Friend's brother Brother's friend Special, Jealous
[NET's talk]
ผมมักจะถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวบ่อยๆในช่วงที่เฮียต้องไปทำงานต่างประเทศ
บางทีเวียดนาม ออสเตเรีย อเมริกา แต่ครั้งนี้เป็นญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นกับกำหนดการหนึ่งเดือน
หนึ่งเดือน ระยะเวลาที่ยาวที่สุดเท่าที่เราสองคนเคยห่างนับตั้งแต่คบกันมา
เมอร์ซิเดส เบนซ์ สีขาวป้ายแดงเคลื่อนตัวเข้าจอดหน้าตึกเรียนสำหรับนิสิตปริญญาโทมหาวิทยาลัยที่ผมจบ สภาพแวดล้อมโดยรวมต่างจากเมื่อ 2 ปีก่อนลิบลับ ตัวตึกมากมายผุดขึ้นรองรับจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มปริมาณล้นหลาม ทว่าบรรยากาศภายในยังคงกรุ่นกลิ่นที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมไม่ได้ลงจากรถ ยังคงติดเครื่องไว้แล้วหมุนจูนวิทยุเปลี่ยนคลื่นที่ดูเหมือนสัญญาณจะขาดหายไปเป็นช่วงๆแต่ความพยายามไม่เป็นผล สงสัยตัวตึกที่ขึ้นขนาบสองข้างคงทำให้จุดนี้กลายเป็นพื้นที่อับสัญญาณ ผมยอมแพ้มาเปิดซีดีเพลงฝรั่งรุ่นเก่าเก็บของเฮีย ปรับเบาะเอนให้นั่งสบายกระทั่งน้องชายของเจ้าของรถตัวจริงเดินมาเคาะกระจกจึงหยัดตัวลุกอีกครั้ง
ปรมัตยิ้มกว้างเปิดประตูรถวางกระเป๋ากับหนังสือเรียนไว้เบาะหลัง มันเรียนต่อโทสาขาเดิม มหาวิทยาลัยเดิมทั้งๆที่หลังจากเรียนจบตั้งใจไว้ว่าจะกลับไปดูแลกิจการที่บ้าน
ป๊ากับม้ายังสนุกกับงานอยู่ บูมก็ยังสนุกกับเรียน บูมเรียนต่อ ให้ป๊ากับม้าทำงาน แฟร์ๆ ไม่เห็นต้องคิดมากว่าจะเรียนเอาปริญญาวิศวกรรมไปทำไมตั้งสองใบอาตี๋หน้าหวานเคยบอกผมแบบนั้นตอนถามถึงเรื่องเรียนอย่างไร้แก่นสารของมัน น่าแปลกที่คำตอบซื่อๆของบูมกลายเป็นที่ยอมรับของคนโดยรอบ ผมชอบมันตรงนี้มาก เป็นคนประเภทไม่เคยหาข้ออ้างมาทำให้ตัวเองดูดีมีเหตุผล รู้สึกยังไง คิดแบบไหนก็พูดออกมาตรงๆ
“แล้วเสื้อผ้าล่ะ?”
ผมหันไปถาม วันนี้ชวนมันไปค้างที่คอนโด อันที่จริงผมมีเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่นิดหน่อย ซึ่งมันกำลังสุมในอกมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันและทุกวันจนไม่อยากอยู่คนเดียวให้เพ้อเจ้อสักพัก ทำได้แต่รอเวลาอีกสองสัปดาห์ ที่เฮียจะกลับมา และเป็นคนเดียวที่จะคลายข้อข้องใจของผมให้มันชัดเจนไปเสียที
“น่าจะมีเสื้อผ้าบูมติดอยู่ที่คอนโดเฮียอยู่ เลยไม่ได้เอามา” อดีตน้องรหัสตอบแล้วตั้งคำถามต่อ “เฮียกลับวันไหนอะซ้อ?”
ซ้อเตี่ยมึงสิ ผมหันไปมองไอ้บูมตาขวาง ตั้งแต่วันที่ป๊ากับม้าบุกไปหาแม่ผมบูมมันก็ชอบเรียกผมว่าซ้อบ่อยๆ สองปีจะสามแล้ว ผมยังไม่ชินครับ เกิดมายี่สิบปีไม่เคยคิดว่าตัวเองโตขึ้นจะเป็นซ้อคน โชคดีที่ไอ้บอมไม่เป็นไปด้วย ไม่งั้นได้มีฟันกันหัวแบะไปข้าง
“อีกสองสัปดาห์”
“บอกเฮียซื้อร๊อยส์มาฝากด้วยดิ อยากกิน”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง บูมกดเร่งเสียงเพลงในแผ่นซีดีที่ดำเนินมาจนถึงท่อนฮุค ผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษแต่ก็เรียนจบปริญญามา มีความรู้มากพอจะแปลคำศัพย์ง่ายๆในเพลง ตอนนั้นที่เสียงคอรัสทำให้คนฟังสะท้อนใจอย่างน่าประหลาด
I don't wanna feel the way that I do,
I just wanna be right here with you,
I don't wanna see, see us apart,
I just wanna say it straight from my heart:
I miss you, I miss you, I do...
+++++++++++++++++++++++++++
วันนี้เป็นอีกวันในต้นสัปดาห์ที่สามที่ผมใช้ชีวิตเฉื่อยแฉะกลางเมืองใหญ่ ตื่น อาบน้ำ กินข้าว ไปทำงาน รอโทรศัพท์ นอน วนเป็นลูปแต่สิ่งหนึ่งที่ยังเงียบหายไปเลยคือการติดต่อของใครบางคน
สัปดาห์แรกที่เฮียบินไปทำงานยังโทรมาเหมือนปกติ กระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่สองก็เริ่มส่งเมจเสจมาแทน กระทั่งปลายสัปดาห์ที่โทรศัพท์ผมนิ่งสนิทเหมือนไหลตาย ไม่มีนอนทิฟิเคชั่นใดจากใครบางคน
ผมถอนหายใจผ่านโพรงจมูกช่วงโพล้เพล้ของวันอังคาร ยังไม่มีการติดต่อมาแต่รู้ว่ามันยังอยู่สบายดี ในเฟสบุ๊คมีรูปแท็คมาเรื่อยๆจากคนที่ชื่อ
Jamie T. ส่วนใหญ่เป็นเฮียในอิริยาบททำงาน และเกือบทั้งหมดเป็นภาพถ่ายทีเผลอ เคยได้ยินเฮียเปรยๆว่าเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าใสคนนั้นเป็นแฟนพี่มิน ผมเคยกดเข้าไปส่งเฟสคนที่ชื่อเจมส์นั่นเหมือนกัน รูปที่อัพเป็นรูปรวมๆ เพียงแค่รูปเฮียกับพี่มินจะเยอะกว่าคนอื่นหน่อย รูปพี่มินเยอะไม่แปลกใช่ไหมครับ เขาเป็นแฟนกันนี่ แต่เฮียล่ะ นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมถึงได้มีรูปคนรักของตัวเองไปโผล่หน้าวอลของ’คนอื่น’มากมายนัก ว่าแล้วก็ไปส่องหน่อยแล้วกัน ไม่ได้เช็คเฟสมาหลายวัน
‘หลับยังไม่เลิกเก็กอีก คนอะไร :3’ภาพล่าสุดที่เจมส์อัพเป็นรูปเฮียบนเตียงครับ นอนหลับตาพริ้ม ห่มผ้ามาจนเกือบถึงจมูก ข้างล่างมีคนกดไลค์เกือบๆร้อย เพิ่งอัพเมื่อคืนตอนประมาณตีสามของญี่ปุ่น แต่เดี๋ยวนะ ทำไมถึงมีรูปเฮียบนเตียงได้วะ ปกติห้องนอนที่โรงแรมถ้าเฮียไม่ได้นอนกับพี่เต้ยก็จะได้นอนคนเดียว ครั้งนี้ได้ยินว่าพี่เต้ยพาเมียไปด้วย คนที่ไปเอารูปเอ็กซ์คลูซีฟแบบนี้มาได้ต้องเป็นคนที่’นอน’ ห้องเดียวกันเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?
หรือว่า.. ที่ไม่โทรหา เพราะเรื่องนี้กันแน่...เสียงประตูคอนโดปิดไม่ได้เรียกผมให้ตื่นจากห้วงความคิดวกวนของตัวเอง ตากลมยังจับจ้องไปบนรูปในเฟสบุ๊คไม่กระพริบ กระทั่งแรงบีบที่หัวไหล่เกิดขึ้นเบาๆผมจึงหันกลับไปมองน้องชายคนสุดท้องของบ้านพาณิชยโชติก่อนยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองลวกๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไหลตอนไหน ไอ้บูมขมวดคิ้วถอนหายใจแล้วยื้อเมาส์ไปจากมือผม กดปิดคอมพิวเตอร์พลางเอื้อมมือไปหยิบกล่องทิชชู่มาวางบนหน้าตัก ผมก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาที่เพิ่งเช็ดไปยังคงหยดอย่างไม่รู้จุดสิ้นสุด ไอ้บูมเลยเปลี่ยนท่ามานั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ดึงทิชชู่ออกมาเช็ดน้ำตาให้ผมป้อยๆ
“เฮียไม่โทรมากี่วันแล้ว”
ผมส่ายหน้าไม่อยากรับรู้ ไม่อยากนับวันที่ถูกละเลย เฮียไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยหายไปให้ผมคิดถึงเลยสักครั้ง ไม่ว่าไปทำงานที่ไหน ไปนานเท่าไหร่ เฮียไม่เคยปล่อยให้ผมต้อง’รอคอย’ แบบนี้
“อย่าเพิ่งคิดมากนะ บูมรู้ว่าพี่เน็ตเหงา”
“เขาอยู่กับคนอื่น เฮียอยู่กับคนอื่น...” ผมพูดไปสะอึกไป
ในห้องนอนห้องนั้น บนเตียงนั้น เฮียอยู่กับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผมความระแวงระวังคงไม่เกิดขึ้นและกัดกินใจขนาดนี้ถ้าเฮียไม่ได้เปลี่ยนไป ผมสะอื้นตัวโยนอยู่พักใหญ่จนบูมต้องยืดตัวขึ้นมากอดปลอบ ลูบไหล่ลูบหลังอยู่นานกว่าผมจะหยุดงี่เง่า
“คิดถึงเฮียแล้วทำไมไม่โทรหาล่ะ?”
“กูไม่กล้าโทร...”
ผมตอบ อันที่จริงตั้งแต่คบกันมาไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะโทรไปหาเฮียเวลางานถ้าไม่ใช่ธุระจำเป็น อาจเป็นเพราะลักษณะงานของเฮียไม่เป็นลูทีน ผมไม่รู้ว่า เวลาไหนเฮียต้องทำงาน และเวลาไหนเฮียจะได้หยุดพัก ไม่เหมือนผมที่กำหนดเข้างาน พักเบรค กระทั่งเลิกงานเป็นไปตามตารางของบริษัท ดังนั้นทุกทีเฮียจะเป็นฝ่ายติดต่อมาตลอด
เพียงแต่ไม่ใช่ครั้งนี้ผมกำมือเข้าหากันแน่นจนบูมต้องคอยนวดผ่อนคลาย มันเป็นกังวล อันนี้ผมรู้ ที่จริงก็ไม่อยากให้รุ่นน้องมาคอยดูแลอะไรมาก แต่ในเวลานี้ นาทีนี้ผมก็ไม่อาจประคองอารมณ์ตัวเองได้อีกแล้ว
“ ให้บูมโทรให้ไหม?”
“ไม่ต้องหรอก เฮียคงไม่ว่าง ถ้าว่างก็โทรมาแล้ว”
“บอกบูมหรือบอกตัวเอง?”
จริงของตี๋เล็ก ผมหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาปลอบประโลมให้ตัวเองรู้สึกดีแต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำใจเชื่อลงสักครั้ง ภาพชวนคิดไกลของเฮียในเฟสบุ๊คเจมส์ยังติดตา ตอนกลางคืนที่ไม่มีใคร ตอนกลางคืนที่ไม่มีผม ในคืนที่ไม่ได้ยินเสียง ไม่มีภาพผมในความทรงจำ...
“ใจเย็นๆก่อนนะ พี่เน็ตก็รู้จักเฮียนี่.. เฮียรักพี่เน็ตจะตายไป”
เพราะรู้จักยังไงล่ะถึงรู้ว่าเฮียไม่มีวันปล่อยให้คนที่รักรอแบบนี้
นอกเสียจาก...“เอ้า.. ร้องอีกแล้ว ไม่เอาน่า”
“มึงไม่เข้าใจ...”
“โถ่ พี่เน็ต...” ไอ้บูมสบถหัวเสีย มันผ่อนลมหายใจยาวแล้วกุมมือผมแน่น ตาตี่ช้อนขึ้นมองแต่ยังไม่วายเอื้อมมือมาดึงเศษทิชชู่บนหน้าผมออก
“บูมเข้าใจดีกว่าพี่เน็ตอีกเหอะ”ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน นึกถึงเรื่องของบูมกับปันที่ตอนนี้ไอ้ปันยังไม่บินกลับมา ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงบ้าง แรกๆก็ติดต่อมันอยู่ตามประสาเพื่อน แต่เฮียดูไม่ค่อยชอบใจ กระทั่งผมใช้โทรศัพท์ยันตีสี่จึงค่อยเข้านอน เฮียก็แขวะว่าไม่บินตามมันไปล่ะเป็นสัปดาห์ แถมยังนอนหันหลังให้ราวตาแก่ขี้งอนอีก เลยตัดปัญหาด้วยการโทรไปนานๆครั้งแทน
กระนั้น คนที่คุยกับปันบ่อยสุดก็คงเป็นบูม ทว่าพวกเราทั้งหมดก็ไม่มีใครรู้เรื่องราวระหว่างมันสองคนสักที ข้อมูลสุดท้ายที่รู้คือหลังวันรับปริญญา ไอ้บูมหิ้วครุยบินไปอังกฤษและได้รูปถ่ายคู่ไอ้ปันกลับมาเป็นอัลบั้ม ถึงแม้จะมีรูปไอ้ปันยิ้มนับใบได้ แต่บูมมันก็ดีใจนักหนาตามประสามันแหละ
ผมไม่เข้าใจบูมว่ามันทนได้ยังไง...
ทนไม่มีตัวตน ในสายตาคนที่เรารักได้ยังไง...เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังขึ้นตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติของผมวันนี้คืออาการปวดบวมที่เปลือกตา เมื่อคืนร้องไห้ไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่ก็เหมือนคืนก่อนๆที่ผมรอโทรศัพท์จากเฮียจนหลับไปแต่ก็ไม่มีการติดต่อมา มิสคอลสักสายหรือข้อความใดๆยังคงไม่ได้รับ ไอ้บูมไม่อยู่แล้วมันคงออกไปเรียน เห็นว่าเช้านี้มีพรีเซนท์ตั้งแต่แปดโมง ส่วนตัวผมกลับทำตัวขี้เกียจ นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงไม่ยอมลุกไปทำงาน
ผมมีอาการอย่างหนึ่งที่แปลกไปตั้งแต่ที่เฮียหายไปกับคลื่นดอกซากุระคือไม่ค่อยอยากคุย อยากกิน หรืออยากเจอใครๆทั้งนั้น งานการเหมือนทำไปตามหน้าที่ แต่วันนี้เห็นทีจะไม่ไหว เดินไปชะโงกส่องกระจกเห็นสภาพตัวเองแล้วยอมแพ้ ส่งเมจเสจบอกพี่แป้งว่าวันนี้ลาป่วย ไม่ถึงห้านาทีพี่แป้งก็โทรกลับมา ผมกดรับสายและโชคดีอีกอย่างคือเมื่อคืนผมร้องไห้หนักจนเสียงแหบแห้ง เลยบอกพี่แป้งไปว่าแพ้อากาศ เห็นทีต้องขอนอนพักเอาแรงพรุ่งนี้จะได้หายป่วย
พอปฎิบัติการโกหกพกลมสำเร็จ ผมก็ลุกไปอาบน้ำล้างหน้า เวฟอีซี่โกที่เฮียซื้อทิ้งไว้ในตู้เย็นกินไปดูทีวีไป อิ่มแล้วก็นอน นอนเสร็จก็ตื่นมาดูทีวีใหม่ ช่วงบ่ายของวันทำงานมีรายการวาไรตี้หนึ่งซึ่งไปถ่ายทำเอาเบื้องหลังภาพยนตร์ ตอนแรกเป็นหนังที่ผมอยากดู สักพักก็เปลี่ยนกองย้ายไปญี่ปุ่น ตามรอยภูมินทร์พระเอกดาวรุ่งของประเทศไทยกับหนังเรื่องใหม่ในต่างแดน
ภาพการทำงานของกองถ่ายดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมเห็นพี่เต้ยดุพี่มินบ้าง ซึ่งตอนนั้นถูกดูดเสียงออกไปเหลือไว้แค่ภาพของพระเอกหนุ่มก้มหน้าฟังคำบ่น จากนั้นกล้องก็แพนไปที่เจมส์ซั่งนั่งอยู่กับเฮีย ไม่รู้กระซิบกระซาบอะไรกันเฮียถึงยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ ขณะที่คนเล่ามันปล่อยก๊ากออกมาได้น่ารักสดใส
“ซี้ใหม่ของกอง...” พี่เต้ยกระซิบบอกตากล้อง เร่งให้จุดโฟกัสของกล้องซูมจับภาพไปยังเจมส์ที่พูดอะไรสักอย่างต่อแล้วคว้ามือเฮียไปจับ ผมเม้มปากเข้าหากันแล้วกดปิดโทรทัศน์ ทิ้งตัวลงเบาะโซฟาก่อนกดโทรออกไปต่างประเทศทันที
ไม่อยากทนแล้ว...
กับเด็กนั่น.. มีอะไรพิเศษหรือยังไง?ผมกดโทรศัพท์ต่อสายตรงไปต่างประเทศทันที มือไม้สั่นพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง หลายเรื่องหลายราว หลากอารมณ์เหลือเกิน ทั้งกลัว ระแวง และหวั่นใจ
แต่ไม่นานเกินรอ ปลายสายก็กดรับให้ผมหมดแรงเอาดื้อๆ
"สวัสดีครับ"เสียงใสที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงที่ผมอยากได้ยิน ไม่ใช่คนที่ผมอยากคุยด้วย และไม่ใช่ธุระ'ของใคร'ที่จะมายุ่งเรื่อง'ส่วนตัว'ของคนอื่น ทว่าผมก็มีสิทธิ์ สิทธิ์ที่จะถามว่า'คนของผม’'อยู่ไหน'
"ขอสายพี่บีมครับ"
ผมเลือกที่จะเรียกเฮียเหมือนคนอื่นเวลาที่คุยกับคนอื่น ปลายสายหัวเราะนิดๆแล้วตอบ
"เฮียอาบน้ำอยู่ครับพี่เน็ต มีธุระอะไรหรือเปล่า ฝากเรื่องไว้กับเจมส์ก็ได้"เด็กนั่นรู้ว่าเป็นผม อาจเป็นเพราะเบอร์ที่เม็มเอาไว้ แต่มันน่าหงุดหงิดกับเสียงที่พูดหยันๆกับสรรพนามที่ใช้เรียกเฮียนั่นแหละ
"บอกเฮียให้หน่อยว่าแฟนโทรมา โทรกลับด้วย"
"อ้อ ครับ เฮียไม่โทรหา'แฟน'หลายวันแล้วนี่นะ"ผมเริ่มกำโทรศัพท์แน่น ปลายสายยังหัวเราะเย็นเยียบราวกับสนุกนักหนาที่มีชัยเหนือผม
ทั้งๆที่เป็นแฟน แต่เฮียกลับอยู่กับอีกคน
"นี่พี่เน็ต.. เฮียอะ เท่ห์เนอะ ระหว่างอยู่ญี่ปุ่นเจมส์ยืมควงสักพักได้หรือเปล่า เดี๋ยวกลับไทยแล้วคืนให้""ไม่... ไม่ได้...."
"อย่างกหน่อยเลยน่า ของพวกนี้แบ่งๆกันใช้ก็ไม่เสียหายหรอก""ก็บอกว่าไม่ไห้ไง!"ผมกระแทกเสียงใส่โทรศัพท์ รู้สึกร้อนที่กระบอกตาขึ้นมาอีกแล้ว แต่ท่าทางปลายสายคงอยู่สบายดี เพราะมันยังหัวเราะร่วน
"เจมส์ขอดีๆแล้วนะ ถ้าไม่ให้ยืมจะยึดเป็นของส่วนตัวเลยแล้วกัน เหลืออีกตั้งหลายคืนที่เจมส์นอนกับเฮีย มันต้องได้'นอนกัน'สักคืนจริงๆแหละ พี่เน็ตว่ามั้ย.."
ผมเงียบ ปลายสายพ่นลมหายใจขึ้นจมูกแล้วพูดต่อ
"...บางทีอาจเป็นคืนนี้ก็ได้ มีงานปาร์ตี้เล็กๆทุกคืนแหละ ถ้าเฮียเมา อะไรๆก็คงง่ายขึ้น"
"กูบอกว่าอย่ายุ่งกับเฮีย.."
"พูดจาไม่เพราะ ไม่น่ารักเลย.. ไหนเฮียชมนักชมหนาว่าแฟนตัวเองดี"
"เรื่องของกู!"ผมสบถเสียงดัง น้ำตาเริ่มไหลอีกแล้ว โกรธ.. แต่ในความโกรธนั้นกลับแฝงด้วยความขลาดกลัวมหาศาล
กลัวมันจะเป็นแบบนั้น
กลัวเฮียจะเปลี่ยนไป...ระยะเวลาที่ผมต่อสายตรงจากกรุงเทพไปโตเกียวจับได้ประมาณห้าถึงสิบนาที แต่ความหนักอึ้งในใจเหมือนมีหินมาถ่วงให้ดำดิ่งสู่มหาสมุทรทวีความรุนแรงกว่านั้นหลายเท่าตัว ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เคยกรุ่นด้วยความอบอุ่นกำลังถูกกลบด้วยความรู้สึกแย่สุดๆกลืนไปกับความมืด ผมรู้สึกเหมือนจะขาดใจ หายใจไม่ออก หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะขับน้ำตาออกมา ได้แต่นั่งหายใจทิ้งในห้องที่ไม่เปิดไฟแม้พระอาทิตย์จะตกดินแล้วก็ตาม
ประตูห้องพักถูกเปิดออกให้แสงจากภายนอกลอดเข้ามา ไอ้บูมเปิดสวิทซ์ไฟแล้วทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นว่าผมนั่งกอดเข่าคู้อยู่บนโซฟา ในมือยังถือโทรศัพท์ไว้เหมือนตอนที่ตัดวางสาย
"พี่เน็ต เป็นอะไร"
ผมส่ายหัว รับรู้ทุกการกระทำ รู้ว่าบูมมันมานั่งข้างๆแล้วลูบหัวผมเหมือนเด็ก
"ทะเลาะกับเฮียเหรอ?"
ผมส่ายหัวอีกครั้ง ปรมัตจึงดึงโทรศัพท์ผมไปดู พอเห็นว่าเบอร์สุดท้ายที่โทรออกเป็นใครมันก็ไล่ผมไปอาบน้ำ ล้างหน้า เสร็จแล้วจะได้ออกมากินอะไรมันซื้อราดหน้ากับนมแปะมาฝาก
ผมลุกเดินทำตามคำสั่งของรุ่นน้องอย่างว่าง่าย ปล่อยสมองไม่ให้คิดอะไร พยายามบอกตัวเองให้เชื่อมั่นในความรักของเฮีย แต่ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นทุกวัน และผม ก็ไม่รู้ว่าเฮียเปลี่ยนไปหรือยังพอๆกับที่ไม่รู้ว่าผมจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ยังไง
ไฟห้องนอนถูกปิดลงหลังมื้อค่ำ ภายในห้องสี่เหลี่ยมปกคลุมด้วยความเงียบและเสียงถอนใจยาว บูมล้มตัวนอนข้างผมแล้วดึงผมเข้าไปกอดทั้งตัว
กลิ่นของบูมคล้ายกลิ่นของเฮีย มันกอดผมจนจมไปในอก ลูบหลังซ้ำๆเวลาที่ผมสะอื้นออกมา แต่ไม่นาน ผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งทั้งน้ำตา..
และถ้าหากมันเป็นฝัน ผมก็ตอบไม่ได้เลยว่านี่คือฝันดี หรือฝันร้ายผู้ชายตัวโตเคราครึ้มนั่งอยู่ข้างเตียง ตาลึกโหลจ้องมาเขม็งดุ แสงจากผ้าม่านทีปิดไม่สนิทลอดเข้ามาแยงตาจนผมต้องหยีตาแล้วยกมือขึ้นขยี้ มือใหญ่รีบรวบข้อมือผมเอาไว้ สัมผัสนั้นอ่อนโยนจนเหมือนจริง เหมือนจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นฝัน
"อย่าขยี้.."
"เฮีย.." ผมพูดคล้ายละเมอ ยันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงแต่ยังไม่ทันได้นั่งดีๆ ทั้งร่างก็ถูกกระชากเข้ามากอดไว้ กอดให้สมความคิดถึง กอดให้สมความขลาดกลัว กอดไม่ให้เฮียหายไปจากความฝัน
ไม่ให้เฮียกอดใครอีกคน.. คนที่จะเอาเฮียไป"ทำไมเป็นแบบนี้!"
เสียงตะคอกดังขรมต่ำ ทั้งตัวเริ่มถูกกอดรัดแรงขึ้นจนกระดูกดังกรอบและเพิ่งเป็นการยืนยันให้ผมทราบว่า นี่มันไม่ใช่ความฝันแล้ว
"เฮีย.. มาได้ไง!!"
"ไอ้บูมโทรบอกว่าเน็ตร้องไห้ "
เฮียคลายแรงที่กอดรัดผมออก ดันหน้าให้เงยขึ้นสบกับตาคมแบบหนีไม่ได้ ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยตามร่องแก้มที่ยังมีร่องรอยของน้ำตาพาดผ่านอยู่
“เน็ตเป็นอะไร..?”
“ทำไมเฮียไม่โทรมา....”
“ขอโทษ งานยุ่งๆน่ะ อีกอย่าง ไม่ค่อยสะดวกด้วย”
“มีคนอื่นใช่ไหม?”ผมกลั้นใจถาม อย่างน้อยถ้าผมกับเฮียเปลี่ยนไปแล้วตัวเองก็ควรจะได้รับรู้บ้าง ผมจะได้คิด จะได้หาทางว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป
ชีวิตที่ไม่มีเฮีย“พูดอะไรออกมา...”“ที่ไม่โทรหาเน็ต เพราะมีคนอื่นใช่ไหม!” ผมเริ่มผลักเฮียออก นึกโกรธ เสียใจ แต่มือใหญ่ก็รวบเอาไว้แน่นให้ผมดิ้นจนเหนื่อย พอเริ่มหยุดเปลี่ยนมาเป็นร้องไห้ เฮียก็คลายมือลงเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว
“ใช่มั้ย! ตอบสิ!”“มีใครที่ไหนเล่า ทำงาน... เน็ตเป็นอะไร ทำไมงี่เง่าแบบนี้”
“เออ เน็ตมันงี่เง่า ใครจะไปน่ารักแสนดีได้ตลอด! ไม่ชอบ ไม่พอใจก็เลิกสิ บอกเลิกกันมาตรงๆ ให้เน็ตรอทำไม
ให้กูรอทำไม!”
ผมตะคอกใส่มันก่อนร้องโอดโอยตามแรงกระชากดึง เฮียผลักผมเข้าห้องน้ำ เปิดก๊อกแล้ววักน้ำมาถูปากผมแรง
“พูดบ้าอะไรออกมา! เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พูดแบบนี้ ห๊ะ!”“ปล่อยกู!”
“ไอ้เน็ต!! เฮียไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่พี่เรานะ! อย่าให้ถึงขั้นเอาน้ำยาล้างห้องน้ำมาล้างปาก! พูดจาให้ดีๆ”
“ไม่ต้องมายุ่ง!”
“หยุดร้องไห้แล้วตั้งสติได้แล้ว! เฮียโกรธแล้วจริงๆแล้วนะ”
“ไม่รักก็บอกมา พูดออกมาสิ! อย่าทำกับกูแบบนี้....” ผมร้องไห้เหมือนเด็กๆ ทุบที่อกมันแรงเหมือนคนบ้าแต่เฮียก็ไม่ยอมปล่อย ขึงตามองผมนิ่ง
“ถ้าไม่รัก จะรีบบินกลับมาทันทีที่รู้ว่าเน็ตร้องไห้ไหม....”คนพูดเอ่ยเสียงนิ่ง เฮียปล่อยมือที่รั้งผมไว้ ตัวเองเลยรูดตัวลงนั่งกับพื้นห้องน้ำ ยกเข่าขึ้นมากอดสะอึกสะอื้นราวจะขาดใจ ทั้งชีวิตไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้เลยครับ กลัวจนหน้ามืดไปหมด
“พอแล้ว.. ไม่ต้องร้องแล้ว ขอโทษ”
คนตัวโตทรุดลงนั่งยองๆ มันดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ทั้งตัวลูบหัวลูบไหล่ไปพลาง
“เน็ตรักเฮีย...”“รักเฮียก็เชื่อใจเฮียหน่อยได้ไหม ไม่ได้มีใคร งานยุ่งจริงๆ”
“แต่ว่า....”
“เจมส์มันแกล้งไปงั้นแหละ เฮียคุยกับมันแล้ว ไม่มีอะไรให้เน็ตกังวลหรอก เจมส์เป็นแฟนมิน มันทะเลาะกันเลยมานอนที่ห้องด้วย เรื่องอื่นไม่มีอะไรทั้งนั้น เอางี้ เดี๋ยวเน็ตลาพักร้อนกลับญี่ปุ่นกับเฮียไหม วันจันทร์ค่อยมาทำงาน”
มือใหญ่ค่อยๆจับมือผมนวดคลายกังวล ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเฮียพอทำท่าจะเบะปากร้องไห้อีกคนตัวโตก็รีบจุ๊ปาก
“พอแล้ว.. ตาบวมหมดแล้ว”
ผมหลบสายตาลงต่ำ เฮียเลยดึงผมเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว ใช้จมูกเกลี่ยผิวแก้มแล้วจูบเบาๆที่ขมับ พอผมกอดคืน เฮียก็ยกผมอุ้มทั้งๆที่ยังกอดกันอยู่
“เดี๋ยวเอาน้ำแข็งประคบตาหน่อยนะ วันนี้ยังไม่ต้องไปทำงานหรอก”
ผมพยักหน้าชิดอก เฮียวางผมไว้บนโซฟา มันหายไปในครัวแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าห่อน้ำแข็งแล้วนั่งคุกเข่าบนพื้น
“หลับตาซิ” ผมทำตามอย่างว่าง่าย ไอเย็นที่ผ่านผ้าขนหนูทำเอาผมสะดุ้งนิดๆแต่ก็ยอมให้เฮียประคบตา “ปวดไหม?”
“อือ..”
“งั้นทีหลังก็ไม่ต้องร้อง มีอะไรพูดกับเฮียตรงๆ”
“ก็โทรไปแล้ว ใครใช้ให้คนอื่นรับสาย...”
“ใครรับก็ไม่ต้องคุย รอคุยกับเฮียเอง โอเคไหม เฮียไม่เคยโกหกเน็ตอยู่แล้วนี่ จะไปฟังคนอื่นพูดอะไรอีกทำไม”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตอนนี้ยังรัก เฮียก็บอกแบบนี้ “แล้วถ้าเฮียไม่รักเน็ตแล้วล่ะ? จะยังพูดกันตรงๆอีกไหม?”
“อืม วันไหนไม่รักแล้วเดี๋ยวบอก”
ผมเริ่มเบะปากจะร้องไห้อีก คราวนี้เฮียหัวเราะ “แต่ไม่ได้ยินหรอก เฮียยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเลิกรักเด็กขี้แยยังไง พอเลย ไม่ต้องร้องแล้ว กลับมาหาแล้วนี่ไง”
ผมพยักหน้ารับรู้ พักใหญ่กว่าเฮียจะยอมเอาน้ำแข็งที่ประคบตาผมออก คราวนี้มันขยับมานั่งข้างๆกันบนโซฟา จูบแก้มผมซ้ำๆจนต้องย่นคอหนี
“อะไรเล่า...”
“หมั่นไส้เด็กขี้หึง”
“เปล่าสักหน่อย เฮียทำตัวน่าสงสัยเอง...”
“อือ ขอโทษ..” เฮียว่า มันดึงมือผมออกจากตักไปจับไว้ คราวนี้จูบเบาๆที่หลังมือแล้วมองผมตาเยิ้ม “เอางี้ ถ่ายรูปคู่ขึ้นเฟสบุคดีไหม จะได้ประกาศไปเลยว่าเราเป็นแฟนกัน”
“ตลกแล้ว ไม่ต้องเลย”
ผมเบือนหน้าหนี แต่เฮียไม่ยอม หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาทำท่าดึงผมเข้าไปชิด อันที่จริงผมไม่ค่อยแสดงตัวกับเฮียบ่อยนักว่าคบกันอยู่ เรื่องงานของเฮียค่อนข้างเป็นที่รู้จักทางสังคม กระนั้นเวลาใครถาม เฮียก็จะตอบด้วยตัวเองว่ามีแฟนแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกที เฮียตั้งค่ากล้องให้ถ่ายด้วยกล้องหน้าแล้วกอดผมไว้ด้วยมือข้างเดียว
ผมแกล้งเบือนหน้าหนี เฮียเลยยื่นจมูกไล่ตาม สุดท้ายเอนตัวจนจะตกโซฟาอยู่แล้วเลยหันหน้ามาด่ามัน เฮียกะจังหวะเหมาะเหม็ง มันกัดปลายจมูกผมเบาๆแล้วเสียงแชะก็ดังขึ้นให้ผมทุบบ่ามันไปหลายรอบ
“หน้าเน็ตตลกจะตาย”
ผมบ่นอุบ เฮียไม่เข้าโปรแกรมแต่งภาพอะไรเลย มันอัพรูปขึ้นเป็นรูปโปรไฟล์แทนรูปเก่าทันที ส่วนผมงี้นั่งหูแก้มร้อนไปหมด ได้ทีเฮียยิ่งหัวเราะใส่ แล้วลอคเอาท์ เอายูสเซอร์ผมลอคอินเข้าไปเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นภาพเดียวกันบ้าง ตั้งชื่อใต้ภาพไว้อีกว่า
‘คนเดียว’ ทั้งๆที่ในรูปมีคนสองคนชัดๆ
“โอเคไหม?”
“กวนตีน..” ผมบ่น เฮียเลยยีหัวยุ่งๆของผมไปมาแล้วก้มลงจูบที่ปากเบาๆ คราวนี้มันยิ้มแล้วหยิกแก้มผมไปด้วย “ดีใจนะเนี่ยที่หึง แต่หึงแรงไปหน่อย ขู่เลิกแบบนี้เฮียเสียใจนะ ขอโทษมาเลย”
ผมพยักหน้า เอ่ยคำขอโทษมันออกมาแผ่วเบา ก่อนกระโดดขึ้นไปนั่งตักเฮียแล้วซบอก “ขอโทษนะ ก็รักมากเลยหึงมาก กลัวเฮียทิ้ง..”
“อืม ดีมาก”
“บอกคืนมาสิ”
“อะไร?”
“กวนตีน” ผมด่ามันเป็นรอบที่สอง เฮียเลยกระชับอ้อมแขนที่กอดผมไว้ให้แน่นกว่าเดิมแล้วใช้จมูกไซร้ใบหู
“เฮียก็รักเน็ต รักมากเป็นห่วงมาก แบบนี้จะทิ้งไปไหนได้ เข้าใจไหมครับ?” เสียงกระซิบนั้นเบาพอที่จะได้ยินกันแค่สองคน ผมค่อยๆคลี่ยิ้มกว้างออกมา
กว้างมากพอที่จะชดใช้รอยน้ำตาและอาการแห้งเหี่ยวของจิตใจ ให้ฟื้นฟูกลับมาดีได้ โดยไม่ยากเย็น
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend Special รักมาก คิดมาก
9/01/12
วันนี้สีอารายย ย ย ย ฮี้วววว
ไม่ใช่ฟิตนะจ๊ะ ช่วงนี้งานน้อย และจะน้อยไปอีกถึงวันศุกร์ ฮุเล่ หลังจากนี้แหละแม่คุณเอ๊ย ไม่อยากจะคิด ได้กลิ่นงานมาตุๆ
อ้อ น้องเน็ตฝากเพลงนี้มาให้เจมส์คุง
http://www.youtube.com/watch?v=6J-Ktlgv4kI
แอบมาโปรโมตเรื่องใหม่เบาเบา ••รักเร่••
รักเร่เป็นชื่อดอกไม้นะจ๊ะ บ่แมนรักแร้หรือจั๊กกะแร้
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ รักมาก ชุบชุบ