“บอกหน่อยเพื่อนรักว่าทำไมคนที่ควรไปเดตในวันครบรอบสองปีกับธราอย่างนายถึงมาช่วยผมจัดการเรื่องหยุมหยิมใจอย่างนี้ได้” ไอ้เอ๋ตั้งคำถามด้วยความฉงนพลางมองไอ้เจ้าเพื่อนรักของมันที่กำลังพาดด้ามจอบไว้บนบ่า “นายบอกว่ามืออาชีพที่นายจ้างวานมาขนย้ายผักที่กำลังงอกงามลงดินนั้นทำงานได้ดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ทำไมถึงยังลากผมมาตากแดดหน้าดำกันด้วย แถมงานก็ยังเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่รอเวลาให้ไอ้คิ้มกลับจากเดตกับแป้งจี่มาเซอร์ไพรส์กับความงามของแปลงสาธิตเท่านั้นเอง”
“เอ๋ฟังผม ผมต้องหาข้ออ้างทำตัวไม่ให้ว่างในวันนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงจะทำให้ธราลำบากใจ เพราะถ้าเผื่อนายไม่รู้นะเอ๋ ธราตัดความสัมพันธ์กับผมเรียบร้อยแล้ว” ไอ้เจ้าตอบเสียงขรึม ใบหน้าคมคายนั้นเรียบนิ่งจนไอ้เอ๋นึกหวั่นว่าจอบในมืออาจจะจามลงบนหัวทุยๆ ของมันหากเผลอพูดถ้อยคำขัดหูเข้า “เขาย้ำอีกว่าไม่รีเทิร์น”
“เฮ้...นาย คงไม่ใช่ว่า...” ไอ้เอ๋อ้าปากพะงาบ สมองกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามวิเคราะห์หาสาเหตุของการเลิกรา “เพราะเรื่องนั้นที่ผมเผลอพูดออกไป...”
“ตอบแบบไม่ให้นายโทษตัวเองผมก็คงตอบว่าใช่” ไอ้เจ้าว่าเสียงเรียบในขณะที่ไอ้เอ๋หน้าซีด นึกในใจอยู่ครามครันว่าคำตอบของไอ้เจ้าเพื่อนยากเป็นคำตอบประเภทไหนกัน ขนาดบอกว่าไม่ให้โทษตัวเองยังรู้สึกผิดขนาดนี้
“แล้ว...แล้วถ้าตอบแบบให้ผมโทษตัวเองล่ะ” ไอ้เอ๋ถามเสียงหวั่น เห็นไอ้เจ้าตวัดตามองมาแล้วก็หน้าหดเหลือสองนิ้ว
“ก็ใช่มากๆ ไงไอ้สัด” ไอ้เจ้าคำรามลั่น “เพราะมึงเลยเอ๋ เพราะมึ้งงงง”
“ขอโทษษษษษ เป็นความผิดของผมเอ๊งงงงงง พลีสคลามดาววววดู๊ดดดดด” ไอ้เอ๋ยกมือไหว้ท่วมหัว สีหน้าสำนึกผิดจนจอบในมือของไอ้เจ้าหยุดสั่น คนหัวร้อนพรูลมหายใจ ก่อนจะทิ้งจอบลงข้างกายแล้วทรุดตัวลงนั่งโดยไม่สนใจว่ากางเกงยีนส์สีซีดของมันจะเปื้อนดินโคลน “นะ...นาย นายโอเคไหมเพื่อนรัก”
ไอ้เจ้าพยักหน้า “ผมโอเค”
“เต็มสิบ โอเคเท่าไร”
“หนึ่ง”
“ก็ยังดี...ถุ้ย! อย่างนี้เรียกว่าไม่โอเคมากๆ”
“นายไม่ควรถามคนที่ถูกบอกเลิกว่าโอเคมั้ย” ไอ้เจ้าบอกพลางทำหน้าหน่าย “โดนบอกเลิกไม่ใช่โดนบอกรักจะให้ยิ้มแล้วบอกว่าโอเคไอ้สัด”
“เอ๋ผิดอีกแล้ว” ไอ้เอ๋เสียงหงอย พลางนั่งลงเคียงข้างไอ้เจ้า มันยอมกางเกงเปื้อนดินเพื่อจะได้นั่งเคียงตบไหล่ปลอบใจเพื่อนรักของมัน “แต่นายรู้ใช่ไหมว่าต่อให้นายไม่โอเคแค่ไหน นายก็ยังมีผม”
“อืม ผมไม่ได้หัวโล้น” คนที่ยังมีผมใช้มือจับเส้นผมของตัวเองเพื่อยืนยัน “ผมยังแข็งแรงสุขภาพดี แต่มันก็เริ่มยาวนิดหน่อยแล้ว ส่องกระจกเมื่อเช้าก็เห็นว่าดูดีไม่หยอก”
ไอ้เอ๋กลอกตาอย่างนึกเซ็ง “นายแค่โดนบอกเลิกนายเจ้า อย่าถึงกับคิดลาออกไปเปิดคณะตลก”
“อยากได้ความบันเทิง” ไอ้เจ้ายกยิ้มมุมปาก
“งั้นผมจะร้องเพลงให้นายฟังเอง” ไอ้เอ๋รีบเสนอตัวสร้างความบันเทิงให้ “จัดเมดเล่ไปเลยดีไหม”
“อย่าเลยเอ๋” คนต้องการความบันเทิงรีบห้าม “เก็บปากไว้กินข้าวเถอะ”
“นี่ไง นายเกลียดผมแล้วใช่ไหมเพื่อนรัก” ไอ้เอ๋ทำหน้าเศร้า แววตาของมันเหมือนลูกหมากำลังจะถูกทิ้ง
“ไม่มากเท่าที่ผมรักธราหรอก อย่ากังวลไปเลย”
ไอ้เอ๋หน้างอ “นายควรปฏิเสธนะ”
“ผมจะไม่พูดโกหก”
“ได้นายเจ้าได้! งั้นเราขาดกัน! พรุ่งนี้ไปเจอกันที่หน้าอำเภอ!” ไอ้เอ๋เล่นใหญ่ ทำท่าสะบัดสะบิ้งราวกับนางเอกละครหลังข่าวที่กำลังจะหย่าขาดกับสามี
“เอ๋ บางทีนายก็ไม่ควรคิดลาออกเพื่อไปเปิดคณะตลกกับผมก็ได้”
ไอ้เอ๋ยิ้มแหย “ขำขันเท่านั้นจ้าา”
“เฮ้อ มิตรภาพกับนายทำให้ผมปวดหัว”
“ยาพาราช่วยนายได้ ที่จริงญาติผู้น้องฝั่งแม่จ๋าของผมคนหนึ่งกำลังขายยาเทวดาประเภทนี้อยู่ หากว่านายสนใจผมจะแนะนำโปรโมชั่นดีๆ ให้ ซื้อสามกระปุกวันนี้ แถมฟรี...”
ไอ้เจ้ายกมือห้าม “หยุดก่อนสัดเอ๋ นายจะขายตรงตอนนี้ไม่ได้”
“แล้วตอนไหนถึงจะขายได้”
“ตอนที่ผมได้ธราคืนมา ผมสัญญากับนายเลยว่าตอนนั้นผมจะซื้อมากกว่าสามกระปุก”
“งั้นชาตินี้นายก็ไม่ได้อุดหนุนญาติผู้น้องของผมแล้วล่ะ”
ไอ้เจ้าตวัดตามองไอ้เอ๋ที่ยิ้มซื่อส่งมาให้ “ถ้าไม่ใช่นายพูด ผมคงได้เอาจอบในมือนี่จามหน้าแหกไปแล้ว”
“แหะ ผมก็แค่พูดความจริง” ไอ้เอ๋เสียงอ่อย ก่อนแววตาของมันจะกระตือรือร้นขึ้นมา “นี่นายเจ้า ผมคิดออกแล้วว่าจะบรรเทาความเศร้าของนายได้อย่างไร”
“ว่าไปซิเพื่อนรัก”
“ไปเข้าผับเข้าบาร์กัน! นายควรปลดปล่อยความเศร้าไปกับเหล้าเข้มๆ”
ไอ้เจ้าทำหน้าละเหี่ยใจ “แก้ปัญหาแบบเด็กๆ”
“จุ๊ๆ ๆ” ไอ้เอ๋ยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายพลางทำหน้าอมภูมิ “อย่าประมาทไอเดียของผม”
“นอกจากไปกินเหล้าแล้วจะมีอะไรปลอบใจผมได้” ไอ้เจ้าถามเสียงเนือย ความสนใจทั้งหมดในตอนนี้ถูกเปลี่ยนจากไอ้เอ๋เพื่อนยากไปที่ไส้เดือนบนดินร่วนซุยเสียแล้ว “บอกไว้ก่อนว่าผมไม่สนใจผู้หญิง ถ้านายคิดจะหาใครสักคนมาปลอบใจผม คนนั้นต้องเป็นธราเพียงคนเดียว”
“ผมรู้ใจนายดีเพื่อนรัก ผมก็เลยคิดว่าจะยอมปลดบล็อกไอ้หมอแพร์อีกสักครั้งแล้วชักชวนมันออกไปเที่ยวด้วยกันในค่ำคืนนี้” ไอ้เอ๋อธิบายพลางยิ้มกริ่ม “นายรู้ ผมรู้ ว่าธราสนิทกับไอ้คนหื่นกามคนนั้น ผมจะให้หมอนั่นชักชวนธราไปให้ได้ แล้วทีนี้นายจะรวบหัวรวบหางอย่างไรก็ตามแต่ใจนาย”
ไอ้เจ้ายกยิ้มมุมปากทันทีที่ได้ฟังไอ้เอ๋พูดจบ “นายคือเพื่อนตายของผมจริงๆ นายเอ๋”
“แน่นอนนายเจ้า เพราะถ้าไม่ใช่เพื่อนาย ผมคงไม่ปลดบล็อกไลน์หมอนั่นแน่ๆ”
“ขอบใจนายมาก” ไอ้เจ้ามองไอ้เอ๋ด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่นายลองชวนนายขวัญดูด้วยไหม ผมว่าเขาอาจจะสนใจไปปาร์ตี้กับเรา”
“อ้อ...นายขวัญสัตวศาสตร์ เพื่อนใหม่ร่วมคณะของเรานั่นเอง” ไอ้เอ๋พูดทวนพลางพยักหน้าหงึกตาม เพื่อนใหม่คนนี้คือคนที่ไอ้เจ้าแนะนำให้รู้จักตอนที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ใต้ตึกคณะในบ่ายวันจันทร์เมื่อสามสัปดาห์ก่อน “ผมก็ลืมไปเลยว่าตอนนี้กลุ่มคนหน้าตาดีของเรามีสมาชิกเพิ่มขึ้นแล้ว”
“นั่นแหละ ลองชวนดู”
“ได้ ผมจะจัดการให้เพื่อนรัก” ไอ้เอ๋รับปากพลางรีบควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจัดแจงนัดหมายทันที
(กรุ๊ปไลน์) ถ้ารวยก็ออกจากแก๊งเราไป (3)
มั่นคง รักดี: มีใครอยู่ไหมครับ
OMG : ผมไง
มั่นคง รักดี : ไม่ใช่นายสินายเจ้า @ควั๊นพั๊ด
มั่นคง รักดี : @ควั๊นพั๊ด อันเชิญ!
มั่นคง รักดี : @ควั๊นพั๊ด อันเชิญ!
มั่นคง รักดี : @ควั๊นพั๊ด อันเชิญ!
ควั๊นพั๊ด : ว่าไงครับเอ๋
มั่นคง รักดี: ควั๊นนน นายมาแล้ว ผมรอนายอยู่
ควั๊นพั๊ด : โทษที ผมเพิ่งว่าง มีไรเอ๋ ว่ามาได้เลย
OMG : นายอยู่ไหน
ควั๊นพั๊ด : ที่เดิมเหมือนเช่นวันวาน
OMG : รับจ๊อบอีกแล้วเหรอ
ควั๊นพั๊ด : ครับ ว่างๆ ก็เลยมา
มั่นคง รักดี : ดีแล้วควั๊น เอาเวลาว่างไปทำประโยชน์ดีกว่าไปยุ่งกับยาเสพติด
OMG : งั้นนายก็ควรทำบ้างนะเอ๋ นายไม่ควรเอาเวลาว่างไปดมกาว
มั่นคง รักดี : จะพูดอะไรก็ให้เกียรตินามสกุลผมด้วย
ควั๊นพั๊ด : อย่าแกล้งเพื่อนนายเจ้า อ่านทวนชื่อไลน์เอ๋เดี๋ยวนี้
มั่นคง รักดี : ใช่ ใช่ ใช่
ควั๊นพั๊ด : แล้วยังไงเอ๋ มีอะไร
มั่นคง รักดี : ผมจะชวนนายเข้าผับเข้าบาร์
ควั๊นพั๊ด : ผมเพิ่งให้นายเจ้าอ่านชื่อไลน์นายไปเมื่อกี้นะ
OMG : เอ๋ใจแตก
มั่นคง รักดี : อย่ารุมผม!
ควั๊นพั๊ด : บอกตามตรงว่าผมไม่ชอบที่แบบนั้น
OMG : ไม่ไปหรือไง
ควั๊นพั๊ด : ครับ อีกอย่างแฟนผมคงไม่อนุญาต
ควั๊นพั๊ด : คุณไปด้วยเหรอเจ้า
OMG : อืม
ควั๊นพั๊ด : แฟนอนุญาตเหรอครับ
OMG : ผมโสดแล้ว
มั่นคง รักดี : เพราะแบบนี้เราถึงต้องเข้าผับเข้าบาร์กันไงควั๊น
ควั๊นพั๊ด : งั้นเอาไงดี ไม่มีใครว่างดูแลแฟนให้ผมด้วย ผมปล่อยเขาอยู่คนเดียวไม่ได้ครับ
OMG : ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้า
มั่นคง รักดี : ใช่แล้วควั๊น นายเจ้าคงเฮิร์ตไปอีกนาน ไม่คืนดีเร็วๆ นี้หรอก ไม่ต้องคิดมาก คราวหน้าไปกัน
OMG : ก็ว่านั่งอยู่ข้างกันดีๆ มันลุกหนีไปทำไม กลับมาให้เตะเดี๋ยวนี้ไอ้สัดเอ๋!!
ควั๊นพั๊ด : อย่าแกล้งเพื่อน
ควั๊นพั๊ด : 555
“มึง น้องเอ๋ชวนไปเข้าผับเข้าบาร์” น้ำเสียงทุ้มของคนที่กำลังก้มหน้าอยู่เหนือโทรศัพท์มือถือดังขึ้น “น้องบอกให้ชวนมึงไปด้วยว่ะ”
ธราละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วหันมองเพื่อนซี้ที่เขาลากมันให้ออกมานั่งหากาแฟดื่มด้วยกันตั้งแต่ก่อนเที่ยง คิ้วเข้มได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ “แปลก”
“ใช่ แปลก แปลกตั้งแต่พิมพ์มาแล้วไอ้ห่า เข้าผับเข้าบาร์ สำนวนบ้าบออะไร ชวนเที่ยวก็คือชวนเที่ยว” ไอ้แพร์เห็นด้วยพลางยิ้มขำกับความเกินจนล้นของเด็กหนุ่มข้างห้อง “อีกอย่างน้องบล็อกไลน์กูเป็นว่าเล่น แต่ตอนนี้ดันมาปลดบล็อกแล้วชวนไปเที่ยว แถมยังเจาะจงให้กูลากมึงไปให้ได้ ต่อให้โง่ก็รู้ว่ามีจุดประสงค์แอบแฝง”
“เออ โคตรไม่เนียน”
“น้องคงไม่รู้ตัว แต่น่ารักดีว่ะ กูชอบคนโง่ หึหึ” หัวเราะชอบใจแล้วยกแก้วคาปูชิโน่เย็นขึ้นดูดไปอึกใหญ่ “แล้วเอาไง ไปดีไหม”
“อืม ไปสิ” ธราตอบรับทันทีโดยไม่อิดออด “น้องอุตส่าห์ชวน”
“ไปเพราะน้องชวนหรือไปเพราะรู้ว่าไอ้เจ้าไปด้วย”
คำถามจากคนรู้ทันทำให้ธราอึกอักอยู่นานก่อนจะให้คำตอบว่า “อย่างหลัง”
“ให้มันรู้กันไป” เพื่อนซี้ส่งสายตาล้อเลียนแล้วถามต่อ "วันนี้มันทักมามั้ย”
“หาย” ธราตอบเสียงแผ่ว “ออกไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้า ยังไม่ทักกูมาเลย”
“อ้อ จ้องโทรศัพท์ตั้งแต่มาถึงร้านนี่คือรอให้มันทัก”
“อืม”
คนรับฟังกลอกตาอย่างนึกเซ็งกับท่าทีของเพื่อน “จะรอทำไมวะไอ้ดิน มึงทักมันไปก่อนเลย”
“เลิกกันแล้วไง” ให้เหตุผลแล้วดูดเอสเปรซโซ่จนเหลือค่อนแก้วก่อนจะพรูลมหายใจออกมาพลางตั้งคำถามเสียงเรียบ “กูมีสิทธิ์รู้เหรอว่ามันออกไปไหนกับใคร”
“เอ้า ยุ่งยากอีก”
“วันนี้เป็นวันครบรอบสองปีว่ะ” คนพูดยกมือขึ้นลูบใบหน้า เหนื่อยล้าเต็มทีกับความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงนี้ “มันบอกกูเองว่าหน้าด้านหน้าทน แต่กลับหนีหน้ากู ปกติต้องบังคับให้ไปเดตกับมันแล้ว”
“สีหน้ามึงแย่มาก มึงรู้ตัวมั้ย” ไอ้แพร์ถามพลางมองหน้าเพื่อนซี้ด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เพิ่งเคยเห็นธรามีสีหน้าทุรนทุรายขนาดนี้ “มึงอาจจะบอกกูว่ามึงไม่ได้รักไอ้เจ้า แต่ที่มึงแสดงออกในตอนนี้ มันไม่ใช่ความเกลียด กูไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของมึงถึงขั้นไหน แต่มึงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ ทำเพื่อหัวใจของมึงเองเถอะดิน”
“แต่กูไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” ธราตอบอย่างคนจนมุม “ไม่รู้ว่าต้องทำแบบไหนถึงจะดี ปกติจะมีแต่เจ้าที่เป็นคนทำตลอด มึงเข้าใจใช่ไหมว่ากูก็แค่อยู่ของกูเฉยๆ มันเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหากูเอง”
“เข้าใจ เพราะงั้นตอนนี้มึงก็ต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหามันบ้าง ทำความรู้จักมันบ้าง มึงบอกนี่ว่ามันรู้จักมึงดีทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันไม่นาน มันรู้อกรู้ใจมึงมากกว่าใคร อาจจะมากกว่าคนในครอบครัวของมึงด้วยซ้ำ” คนพูดเหลือบตามองคนที่กำลังนิ่งงันฟังถ้อยคำ ที่เงียบไปแบบนั้นคงเพราะไม่มีข้อโต้แย้งในเมื่อเป็นจริงตามที่ว่ามาทั้งหมด ไอ้เจ้ารู้จักธราดียิ่งกว่ากลุ่มเพื่อนอย่างไอ้แพร์ ไอ้คินและไอ้จอมที่ร่ำเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เข้าเรียนปีแรกในมหาวิทยาลัย กลุ่มเพื่อนสนิทที่ร่ำเรียนด้วยกันมานานสามสี่ปีก็ยังรู้จักธราดีได้ไม่เท่าไอ้เจ้าที่เพิ่งเจอ “มันไม่มีหรอกนะเว้ยดิน คนที่จะรู้อกรู้ใจทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จะบอกว่ามันเป็นคนในอดีตชาติของมึงก็คงเกินความเชื่อของกูไปหน่อย ทางเดียวที่จะเชื่อได้นั่นก็คือไอ้เจ้ามันรู้จักมึงมานานแล้ว นานกว่าที่พวกกูรู้จักมึง นานกว่าที่ครอบครัวที่มึงบอกว่าเหมือนคนแปลกหน้ารู้จักมึงก็ได้”
ธราเคยสงสัยว่าตัวเขานั้นเป็นใครมาก่อน เขาไม่มีความทรงจำในวัยเด็ก ไม่มีเรื่องราวก่อนหน้าที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลให้นึกถึง ตัวเขามีเพียงความว่างเปล่าอยู่รายล้อม รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวราวกับตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ เขาอยู่ในโรงพยาบาลโดยลำพังนานนับเดือนก่อนที่จะมีชายหญิงคู่หนึ่งมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ให้กำเนิดพร้อมกับยื่นอัลบั้มรูปในวัยเด็กให้เขาดูเป็นหลักฐาน แต่เขาในตอนนั้นไม่ได้คิดโต้แย้งในข้อเท็จจริง เพราะให้พูดตามจริงแล้ว ใบหน้าในตอนเด็กของตัวเขาเอง เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน หากเทียบกับหน้าตาในปัจจุบันแล้วเด็กผู้ชายในรูปก็คล้ายคลึงมากทีเดียว
“มึงเคยบอกกูว่ามึงเกิดอุบัติเหตุรถชนจนความจำเสื่อม เพราะงั้นไอ้เจ้าอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้จักมึงคนก่อน” ถ้อยคำของไอ้แพร์ยังคงดำเนินอยู่ในความคิดของธรา ความสงสัยของเพื่อนซี้นั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยนึกสงสัยแต่กลับไม่เคยหาคำตอบว่าเป็นจริงมากแค่ไหน
“มึงเชื่อมั้ยว่ากูไม่เคยอยากรู้ว่ากูคนก่อนเป็นยังไงหรือผ่านอะไรมาบ้าง อาจจะมีคนอีกหลายคนที่กูลืมเขาไป อาจจะมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่กูจำไม่ได้” ธราเผยความในใจ “แต่กูรู้สึกว่าที่กูลืมไปนั้นอาจจะมีแต่เรื่องที่ไม่น่าจำ กูก็เลยไม่เคยพยายามที่จะนึกถึง มันอาจจะไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเลย อาจจะแค่ชีวิตเรียบง่ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ บ้านของพ่อกับแม่ก็เป็นบ้านที่ในบ้างครั้งกูนึกขึ้นมาได้ว่าเคยไปเล่นตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ความคุ้นเคยกับคนในบ้านอาจจะไม่ค่อยมีแต่พ่อก็บอกว่าเมื่อก่อนกูเป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บตัว พ่อกับแม่ก็บินไปต่างประเทศบ่อยไม่ค่อยอยู่บ้าน ไม่แปลกหากเราจะไม่รู้สึกผูกพันกัน ทุกอย่างมันลงล็อกจนกูไม่ได้เดือดร้อนแม้ว่าจะจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้” เขาหยุดพักหายใจพลางผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างที่วิวทิวทัศน์ในยามนี้เห็นเด่นชัดด้วยแสงสว่างจ้าของดวงอาทิตย์ในยามบ่ายโมงตรง “แต่มึงรู้ไหม ตั้งแต่ที่รู้จักเจ้า กูรู้สึกมากขึ้นทุกวันว่ามีบางอย่างที่ไม่ลงล็อก มันน่าหงุดหงิดใจทุกครั้งที่ได้เห็นหน้ามัน ได้ยินเสียงของมัน ก็รู้สึกรำคาญ มีบางอย่างที่ติดค้างแต่กูอธิบายไม่ได้ว่าคืออะไร”
“แล้วมึงอยากหาคำตอบไหมหรือจะปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ต่อ”
“ทั้งอยากและไม่อยาก” เขาพรูลมหายใจออกมา ในขณะที่แววตาเต็มไปด้วยความสับสน “เพราะยอมรับตรงๆ ว่ากูก็กลัว กูไม่รู้จักตัวกูคนก่อน กูไม่รู้ว่าตัวกูในตอนนี้คือตัวกูจริงๆ ไหม”
“มึงก็คือมึงนะดิน” น้ำเสียงทุ้มปลอบโยน “ไม่ว่าจะคนก่อนหรือคนที่อยู่ตรงหน้ากูในตอนนี้ ก็คือตัวมึง คนเราเติบโตจากอดีต มันอาจจะดีกว่าก็ได้ถ้ามึงได้รู้จักตัวเองก่อนหน้านี้ ไม่ใช่คนที่อยู่ๆ ก็โตเป็นหนุ่มโดยข้ามผ่านเรื่องราววัยเด็ก มึงอาจจะเคยเป็นแชมป์ดีดลูกแก้ว อาจจะเคยสร้างวีรกรรมแสบๆ แล้วหัวเราะมีความสุขไปกับกลุ่มแก๊ง เนี่ย...มีแต่เรื่องที่ควรนึกถึง อย่ากลัวไปเลย เราทุกคนก็เปลี่ยนไปกันทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลหรอกว่าตอนนั้นกับตอนนี้จะไม่เหมือนกัน”
“แต่ไม่รู้ทำไมนะแพร์ กูถึงได้รู้สึกว่าตัวกูคนก่อนไม่ควรมีตัวตนอยู่บนโลกนี้” เขาแย้งด้วยเสียงราบเรียบ วัยเด็กสดใสในจินตนาการของเพื่อนอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นกับเขา “ตอนนั้นกูอาจจะเป็นคนที่แย่มากกว่านี้ก็ได้ อาจจะไม่ใช่เด็กแสบซน แต่คงเป็นเด็กเวรคนหนึ่งที่ควรตายๆ ไปซะ พ่อบอกว่ากูขับรถชนเสาไฟฟ้าเพราะทะเลาะกับพ่อแล้วหนีออกจากบ้าน”
“ตอนนั้นมึงอายุเท่าไรกันเชียว”
“สิบเจ็ดย่างสิบแปดแล้วมั้ง ขับเร็วน่าดู สภาพรถพังยับตอนที่ตำรวจเอารูปรถมาให้กูดูพร้อมกับสอบปากคำ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยของผู้พูดทำให้ผู้ฟังได้แต่ลอบมองอย่างไม่แน่ใจว่าเจ้าของน้ำเสียงกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “โชคดีที่ไม่ตาย หรือโชคร้ายก็ไม่รู้ เพราะกูก็เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“มึงฆ่าตัวตายเหรอ” คนถามใช้น้ำเสียงอย่างระมัดระวังพลางมองสีหน้าเพื่อนที่ราวกับล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกล
“ไม่รู้ แต่ตำรวจบอกว่าไม่พบรอยเบรก ตอนนั้นคงจะคิดสั้น เด็กวัยรุ่นที่มีปัญหาก็หาทางออกผิดๆ เป็นส่วนใหญ่กันทั้งนั้น”
“อืม ก็เข้าใจได้ แต่ว่านะดิน มึงขับจริงๆ เหรอวะ”
“ทำไม” คนถูกถามหันมองคนตั้งคำถามด้วยความฉงน “ถ้ากูไม่ขับแล้วใครจะขับ”
“ก็มึงเพิ่งให้กูสอนขับรถให้ตอนปีหนึ่งเทอมสองนะเว้ย”
ธรานิ่งงันไปเพียงครู่ ทบทวนความจำแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเขานั้นเริ่มขับรถเป็นตอนไหน “กูจำเรื่องอื่นไม่ได้ ขับรถไม่เป็นก็ไม่แปลก”
“แต่มึงก็ไม่ได้หัดเดิน หัดจับช้อนกินข้าว หัดทำนู่นนี่ที่ต้องทำในชีวิตประจำวันใหม่นี่ใช่ไหม มึงว่ายน้ำได้ด้วย จำได้ไหมตอนที่ถามว่ามึงว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า”
“กูจำได้ ตอนรับน้องที่หัวหิน”
“ใช่ มึงก็บอกว่ามึงไม่แน่ใจ แต่พอลงทะเล มึงก็ว่ายได้นี่ คล่องปร๋อเชียว”
“แล้วยังไงวะแพร์ ถ้ากูขับไม่เป็น ก็แค่ขับรถไม่เป็นมั้ย”
“เอ้า ไอ้นี่ ถ้ามึงขับไม่เป็นแล้วใครขับรถไปชนเสาไฟเล่า!”
คำพูดของไอ้แพร์ทำให้ธราจมอยู่ในความคิดอยู่นาน ก่อนเขาจะแย้งขึ้นว่า “กูว่ากูก็แค่ลืมวิธีขับ”
“แต่กูว่ามันน่าสงสัยนะเว้ย” เพื่อนซี้เริ่มสวมวิญญาณของยอดนักเสือก หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันอย่างคนที่ครุ่นคิดถึงอุบัติเหตุที่พรากความทรงจำของธราไป แต่เจ้าของเรื่องกลับไม่ให้ความร่วมมือ
“ช่างเถอะน่า” ธราตัดรำคาญกับความสงสัยไม่เข้าเรื่องของเพื่อนซี้ “แล้วนี่ตอบไอ้น้องเอ๋มันรึยังว่าเราจะไปด้วย”
“ตอบแล้ว น้องบอกว่าเจอกันที่อันซีนได้เลย” ไอ้แพร์ตอบอย่างอารมณ์ดี หัวใจเต้นโครมครามยามเมื่อคิดว่าจะได้ชิดใกล้กับเด็กหนุ่มข้างห้อง ความหวานนุ่มจากกลีบปากบางในครั้งเก่าก่อนยังติดตรึงอยู่ในใจไม่หาย
“เจ้าไปแน่นะ” ธราถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองจะไม่ไปเสียเที่ยว
“เออ มึงคิดว่าน้องเอ๋จะชวนกูทำมะเขืออะไรถ้าไม่มีไอ้เจ้าบงการอยู่เบื้องหลัง”
คนรับฟังหัวเราะเยาะ “ถือมีดแทงตัวเองทำไม”
“ไม่เจ็บเท่าโดนน้องบล็อก” คนเจ็บจนชินสาธยาย “กูบอกเลย ส่งข้อความฝันดีไปเป็นร้อย ไม่ขึ้นอ่านสักข้อความ เจ็บกระดองใจยิ่งกว่าตอนที่ไอ้ฟินน้องรหัสมาช่วยแก้แล็ปแล้วเสือกทำฟันที่กูกรออย่างดีแล้วแตกคามือ”
“ถือว่ามีประสบการณ์ความเจ็บ แต่ส่งไปขนาดนั้นเป็นกูก็บล็อกไอ้สัด มึงโรคจิตเหรอ” ถึงกับส่ายหัวกับวิธีจีบบ้าบอของเพื่อนซี้ ปกติแล้วไอ้แพร์ก็ถือว่าเป็นผู้เป็นคนมากที่สุดในกลุ่ม แต่เห็นได้ชัดว่ากับเรื่องของความรักแล้ว มันก็เป็นคนบ้าไม่น้อยหน้าคนอื่นเลย
“น้อยกว่าไอ้เจ้าละกัน กูกำลังใช้วิธีมันอยู่ เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าวิธีของมันได้ผล”
“ได้ที่ไหน”
“ได้ที่มึงนี่แหละ”
ธราหัวเราะอารมณ์ดี เขาไม่โต้แย้งเพราะความจริงก็เห็นกันอยู่ทนโท่ “เออ ก็เกือบได้”
“แน๊ มีความขิงข่าใส่กู”
“หึ ไม่มีก็แย่หน่อย”
“อย่าลืมว่ามึงเพิ่งบอกเลิกมัน”
“เดี๋ยวคืนนี้คืนดี”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ไม่รู้ ดูก่อน”
“เอ้า”
“เออน่า ทักมันแป๊บ”
“เชิญเถอะ กูจะคุยกับน้องเอ๋แล้ว”
“ขอให้น้องบล็อกมึงอีกรอบ”
“ไม่มีทาง!”
คำแช่งของธราดูเหมือนจะได้ผลเพราะในอีกไม่กี่นาทีต่อมาก็เห็นเพื่อนซี้สถบคำหยาบยาวเหยียด จับใจความไม่ค่อยได้แต่รู้แน่ว่าคนที่มันอยากคุยด้วยคงบล็อกมันไปแล้วเรียบร้อย
D. : .
OMG :?
D. : อยู่ไหน
OMG : ห้องเอ๋ครับ คุณล่ะ
D. : ร้านกาแฟ
OMG : กับใคร?
D. : แพร์
OMG : ครับ
D. : มามั้ย
OMG : อยากให้ไปหาเหรอครับ
D. : เปล่า
ลมหายใจสะดุดไปเล็กน้อยในระหว่างที่กำลังพิมพ์ตอบ
D. : ชวนตามมารยาท
ไอ้เหี้ย...ถึงขนาดทักไปหา ใครเชื่อว่าชวนตามมารยาทก็โง่เง่าเต็มที
OMG : อ๋อ
แต่คนรับข้อความอีกฝั่งคงจะเชื่อ เพราะตอบกลับมาสั้นๆ แล้วหายไปเลย จนธราต้องรีบพิมพ์ข้อความไปอีกครั้ง
D. : มาหน่อยสิ ไอ้แพร์บอกจะเลี้ยงกาแฟ
ข้ออ้าง ไม่โง่ก็คงรู้ว่าเป็นข้ออ้าง
OMG : มันอยากได้เงินค่าน้ำมันหรือเปล่า ผมยังติดมันอีกสองเดือน
แต่ไอ้เจ้าโง่...โง่จนไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรดีแล้ว
D. : ก็ใช่ มาเถอะ
OMG : ไม่มีเงินสด ผมโอนไปดีกว่าไหม
แม่ง...
D. : ให้ยืม
OMG : อยากเจอผมใช่ไหม
ธราขมวดคิ้วมุ่น คันยุบยับที่หัวใจเล็กน้อย
D. : เปล่า
ใช่ อยากเจอ รู้สักทีได้ไหมว่าอยากเจอ...อยากเจอมากๆ
OMG : ส่งโลเกชั่นมาครับ เดี๋ยวผมไปหา
D. : *Sent a location*
OMG : เดี๋ยวเจอกันครับที่รัก
D. : แล้วมายังไง
OMG : รถเมล์
D. : ไม่ขับรถมาล่ะ
OMG : คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบขับรถ
D. : แต่ขับให้กูนั่งทุกที
OMG : ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วยผมก็ไม่ขับ
D. : งั้นเดี๋ยวไปรับ จะได้ไม่ต้องลำบากนั่งรถเมล์
พิมพ์ไปแล้ว เวลาพิมพ์ตรงกับใจทำไมรู้สึกเหมือนจะตายขนาดนี้กันวะ!
OMG : ห่วงเหรอ
ที่สุด
D. : อืม ห่วงในฐานะแฟนเก่าได้ใช่มั้ย
ข้อความถูกส่งออกไปแล้ว แต่นิ้วมือของธราก็ยังคงสั่นเทา เขามองข้อความที่ขึ้นอ่านด้วยหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะผิดแปลก
OMG : สำหรับคุณแล้วมีเรื่องไหนที่ไม่ได้บ้าง
D. : ก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ
มีอยู่แล้วเรื่องที่อีกฝ่ายให้กันไม่ได้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงต้องจบลง
OMG : ครับ ก็มีอยู่จริงๆ
ธราแค่นยิ้มให้กับคำตอบที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เขาเกือบหลุดคำหยาบคายเหมือนอย่างไอ้แพร์ที่ตอนนี้นั่งทำหน้าซังกะตายในขณะที่นิ้วมือจิ้มลงบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อเคลียร์ด่านเกมแคนดี้ครัช
“ไอ้แพร์”
“ว่า”
“มึงว่าอย่างกูนี่มีดีพอจะทำให้ใครสักคนลืมแฟนเก่าได้มั้ยวะ”
คนรับฟังทำหน้าหน่ายพลางส่ายหัวเมื่อฟังคำถามจบ “ไม่ได้ว่ะ เพราะมึงคนเหี้ย มึงมันไม่มีดี มึงต้องโสดเป็นเพื่อนกูต่อไปไอ้เพื่อนยาก ไอ้เจ้าจะต้องบล็อกไลน์มึงเหมือนที่น้องเอ๋กระทำกับกู!”
“โทษที” ธรายกคิ้วยียวน “กูถามผิดคน”
“ว๊อทททท!”
คำถามนี้ควรเก็บไปถามกับคนที่น่าจะให้คำตอบได้ถูกต้องที่สุดคงดีกว่า
ไอ้เจ้าคงเป็นคนเดียวที่จะให้คำตอบกับเขาได้
...............TBC.................
ทุกคนขาาาา เค้ามาแล้วเด้ออออออ ขอโทษที่ให้รอกันนะคะ ที่เราเงียบหายไปเลยยยยย
เราคิดว่าจะเคลียร์ธุระให้เสร็จหมดก่อน แต่คือมันยืดยาวนานและมันนานเกินไปปปป เห็นวันที่แล้วใจหาย เกือบสองเดือน
กลับมาค่ะ กลับมาแล้ววววววว ฮืออออ
เอาใจช่วยกันด้วยนะคะ