17
หลังจากที่พักฟื้นอยู่จวนไป๋สองวันบาดแผลก็ดีขึ้นคลอดเวลาที่คุณชายน้อยโม่บาดเจ็บนั้นถูกดูแลโดยคุณชายใหญ่ตลอดเวลา บ่าวทุกคนภายในจวนจะเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แม้เวลานี้บาดแผลจะดีขึ้นแต่คุณชายใหญ่ก็ยังคงดูแลไม่ห่าง
“ท่านปล่อยข้าได้แล้ว”
“เจ้ายังมิหายดีนักอย่าดื้อนักเลย” โม่อิงได้แต่ถอนหายใจเมื่อวงแขนนั้นไม่ยอมให้เขาเดินเอง บาดแผลเขาก็ดีขึ้นมากแล้วคุณชายใหญ่ผู้นี้ก็มิยอมปล่อยให้เขาเดินโดยไร้เจ้าตัวประคอง
“วันนี้เจ้าคงต้องกลับจวนโม่แล้ว ให้พี่ดูแลเจ้าเถิด” ให้ตายเถอะ น้ำเสียงทุ้มเจือออดอ้อนนี้ทำให้ใจเขาอ่อนยวบ ใบหน้าร้อนผ่าวเลยได้แต่ผินหน้าหลบสายตาคมที่ทอดมองอย่างอ่อนโยนนั่น
“อย่าจ้องข้าเช่นนั้นสิ” ร่างเล็กค่อยขยับออกห่าง
“หึๆ ทานมื้อเช้าเถอะ หลิงเอ๋อร์เป็นผู้เข้าครัวทำให้เจ้าโดยเฉพาะ” มีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องเสียดายแน่ๆ เมื่อกลับจวน อาหารฝีมือพี่อวี้หลิงอร่อยมากจนไม่อยากทานอาหารฝีมือคนอื่นอีกแล้ว ช่างเป็นรสมือที่ล่อลวงผู้อื่นเสียจริง แม้เขาจะบาดเจ็บแต่โรงน้ำชาก็ยังดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น
“นี่ยาของเจ้า”
“ข้าไม่กินแล้วได้รึไม่” ช้อนตาขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งข้างๆ ที่เมื่อสบตาก็รีบเบือนหน้าหนีทันที แล้วกระแอมไอหลายครั้งแล้วส่ายหน้าเบาๆ ยาที่ขมแสนขมจนเขาอยากอาเจียนออกมา
“พี่ให้หลิงเอ๋อร์ทำลูกกวาดนี้ให้เจ้าทานหลังดื่มยา” ลูกกวาดสีสวยในโหลแก้วนั้นทำเขาตาวาว ช่างเป็นคนที่ละเอียดอ่อนเสียจริงเขาไม่สามารถห้ามมุมปากมิให้ยกขึ้นมิได้เลย ยอมกลั้นใจยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียว
ตึง
“อ้าปาก” เขารีบอ้าปากลูกวาดสีหวานก็ถูกส่งเข้าปาก ทันทีที่แตะลิ้นรสหวานก็กระจายทั่วปาก อือ ข้าอยากได้กลับจวนด้วย
“ข้าชอบลูกกวาดนี้มากเลยขอรับ”
“เจ้าชอบก็ดีทั้งหมดนี่เป็นของเจ้า” เพราะการดูแลของคุณชายใหญ่ผู้นี้อยู่ในสายตาเขาตลอดเวลาทำให้ใจดวงน้อยของข้านั้น เริ่มที่จะหวั่นไหว
.
หลังจากที่เสี่ยงอิงโดนลอบทำร้ายแม้พี่ใหญ่จะเป็นคนเฝ้าดูแลแต่การสืบหาตัวการนั้นก็ไม่มีทางที่พี่ใหญ่จะปล่อยให้รอดไปได้หรอกนะ แถมยังร่วมมือกับตระกูลโม่บุกเข้าทำลายรังโจรที่รับจ้างมาทำร้ายแถมยังสืบหาตัวการซึ่งก็คือเถ้าแก่ของร้านหมอกเมฆา ที่เห็นว่าการค้าของพวกผมนั้นรุ่งเรืองเกินหน้าเกินตาจึงเกิดความริษยา และอีกอย่างคือโดนตระกูลโม่ปฏิเสธเรื่องการสู่ขอเสี่ยวอิงให้เป็นภารยา ซึ่งโดนหักหน้าต่อธารกำนัลเลยอับอายและโกรธแค้น ช่างเป็นชายที่รนหาที่ตายแท้ๆ
เสี่ยวอิงหลังจากที่หายดีแล้วก็กลับมาช่วยงานที่ร้านแต่ก็ต้องมีคนติดตามอีกเป็นพรวน แต่ผู้ที่ตามรับตามส่งนั้นคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพี่ใหญ่ ที่ตอนนี้ทุกคนในเมืองหยางต่างเข้าใจว่า หากเห็นคุณชายน้อยโม่จะต้องมีร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพไป๋ยืนเคียงข้าง ช่างเป็นภาพที่น่าอิจฉาจริงๆ ตอนนี้โรงน้ำชาของผมและเสี่ยวอิงต่างเป็นที่ล่ำลือในเรื่องขนมหวานและชารสแปลก ผ่านไปปีครึ่งผมและเสี่ยวอิงตัดสินใจขยายร้านและเปิดสาขาเพิ่มที่เมืองท่า และที่สำคัญผมเปิดทำเมนูขนมอบเพิ่มขึ้นเพื่อชาวต่างชาติที่มายังท่าเรือ ซึ่งได้รับคำชมอย่างล้นหลาม
“ซื่อจู เจ้านำสิ่งนี้ไปให้แม่ครัวด้วย”
“ขอรับคุณชาย” ตอนนี้ซื่อจูไม่ได้ตามรับใช้ผมเช่นเดิมแล้ว และผมก็ไม่ต้องการบ่าวรับใช้แต่ก็ปฏิเสธองครักษ์แม้จะมีเงาที่พี่เว่ยทิ้งให้ดูแลผมก็ตาม ตลอดปีครึ่งมานี้ผมกับเหล่าเงาต่างสนิทสนม ป่านนี้พี่เว่ยจะเป็นอย่างไรบ้างน้า
เหล่าเงาที่คอยดูแลตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นในใจพวกเขาต่างเลือมใสคุณชายน้อยผู้นี้ยิ่ง แม้คราแรกที่รับคำสั่งให้มาอารักษ์ขาคุณชายน้อยผู้นี้ พวกเขารับรู้เพียงว่าเป็นบุรุษที่นายของพวกเขาต้องตา หากแต่ก็มิได้เห็นว่าจะมีความพิเศษอันใด หากแต่ตอนนี้พวกเขาได้ประจักษ์แล้วว่าผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นหวางเฟยนั้นมีเพียงคุณชายไป๋อวี้หลิงแต่เพียงผู้เดียว เหลาเงาต่างภาวนาในใจว่าขอให้นายเหนือหัวของตนนั้นรีบกลับมา เพราะคุณชายไป๋นั้นนับวันยิ่งงดงาม เทียบจากแม่สื่อนั้นส่งเข้าจวนตระกูลไป๋แทบทุกวัน นายท่านรีบกลับมาเถอะขอรับ
.
“พี่ใหญ่ท่านกับเสี่ยวอิงเป็นเช่นไรกันบ้าง” แม้จะไม่ได้ตกลงกันเป็นกิจจะลักษณะแต่ก็มิมีผู้ใดอาจหาญส่งเทียบไปยังตระกูลโม่เลยเนื่องด้วยเกรงกลัวรองแม่ทัพแห่งกองพยัคฆ์
ก็แน่ล่ะใครจะกล้า
“ก็มิมีอันใด” พี่ใหญ่แสร้งทำเสียงเข้ม แต่กับผมมีหรือที่ไม่รู้หันไปสบตากับท่านพ่อแล้วอมยิ้ม จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไง เมื่อใบหูของพี่ใหญ่นั้นแดงก่ำทันที
เขินก็บอกว่าเขินน่า
“คิก อีกไม่นานท่านพ่อคงได้ไปหาท่านลุงโม่แน่ขอรับ”
“หลิงเอ๋อร์เจ้าอย่าพูดซี้ซั้ว” ตอนนี้ไม่เพียงแค่หูแล้วที่แดง ใบหน้าคร้ามแดดนั้นก็เปลี่ยนสีทันที ฮ่าๆ พี่ใหญ่ช่างน่าเอ็นดูยิ่ง ท่านพ่อยกน้ำชาขึ้นจิบแต่ก็มิอาจปิดบังรอยยิ้มของท่านพ่อได้
“ที่หลิงเอ๋อร์พูดมาก็ถูก เจ้าคิดเห็นเช่นไรบ้างอวี้จิ้ง” พี่ใหญ่เงียบไปครู่ใหญ่
“ท่านพ่อ..ปัญหาเรื่องนี้มิใช่จากทางข้า” อ่า ดูท่าปัญหาจะเป็นทางเสี่ยวอิงสินะ แต่เท่าที่สังเกตดูแล้วทางนั้นก็ดูมีใจกับพี่ใหญ่มิใช่น้อย ทำไมถึงยังตกลงไม่ได้นะ
“พี่ใหญ่ท่านบอกความรู้สึกกับเสี่ยวอิงไปรึยัง”
“ข้าต้องบอกด้วยรึ” โอ๊ย พี่ใหญ่ ผมยกมือขึ้นกุมขมับทันที อ่า ยึดคติทำมากว่าพูดรึไงนะ ทำไมไม่ได้นิสัยของพี่เว่ยมาเสียบ้างนะ แต่เอาเถอะก็เข้าใจว่าพี่ใหญ่เป็นบุตรชายคนโต จึงมักเก็บงำอารมณ์เสมอแต่กับความรักบางครั้งคำพูดก็สำคัญไม่แพ้กัน
เอาล่ะ ถือว่าเป็นการส่งเสริมพี่ใหญ่
“พี่ใหญ่ขอรับ บางทีที่เสี่ยวอิงไม่ตกลงเพราะพี่ใหญ่มิเคยบอกความรู้สึกของพี่ใหญ่ให้กับเสี่ยงอิงรู้ ข้ารู้ดีว่าพี่ใหญ่คงคิดว่าแค่การกระทำก็เพียงพอแล้วแต่บางครั้งคำพูดก็ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจกับการกระทำของท่านนะขอรับ” พูดจบก็ยกน้ำชาขึ้นจิบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเข้าใจของพี่ใหญ่แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จ
“ขอบใจเจ้ามากที่แนะนำพี่”
“ข้าอยากเห็นพี่ใหญ่มีความสุข” เมื่อได้ยินที่ผมพูดออกไปใบหน้าดุดันนั้นก็อ่อนโยนลง พร้อมกับรอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้ หลังจากที่พี่ใหญ่เข้าใจแล้ว
“อ่าเห็นทีพ่อต้องให้พ่อบ้านเอารายการทรัพย์สินมาให้ดูเสียแล้ว” ผมหัวเราะชอบใจเมื่อพี่ใหญ่โดนท่านพ่อแซว ครอบครัวผมน่ารักใช่ไหมล่ะ อยากให้พี่รองมาอยู่ด้วยกันจังแต่จะขโมยหัวใจมังกรมาก็คงไม่ได้ แต่ผมก็ส่งจดหมายเล่าความเป็นไปพร้อมกับส่งขนมอบไปให้พี่รองตลอดเวลาเห็นบ่นมากับจดหมายว่ารู้สึกตัวเองอ้วนขึ้น
.
.
สองวันต่อมาผมก็ต้องลุกขึ้นจากเตียงเร็วกว่าเวลาปกติเนื่องจากวันนี้เป็นวันสำคัญของจวน เมื่อชำระร่างกายเสร็จก็มีบ่าเข้ามาช่วยแต่งตัวชุดผ้าไหมเนื้อดี และเป็นสีที่ผมชอบสีฟ้าทอลวดลายด้วยด้ายไหมเงิน
“เสร็จแล้วขอรับคุณชาย” บ่าวรับใช้พูดขึ้นเมื่อวางผูกผมของคุณเรียบร้อย ยิ่งนับวันความงามของคุณชายนั้นยิ่งเป็นที่เลื่องลือ
“ขอบใจเจ้ามาก” ส่องกระจกเช็กความเรียบร้อยอีกรอบแล้วเดินไปยังห้องโถง ที่ตอนนี้มีพี่ใหญ่เดินวนไปวนมาด้าวยความตื่นเต้นช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง
“พี่ใหญ่ท่านตื่นเต้นเกินไปแล้ว”
“หลิงเอ๋อร์เจ้าไม่เข้าใจพี่หรอก” ส่ายหัวเบาๆ ก็ต้องเข้าใจเขาล่ะนะว่าจะไปขอคนรักหมั้นหมาย
ใช่แล้วครับ
หลังจากที่คุยกันวันนั้น พี่ใหญ่ก็ไปสารภาพความในใจให้กับเสี่ยวอิงต่อหน้าพี่เวินและพี่หย่งเจิ้ง พี่ชายทั้งสองของเสี่ยวอิง เมื่อได้ยินคำสารภาพรักของพี่ใหญ่เสี่ยวอิงก็หน้าแดงหลบหลังพี่ชายทั้งสอง หากแต่ก็ยอมพยักหน้าตอบตกลง พี่ใหญ่แจ้งแก่คุณชายทั้งสองว่าสองวันให้หลังจะมาเจรจาหมั้นหมาย อันนี้เสี่ยวอิงแอบมาเล่าให้ผมฟัง เล่าไปหน้าแดงไป เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญของพี่ใหญ่
“พร้อมแล้วรึไม่อวี้จิ้ง” ท่านพ่อถามพี่ใหญ่
“พร้อมแล้วขอรับ”
“งั้นเดินทางกันเถอะ” ผมและท่านพ่อเดินขึ้นรถม้าที่จอดคอยท่าอยู่หน้าจวน ส่วนพี่ใหญ่ก็ขึ้นควบม้าคู่ใจเพื่อไปยังจวนตระกูลโม่ เมื่อมาถึงจวนตระกูลโม่ พี่เวินและพี่หย่งเจิ้งก็มารอท่าอยู่แล้ว ท่ามกลางสายตาใคร่รู้จากชาวบ้าน พี่ใหญ่ประคองผมและท่านพ่อลงจากรถม้า เมื่อลงจากรถม้าท่านพ่อก็เดินนำพวกผมมาหยุดที่ประตูจวน
“คารวะท่านลุงไป๋ขอรับ”
“ไม่ต้องมากพิธี”
“เชิญด้านในเลยขอรับ” พี่หย่งเจิ้งเดินท่านพ่อไป พี่เวินกับพี่ใหญ่ก็เดินตามเข้าไปบรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น เมื่อถึงของโถง เก้าอี้ประมุขนั้นมีท่านลุงโม่ที่ผมพึ่งเคยเจอนั่งอยู่ ด้านขวามือคือฮูหยินผู้เฒ่า ที่นั่งต่ำลงมาคือฮูหยินโม่ ท่านพ่อนั่งลงฝั่งทางด้านซ้ายตามด้วยพี่ใหญ่และผม
“เอาล่ะที่ข้ามาวันนี้เพื่อขอหมั้นหมายบุตรชายคนเล็กเจ้า”
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย ขอแค่เป็นบุตรชายเจ้าข้าก็พร้อมที่จะยกให้ ฮ่าๆ ๆ” และทั้งสองก็หัวเราะกัน ผมนั่งจิบชาปล่อยให้ท่านพ่อพูดคุยตกลงกับท่านลุงโม่ไป ส่วนพี่ใหญ่ก็จ้องเพียงคู่หมาย หลังจากที่พูดคุยตกลงกันเรียบร้อยก็ร่วมทานมื้อเช้า ท่านพ่อและท่านลุงโม่นั้นหน้าชื่นตาบานพูดคุยกันอย่างถูกคอ
“เจ้าทานนี่สิ”
“ขอบคุณขอรับ” สองคนนี้ก็คีบกับข้าวให้กันกระหนุงกระหนิง โดนป้อนอาหารหมากันท้วนหน้า หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จพวกเราก็เตรียมแยกย้ายทำหน้าที่ เสี่ยวอิงก็ตามออกมาส่งพี่ใหญ่
“อิงเอ๋อร์ นี่เป็นของแทนใจจากพี่” พี่ใหญ่ล้วงเอากำไลออกมาจากแขนเสื้อ คว้าข้อมือเล็กขึ้นมาแล้วสามกำไลให้อย่างเบามือ อ่า ไม่อยากโดนอาหารหมาแล้ว ผมปีนขึ้นรถม้าไม่สนใจคู่รักแล้ว
.
อวี้จิ้งมองกำไลหยกของท่านแม่ที่ท่านพ่อให้เขาไว้ตั้งแต่เข้ากองพยัคฆ์ที่อยู่บนข้อมือขาว ช่างเหมาะสมกับร่างเล็กเสียจริง ตอนนี้ข้าและอิงเอ๋อร์เป็นคู่หมั้นกันแล้ว เพียงแค่คิดหัวใจเขาก็พองโตแล้ว
“พี่จะต้องไปที่ค่ายแล้ว”
“ขอรับ ข้าจะไปที่ร้านเช่นกัน”
“อืม พี่จะไปรับเจ้าตอนเย็น”
“ขอรับ พี่อวี้จิ้งท่านไปเถอะ” อ่า ข้าไม่อยากไปแล้วสิ
.
กาลเวลาหมุนเวียน ผ่านไปจนใกล้จะครบสองปีแล้ว ตอนนี้ผมอายุ 18ปีเต็ม วรยุทธ์ของผมก็ถือว่าป้องกันตนเองได้ ส่วนเรื่องร้านน้ำชาของผมกับเสี่ยวอิงนั้นก็เลื่องชื่อไปถึงเมืองหลวงจนต้องไปเปิดสาขาที่นั่น พี่รองนั้นยิ้มกว้างเพราะติดขนมอบของผมเสียแล้ว อ้อ อีกเรื่องคือก่อนที่จะจัดงานวันเกิดอายุ 18 ปีของผมนั้น ฮ่องเต้ทรงส่งม้าเร็วมายังจวน ในมือมีราชสาสน์นขององค์ฮ่องเต้มาด้วย เมื่อท่านพ่อได้อ่านก็ถอนหายใจและบอกว่าจะส่งคำตอบกลับไป คงเป็นเรื่องพี่รองแน่ๆ ส่วนคู่ของพี่ใหญ่และเสี่ยวอิงนั้น ก็ต้องบอกว่าเป็นคู่ที่ทุกคนอิจฉามาก และเสี่ยวอิงนับวันก็ยิ่งงาม เล่นเอาพี่ใหญ่หัวเสียหวงเสี่ยวอิงเสียจนผมต้องส่ายหน้า
“หลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์”
“ข้าอยู่นี่ขอรับพี่ใหญ่” เพราะใกล้สู่หน้าหนาวผมเลยเตรียมเย็บผ้าห่มผืนใหม่ให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ และทำอีกผืนให้กับเสี่ยวอิง ผมที่มาอยู่ที่นี่เกือบจะสองปีแล้วนั้นรับรู้แล้วว่าเมืองหยางนั้นหนาวแค่ไหน
“เจ้าทำอะไรอยู่”
“ข้ากำลังปักลายผ้าห่มขอรับ”
“พี่มีข่าวมาบอกเจ้า”
“อะไรรึขอรับ” ผมถามขณะที่กำลังปักลายผ้าอยู่ จริงๆ ทีแรกก็ไม่ถนัดหรอกนะครับ แต่พอได้เห็นบ่าวรับใช้หญิงทำก็เห็นว่าเป็นศาสตร์ที่งดงามและอาศัยฝีมือมากเลยขอให้บ่าวสอนให้เมื่อพอมีฝีมือท่านพ่อก็ให้ไปเรียนเพิ่มจนฝีมือไม่เป็นรองคุณหนูจวนไหน
“เว่ยชินกำลังจะกลับมาแล้ว”
กึก
“จริงหรือขอรับ”
“ใช่เรือที่มาเทียบท่าวันนี้ส่งจดหมายมาให้ เห็นว่าเจอกันที่เมืองท่าแล้วได้สนทนากันจึงฝากส่งมาให้”
“แล้ว...จดหมายว่าอย่างไรบ้าง” ละจากงานาในมือแล้วหันไปถามพี่ใหญ่ หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
“อีกสิบวัน เว่ยชินจะกลับมา”
กลับมาแล้ว
ในที่สุดก็กลับมาแล้ว
***********************************
มาแล้วค่ะ
ตอนนี้ที่อุบลนำ้ท่วมหนักมาก แต่ต่อให้ท่วมหนักแค่ไหน
ก็ต้องมาทำงานอยู่ดี คู่พี่ใหญ่นั้นเขาประกาศตัวอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ
ส่วนพระเอกเรานั้นกลับมาแล้ววววววววววววว จุดพลุค่ะ
อ่านแล้วเป็นยังไงอย่าลืมบอกเรานะคะ
รัก