คืนนั้น เมื่อเข้าห้องพักที่คุณลุงคุณป้าจัดไว้ให้แล้ว เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเสิร์ชกูเกิลหาดูคลิปและรูปของเตชิตสมัยที่เป็นลีดมหาวิทยาลัยตามที่พี่ๆ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาวๆ ได้เล่าให้ฟัง พอกดเอนเตอร์เท่านั้นก็มีรูปและคลิปขึ้นมาเป็นร้อยๆ ให้เขานั่งดูจนตาแฉะ ดูไปยิ้มไป ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าหมอเต้นี่... น่ารักฉิบหายเลย
แต่ระหว่างที่ดูรูปไป ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนๆ ข้างๆ กายเตชิตก็จะมีเพื่อนสนิทที่ชื่อรวินท์เสมอ คีรีดูไปดูมาก็ชักจะสงสัย คือถ้าบอกว่าเป็นแฟนกันเขาก็เชื่อสนิท อะไรจะตัวติดกันมาเป็นสิบปีแบบนี้ได้วะ แถมพวกเจ้าหน้าที่กับพี่พยาบาลยังว่าไม่เคยเห็นเดินกับผู้หญิงที่ไหน น่าจะยังโสดอยู่ทั้งคู่ด้วย
หรือเป็นเพื่อนแค่บังหน้า แล้วที่จริงเขาเป็นแฟนกันวะ!
คีรียกมือขึ้นดึงทึ้งเส้นผม ยิ่งดูไปก็ยิ่งหวั่นใจ ในอกเจ็บแปลบๆ จนทนไม่ไหวต้องส่งข้อความไปตามตัวเพื่อนๆ ที่แยกย้ายกันกลับบ้านในช่วงปิดเทอม
‘SOS ช่วยกูด้วย มีใครอยู่มั้ย’
‘เกิดอะไรขึ้นวะมึง’ ปิ๊กตอบกลับมาเป็นคนแรก ตามมาด้วยฟลุค ‘ว่าไงมึง’
‘เจนี่กับยุ้ยไปไหนวะ ตอนนี้กูต้องการเบรนสตรอมมิ่งด่วนๆ’
‘งั้นรอเดี๋ยว กูโทรตามพวกมันก่อน’
ใช้เวลาไม่นานเพื่อนทั้งสี่คนก็มาพร้อมหน้ากันอยู่ในแชตเรียบร้อย ‘เปิดกรุ๊ปคอลนะ โอเคมั้ย’
แล้วทั้งห้าชีวิตก็ไปสุมหัวกันในกรุ๊ปคอล แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่ก็ยังดีที่คุยพร้อมๆ กันได้
“อยากเห็นหมอเต้ที่เราพูดถึงใช่มั้ยวะ เสิร์ชเลย ลีดมหาลัย งานบอลประเพณีปีxx ชื่อจริงชื่อเตชิต”
เจนี่ตอบกลับมาทันที “ฮะ! เป็นลีดมหาลัยเลยเรอะ” จากนั้นทั้งสี่คนก็หายไปเสิร์ชหาภาพของเตชิตตามที่คีรีบอก
เมื่อภาพของเตชิตปรากฏขึ้นบนจอโทรศัพท์มือถือ สี่หน่อก็ยิ่งช็อกหนัก ถึงกับผงะหงายหลังไปตามๆ กัน คือไอ้หล่อก็หล่ออะนะ แต่ห่างไกลความน่ารักมุ้งมิ้งในจินตนาการของพวกเขาอย่างที่ไอ้คีรีบรรยายไว้อยู่หลายปีแสง เตชิตไม่ได้เอวบางร่างน้อย ไม่ได้ตัวเล็กบอบบางอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม ไม่ได้มีส่วนไหนคล้ายแอฟ ทักษอร เขาตัวสูงโปร่ง น่าจะสูงพอๆ กับไอ้คีรีเลย ใบหน้าจัดว่าหล่อออกไปทางหวานๆ หน่อย นัยน์ตาโตสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน เวลาถ่ายรูปคนเดียวก็ว่าเด่นแล้ว แต่พอยืนคู่กับหมอวินที่พวกเขาเคยเจอที่คลินิก คือรอบๆ ตัวเหมือนกลายเป็นหลุมดำไปเลย
“ไอ้เหี้ย! ไอ้คีรี! หมอเต้ของมึงเนี่ย มันผู้ชายชัดๆ เลยนะมึ้ง!” ปิ๊กร้องลั่น
“ก็ผู้ชายน่ะสิวะ! กูบอกแต่แรกแล้วไงว่าหมอเต้เป็นผู้ชาย!”
“โอ๊ย คีรีเอ๊ย แค่เขาเป็นผู้ชายยุ้ยก็ว่าจีบยากสาหัสแล้ว นี่นายยังคิดจะปีนเกลียว แถมยังเสือกหวังของสูงอีกนะไอ้เพื่อนบ้า~” ยุ้ยร้องเสียงหลง
“ไอ้คีรี กูไม่เห็นความหวังของมึงเลย คือถ้ามึงคิดจะจีบหมอเต้ กูว่ามึงแห้วล้านเปอร์” ฟลุคครางตามเพื่อนสาวไปติดๆ
“พวกมึงเป็นเพื่อนกูมั้ยเนี่ย! เข้าข้างกันหน่อยสิวะ!”
“อ้าว สรุปมึงคิดจะจีบหมอเต้แล้วเหรอวะ” ปิ๊กย้อนถามกลับไปทันที
คีรีชะงัก เขานิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วถามเสียงอ่อย “มึงว่ากูไม่มีหวังเลยเหรอวะ”
“มึงส่องกระจกดู hum มึงด้วย มึงมี hum หมอเต้เขาก็มี hum โพรไฟล์เขาระดับนี้ ต้องมีสาวๆ สวยๆ มาให้เลือกเป็นแผง มึงคิดว่าเขาจะเอามึงมั้ยล่ะ!”
“ไหนพวกมึงว่าความรักไม่จำกัดเพศไงวะ แล้วโพรไฟล์กูไม่ดีตรงไหน กูก็เป็นเดือนคณะนะเว้ย ตากูก็มีตังค์ สอบอิ๊งตอนมิดเทอมไฟนอลกูก็ได้เต็มคนเดียวในคณะเลยนะ เกรดเฉลี่ยกูก็ 3.9 นะเว้ย กูก็ไมใช่หมาข้างถนนมั้ยวะ”
ทั้งสี่นิ่งอึ้ง คือไอ้คีรีเพื่อนของพวกเขามันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ หน้าตาก็ดี เรียนเก่ง รวยอีกต่างหาก ต่อให้กับผู้ชายด้วยกันก็น่าจะมีหวัง แต่แบบ... หมอเต้ที่มันเพ้อหาเนี่ย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“เขาเป็นลีดมหาลัยที่ดังโคตรๆ เลยนะคีรี”
“เออ เรารู้... ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกเราจะยอมไปประกวดเดือนมหาลัย ทำงานกิจกรรมทุกอย่าง ยอมเป็นลีดด้วย เผื่อหมอเต้จะหันมามองเราบ้าง... ไม่น่าขี้เกียจเลยว่ะ”
น้ำเสียงของคีรีเศร้าไปจนเพื่อนๆ นึกสงสาร
“นายนึกยังไงถึงไปปิ๊งหมอเต้เขาได้วะ” เจนี่ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เราก็ยังงงๆ กับตัวเองอยู่... ครั้งแรกที่เราเจอหมอเต้น่ะ เขากำลังดุคนไข้ ดุแบบไม่สนหินสนแดดเลยนะเว้ย ท่าทางจริงจังสุดๆ แล้วเราก็ไปกินข้าวมันไก่ แต่เสือกลืมเอาเงินไป เกือบจะโดนเฮียเจ้าของร้านเอาปังตอฟันคอขาดแล้ว หมอเต้ก็เข้ามาช่วย ดุเฮียเจ้าของร้านนิดเดียว เฮียแม่งหงอ ปังตอแทบร่วงหลุดมือ แล้วเขาก็จ่ายค่าข้าวให้เราเฉย ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกัน แค่เพราะเห็นว่าเรากำลังลำบากเท่านั้น”
“อ้อ ที่นายเอาเงินไปคืนที่คลินิกใช่มะ”
“แล้วเมื่อวานตอนที่เจอที่โรงบาล เราเห็นหมอเต้กำลังคุยกับตายายชาวเขา สีหน้าเขาโคตรอ่อนโยน ทำฟันให้ตายายชาวเขาฟรีด้วย เรายืนอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกได้ถึงความใจดีของเขาเลย”
เพื่อนๆ ที่ปลายสายนิ่งฟังพลางพยักหน้าหงึกๆ พอได้ยินแบบนี้พวกเขาก็พอจะเข้าใจล่ะนะว่าทำไมคีรีถึงติดใจหมอเต้คนที่ว่านัก
คีรีเล่าความประทับใจของเขาให้เพื่อนๆ ฟังหมดเปลือก เล่าต่อไปจนถึงเรื่องของหมอวินด้วย
“เออ เจนี่นึกออกแล้ว ถึงว่าสิหมอวินนี่หน้าคุ้นชะมัด” เจนี่ตบเข่าฉาด “หมอวินนี่ ที่เขาจิ้นคู่กับพี่วิดวะไฟฟ้าคนนั้นไง คนที่ตีกลองสะบัดชัยตอนยี่เป็งปีที่แล้วอะ”
“อ้อๆ ที่ชื่อภูพิงค์ใช่มะ คู่นี้ดังมากเลยนี่ เขาจิ้นกันสนั่นเมือง แฟนคลับเยอะมากเลยนะ ไม่นึกว่าตัวจริงจะหล่อขนาดนี้เลยอะ สุดยอด”
“นั่นแหละประเด็นสำคัญเลย เราได้ยินว่าทั้งหมอเต้กับหมอวินยังโสด อย่างน้อยที่โรงบาลลำพูนก็ไม่เห็นเคยไปไหนมาไหนกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ แถมยังสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนเลยด้วย”
“มึงเลยกลัวว่า...” ปิ๊กกดไล่ดูรูปของทันตแพทย์ทั้งสองคนไปเรื่อยๆ “ที่จริงแล้วพวกเขาจะคบกันอยู่ใช่มะ มันก็น่าอยู่หรอกนะ ตัวติดกันมาตั้งนานขนาดนี้”
“แต่ถ้าคบกันอยู่ หมอเต้ก็ไม่น่ายอมให้หมอวินมาเป็นคู่จิ้นกับพี่ภูพิงค์มั้ยวะ”
“แต่หมอวินอาจจะอยากช่วยคณะของพี่ภูพิงค์ก็ได้นะ เขาสนิทกันนี่หว่า”
ฟลุคพยักหงึกๆ “เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก แต่ต้องรอเปิดเทอม มึงอดใจรอไปก่อนละกันไอ้คีรี ระหว่างนี้พวกกูจะลองถามๆ คนรู้จักดูให้เว้ย”
“ถ้าสมมติว่าหมอเต้กับหมอวินคบกันจริง นายก็เตรียมทำไร่แห้วจากหน้าบ้านนาย ยาวไปถึงอีกกาแลคซี่เลยนะ” เจนี่พูดเสริม
“ก็ไม่แน่เว้ย อย่างน้อยถ้าพวกเขาคบกันจริง ก็แปลว่าหมอเต้ก็คบผู้ชายมี hum แบบไอ้คีรีได้เหมือนกันปะวะ”
“มึงกล้าเอาเพื่อนมึงไปเทียบกับหมอวินเลยเหรอสัส”
คีรีทั้งเหี่ยวทั้งหด หมดสภาพหนุ่มเจ้าสำอาง เจ้าชู้แปดสาแหรก ไม่เหลือเศษเสี้ยวของความเป็นโอปป้าแล้วตอนนี้ ในอกเจ็บหน่วงแบบแปลกๆ เป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เห็นหมอเต้กับหมอวินอยู่ด้วยกัน และตอนที่โดนอีกฝ่ายเมิน “นี่เรา...จะต้องอกหักตั้งแต่รู้ตัวว่าหลงรักเลยเหรอวะเนี่ย”
เจนี่ได้ทีเลยต้องทับถมเพื่อนอีกสักหน่อย “มันคงเป็นกรรมที่นายไม่เคยจริงจังกับใคร เราเคยเตือนนายหลายทีแล้วใช่มั้ย”
“เรา...ขอโทษ”
“จะบอกให้ว่านี่แค่เริ่มต้นนะ พอได้รักแล้ว ต่อไปอาจจะต้องเจ็บปวดกว่านี้อีกมาก อีกหลายครั้งหลายหนด้วย”
คีรีขมวดคิ้ว พลางยกมือขึ้นกุมอก “เจ็บกว่านี้...อีกหลายหน”
การอกหักนี่...จะเจ็บเหมือนความรู้สึกที่เขามีอยู่ในเวลานี้หรือเปล่า หรือจะเจ็บปวดทรมานมากกว่านี้อีก เด็กหนุ่มได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ
“เออ พร้อมมั้ยล่ะ รับได้มั้ยล่ะ”
คีรีนิ่งไปชั่วครู่ “เรายังไม่รู้ว่าจะรับได้รึเปล่า เพราะเรายังไม่เคยอกหัก แต่ถ้าถามว่าพร้อมมั้ย ก็คิดว่าพร้อม”
ยุ้ยถอนหายใจหนักๆ “คีรี ยุ้ยจะพยายามช่วยนายเต็มที่นะ แต่นายต้องสัญญากับยุ้ยนะ ว่านายจะทุ่มเทกับหมอเต้เต็มที่ เลิกนิสัยขี้เอา แล้วก็เตรียมใจไว้ให้พร้อมที่จะอกหักด้วย”
“ถ้านายคิดจริงจัง เจนี่ก็จะช่วยเป็นกำลังเสริมให้นายอีกคน” เจนี่พูดขึ้นบ้าง
“พวกกูสองคนยังไงก็อยู่ข้างมึงอยู่แล้ว” ฟลุคกับปิ๊กร่วมวงด้วย
“เราสัญญา” คีรีตอบรับอย่างหนักแน่น ก่อนจะพูดเสียงอ่อย “คนอย่างเรา อกหักซะบ้างก็คงสมควรแล้ว”
“งั้นก็ลองดูกันสักตั้ง อกหักยังดีกว่ารักไม่เป็นเว้ย เชื่อไอ้ปิ๊กเถอะ”
สามคนที่เหลือพูดใส่โทรศัพท์พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ไปยืมคำพูดใครมาวะ เชยฉิบหายเลยไอ้ปิ๊ก!”
คีรีพอยิ้มออกมาได้บ้าง “ยังมีอีกเรื่องทีเรายังไม่ได้บอก ลุงภูมิกับหมอเต้จะไปประชุมทันตแพทย์ที่โรงแรมตาเราที่เชียงราย ตรงช่วงที่เรากลับบ้านพอดี”
“หมอวินไม่ได้ไปเหรอวะ”
“ไม่มั้ง ลุงเราบอกมาแค่นี้”
“ไปประชุมนานแค่ไหนวะ”
“รู้สึกว่าจันทร์ถึงศุกร์เลย น่าจะกลับวันเสาร์เช้าล่ะมั้งนะ”
“ก็สบายเลยสิวะ มีโอกาสดีๆ แบบนี้ มึงต้องบุกเข้าไปจีบเลย” ฟลุคออกความเห็น
เจนี่ค้านทันควัน “จะบ้าเรอะ ไอ้คีรีมันเป็นผู้ชายนะ ถ้าขืนมันเดินแกว่ง hum เข้าไปจีบ หมอเต้จะได้ถีบออกมาน่ะสิ”
“ยุ้ยเห็นด้วยนะ ของแบบนี้มันต้องใช้มารยา”
“แล้วไอ้คีรีมันมีเหรอ มารยาน่ะ มันเคยจีบใครซะที่ไหน” ปิ๊กถามกลับ
คีรีขมวดคิ้ว “เออ นั่นดิ มารยายังไงวะ”
“ก็แบบ ต้องจีบอย่างมีชั้นเชิงสิวะ นายจะเดินโทงๆ เข้าไปหาหมอเต้ บอกว่าจีบนะแล้วขอเบอร์เลยไม่ได้” เจนี่พูดเสียงเครียด จริงจังยิ่งกว่าหาแฟนให้ตัวเองไปอีก “อย่างแรกนะ นายต้องทำตัวให้อยู่ในสายตาเขาให้ได้ก่อน พอรู้จักคุ้นเคยกันถึงค่อยขอเบอร์ พอได้เบอร์มาก็ค่อยหาวิธีกระตุ้นเขา ทำให้เขานึกถึงบ่อยๆ อย่างเช่นทำเป็นโทรไปหาเขา แต่บอกว่ามือกดไปโดน แล้วกดไปโดนสักวันละสี่ห้ารอบ พอรอบที่ห้าก็ค่อยชวนคุย บอกว่ารอบนี้ไม่ได้กดพลาดนะ แต่อยากคุยด้วย อะไรแบบนี้ไง”
“ไอ้เรื่องขอเบอร์นี่ เราถามลุงเอาก็ได้นะเจนี่”
“เฮ้ย! อย่าเชียวนะเว้ย! นายต้องขอจากเขาเอง ให้เขาอนุญาตเอง ไม่อย่างนั้นหมอเต้อาจจะระแวงนาย หรือไม่ก็รู้สึกไม่ดีกับนายไปเลย”
“อือ... แล้ว...อยู่ในสายตานี่ หมายความว่าไง แบบให้หมอเต้เคยเห็นเรางั้นเหรอวะ”
“ไม่ใช่เว้ย หมายถึงให้เขารู้จักหน้ามึงไอ้สัส แบบเห็นหน้าแล้วรู้ชื่อ เรียกทักทายได้อะ” ปิ๊กอธิบายให้
คีรีนิ่งคิด “ฟังดูเหมือนจะไม่ยาก แต่แค่จะเริ่มยังไม่รู้จะทำไงเลย กูควรทำไงให้ได้อยู่ในสายตาเขาวะ เจอกันครั้งนึงแล้วเขาจำกูไม่ได้ ครั้งที่สองเขาเมินกูไปเลยด้วยซ้ำ วันนี้กูอุตส่าห์ขอลุงภูมิให้เขามาทำฟันให้ เขายังมองหน้ากูไม่ถึงสามวิฯ เลย ไม่ถามแม้กระทั่งชื่อกูเลยด้วยนะ”
“มึงก็ใช้ความหล่อของมึงให้เป็นประโยชน์สิวะ ตอนทำฟันหน้ามึงอาจจะเมือกไง อาจจะเกรงใจลุงมึงด้วย แต่ถ้าเขาได้เห็นหน้ามึงตอนหล่อๆ ชัดๆ อาจจะจำได้ติดตาก็ได้นะเว้ย” ฟลุคเสนอ
“หมอเต้เป็นผู้ชายนะเว้ย เจอคนหล่อจะเตะตาเหรอวะ” ปิ๊กย่นคิ้วเข้าหากัน “อีกอย่าง เขาน่าจะชินหน้าตาหล่อๆ จากการเห็นหน้าหมอวินกับส่องกระจกทุกวันแล้วมั้ย”
“ลองนึกดูดีๆ มันต้องมีวิธีแน่ๆ เอาตัวอย่างง่ายๆ นะ เช่น ยุ้ยชอบสีชมพู เวลาเห็นใครใส่เสื้อสีชมพูบ่อยๆ ก็จะสะดุดตา จำเขาได้ นายรู้มั้ยล่ะว่าหมอเต้ชอบอะไรบ้าง”
“อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ “สิ่งที่หมอเต้ชอบ...”
“หมอวินไง” ฟลุคพูดขึ้น ทำเอาอีกสี่คนในสายนิ่งอึ้ง ก่อนจะรุมต่อว่า “มึงเอาปืนไปยิงไอ้คีรีเลยเหอะ!”
“แต่ยุ้ยว่าฟลุคก็พูดถูกนะ ต่อให้หมอเต้ไม่ได้ชอบหมอวินอย่างแฟน แต่เพราะสนิทกัน ถ้าเขาเห็นใครดูคล้ายๆ หมอวิน เขาก็น่าจะสนใจอะ”
“นี่ไง ประชุมเนี่ย ในเมื่อหมอวินไม่ได้ไป นี่ก็เป็นโอกาสของมึงแล้ว ไอ้คีรี เขาต้องห่างกันหลายวัน เพราะงั้นหมอเต้ต้องเหงาแน่ ก่อนมึงจะกลับเชียงราย มึงรีบถือรูปหมอวินเดินเข้าร้านตัดผมไปเลยสัส ไปตัดผม เปลี่ยนสีผมให้เหมือนหมอวินซะ สลัดลุคลูกครึ่งครึ่งลูกของมึงออกไปให้หมดนะ พยายามเน้นลุคหมอวินไว้ก่อน ถ้ามึงมีโอกาสได้เข้าใกล้หมอเต้ ความคิดถึงของเขาจะทำให้เขาเปิดใจให้มึงมากขึ้นแน่ๆ”
“สุดยอด! ฟลุคร้ายกาจมาก” เจนี่ซูฮกเพื่อนหนุ่ม “นายไปจำวิธีตัวโกงแบบนี้มาจากไหนเนี่ย”
“จำมาจากในซีรีส์เว้ย มันไม่ใช่ตัวตนของฟลุคนะ!”
“โอเค” คีรีตอบรับทันที วินาทีนี้ทำอะไรได้เขาก็ยอมทำแล้วโว้ย
“ยุ้ยว่าถ้านายเปลี่ยนลุคไม่ให้ดูเป็นลูกครึ่งก็ควรต้องพูดให้ชัดกว่านี้อีก คือตอนนี้นายก็พูดชัดกว่าเมื่อตอนเทอมหนึ่งมากแล้ว แต่ก็ยังมีเหน่อบ้างเพี้ยนบ้างเป็นบางคำ นายต้องใจเย็นๆ พูดช้าๆ หน่อยก็ได้ ไม่งั้นนายจะดูไม่เท่ในสายตาหมอเต้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นนะ เจนี่ว่าทำตัวเป็นหนุ่มเหนือไปเลยดีกว่า ถ้ามีโอกาสก็พูดคำเมืองบ้าง ทำตัวให้ดูซื่อๆ ใสๆ แล้วก็พูดช้าๆ ทำหน้าอ้อนๆ หน่อย น่ารักจะตาย หมอเต้ต้องเอ็นดูนายแน่ๆ ถ้าหากนายเข้าไปอยู่ในสายตาหมอเต้ได้ในลุคหมอวิน นายก็ควรจะมีอะไรที่แตกต่างเพื่อไม่ให้อยู่ในเงาของหมอวินมากจนเกินไป หมอเต้เขาจะได้สะดุดใจกับนายไงล่ะ”
“โห เจนี่สุดย้อดดด!” เพื่อนอีกสามชีวิตปรบมือชื่นชม
“หนุ่มเหนือ” คีรีทวนคำพูดของเพื่อน จะว่าไป... เขาก็เป็นหนุ่มเหนือนี่หว่า ก็ไม่น่าจะยากนะ
“หาโอกาสร้องเพลงกล่อมหมอเต้ด้วยสิ คีรีเสียงดี เวลาร้องเพลงก็ดูเท่มากด้วย ต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์นะ” ยุ้ยเสนออีก
“แล้วเราจะไปร้องเพลงกล่อมเขาตอนไหนวะ จู่ๆ เดินเข้าไปหาไปร้องเพลงใส่ หมอเต้ได้จับเราส่งโรงบาลบ้าแหงๆ”
“ยุ้ยถึงได้บอกว่าให้หาโอกาสไงไอ้เพื่อนเวร! ตอนนี้นายมีช้อยส์ให้เลือกเยอะนักรึไง อะไรที่ทำให้เตะตาหมอเต้ได้ นายก็ทำไปเถอะ!”
ที่เพื่อนๆ เขาว่ามันก็ถูก คีรีนั่งฟังไปก็พยักหน้าหงึกๆ ตามไป “เราจะพยายาม”
*TBC*น้องคีรีใกล้จะกลายร่างไปเป็นเด็กดอยแบ๊วๆ เอาใจพิหมอเต้แร้วค่า ตอนนี้วางแผนจะเป็นแค่เด็กเหนือไปก่อนนะคะ 555555
ตอนนี้ลงยาวๆ เลย ฟินมั้ยคะๆ 55555 ส่วนตอนที่แล้ว แรงมโนของกลุ่มเพื่อนน้องคีรีพาหมอเต้ไปเป็นแอฟ ทักษอรเรยทีเดียว คนอ่านหลายๆ คนดูตื่นตกใจ แหม ก็คนอวยกำลังอินเลิฟอะนะคะ 5555 เข้าใจเด็กดอยที่กำลังเพ้อหาหมอเต้หน่อยละกันน้า
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่า