ตอนที่ 16 : คุณค่า (Part 2)
ผมหันกลับมาซ้อมเต้นต่อไประหว่างรอการทำความสะอาดห้องของเด็กปีหนึ่งทั้งสอง
“อิชาาาาาาาาาา พวกกูมาแล้ว” คงทายไม่ยากนะว่าใครคือกลุ่มแขกรายใหม่ อิเพื่อนสามเกลอแก๊งนางฟ้าของผมนั่นเอง พวกมันเข้ามาหลังจากผมซ้อมได้ไม่นาน
“อุ๊ย ไปช่วยน้องอะตอมดีกว่า” “น้องแทนนี่นา น้องแทนนนน พี่ช่วยถูพื้นให้ไหมคะ” “อิชา โซนิคของกูล่ะ”
“นี่พวกมึงเป็นเพื่อนกูจริงๆใช่ไหม” ผมแขวะ “มาถึงก็ถามหาแต่ผู้ชาย ของขาดกันนักหรือไงห๊ะ”
“โอ๊ย ก็ถามหาบ้างไรบ้าง” อิช้างทำท่าชะอ้อนชะแอ้น “ว่าไง น้องโซนิคอยู่ไหนเหรอ”
“ข้างนอก เดี๋ยวก็มา” กูตอบให้แล้ว อย่ามาเซ้าซี่อีกนะ “วันนี้กูจะให้พวกมึงดูแลน้องๆนะ”
“ได้ค่ะนายท่าน” ถูกใจเชียวนะอิช้าง
“ทุกคนนะ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง” ผมเตือน
“ค่า....”
“สวัสดีค่ะพี่น้ำชา”
มีแขกใหม่เข้ามา.... อ่อ นึกว่าใคร น้องครีมนั่นเอง
“หวัดดีครับน้องครีม” ผมตอบรับ “เรื่องเมื่อวานนี้ต้องขอบใจมากนะ ลำบากหน่อยนะ”
“ไม่หรอกค่ะ แค่แกล้งเล่นละครนิดหน่อย” เรากำลังพูดถึงเรื่องที่ผมวานให้น้องครีมทำเป็นสนิทสนมกับพี่ท๊อป
“ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ผลแค่ไหน พี่ก็ไม่ได้ติดตามผลเลย ไม่รู้ว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเคลียร์กันหรือยัง”
“เคลียร์เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ห๊ะ ครีมรู้ได้ไง”
“ก็พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นไปรับหนูมาที่นี่ค่ะ”
“จริงอ่ะ!! หนูปลอดภัยดีใช่ไหม พี่บุ๋นไม่ได้ตำหนิหรือทำอะไรหนูใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ พี่ท๊อปเขาคงอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจละมั้ง ก็เลยพาพี่บุ๋นมาทำความรู้จักกับหนู เราจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน”
“อ๋อ... โล่งอกไปที ว่าแต่ พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอยู่ไหนล่ะ”
“เห็นคุยกันว่าจะไปเอารถยนต์พี่บุ๋นที่คอนโดฯอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”
อ๋ออออ รถยนต์ของพี่บุ๋นที่ผมขับไปเก็บไว้ที่คอนโดฯ ของพี่ตองนั่นเอง
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” ผมบอก “ไปช่วยแทนกับอะตอมทำความสะอาดห้องเถอะ”
“ค่ะ” แล้วเธอก็รีบไปทำตามที่บอก
“แค่สี่ทุ่มเท่านั้นนะ”
“ครับบบบบ”
หือ!!!!!!!
เดี๋ยวๆๆๆ
อะไร ยังไง ทำไมจู่ๆขนมปังถึงเดินกลับเข้ามาพร้อมไอ้น้องโซนิค ถึงแม้เจ้าเด็กเนิร์ดจัดฟันจะมีสีหน้าไม่เต็มใจนักแต่ก็เหมือนว่ายอมเดินเข้ามาในห้องซ้อมแต่โดยดี
ไม่ได้ๆ เรื่องนี้ริวต้องยุ่ง ถามซะหน่อยดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ทำไมสองคนนี้กลับเข้ามาด้วยกันได้
“พี่น้ำชาครับ”
“ครับ?” ผมถูกอะตอมรั้งไว้เสียก่อน
“คือ.... ตอม...” อ้าว อ้ำอึ้งทำไหมหว่า
“มีอะไรก็ว่ามาเลย”
“ตอมขอบคุณนะครับ เรื่องที่พี่น้ำชาช่วยสืบหาเบาะแสแม่ของตอม ตอมไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย” อะตอมยิ้มเขินๆ
“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร แค่นี้เอง พี่อยู่ในจุดที่ช่วยได้พี่ก็ช่วย ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็คงช่วยเหมือนกันนั่นแหละ”
“ถ้าตอมมีกำลังทรัพย์มากพอ ตอมจะไม่รบกวนพี่น้ำชาเลย แต่....”
“พี่เข้าใจ อะตอมไม่อยากรบกวนพี่ แต่ก็อยากตามหาแม่ เอาเป็นว่าตอนนี้พี่มีศักยภาพพอที่จะช่วยได้ พี่จะช่วยอย่างเต็มที่ ส่วนอะตอมก็นึกถึงแค่เรื่องที่ต้องทำในตอนนี้”
“ครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปทำความสะอาดครับ”
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนี้ พี่หมายถึง.... แทน มานี่ซิ” ผมเรียกไอ้คนที่ทำท่าเช็ดกระจกอยู่ คิดว่ากูดูไม่ออกหรือไงว่ามึงแอบฟังอยู่ ทันทีที่ถูกเรียก ไอ้น้องแทนก็รีบวิ่งมาทันที “พี่รู้สึกว่าทั้งสองคนจะลืมอะไรไปบางอย่างนะ”
“ลืม....?” อะตอมพยายามคิด
“ใช่ ลืม” ผมบอก “ทั้งอะตอมทั้งแทน มีจุดประสงค์ในการเป็นผู้นำเชียร์กันทั้งคู่ พี่ไม่ตำหนิที่อยากแสวงหาผลประโยชน์จากตรงนี้ เพราะแม้แต่ตัวพี่เองก็มีจุดประสงค์อื่นเหมือนกันก่อนที่จะมาเป็นผู้นำเชียร์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องไม่ลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยามัณฑนา มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ในตัวของมันเอง และพี่อยากให้ทั้งสองคนระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่ควรทำตอนนี้คืออะไร หยุดทำตัวล้อเล่น หยุดง้องแง้งเหมือนเด็กไม่รู้จักโต หรือแม้กระทั่งหยุดเอาใจใส่คนอื่นมากกว่าที่จะสนใจสิ่งที่ตัวเองควรทำเพื่อพัฒนาตนเองสู่การเป็นผู้นำเชียร์ที่ดี” ประโยคสุดท้ายผมหมายถึงพฤติกรรมขี้เอาใจของไอ้น้องแทน
“ค...ครับ” อะตอมและแทนก้มหน้าตอบพร้อมกัน
“นี่แค่ด่านแรกนะ ยังไม่ผ่านเข้าไปเป็นลีดคณะด้วยซ้ำ ถ้ายังทำตัวแบบนี้อีก พี่จะไม่หนุนหลังให้อีกแล้วนะ.... ทั้งคู่เลย” แอบรู้สึกผิดนิดนึงที่ตำหนิน้องนะ(แค่นิดเดียว) แต่ผมต้องพูดอะไรบ้าง ไม่งั้นจะเป็นการให้ท้ายพวกเขาเกินไป
“โถๆ ดุจังนะไอ้รุ่นพี่ชาเย็น” ไอ้ต้อมนั่นเองที่เข้ามาสับสวิทอารมณ์กลางบทสนทนา “น้องมันก็แค่จีบกัน ไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย คนกำลังมีความรัก มึงก็เข้มงวดไปได้”
“ห๊ะ!!!” ผมร้อง
“อะไร มึงดูไม่ออกเหรอ” ไอ้ต้อมถามผมพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ปั๊ดโถ่เอ๊ย ไว้พี่จะสอนนะเด็กชายชาเย็น”
จริงเหรอวะ
เอ่อ.... ท่าจะจริงแล้วล่ะ ถึงอะตอมจะทำท่าอยากปฏิเสธ แต่ก็ไม่พูดต่อ ส่วนไอ้อีกคนนี่แล้วใหญ่ หน้าแดงเชียว เขินเป็นกับเขาด้วยเหรอนั่น
“พอๆๆๆ” ไม่พูดต่อแล้ว กูไม่อยากไปมีส่วนในเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอีกแล้ว “ใครจะทำอะไรก็ทำ ตอนนี้ถึงเวลาซ้อมแล้ว รีบไปทำความสะอาดเลยนะ ให้เวลาอีกห้านาที....” ผมไล่ทุกคนออกไป ยกเว้นไอ้ต้อมนี่แหละที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าเย๊าะเย้ยในความอ่อนเดียงสาของผม “โซนิค เกตุ เร่งมือเข้า เราไม่ได้มีเวลากันทั้งวันทั้งคืนนะ.... อิช้าง อิเล็ก อย่าไปเกาะแกะน้อง เธอด้วยวาวา ออกไปซื้อข้าวมาเลย เร็วๆ”
“ใครเอาตำแยชุบแป้งทอดให้อิชากินเข้าไปหรือเปล่าวะมึง”
“อิช้าง กูได้ยินนะ” ผมรีบท้วง “บอกให้ออกไปซื้อข้าวไง ไปกันทั้งสามคนนั่นแหละ เดี๋ยวพวกมึงจะโดนหวายลงหลัง”
“ค่า... ไปๆๆ พวกมึง เดี๋ยวนายหญิงจะพิโรธ”
“ถามจริง มึงดูไม่ออกจริงๆเหรอ” ดูความอยากเอาชนะของไอ้ต้อมดิ มันยังไม่หยุดพูดอีก “กูมองแค่แว๊บเดียวกูก็รู้แล้วเนีย”
“กูไม่สน” ผมตอบ “มึงว่างนักก็ไปช่วยน้องทำความสะอาดห้องโน่นไป”
“เรื่องไร กูเป็นถึงลีดมหาลัยที่หล่อที่สุดในปีสอง กูยืนหล่อๆอยู่แบบนี้แหละ”
“กล้าพูดนะ เดี๋ยวกูตบเกรียนแตกเลย”
“ชา”
“อ้าว ข้าว” มีแขกมาอีกแล้ว เอ๊ย ไม่ใช่ซิ นี่คณะสังคม คณะของไอ้ข้าว ต้องเรียกว่า เจ้าของบ้านต่างหากแล้วก็มีไอ้สุ่ยมาด้วย “มาทำไรกันอ่ะ”
“กูพาใครบางคนมาหามึง” ไอ้สุ่ยเปรย ก่อนจะมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา
“เกตุ!” ผมร้อง “มึงพาเกตุมาทำไมอ่ะ”
“ก็ข้าวเจ้าบอกว่ามึงมีน้องผู้หญิงคนนึงต้องสอน กูก็เลยคิดว่ามึงน่าจะต้องการรุ่นพี่ลีดที่เป็นผู้หญิงมาช่วยสอนสักคน ซึ่งเกตุคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”
“นี่เรากลายเป็นตัวเลือกไปแล้วเหรอ” เกตุแซ็ว
“หมายถึงเก่งไง” ไอ้สุ่ยรีบแก้ตัว “ทั้งสวย ทั้งเก่ง แถมเป็นลีดมอด้วย”
“อะแฮ่ม” ไอ้ข้าวทำท่ากระแอ่ม เข้าใจนะว่ามึงกำลังหึง แต่ไอ้วิธีการกระแอ่มแบบนี้มันเอาไว้ใช้ในละคร
“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างงั้น” ไอ้สุ่ยรีบโบกไม้โบกมือแก้ตัวอีกครั้งเป็นการใหญ่ “สุ่ยหมายถึงเผื่อไอ้ชาต้องแตะเนื้อต้องตัวน้องผู้หญิงไง”
อ๋อ อย่างงี้นี่เอง เข้าใจคิดนี่นา ก็จริงนั่นแหละ ให้สอนน้องผู้หญิง มันก็คงต้องมีโดนตัวกันบ้าง เพื่อป้องกันพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็ควรให้ผู้หญิงด้วยกันเขาเป็นคนสอน
“โอ้โห คนเยอะจัง” ผมควรจะหงุดหงิดนะที่มีคนเข้ามาอีกแล้ว แต่นี่คือพี่กอล์ฟ ซึ่งเป็นแฟนของเกตุ ถ้าไม่ให้เข้ามาก็คงใจร้ายไปหน่อย
“หวัดดีครับพี่กอล์ฟ” ผมกล่าวทัก
“เด็กในสังกัดเยอะน่าดูเลยนะน้ำชา” พี่กอล์ฟแซ็ว “แต่คงสอนง่ายกว่าเด็กวิศวะโง่ๆอย่างพวกพี่อยู่ละมั้ง”
“นั่นมันคนละอย่างกันครับพี่ สอนคณิตกับสอนลีดไม่เหมือนกันนะ”
“พอๆๆ” เกตุแทรก “สอนได้หรือยัง เกตุคันไม้คันมือจะแย่แล้ว”
“อ....โอเค” จริงจังไปไหนเกตุ อย่างกินหัวเด็กๆของเรานะ “ทุกคน วางมือได้แล้ว มารวมกันตรงนี้ครับ พี่จะเริ่มสอนแล้ว”
เอาล่ะ สอนได้ซะที
“ดูพี่ก่อนนะ”
ห้านาทีแรก ผมก็ทำการเต้นเต็มเพลงให้อะตอม แทน โซนิค และครีม ได้ดู จนคิดว่าพวกเขาเข้าใจจังหวะดีแล้ว จากนั้นก็ทำการเริ่มลงทีละท่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และทุกคนก็ดูตั้งใจอย่างที่ควรจะเป็น แต่.....
“น้ำชา เกิดเรื่องแล้ว!!” อุปสรรคก็มา นี่สอนได้ถึงครึ่งชั่วโมงหรือยังเนีย
“อะไรครับพี่ท๊อป” ผมไม่รู้ว่าควรตื่นเต้นดีหรือเปล่าที่จู่ๆ พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องซ้อมแบบนี้
“ไอ้ตองถูกเรียกเก็บตัวด่วน” พี่บุ๋นพูดแบบน้ำไหลไฟดับ
“ห๊ะ” เก็บตัว เก็บตัวอะไรวะ
“เออ รีบไปก่อนเถอะ”
“เดี๋ยวดิพี่ ผมติดสอนอยู่ จะทิ้งน้องไปได้ไง” แถมยังไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่ด้วย
“คืองี้” พี่ท๊อปกำลังหาคำอธิบาย “ตองถูกมหาลัยเรียกให้ไปอบรมด่วนที่เชียงใหม่ก่อนเดินทางไปอังกฤษร่วมกับมหาลัยอื่นๆ”
“ครับ” แล้วไง มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
“นี่มึงจะไม่ไปส่งแฟนมึงหรือไง” พี่บุ๋นโวยวาย “ไอ้ตองจะไม่ได้กลับมาแล้วนะ อบรมเสร็จก็ไปอังกฤษต่อเลย”
“อะไรนะ!”
“เออ เข้าใจหรือยัง ถ้าเข้าใจก็รีบไปได้แล้ว เร็ว เดี๋ยวกูไปส่ง” พี่บุ๋นไม่รอช้าที่จะมาจูงมือผม
“เดี๋ยวก่อนซิพี่ เดี๋ยวๆ” ผมชะงัก
“อะไรอีก”
“ก็...ผมต้องสอนเพลงมิ่งขวัญให้น้องๆ พวกนี้”
“ไปก่อนเถอะน่า”
“แต่ว่า...” ผมยังสองจิตสองใจ จะให้ผมทิ้งหน้าที่ของตัวเองได้ยังไง ก็รู้อยู่หรอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ผมควรไปส่งพี่ตอง แต่จะให้เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเหตุผลในการทิ้งงานเนี่ยนะ
“เดี๋ยวพี่อยู่สอนให้ก็ได้” พี่ท๊อปตัดสินใจ “พี่รู้จักเพลงนี้ แต่อาจจะต้องรื้อฟื้นกันหน่อย”
“เอ่อ...เอางั้นเหรอครับ” ผมไม่แน่ใจนัก
“จะอยู่จริงเหรอ” พี่บุ๋นดูท่าจะไม่อยากให้พี่ท๊อปอยู่เท่าไหร่ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้อยู่กับน้องครีมโดยที่ไม่มีตัวเองอยู่ด้วย
“เอาไงดีอ่ะ” ผมเริ่มร้อนใจแล้ว
“กูไปส่งมึงเอง” ไอ้ต้อมอาสาพร้อมเดินเข้ามาเอามือกอดคอผม “บอกมาเลยพี่ว่าผมต้องพามันไปที่ไหน”
“ที่คอนโดฯนั่นแหละ” พี่บุ๋นรีบตอบ
“โอเค ไปกัน ไอ้ชาเย็น” ไอ้ต้อมเร่ง
“แต่...” ผมยังลังเล ส่วนพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเริ่มเข้าไปหาเด็กปีหนึ่งและเข้าสู่กระบวนการสอน “โอ๊ย! ไอ้สัดต้อม มึงกล้าตบเกรียนกูเหรอ”
“ก็เออดิ” มันเหมือนจะดุผมนิดหน่อย “มึงจะบ้าเหรอ นั่นพี่ตองนะเว้ย แฟนมึงทั้งคนนะ หน้าที่ของมึงเลยนะที่ต้องไปส่งพี่เขา ทีเมื่อกี๊ทำเป็นปากเก่งสอนน้องเรื่องคุณค่าการเป็นลีด ตอนนี้มึงควรจะต้องรู้จักคุณค่าของการเป็นคนรักบ้างนะ”
เอาซะกูเถียงไม่ออกเลย
“เออๆๆ งั้นก็รีบไป” ไม่อย่าเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะถูกไอ้ต้อมตบเกรียนและสั่งสอนในเวลาเดียวกัน
หลังจากขึ้นรถยนต์ของไอ้ต้อม ผมก็โทรหาพี่ตองทันที แต่ยังไม่ทันจะกดอะไรเลย คนทางโน้นก็โทรเข้ามาเสียก่อนแล้ว
“ฮัลโหลพี่ตอง” ผมรับ
“ชาครับ พี่มีเรื่องด่วนอ่ะ พอดีว่าทางมหาลัย...”
“ชารู้แล้ว” ผมตัดบท “พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นมาบอกชาแล้ว”
“อ้าว เหรอ ขอโทษนะครับที่พี่บอกช้าไปหน่อย มันค่อนข้างเร่งด่วน พี่ก็เลยต้องรีบเก็บของยัดใส่กระเป๋า”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ชากำลังจะไปหาพี่ตองที่คอนโดฯแล้ว”
“ไม่ต้องมาหรอก ไปหาพี่ที่สนามบินเลยดีกว่า”
“ทำไมอ่ะ จะออกไปแล้วเหรอ”
“อีกครึ่งชั่วโมง รถของมหาลัยก็จะมารับพี่ไปที่สนามบินแล้ว ถ้าชาไปที่โน่นเลย เราน่าจะเจอกันพอดี”
“เอางั้นเหรอ”
“ครับ ขืนมาเจอกันที่คอนโดฯเดี๋ยวก็คงได้คลาดกัน ไปเจอกันทีเดียวเลยดีกว่า”
“โอเค งั้นเดี๋ยวชาโทรหาอีกทีนะ”
“ครับ”
“ไอ้ต้อม ไปสนามบินเลย” ผมบอกไอ้ต้อมทันทีที่วางสาย “พี่ตองกำลังจะไปที่โน่นแล้ว”
“อือหือ” ไอ้ต้อมร้อง “อย่างกับผจญภัยตามรักแท้”
“ขับๆไปเหอะน่า”
“เออๆ”
“อยู่ด้านข้างครับ ใกล้ๆรูปปั้นยักษ์”
“ไหนอ่ะ ชาก็อยู่ตรงรูปปั้นแล้วนี่ไง” หลังจากที่มาถึงสนามบิน ผมก็คุยโทรศัพท์ไปด้วยตามหาพี่ตองไปด้วย โดยมีไอ้ต้อมช่วยมองหาอยู่ข้างๆ
“โน่นๆ” ไอ้ตองสะกิดผมให้มองไปด้านหลัง
“พี่ตอง” กรรม เผลอร้องดังไปหน่อย คนแถวนั้นหันมามองเต็มเลย
“รีบไปหาผัวมึงดิ” ไอ้ต้อมผลักผมให้เดินไปข้างหน้า เพราะผมมัวแต่อายอยู่
เอาวะ ถึงจะอายแต่ก็คงต้องเดินไปหา
ทั้งที่เห็นพี่ตองทุกวัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเขินๆพิกล อาจจะเป็นเพราะยังไม่ได้เตรียมตัวที่จะบอกลาพี่เขาเลย พอทุกอย่างเกิดขึ้นแบบเร่งด่วนก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกโหวงๆไปด้วย
“พี่ต้องไปแล้วนะ” พี่ตองเริ่มทันทีที่เราทั้งสองเดินมาใกล้กัน “เดี๋ยวอีกสักพักก็ต้องเข้าเกทแล้ว”
“ทำไมเร็วแบบนี้ล่ะ” ผมไม่รู้จะถามอะไร นี่ผมต้องรับมือกับความเหงาจริงๆเหรอ
“พี่ก็เกือบไม่ทันเหมือนกัน แต่ถ้าให้เดา พี่คิดว่าคงเป็นเพราะมีมหาลัยอื่นเข้าร่วมดูงานด้วย ทีมงานก็เลยอยากละลายพฤติกรรมของพวกนักศึกษา จะได้ไม่ไปมีปัญหาที่โน่น ก็เลยโดนเรียกเก็บตัวด่วนแบบนี้”
“แล้วของทุกอย่างเตรียมเสร็จแล้วเหรอ ไม่ลืมอะไรใช่ไหม”
“ไม่รู้ซิครับ ถ้าลืมก็คงต้องไปหาซื้อที่โน่น”
“ที่โน่นได้ข่าวว่าอากาศหนาวไม่ใช่เหรอ เตรียมเสื้อผ้าหนาๆแล้วหรือยัง”
“เตรียมแล้วครับ”
“เอกสารล่ะ อุปกรณ์ในห้องน้ำ แล้วไหนจะ...”
“ชาครับบบ” คนตรงหน้าหยุดความกังวลของผม “ขืนชาเป็นห่วงพี่มากขนาดนี้ พี่ก็ดูงานแบบไม่สบายใจซิ พี่ไม่ได้ไปเป็นปีซะหน่อย”
“ก็มัน....” อย่าร้องไห้นะกู “แล้วพี่ตองจะติดต่อชามาตอนไหนอ่ะ เดินทางนานไหม”
“พี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อติดต่อแฟนของพี่ให้เร็วที่สุดครับ” ถึงจะได้ยินแบบนี้ แต่มันก็ไม่ทำให้สบายใจขึ้นมาสักเท่าไหร่หรอก “แต่ถ้าติดต่อมาช้า พี่ก็มีชาอยู่ข้างๆแล้วล่ะ”
“อะไร?”
คนตัวสูงหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม.....
“จ...จะเอาไปด้วยเหรอ มันเก่าแล้วนะ เอาของเก่าๆแบบนั้นไปใช้ไม่อายเพื่อนเหรอ” ก็นึกว่าอะไร หมวกคลุมศรีษะนั่นเอง มันเป็นหมวกผ้าไหมเก่าๆสีฟ้าเทาที่ผมซื้อให้พี่ตองตอนอยู่เกาหลีปีที่แล้ว สภาพของมันตอนนี้ไม่ใช่แค่ตกเทรนนะ แต่เริ่มมีรูขาดเล็กๆแล้วด้วยซ้ำ “ซื้ออันใหม่ไปดีกว่านะ อันนี้มันแทบจะกันอากาศหนาวไม่ได้แล้ว เดี๋ยวชารีบหาซื้อแถวๆนี้ รอแป๊บเดียว”
“ไม่ต้องครับไม่ต้อง" พี่ตองขว้าแขนผมไว้ "ของบางอย่างก็มีคุณค่าในแบบของมันนะครับ” พี่ตองสวมหมวกไหมพรมเก่าๆที่ศีรษะของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “ที่สำคัญพี่ไม่ได้ใส่มันไว้เพื่อความอบอุ่นของร่างกายซะหน่อย.................
......................แต่เพื่อความอบอุ่นของหัวใจต่างหาก”