[H.E.A.R.T.] Trap หัวใจพ่ายรัก
Part 13# Zo ความจริงเมื่อ 7 ปีก่อน
ผมรู้อยู่แล้ว...
รู้ทั้งเรื่องที่น้องแค้นและตั้งใจจะเอาคืนผม
แต่ทั้งๆ ที่รู้ทำไมผมถึงยอมให้น้องทำ?
เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะผมรู้สึกผิดและอยากไถ่โทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นคนทำเลยก็ตาม...
ตอนนั้นผมโดนพวกเพื่อนในห้องมันปั่น ตัวตั้งตัวตีก็เป็นแก๊งเกรียนหลังห้องที่ชอบแกล้งคนนู้นคนนี้ไปทั่ว พอหนึ่งในแก๊งนั้นแอบเห็นน้องเอาจดหมายมาไว้ใต้โต๊ะของผมก็เลยแอบอ่าน จากนั้นก็นึกสนุกจึงนัดแนะแผนการที่จะไปแกล้งน้อง เพราะพากันคิดว่าน้องไม่เจียมตัว ไม่เหมาะสมกับผม แถมยังคิดไปเองว่าผมคิดเหมือนกันแล้วก็ต้องปฏิเสธน้องแน่
แต่ผมจะปฏิเสธได้ยังไงในเมื่อผมก็รักน้อง!
อย่างที่ผมเคยบอกว่าผมไม่เคยมองใครด้วยรูปลักษณ์ภายนอก แต่ผมจะมองลึกไปถึงนิสัยที่อยู่ข้างใน เพราะงั้นผมจึงได้ตกหลุมรักเด็กตัวอ้วนกลมที่มักจะยิ้มอย่างสดใส และมองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย สายตาที่น้องมองผมมันเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์และจริงใจ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ ต่างกับคนอื่นที่ผมมักจะไว้ตัวและเว้นระยะห่าง
ผมคิดว่าผมก็ปฏิบัติต่อน้องอย่างชัดเจนว่าเป็นคนพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครเอะใจหรือนึกสงสัยเลยสักคน ขนาดตัวน้องเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมเลยกลับมาคิดทบทวนว่าผมทำอะไรพลาดไปตรงไหน หรือบางทีน้องอาจจะไม่ได้รักผม แต่แค่ปลื้มผมในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่งเท่านั้น?
ผมพยายามหาคำตอบอยู่พักใหญ่แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จนกระทั่งวันสุดท้ายผมเลยคิดว่ายังไงก็ต้องบอกความรู้สึกให้น้องรู้ให้ได้ แต่ผมก็ช้าไปเพราะน้องดันบอกความรู้สึกมาก่อน ซึ่งขณะที่ผมกำลังจะตอบรับและบอกว่าเราสองคนใจตรงกัน พวกเพื่อนในห้องที่ไม่รู้ว่าแอบตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ดันโผล่มา
‘เหยดดดดด ไอ้น้องอ้วนนี่แม่งเป็นเกย์ว่ะมึง’
‘ไม่เจียมสังขารเอาซะเล้ย สิวเต็มหน้าขาก็เบียดยังจะใฝ่สูงชอบเดือนโรงเรียนว่ะ’
‘เออ แม่งโคตรใจกล้าหน้าด้าน ตัวอย่างกับช้างหน้าตาก็ทุเรศแม่งใครมันจะไปเอา’
แล้วก็อีกสารพัดคำดูถูกและเหยียดหยาม ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธมากจนอยากซัดหน้าพวกมันเรียงตัว แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนที่มักจะเก็บอารมณ์ แล้วก็มีนิสัยชอบยิ้มอยู่เสมอไม่ว่าจะเวลาไหนเลยยังไม่ได้ทำอะไรพวกนั้น แต่ถ้าหากมันเกินขีดจำกัด สิ่งที่ผมเก็บเอาไว้มันก็จะระเบิดออกมาตู้มเดียว
‘พวกมึงยังเป็นคนกันอยู่มั้ย! ทำไมถึงได้หัวเราะทั้งที่น้องเขาวิ่งร้องไห้ไปแบบนั้น!’ แต่ถึงผมจะตวาดดังลั่น พวกเพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็ยังไม่คิดจะรู้สึกผิดหรือว่าสำนึกเลยสักนิด
‘พวกกูก็แค่แกล้งขำๆ มึงจะโกรธจริงจังทำไมวะโซ่’ สีหน้าท่าทางที่ไม่ยี่หระในขณะที่พูด ทำให้ผมรู้สึกโกรธมากจนต้องกำหมัดแน่น
‘ก็ถ้ามึงจะพูดอย่างนั้น เกิดกูแกล้งพวกมึงแบบขำๆ บ้าง พวกมึงก็คงจะไม่ว่าแล้วก็จะไม่โกรธใช่มั้ย’
‘อะไรของมึงวะโซ่ แค่แกล้งไอ้เด็กอ้วนคนเดียวมึงจะอะไรกับพวกกูนักหนา หรือว่ามึงชอบมันถึงได้โกรธแทนมันขนาดนี้’ ไอ้พวกนี้ แทนที่จะสำนึกและรู้สึกผิดแต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปเป็นอย่างอื่น
‘ถ้าชอบแล้วพวกมึงจะทำไม’
‘ก็ไม่ทำไม แต่พวกกูไม่คิดว่ามึงจะตาต่ำขนาดนี้’
‘กูว่ามึงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ การที่คนเราจะต่ำหรือสูงมันไม่ได้วัดกันที่รูปร่างหน้าตา แต่มันวัดกันที่สันดานต่างหาก เพราะงั้นถ้ามึงบอกว่าน้องเขาต่ำ กูว่ามึงก็คงจะจมอยู่ใต้ดินที่น้องเขาเหยียบอยู่มากกว่า’ พูดจบผมก็เดินออกมา ก่อนจะเริ่มออกตัววิ่งตามหาน้องที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ส่วนไอ้พวกเพื่อนก็พากันเงียบไม่มีใครพูดอะไรหรือว่าตามมา อาจเป็นเพราะว่าพึ่งเคยเห็นผมในโหมดนี้ครั้งแรกก็เป็นได้
ผมวิ่งวนตามหาน้องอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงแต่ก็ไม่เจอ ผมเลยคิดว่าน้องคงจะต้องกลับบ้านไปแล้วแน่ๆ ก็เลยต้องตัดใจเพราะผมไม่รู้ว่าบ้านน้องอยู่ที่ไหน จะโทรหาก็ไม่ได้เพราะกฎของโรงเรียนห้ามไม่ให้พกโทรศัพท์และน้องก็ไม่มีด้วย ดังนั้นที่ผมทำได้ตอนนี้ก็มีแค่กลับมาตรงหลังตึกเก่าที่น้องนัดเจอเท่านั้น
ที่นั่นไม่มีพวกเพื่อนในห้องของผมอีกแล้ว มีเพียงแค่โซ่หลากสีและเศษแก้วที่แตกกระจายเต็มพื้นเท่านั้น ของขวัญที่น้องอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ แต่ไอ้พวกเพื่อนก็เข้ามาชนจนทำให้มันหลุดมือผมไป
ถึงจะแก้ตัวยังไง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวผมนี่แหละที่เป็นคนทำมันพังเอง...
‘พี่ขอโทษนะโย’
แล้วผมก็ก้มลงเก็บโซ่และเศษแก้วที่แตกกระจายใส่กล่องที่อยู่ในกระเป๋า ถึงจะลำบากเอาเรื่องเพราะมันมีทั้งดินและหญ้า แต่ผมก็พยายามเก็บมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่สายตาจะมองเห็น แม้ว่ามือของผมจะเต็มไปด้วยแผลที่ถูกแก้วบาดจนเลือดอาบก็ตาม
วันนั้นหลังจากกลับบ้านผมก็รีบเอาโซ่และเศษแก้วไปล้าง เพราะมันทั้งเปื้อนดินและเปื้อนเลือดจากมือของผม พอล้างจนสะอาดและเป่าจนแห้งเรียบร้อย ผมก็เอาเศษแก้วมาต่อกันใหม่โดยใช้ทั้งกาวและสก็อตเทปใส ผมใช้เวลาทำทั้งคืนเพราะว่ามือเจ็บและแก้วมันเป็นชิ้นเล็กมาก แต่แล้วในที่สุดตอนที่ฟ้าสว่างความพยายามของผมมันก็ประสบความสำเร็จ
จริงอยู่ว่าขวดโหลมันไม่ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยมันก็ยังกลับมาเชื่อมติดกัน ซึ่งผมก็แอบหวังว่าผมกับน้องจะเป็นแบบนั้น เพราะงั้นผมถึงได้พยายามทำให้ของขวัญชิ้นนี้กลับไปอยู่ในสภาพใกล้เคียงแบบเดิมมากที่สุด
ด้วยความที่โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง แถมยังอดนอนมาทั้งคืนผมเลยเผลอวูบหลับไป ดังนั้นจากที่ตั้งใจจะรีบไปหาน้องตั้งแต่เช้ามันก็เลยผิดพลาด ผมดันนอนหลับยาวจนถึงตอนเที่ยง กว่าจะไปถึงโรงเรียนเวลาก็ปาไปบ่ายโมงกว่าๆ ซึ่งในตอนนั้นเพื่อนในห้องของน้องบอกว่าน้องได้กลับบ้านไปแล้ว
‘โยกลับบ้านแล้ว? ทำไมล่ะ?’
‘ก็มันอายที่ถูกล้อไงพี่ เรื่องที่เมื่อวานมันใจกล้าหน้าด้านไปสารภาพรักกับพี่เขารู้กันทั้งโรงเรียนแล้วนะ แม่งโคตรไม่เจียมบอดี้เลยอะ เนอะพวกมึง ฮ่าๆๆๆ’
แล้วเพื่อนในห้องของน้องก็พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน ทั้งยังเหยียดน้องอีกสารพัดจนผมที่ได้ฟังถึงกับหน้าชา ผมรู้สึกโมโหจนอยากจะอาละวาดใส่ไอ้เด็กพวกนี้มาก แต่การทำอย่างนั้นมันไม่มีประโยชน์ผมเลยต้องอดทนข่มใจเอาไว้
‘สนุกมากมั้ยครับน้องๆ ที่ได้หัวเราะบนคราบน้ำตาของเพื่อน? พี่เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะเคยโดนมาสักครั้งในชีวิตเหมือนกัน ตอนนั้นมันไม่ได้รู้สึกสนุกสักนิดเลยใช่มั้ย เพราะงั้นจำความรู้สึกตอนนั้นเอาไว้แล้วอย่าไปล้อใครอีกนะครับ’
แม้ว่าจะโมโหแค่ไหนแต่ผมก็ไม่ได้ขึ้นเสียงใส่ แถมผมยังคงยิ้มให้เด็กพวกนั้นด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นไม่ใช่เป็นการสร้างภาพ แต่ผมคิดว่าการจะสอนใครสักคนถ้าหากไม่ใช้อารมณ์มันน่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด เพราะเด็กพวกนั้นรู้สึกผิดจนหน้าจ๋อยกันหมดเลย
‘ถ้าโยกลับมาก็อย่าลืมไปขอโทษโยกันด้วยนะ’ ผมพูดจบก็เดินออกมา แต่ผมจะไม่รอให้น้องกลับมาแล้วค่อยขอโทษหรอกนะ ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเอง เพราะผมอยากรีบขอโทษน้อง ปลอบโยนน้อง แล้วก็บอกความรู้สึกของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ผมเลยรีบไปที่ฝ่ายทะเบียนแล้วค้นหาที่อยู่ของน้อง การเป็นประธานนักเรียนมันทำให้ผมเข้านอกออกในห้องนี้ได้อย่างสบาย พอได้ที่อยู่ของน้องผมก็รีบจดเอาไว้ จากนั้นก็เอาหลักฐานต่างๆ ที่ผมเคยรวบรวมเอาไว้ตลอด 3 ปี ทั้งจากที่มีคนมาแจ้งและพบเห็นด้วยตัวเองไปส่งที่ฝ่ายปกครอง
ถามว่าหลักฐานพวกนั้นคืออะไร?
ก็เป็นวีรกรรมของพวกเพื่อนโดยเฉพาะแก๊งเกรียนหลังห้อง ซึ่งก็มีทั้งที่เคยโดดเรียนไปมั่วสุมบ้าง ต่อยตีกันภายในโรงเรียนบ้าง หรือดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ในหอพักบ้าง นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่บางคนเคยลอกข้อสอบ ปลอมลายเซ็นผู้ปกครอง หรือแกล้งครูอาจารย์ในโรงเรียนแต่ยังจับตัวคนทำไม่ได้อีกด้วย
เรื่องพวกนี้ผมมีหลักฐานครบทุกอย่าง แต่ที่ไม่เคยเอาไปส่งฝ่ายปกครองก็เพราะเห็นแก่เพื่อน ผมจึงกล่าวตักเตือนแล้วก็ทำทัณฑ์บนเอาไว้ แต่ในเมื่อพวกนั้นไม่มีสำนึกของความเป็นคน ผมก็ต้องสั่งสอนให้รู้จักสำนึกซะบ้าง แล้วผมก็เชื่อว่าฝ่ายปกครองจะต้องมีมาตรการลงโทษพวกนั้นอย่างสาสมแน่นอน
พอส่งหลักฐานทั้งหมดเรียบร้อยแล้วผมก็รีบขับรถไปบ้านน้อง หลังจากที่กดออดสักพักก็มีผู้ชายสองคนเดินออกมา ถ้าจำไม่ผิดน้องเคยบอกว่าที่บ้านมีกัน 5 พี่คน ทำงานแล้ว 2 คน ยังเรียนมหา’ลัยอีก 2 คน เพราะงั้นสองคนนี้น่าจะเป็นพี่คนโตกับพี่คนรองสินะ
‘มาหาใคร’ พี่คนโตถามผมอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ดูจากท่าทางน่าจะกำลังกลุ้มหรือร้อนใจเรื่องอะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็มั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องของน้องแน่
‘สวัสดีครับ ผมเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนของโย คือผม...’
‘แกเองหรอคือไอ้รุ่นพี่คนนั้น!’ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบ พี่คนโตของบ้านก็เข้ามากระชากคอเสื้อของผมขึ้นซะก่อน นี่ถ้าหากว่าพี่คนรองไม่เข้ามาห้ามและจับแยก ผมอาจจะถูกซัดจนหน้าแหกไปแล้วก็ได้
‘ใจเย็นๆ สิพี่ภู หัวร้อนอย่างกับวัยรุ่นไปได้ มันก็ไม่แน่ว่าน้องคนนี้จะเป็นรุ่นพี่คนนั้นสักหน่อย’
‘เป็นผมเองนี่แหละครับ’ และทันใดนั้นเอง แรงปะทะจากฝ่ามือพี่คนรองก็กระทบมาที่ใบหน้าของผมอย่างจัง
เพียะ!
ใบหน้าของผมหันไปตามแรงกระทบ ก่อนที่สักพักความแสบร้อนจะก่อตัวขึ้นมา แต่ว่าผมก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะว่าจะต้องโดนแบบนี้ ความจริงผมสมควรจะโดนหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ
‘กลับไปซะ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก บ้านนี้ไม่ต้อนรับคนอย่างนาย’
‘แต่ผมอยากจะขอโทษโย แล้วผมก็อยากจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้โยฟัง โยกำลังเข้าใจผมผิด ความจริงผมก็รักโยเหมือนกันนะครับ’
‘คิดว่าฉันจะเชื่อคำโกหกแบบนั้นรึไง! ถ้ารักโยจริงทำไมแกถึงปกป้องโยไม่ได้! ทำไมแกถึงปล่อยให้โยต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้!’ พี่คนโตตวาดใส่ผมดังลั่น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมถึงกับยืนนิ่ง สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ผมปกป้องน้องไม่ได้จริงๆ...
‘ผมขอโทษครับ’
‘เก็บคำขอโทษของแกกลับคืนไป! แล้วก็ไสหัวออกไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้ด้วย!’
‘แต่ว่าผมอยากจะขอโทษโยจริงๆ ให้โอกาสผมด้วยเถอะนะครับ’ ผมอ้อนวอนพร้อมกับคุกเข่าลง ทั้งสองคนที่เห็นอย่างนั้นก็ดูจะอึ้งๆ ไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมให้ผมเจอน้องอยู่ดี
‘โอกาสมันไม่ได้มีให้ทุกคนเสมอไปหรอกนะ อีกอย่างตอนนี้โยก็ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่พร้อมจะพบใคร ถ้าหากนายรู้สึกผิดและรักโยจริงก็กลับไปซะ แล้ววันหนึ่งถ้าหากฟ้ารับรู้ความรู้สึกของนาย ก็อาจจะทำให้นายได้เจอกับโยอีกครั้งเอง’ พี่คนรองพูดจบก็ดึงมือพี่คนโตเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้ผมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจผมอีกเลย
วันหนึ่งถ้าหากฟ้ารับรู้ความรู้สึกของนาย ก็อาจจะทำให้นายได้เจอกับโยอีกครั้งเองพอคิดถึงคำพูดนั้นของพี่คนรอง มันก็ทำให้ผมลุกขึ้นแล้วยอมถอยกลับไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเลิกรักหรือยอมตัดใจจากน้อง ผมจะเก็บน้องไว้ในใจ จะไม่มองใคร แล้วก็จะไม่มีวันรักใครอีกเด็ดขาด ผมจะรอ...รอจนกว่าจะได้พบน้องอีกครั้ง แล้วเมื่อถึงตอนนั้นผมจะไม่มีวันยอมถอยหรือปล่อยมือจากน้องอีกเด็ดขาด
นี่เป็นการลงโทษตัวเองที่ปกป้องน้องไม่ได้...
และแล้ว 7 ปีผ่านไป ฟ้าที่เห็นใจก็ดลบันดาลให้ผมได้พบกับน้องอีกครั้ง...
2BC
สวัสดีค่าทุกคน ในที่สุดพี่โซ่ได้มีบทบรรยายสักที ตอนนี้ก็จะเฉลยความจริงของเรื่องเมื่อ 7 ปีก่อน แล้วจะก็ตอบข้อสงสัยในหลายๆเรื่องที่ค้างคาเนอะ ทั้งเรื่องที่ตลอด 7 ปีพี่โซ่หายไปไหน รู้จักพี่ภูได้ยังไง แล้วทำไมถึงยอมให้น้องแก้แค้น แต่ก็นะ...พี่โซ่แกความลับเยอะ ยังเก็บเรื่องนู้นเรื่องนี้ไว้อีกเพียบ ยังไงไว้รอมาฟังเฉลยกันอีกที่ครึ่งหลังน้าทุกคน
ว่าแต่...อ่านตอนนี้จบแล้วเป็นยังไงบ้างคะ ทีมที่เคยเกลียดพี่โซ่พอจะให้อภัยได้รึยัง หรือทีมที่รักพี่โซ่อยู่แล้วจะรักมากขึ้นกว่าเดิมมั้ย หวังว่าคงไม่มีใครเกลียดไปมากกว่าเดิมหรอกนะคะ เท่านี้พี่โซ่ก็น่าสงสารจะแย่อยู่แล้ว
ส่วนครึ่งหลังเค้ายังไม่แน่ว่าจะมาต่อให้ได้วันไหนนะคะ คือช่วงนี้งานรุมเร้ามาก
ส่วนดวงตาของเค้าก็ยังกลับมาไม่เต็มร้อย เรื่องเจ็บหรือเลือดออกน่ะไม่มีแล้ว แต่เหมือนจะมีอาการแพ้แสงเข้ามาแทน เพราะจ้องจอคอมแล้วตามันพร่าแล้วก็ปวดนิดๆน่ะค่ะ ดังนั้นเค้าอาจจะมาลงต่อช้าหน่อย แต่รับรองไม่หายไปไหนแน่นอน ถ้าคิดถึงก็เข้ามาทักทายกันได้นะคะทุกคน
(25 พ.ย. 61)