ครับ คุณแม่ทำอาหารอร่อย” เจฟฟรี่ตอบกลับไปอย่างจริงใจ
“แล้วทำไมเธอไม่ชิมให้มันครบทุกอย่าง หรือที่จริงแล้วไม่ชอบ แค่พูดเอาใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” ฝรั่งตัวโตรีบปฏิเสธ
ปอนด์เองก็ทำตัวไม่ถูกเมื่อพ่อมาบทโหดแบบที่เขาไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก ได้แต่มองเจฟฟรี่ด้วยความเห็นใจ มือเรียวเอื้อมไปกุมมือใหญ่อย่างให้กำลังใจกันที่ใต้โต๊ะ เจฟฟรี่กลืนน้ำลายหนืดคอเมื่อมองถ้วยน้ำพริก คุณพ่อเองก็กำลังจ้องเขาอยู่ ชายหนุ่มตัดสินใจค่อยเอื้อมไปตัก นั่นทำให้ปอนด์ตาโต แต่จะห้ามก็ไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้คุณพ่อเห็นใจ แต่อีกฝ่ายกลับทำไม่เห็นจนปอนด์หน้าม่อย
เจฟฟรี่ค่อยคลุกข้าวกับน้ำพริกสีสันจัดจ้าน หยิบผักมาแนมแล้วตักเข้าปาก ทุกคนบนโต๊ะต่างลุ้นไปกับเขาด้วย สิ่งที่ทานเข้าไปมันอร่อยก็จริง แต่เพียงลิ้นสัมผัสกับความเผ็ดร้อนเขาก็แทบเคี้ยวต่อไม่ไหวได้เพียงพยายามกลืนมันลงไปให้ได้ คุณแม่ของปอนด์มองคุณพ่อแล้วส่ายหน้า ส่งเหยือกน้ำให้ปอนด์เอาไว้เติมให้เพื่อนที่หูแดงตาแดง จนแทบจะแดงไปทั้งหน้าแล้วตอนนี้
“กินไม่ได้แต่ยังฝืนกิน แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ?”
ทุกคนพากันเงียบ ไม่มีใครกล้าแย้งคุณพ่อได้ อาหารมื้อนี้กร่อยอย่างที่คุณแม่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ทานข้าวเสร็จคงต้องต่อว่ากันสักหน่อยกับคนแก่หัวรั้น ไปแกล้งเด็กมันทำไมไม่รู้สิน่า
เมื่อทานข้าวเสร็จเจฟฟรี่ก็ขึ้นห้องมากับปอนด์เพื่อบ้วนปากล้างคอในห้องน้ำ มันเผ็ดปากเจ่อไปหมด ชายหนุ่มเดินออกมาข้างนอกแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของปอนด์
“ปอนด์ ปวดท้อง...”
ปอนด์รีบก้าวมาหาเมื่อคนตัวโตทำเสียงเสียน่าสงสาร
“คุณ นี่ยา ลุกขึ้นมากินเร็ว”
เจฟฟรี่ยกแขนขึ้นให้คนตัวเล็กช่วยดึงลุกขึ้นมากินยา
“ปากเจ่อหมดเลย” นิ้วเรียวจิ้มปากของอีกคนเบาๆ
“ยังมาขำผมอีก ทรมานสุดๆ” เจฟฟรี่ว่า ส่งแก้วน้ำคืนคนรักเมื่อกินยาเสร็จ
“ไม่ไหวแล้วคุณกินทำไมเล่า ถึงกินไปก็ไม่ได้ใจพ่อผมหรอกนะ คุณนั่นแหละที่จะลำบาก”
คนตัวโตนั่งเงียบ เห็นแล้วก็สงสารเหมือนกันนะนี่
“ปวดมากไหม?” เอ่ยถามเสียงอ่อน
“อือ”
ตัวบางนั่งเกยตัก ซึ่งอีกคนก็โอบเอวไว้หลวมๆ
“ขอโทษนะเจฟฟรี่”
“ไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย ผมดันทุรังเอง” เจฟฟรี่ยิ้มบาง ช้อนมือเรียวขึ้นมาจูบเบาๆ
“คุณไปนอนพักนะ นอนนิ่งๆ มันจะได้หายปวดท้อง เดี๋ยวยาก็ออกฤทธิ์” คนตัวเล็กบอกอย่างห่วงใย
“ขอจูบราตรีสวัสดิ์ที” เอ่ยอ้อนเสียงเบา ปลายจมูกโด่งแตะจมูกคนบนตัก
“ให้สองทีเลย” ปอนด์ว่า
“จริงอ่ะ?”
“จริง เพราะวันนี้คุณทำตัวดี”
“ว้าว แบบนี้ทำทุกวันเลยดีกว่า”
ริมฝีปากหนาค่อยเลื่อนเข้าไปแตะจูบปากอิ่ม ปอนด์ยิ้ม ริมฝีปากค่อยเบียดบดกันช้าๆ...
“คุณพระ!”
เสียงอุทานนั่นทำให้ทั้งสองคนหันขวับไปมอง
“แม่!!”
ต่างฝ่ายต่างอึ้ง ปอนด์ก้มมองสภาพตัวเองที่นั่งเกยบนตักเจฟฟรี่แล้วก็รีบลุกขึ้น คุณแม่เองเมื่อได้สติก็รีบปิดประตู เดี๋ยวได้มีใครมาเห็นเข้าอีก ท่านว่าจะมาถามไถ่อาการของเพื่อนลูกชายสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง หากยังไม่ดีขึ้นจะได้หาหยูกยามาให้ ไม่นึกว่าจะเข้ามาเห็นภาพแบบนี้เลยจริงๆ
“แม่...” ปอนด์หน้าจ๋อย ค่อยเดินเข้าไปหาคุณแม่
“โอย แม่จะเป็นลม”
หนุ่มตัวเล็กตกใจ รีบพยุงท่านมานั่ง เจฟฟรี่เองก็ลุกมาหาทั้งคู่ด้วย
“แม่” ปอนด์นั่งลงข้างคุณแม่ จับมือท่านแล้วเอ่ยเรียกเสียงเบา
“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงหื้อ เราสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอกรึ?”
“คือ...” ปอนด์อึกอัก หันมามองเจฟฟรี่ที่หน้าซีดเพราะปวดท้อง ก่อนจะเป็นคนเปิดปากสารภาพความจริงกับคุณแม่เอง “ที่จริงเรา... คบกันอยู่ครับแม่”
“ตายจริง แล้วทำไมถึงมาบอกแม่ว่าเป็นเพื่อนกันล่ะปอนด์ นี่ลูกเล่นสนุกอะไรกัน?”
“ปอนด์เปล่าเล่นสนุกนะครับ ก็... ก็ปอนด์กลัวพ่อกับแม่รับไม่ได้ เลยอยากให้เจฟฟรี่เขามาสร้างความคุ้นเคยกับครอบครัวเราก่อน...” ยิ่งพูดเสียงปอนด์ก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ ตากลมหลุบมองต่ำ หลบสายตาของคุณแม่ที่มองมา
“แม่โกรธปอนด์หรือครับ ปอนด์ขอโทษ”
“จะโกรธก็เพราะปอนด์ไม่คิดเชื่อใจพ่อแม่นี่ล่ะ พูดกันดีๆแม่ก็เข้าใจ นี่อะไร มาหลอกกันได้ ให้แม่มาเห็นเองแบบนี้หัวใจจะวายตาย” ท่านบ่น
“ปอนด์ขอโทษ” บอกกับท่านเสียงออด สีหน้ารู้สึกผิดจนคุณแม่โกรธไม่ลง
“คบกันมานานแค่ไหนแล้ว?” ท่านเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“เริ่มคบกันตอนเรียนปีสามเทอมสุดท้ายครับ”
คุณแม่ถอนใจเบา “แม่ก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้หรอกนะ หวังก็แต่ว่าพวกเราสองคนจะไม่ได้คบกันเล่นๆเพื่อรอวันเลิกรากันไป”
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ครับคุณแม่ ผมจริงจังกับปอนด์ พวกเราคาดหวังที่จะมีอนาคตที่ดีร่วมกัน” เจฟฟรี่เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้างเพื่อแสดงความจริงใจให้ท่านได้รับรู้ ปอนด์หันมามองคนตัวโตอย่างขอบคุณ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี ปอนด์ก็โตแล้ว แม่ก็ไม่อยากพูดมากนอกเสียจากว่าให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ”
“ขอบคุณครับแม่ที่ไม่โกรธปอนด์”
“จะไปโกรธเราได้หรือ อ้อนเก่งก็เท่านั้น เดี๋ยวแม่ก็ได้ใจอ่อนไปกับเราอีก” ท่านค้อนให้วงใหญ่
ปอนด์ยิ้มกว้างก่อนกอดท่าน “รักแม่ที่สุดเลย”
“นั่น พูดไม่ทันขาดคำก็ออดอ้อนแม่เสียแล้ว”
“แหม รักแม่จริงๆนะครับ”
“จ้าๆ”
สองแม่ลูกกอดกันกลมเกลียว คุณแม่คือคนที่เข้าใจเขาเสมอ เขาไม่น่ามองข้ามความรู้สึกของท่านแบบนี้เลย ท่านเป็นคนใจดีถึงได้ไม่โกรธลูกชายโง่เง่าแบบเขา และอย่างน้อยตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนก็มีคุณแม่คนหนึ่งล่ะที่พร้อมจะเข้าใจมัน
--------------
เช้าตรู่ของวันใหม่ คุณภาสกรยังลงมาทำงานในฟาร์มด้วยตัวเองเช่นทุกวัน เจฟฟรี่เดินมาที่ฟาร์มเพื่อขอทำงานเช่นเมื่อวานนี้ อยากที่จะเรียนรู้จริงๆ เพียงแต่เขาเพิ่งเริ่มต้น อาจมีบ่นบ้างก็ขออย่าได้ถือสา
“เห็นว่าปวดท้อง หายแล้วเรอะ” มองเจ้าหนุ่มฝรั่งตัวโตแล้วคุณภาสกรก็ถามไปอีกทาง
เจฟฟรี่ยิ้มก่อนตอบ “ดีขึ้นแล้วครับ เมื่อวานคุณแม่หายามาให้กิน วันนี้เลยไม่ปวดแล้ว”
“ไม่พักสักหน่อยล่ะ เธอมาเที่ยวไม่ใช่หรือ ไม่ต้องมาจริงจังกับมันมากนักก็ได้” ท่านว่า ใช้คราดตักหญ้าจากรถเข็นลงไปบนรางอาหารให้โคนม
“ถ้าคุณพ่อจะกรุณาสอนผม ผมจะยินดีมากครับ การมาเที่ยวของผมคงไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”
สายตาดุอันเป็นเอกลักษณ์ปรายมามองหน้าฝรั่งตัวโตที่ยังคงยิ้มละไม
“ถ้าทนได้ก็เอา” ท่านว่าอย่างนั้น
เจฟฟรี่ยิ้มกว้าง กุลีกุจอเข้ามาช่วยใหญ่ แต่คุณพ่อปอนด์กลับไม่ให้ให้อาหารวัว หน้าที่ประจำของเจฟฟรี่คือกวาดมูลวัวไปโรงปุ๋ย หนุ่มฝรั่งชะงัก ก่อนจะยิ้มแล้วมุ่งหน้าสู่การกวาดมูลของน้องวัวที่น่ารัก
“ดูท่าว่าพ่อจะได้ผู้ช่วยคนใหม่แล้ว” คุณประภาที่มองอยู่ไกลๆพูดกับปอนด์ที่ยืนอยู่ข้างกัน
ปอนด์อมยิ้ม “ถ้าพ่อคิดแบบนั้นจริงๆก็ดีสิครับ”
เขาขับรถพาแม่มาที่ฟาร์มพร้อมอาหารสำหรับคนงาน ฟาร์มกับบ้านอยู่ไม่ไกลกันนักหากเดินมาตัวเปล่าคงถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่หากจะยกของมาคงมีลิ้นห้อยกันบ้าง
ตลอดช่วงเวลาใน ‘การมาเที่ยวบ้านเพื่อน’ ของเจฟฟรี่ ฝรั่งตัวโตก็เป็นลูกมือช่วยคุณพ่อของปอนด์ทำงานทุกวัน วันแรกๆอาจจะเหนื่อยเพราะนอนไม่ค่อยหลับเนื่องจากปรับเวลาไม่ได้ แถมมาถูกใช้งานหนักเลยมีแอบบ่นจนคุณพ่อเคือง แต่หลังๆเริ่มรู้ทาง ทั้งยังเหนื่อยจากงานในฟาร์มทำให้นอนหลับแบบไม่ต้องสนเรื่องเวลาและยังทำหลายอย่างได้ดีขึ้น ส่วนตัวคุณพ่อของปอนด์เองก็ยังคงดูเขม่นเจ้าหนุ่มฝรั่งเพื่อนลูกชายอยู่ในที แต่เจฟฟรี่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจมากนัก คิดว่าหากเขาทำตัวดี สักวันท่านคงเอ็นดูไปเอง
ปอนด์มานั่งเล่นที่ห้องพักแขกที่ยักษ์บ้าอยู่ บนโต๊ะทานข้าววันนี้พ่อของเขาไม่แกล้งเจฟฟรี่ให้ต้องกินอะไรที่ไม่ชอบ นั่นถือเป็นพัฒนาการที่ดี เพราะคงเป็นผลพลอยจากการที่เจฟฟรี่คอยป้วนเปี้ยนวนเวียนช่วยงานท่าน
“อยากไปหาอัลเบิร์ตจัง” ปอนด์เท้าคางบ่นเบาๆ เมื่อเจฟฟรี่ที่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วเดินมาทิ้งตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง
“ไปกันไหม ก่อนกลับอังกฤษแวะไปเยี่ยมอัลบ้างก็ดีนะ” เจฟฟรี่เสนอ
“ได้ที่ไหนล่ะ ผมไม่แน่ใจว่าอเล็กซ์ให้คนแอบตามคุณมาหรือเปล่า เดี๋ยวได้เป็นคนพาให้หมอนั่นได้เจออัลเบิร์ตพอดี”
“คิดมาก” คนตัวโตว่า
“ต้องคิดสิ ปลอดภัยไว้ก่อน”
เจฟฟรี่ส่ายหน้ายิ้มๆ
“เออนี่ วันนี้ผมเห็นคุณไปช่วยพ่อผมทำงานอีกแล้ว ดีกันแล้วหรือ?” ปอนด์เขยิบเข้ามากลางเตียงแล้วนอนลงข้างๆพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ไม่รู้สิ ท่านยังดูเขม่นผมอยู่เลย แต่คิดว่าถ้าเอาหน้าไปให้ท่านเห็นบ่อยๆท่านอาจจะชินไปเองก็ได้”
“ความคิดดี” นิ้วเรียวปัดจมูกโด่งเบาๆอย่างเย้าหยอก
“มีรางวัลไหม?” อีกคนอมยิ้มเจ้าเล่ห์ รั้งเอวบางเข้ามาหา
“ไม่ เดี๋ยวได้มีใครโผล่มาเห็นอีก”
“นั่นสิ”
นึกถึงวันที่คุณแม่มาเห็นฉากเด็ดแล้วก็ไม่อยากเสี่ยง ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย คิดว่าอย่างนั้นนะ
----------------
เมื่อถึงวันกลับคุณภาสกรและคุณประภาก็มาส่งลูกชายที่สนามบิน ผู้เป็นแม่รู้สึกใจหาย ได้อยู่ด้วยกันเห็นหน้าทุกวันจนเริ่มชิน คิดหาอาหารการกินดีๆมาทำให้ลูกได้ทานทุกวัน พอปอนด์กลับไปที่โน่นแล้วท่านคงเหงา กว่าลูกจะกลับไทยอีกทีก็คงเป็นปีโน่นเลย
“ดูแลตัวเองดีๆนะลูก กว่าจะได้กลับมาอยู่บ้านก็อีกเป็นปีๆ แม่ล่ะเป็นห่วง”
“ไม่ต้องห่วงปอนด์หรอกครับ ปอนด์ต่างหากที่ต้องห่วงแม่ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ทั้งคู่เลย”
พ่อวางมือบนศีรษะลูกชาย ก่อนจะหันมาทางเจฟฟรี่ ท่านส่งสมุดเล่มหนึ่งให้ เจฟฟรี่เลิกคิ้วแล้วรับมา มันเป็นสมุดที่พ่อเขียนเกี่ยวกับสิ่งสำคัญต่อการทำฟาร์มให้เจริญก้าวหน้า ทั้งเคล็ดลับดีๆที่พ่อเคยปฏิบัติมาก่อน
“อยากทำฟาร์มมันต้องหนักเอาเบาสู้ ถ้าแค่เจองานหนักเข้าหน่อยก็บ่นเธอคงทำฟาร์มไม่ได้ มัวแต่เดินสวยหล่อไปวันๆแล้วใจไม่สู้ ความสำเร็จก็ไม่มีทางมาหาเธอ”
“คุณพ่อ...” เจฟฟรี่คราง ซาบซึ้งใจ
“เลิกทำสายตาแบบนั้นใส่ฉันเสียที ขนลุกจะแย่”
ปอนด์มองทั้งสองคนคุยกันแล้วก็หัวเราะ ดูเหมือนพ่อของเขาจะเริ่มเปิดใจให้ยักษ์บ้าของเขาบ้างแล้ว การมาพบครอบครัวเขาครั้งนี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวนะ ฝรั่งขี้นก
--------------
ต่อด้านล่างค่ะ