ตอนที่ 3
กรุ๊ปไลน์ ‘สตาร์ FC’
Din : พวกมึงคิดว่าที่กูทำอยู่เนี่ยกูทำไปเพราะอะไรวะ?
FUEN : พี่ชอบสตาร์ไง
AOF : พี่อาจจะว่างเกินไปหรือเปล่าครับ
TANG : พี่ไม่รู้แล้วผมจะรู้ได้ไงอ่ะ
CHOK : มึงชอบน้องเขาไงสัด
PHYSICS : ไม่รู้หรือไม่อยากยอมรับ?คำตอบเชี่ยสิกแม่งทำผมของขึ้นทุกทีสิน่า แต่ก็ขึ้นนิดหน่อยครับไม่ถึงขนาดอยากบึ้มโทรศัพท์
วันนี้ผมมาโรงเรียนแต่เช้าตามเคย แต่มันผิดปกติก็ตรงที่คอผมดันชอบหันกลับไปมองหน้าโรงเรียนด้วยความอยากรู้ว่ามีรถหรูๆ ที่ผมเคยเห็นมาส่งใครบางคนมั้ย ไม่ว่าผมจะเดินวนไปวนมาแถวหน้าโรงเรียนให้รุ่นน้องไหว้นานแค่ไหน ไอ้รถหรูคันนั้นก็ไม่ยอมขับมาจอดสักที
หรือวันนี้มันจะมาสาย
หรือวันนี้มันจะไม่สบาย
“พี่ดิน” ฟืนไหว้ผมพร้อมเอ่ยคำทักทาย “ทำอะไรอยู่พี่ ทำไมทำท่าแปลกๆ อ่ะ”
การปรากฏตัวของน้องมักจะมาพร้อมกับแฟนของน้องเสมอ วันนี้ก็เหมือนกัน ไอ้สิกชอบมองผมเหมือนมันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผม และยิ่งฟืนทักผมทีไร ไอ้สิกก็มีความรุนแรงทางสายตาแบบทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมไม่สนใจไอ้สิก แต่หันมาหาฟืนแทน
“รอเพื่อนอยู่น่ะ”
“รอเพื่อนหรือรอสตาร์” พูดจบฟืนก็ยิ้มตาหยี รอยยิ้มนั้นทำเอาไอ้สิกต้องจับตัวฟืนให้ไปหลบข้างหลังมัน
ไอ้ขี้หวงเอ๊ยยยยย
“ม.6 มีห้องคิงป่ะพี่” ไอ้สิกถามเสียงเรียบ
“มีดิ”
“แล้วพี่รู้มั้ยว่าห้องคิงบางวันก็มีเรียนตอนก่อนเข้าแถวด้วย”
ผมกระพริบตา จากนั้นผมก็ถึงบางอ้อ กูลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย!
“ไม่รู้เรื่องเล้ย แย่ๆ” สิกส่ายหน้า
“มึงว่าไงนะ” ผมชักโมโห นี่ผมปล่อยให้มันกวนประสาทผมเกินไปหรือเปล่าวะครับ ผมขยับเข้าไปใกล้ไอ้สิกคล้ายกับจะเอาเรื่อง แต่ฟืนเข้ามาขวางไว้ซะก่อน
“มึงเลิกกวนตีนพี่เขาสักที”
“กูไม่ได้กวนนะ กูพูดความจริง” เสียงที่ไอ้สิกใช้กับฟืนช่างแตกต่างจากตอนใช้กับผมมากจริงๆ
“มึงกวน กูเห็นอยู่”
“แต่ว่า...”
“ขอโทษพี่เขา”
“บ้าป่ะเนี่ย”
“อย่างน้อยพี่เขาก็เป็นรุ่นพี่เรานะเว้ย”
“เอ่อ...” ผมเอ่ยแทรกคู่รักตรงหน้าที่เริ่มจะทะเลาะกันเพราะผม “ไม่เป็นไรหรอกฟืน ไอ้สิกมันก็เป็นแบบนี้ สันดานมันแก้กันไม่ได้ง่ายๆ หรอก”
“โห ไอ้พี่ดิน พูดงี้ต่อยผมเลยดีกว่า” สิกทำท่าจะพุ่งเข้ามาใส่ผม แต่ฟืนใช้มือตัวเองดันหน้าแฟนให้ออกห่าง
“ผมพามันไปกินข้าวเช้าก่อนดีกว่าครับ สงสัยจะโมโหหิวอ่ะ”
“เออ รีบพามันไปเลย”
ฟืนทำสีหน้าขอโทษขอโพยขณะดันหลังแฟนขี้หึงของตัวเองให้เดินไปข้างหน้า ผมส่ายหน้าให้เด็กทั้งสองเบาๆ ก่อนจะหันไปมองดูตึกของพวกห้องคิงที่เรียนรวมกันตั้งแต่ ม.4 – ม.6
อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าตอนนี้สตาร์อยู่ไหน...
ก่อนเข้าแถว
“มึงเป็นเหี้ยไรของมึง”
ผมหันไปมองไอ้โชคที่เป็นคนถามด้วยแววตางุนงง “อะไรวะ”
“มึงเหมือนหมาถูกน้ำร้อนลวกอ่ะ ลุกลี้ลุกลนผิดปกติ” ไอ้โชคตั้งข้อสังเกต “และอีกอย่างหนึ่งนะ กูเห็นมึงมองไปที่ตึกห้องคิงโคตรบ่อย มีห่าอะไรป่ะเนี่ย”
ทำไมเพื่อนมันต้องรู้ทันด้วยวะ
“ยังไม่ได้เจอน้องดาวเหรอ”
ในเมื่อเพื่อนมันรู้ขนาดนี้แล้วก็ยอมรับกับมันไปเลยแล้วกัน “เออ”
“ยากตรงไหน มึงก็เดินไปหาดิ”
“น้องมันเรียนอยู่”
“ก็เดินไปส่องหน้าห้องไง เอามั้ย เดี๋ยวกูพาไป”
“เชี่ยโชค” ผมร้องลั่นทั้งๆ ที่เดินตามไอ้โชคที่ลากผมไปแล้ว “ถ้าน้องมันเห็นล่ะ”
“เห็นก็ดีดิ”
“...”
“น้องมันจะได้รู้ว่ามึงชอบ”
“กูไม่...” ให้ตาย แม้แต่จะเถียงว่าผมไม่ได้ชอบมันก็ยังเถียงไม่ออก ราวกับว่าตอนนี้ผมกำลังสับสนในตัวเองจนไม่สามารถยอมรับมันออกมาได้ตรงๆ
ไอ้โชคลากผมมาถึงหน้าตึกห้องคิงแล้ว แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์ตามมาหลังจากนั้นก็คือประตูห้อง ม.5/1 เปิดออกพอดี จากนั้นก็มีเด็กในห้องกรูกันออกมาคล้ายกับรีบเร่งไปให้ทันเข้าแถว
แล้วผมกับไอ้โชคมาทำเหี้ยอะไรกันตรงนี้เนี่ย
ระหว่างที่กำลังสับสนว่าจะเอาไงต่อ สายตาของผมก็ไปเห็นสตาร์พอดี มันกำลังยืนคุยกับเด็ก ม.6 ห้องคิงด้วยสีหน้ายิ้มๆ ท่าทางสนิทสนม
“เอ่อ...” ไอ้โชคมองภาพนั้นสลับกับมองผม “เชี่ยดินใจเย็นๆ นะ”
ผมไม่ได้ยินเสียงห้ามของไอ้โชคด้วยซ้ำ เท้าของผมพาผมมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสตาร์กับไอ้เด็ก ม.6 คนนั้นเป็นที่เรียบร้อย เมื่อมันหันมาผมก็รู้ทันทีว่ามันเป็นใคร มันชื่อ ‘อาร์ต’ ครับ
ไอ้อาร์ตมองผมก่อนที่จะผงะ ผมใช้สายตาข่มขู่ให้มันไปไกลๆ ดูเหมือนมันจะคุยธุระกับสตาร์เสร็จแล้วมันจึงเดินหนีไป
“พี่ดินมีไรป่ะครับ” สตาร์เงยหน้าถามผม
นั่นสิ กูมีอะไรวะ อะไรสั่งให้กูมายืนตรงนี้ทั้งๆ ที่กูไม่ได้มีธุระอะไรด้วย
“คือ เอ่อ...” ผมต้องเอ๋อต่อหน้าไอ้เด็กคนนี้อีกนานแค่ไหน
“ไม่รีบไปเข้าแถวเหรอ”
“เรื่องนั้นน่ะ”
“ไอดีไลน์?”
“เออ”
“คือ...” สตาร์มองข้างหลังผมที่มีเด็กนักเรียนรีบวิ่งไปเข้าแถว ดูน้องมันรีบๆ แต่ก็ยังอยากให้คำตอบกับผม “จริงๆ แล้ว เรื่องนี้พวกบู้คิดกันเอง ผมไม่ได้คิดนะ มันบอกให้ผมมาบอกพี่ แต่ถ้าพี่ไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เพราะมันลำบากนิดหน่อย”
“เรื่องอะไรว่ามาดิ”
“ไปส่งผมเรียนพิเศษ”
ก็นึกว่าจะเรื่องอะไร “ไม่ลำบากหรอก มึงเรียนที่สยามใช่มั้ย”
“ครับ”
“เออ งั้นตอนเย็นเจอกันที่หน้าห้องมึงนะ”
“ผมเรียนเสร็จบ่ายสามนะครับวันนี้”
ตอนนั้นผมยังเตะบอลในวิชาพละอยู่มั้ง เอาไงดีวะ แต่ปากผมไปไวกว่าความคิด
“เออ บ่ายสามก็บ่ายสาม”
สตาร์มองผมอย่างทึ่งๆ ก่อนที่จะรีบวิ่งจากไป ไอ้โชคเดินเข้ามาสมทบกับผมพร้อมกับตบบ่า
“ทำไมบรรยากาศตอนน้องคุยกับไอ้อาร์ตกับตอนที่น้องคุยกับมึงถึงได้ต่างกันวะ”
“มึงหมายความว่ายังไง”
“สตาร์ไม่เห็นยิ้มตาหยีเหมือนตอนที่อยู่กับไอ้อาร์ตอ่ะ”
ผมจิ๊ปากใส่ไอ้โชค มันขยับตัวอย่างหวาดๆ เล็กน้อย ขณะที่ผมนั้นเริ่มรู้สึกว่ามีลูกไฟลูกเล็กๆ แผดเผาหัวใจของผม
รอยยิ้มตาหยีงั้นเหรอวะ...
โด่ มันจะไปยากอะไร แค่ไปจี้เอวไอ้สตาร์ให้ได้มันก็ยิ้มจนตาหยีแล้วป่ะวะ
ผมนั่งคิดเรื่องยิ้มตาหยีมาสักพักแล้ว ไม่ว่าจะผ่านคาบที่หนึ่ง คาบที่สอง และก็คาบที่สาม ผมก็ยังคิดวนๆ อยู่แบบนั้น
มันไม่ได้ง่ายแค่จี้เอวเลยเว้ยสัดดิน!
ต้องเท้าความก่อนว่าผมรู้จักไอ้เชี่ยอาร์ตแบบห่างๆ มันเรียนที่นี่มาตั้งแต่ ม.ต้น จึงเป็นคนเก่าคนแก่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี อาร์ตเป็นคนหน้าตาดี ถึงแม้จะไม่ได้มีหน้าตาระดับท็อปแบบไอ้สิก น้องฟืน หรือสตาร์ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้มันดูหล่อขึ้นมาก นั่นก็คือมันโคตรรวย!
ผมที่คลุกคลีอยู่กับข้อมูลนักเรียนโรงเรียนนี้มานานย่อมรู้ดีว่าใครรวยที่สุด ที่ต้องรู้ก็เพราะโรงเรียนผมเป็นโรงเรียนเก่าแก่ อีกทั้งยังมีธุรกิจหลากหลายครอบครัวที่เกื้อหนุนจุนเจือกันรุ่นต่อรุ่น ผมเคยเป็นสารวัตรนักเรียนเรื่องพวกนี้ไม่รู้ก็ไม่ได้ครับ เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าบ้านนี้ไม่ถูกกับบ้านนี้ ทำไมลูกเขาชอบมีเรื่องกันบ่อยๆ โน่นนี่นั่น
คนที่รวยที่สุดในโรงเรียนผมชื่อว่า ‘ไอ้เนม’ อยู่ห้อง ม.5/3 เป็นเพื่อนของสิกกับฟืน ส่วนคนที่รวยรองมาก็คือไอ้เชี่ยอาร์ตนี่แหละ ความรวยทำให้มันดูหล่อเหนือกว่าพวกหน้าตาท็อปๆ นอกจากจะหล่อรวยแล้ว มันก็ยังเรียนเก่งอีกต่างหาก จึงไม่แปลกที่จะเห็นว่าคนที่มันควงแต่ละคนนั้นมีแต่แต่ท็อปของโรงเรียนทั้งนั้น
และถ้าสตาร์จะโดนมันควงก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแปลกอะไร...เพราะอาร์ตมันเป็นเกย์
กึก
ดินสอไม้ในมือของผมหัก
“เชี่ยดิน” ไอ้โชคที่นั่งอยู่ข้างๆ อ้าปากค้าง “เป็นบ้าเหรอ อยู่ดีๆ ก็ทำลายดินสอ”
“วันนี้กูจะทำให้สตาร์ยิ้มจนตาหยีให้ได้!”
มันเลิกคิ้วมองผม ไอ้โชคเหลือบไปดูคุณครูที่กำลังสอนอยู่จากนั้นก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ “มึงยังไม่ลืมเรื่องนี้อีกเหรอ กูก็พูดไปอย่างนั้นเอง”
“กูคิดไปคิดมาแล้วมันรบกวนกูว่ะ”
“นี่มึงชอบน้องมันจริงๆ แล้วใช่มั้ยนี่”
“...”
“ไม่ใช่แค่ชอบแล้วมั้ง หลงใหลใช่ป่ะสัด”
“บ้าป่ะวะ”
“สัดดิน มึงกลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย ตอนมึงชอบน้องฟืนมึงยอมรับกับกูตรงๆ นะ ไอ้คนตรงๆ คนนั้นหายไปไหนซะแล้วล่ะ”
“คือ...” ผมขยับตัวไปมาอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง “กูก็ยังสงสัยในตัวเองอยู่”
“มึงยังจะสงสัยอะไรอีก” ไอ้โชคชักหมดความอดทน
“...”
“ตั้งแต่มึงถามเรื่องสตาร์กับกูวันนั้นนะ มึงก็เอาแต่พูดเรื่องไอดีไลน์ของมันว่าสามพันจริงหรือเปล่า หน้าอย่างนั้นทำไมถึงมีไอดีไลน์ตัวละสามพัน มีคนเคยได้ไอดีไลน์น้องมันมั้ย โน่น นี่ และนั่น กูว่ามึงชอบน้องมันแล้วล่ะ มึงสนใจน้องมันมากด้วย แต่มึงไม่ยอมรับ”
“...”
“หนีใจตัวเองไปก็เหนื่อยเปล่าป่ะวะ กูว่ามึงยอมรับไปเลย ชีวิตง่ายกว่าเยอะ ไหนมึงเคยบอกว่าชีวิตนี้มันสั้นไง ชอบใครก็รีบไปบอกไม่ใช่เหรอ กูชอบมึงตอนนั้นมากกว่าตอนนี้นะ”
มันเทศนาซะจนผมขนลุก และยิ่งขนลุกหนักเข้าไปใหญ่เมื่อมันบอกว่ามันชอบผมตอนนั้นมากกว่า
คิดไรกับกูป่ะเพื่อน ไม่กลัวฟ้าผ่าเหรอ...
“อย่าเข้าใจผิดนะ กูปลื้มน้องสตาร์ก็จริงแต่กูชอบผู้หญิงเว้ย” ไอ้โชคขยับตัวออกห่างผม
“กูเคยอกหักจากน้องฟืน ตอนนั้นกูจีบน้องด้วยวิธีการห่ามๆ บอกไปตรงๆ แล้วมึงดูสิว่ามันลงท้ายยังไง”
“มันไม่เหมือนกันป่ะวะ” ไอ้โชคชักจะใส่อารมณ์มากขึ้น “ฟืนมันเกิดมาเพื่อได้กับเพื่อนตัวเองเว้ย มึงชอบน้องแต่น้องมีไอ้สิกอยู่แล้ว เพราะงั้นมึงจีบยังไงมึงก็นก แต่นี่คือสตาร์ ผู้โสดสนิทและก็เพิ่งอกหัก ยังไม่มีใครตีตราจองเอาไว้ ถ้ามึงกลัวว่ามึงจะเจ็บ กูก็เข้าใจนะ แต่กูอยากให้มึงลองนึกภาพตอนที่น้องสตาร์โดนไอ้หมาอาร์ตคาบไปแดก ถึงตอนนั้นมึงจะเจ็บมากกว่าตอนนี้หรือเปล่า ลองถามใจตัวเองดูนะครับผม”
แม่ง...แทงใจผมมากซะจนใจผมเป็นแผลเลือดกระฉูด
เมื่อตะกี้แค่ผมนึกภาพ ดินสอไม้ในมือผมก็หักแล้วอ่ะ เพราะงั้นคงไม่ต้องถามถึงความเจ็บหรอกมั้ง ผมคงจะมีมากกว่าความเจ็บอีกนั่นก็คือ...ความปรารถนาที่จะจับไอ้สองคนนั่นแยกออกจากกันซะ!
โชคดีที่ผมมีไอ้โชคเตือนสติ
พี่ดินคนที่เคยสับสนคนนั้นหายไปแล้ว
ผมคงตกหลุมที่น้องสตาร์มันขุดเอาไว้ซะแล้วล่ะครับ
บ่ายสาม
ผมโดดเรียนไปครึ่งคาบด้วยการบอกคุณครูวิชาพละว่าแม่มารับ (ใช้บุพการีอ้างไปอีกกู) ตอนนี้ผมมารอหน้าห้องของสตาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวผมยังใส่ชุดพละอยู่เลย แต่รับรองได้ว่าไม่เหม็นเหงื่อครับ
ใช้เวลาไม่นานเด็กห้องนี้ก็เลิกเรียน ทุกอย่างดำเนินไปในแบบเดิมๆ นั่นก็คือพวกเพื่อนของสตาร์ออกมาก่อน พวกนั้นหันมามองผมกันแทบจะทุกคนด้วยสายตาเรียบๆ แกมเบื่อหน่ายนิดหน่อย และสตาร์ก็มักจะเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาเสมอ
มันตกใจที่เห็นผมยืนอยู่หน้าห้อง
“มาจริงแฮะ” มันเอามือกุมอก “จริงจังไปป่ะครับพี่”
“อืม จริงจัง” ผมจะเริ่มเป็นตัวผมจริงๆ แล้วนะครับ “จะไปไงอ่ะ แท็กซี่หรือว่ารถไฟฟ้า”
“เฮ้อ” สตาร์ถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้ผม ใกล้มากจนหัวของมันจะโดนตัวผมอยู่แล้ว ผมกระพริบตาปริบๆ มองดูคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าพร้อมกลืนน้ำลาย “ผมบอกเพื่อนแล้วแต่เพื่อนไม่ฟัง พี่จะยกเลิกไม่ไปส่งผมก็ได้นะครับ”
“มึงหมายความว่ายังไง”
“วันนี้พ่อจะมารับ พ่อบอกจะขับรถผ่านแถวโรงเรียนพอดีก็เลยจะมารับผมไปส่งที่สยาม”
เอ่อ...พ่อเลยเหรอวะ ผมถึงกับอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว
“เพื่อนบอกถ้าพี่กล้านั่งรถไปกับผม พี่ก็สมควรที่จะได้ไอดีไลน์อีกตัวของผม”
เชี่ยบู้ มึงเป็นคนคิดใช่มั้ย วันหลังมึงห้ามมาเดินแถวซอยบ้านกู ไม่งั้นมึงโดน!
ผมมองใบหน้าของสตาร์ที่ดูเกรงอกเกรงใจผม ก่อนจะทอดถอนใจ
“เอาไงก็เอา”
สตาร์ดูทึ่งมาก “โห พี่ทุ่มทุนว่ะ หลายเรื่องแล้วนะเนี่ย”
“ก็กูจริงจังไง”
“ขอบคุณนะพี่”
“มึงก็อย่าลืมทำตามที่บอกอ่ะ”
“ผมเคยบอกว่าอะไรเหรอ” สตาร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคล้ายกับจะโทรออกหาพ่อ
ไอดีไลน์นั่นเริ่มมีความหมายลดลงไปถนัดตาเมื่อผมนึกอะไรบางอย่างได้
“มึงบอกว่าจะอยู่เคียงข้างกูจนกว่าวันที่กูได้ไลน์มึงครบไง” นี่ต่างหากที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด
สตาร์ที่แนบโทรศัพท์ใกล้หูพูดกับผม “แล้วตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ”
กร๊าวใจพี่มากน้องดาว...ถ้าน้องทำตามสัญญา อยู่ข้างๆ พี่ไปเรื่อยๆ พี่เชื่อว่าพี่มีโอกาสทำคะแนนเพื่อเอาหัวใจของน้องแล้วล่ะ
จริงของไอ้โชค การยอมรับหัวใจตัวเองมันเหนื่อยน้อยกว่าการหนีหัวใจตัวเองจริงๆ
จะเจ็บเหมือนเดิมซ้ำๆ ก็ช่างหัวมันแล้วตอนนี้...ชอบก็คือชอบ หนีใจตัวเองไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ
เอาเวลาไปคอยแอบมองสตาร์ดีกว่า
บนรถ
กูมาทำอะไรที่นี่วะ ไอ้รถตู้หรูคันนั้นนั่นแหละครับคือพาหนะที่ผมโดยสารอยู่ในตอนนี้ ข้างหน้าของผมคือที่นั่งสองที่ที่มีที่หนึ่งถูกจับจอง คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือพ่อของสตาร์ จริงๆ แล้วที่ข้างๆ พ่อสตาร์ว่างแต่สตาร์มันไม่นั่ง มันมานั่งข้างหลังเป็นเพื่อนผมแทน และดูเหมือนพ่อมันจะไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรในเรื่องนี้ด้วย
ตลอดทางพ่อสตาร์เอาแต่คุยโทรศัพท์ขณะที่ผมเกร็งฉี่แทบราด ไม่รู้ทำไมผมถึงตัวสั่นนักหนาทั้งๆ ที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่เข้าหาผู้ใหญ่ได้เก่ง
หรืออาจเป็นเพราะคนคนนี้คือพ่อของสตาร์วะ
“ชื่ออะไรนะ เมื่อตะกี้พ่อมัวแต่คุยโทรศัพท์” พ่อเริ่มชวนคุยหลังจากที่วางสายแล้ว
“เขาชื่อพี่ดินครับพ่อ เป็นรุ่นพี่ ม.6” สตาร์ตอบแทน
“หน้าตาหล่อดีนี่”
หลังจากที่ได้ยิน อาการเกร็งของผมก็หายไปประมาณสามเปอร์เซ็นต์จากเต็มร้อย อย่างน้อยเรื่องหน้าตากูก็ผ่านล่ะวะ
“ขอบคุณครับ”
“รู้จักกับสตาร์นานหรือยัง”
ผมมองหน้าสตาร์ที่กำลังเริ่มขำผม ทำไมเหรอ ผมตลกตรงไหนอ่ะ มีอะไรที่น่าหัวเราะเหรอวะ
“เมื่อไม่นานมานี้ครับ แต่ผมก็เคยเห็นน้องเขาที่โรงเรียน สตาร์เป็นคนเด่นมาก”
“งั้นเหรอ”
“...”
“แล้วคบกันนานหรือยัง”
คำพูดของพ่อทำเอาสตาร์ร้องลั่นรถ “พ่อ! ยังไม่ได้คบ!”
“ก็เห็นพามาให้พ่อดู”
“พี่เขาอาสาจะไปส่งต่างหาก”
“จริงอ่ะ” พ่อของสตาร์ถึงขั้นหันกลับมาจนผมต้องขยับตัว ทำให้มือของผมไปโดนมือของสตาร์ที่วางอยู่บนเบาะพอดี “คบกันในวัยนี้ก็น่ารักดีนะ”
ในที่สุดพ่อก็หันหน้าไป ผมถอนหายใจโล่งอก ขณะที่สตาร์นั้นเริ่มขำจนตาหยี ยิ่งมองหน้าผมมันก็ยิ่งขำ
เฮ้ย ตาหยีแล้ว นี่ไง! ไอ้โชค มึงมาดู! น้องมันยิ้มตาหยีกับกูแล้วโว้ยยย!
เสียดายที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายไม่ทัน
“ขำไรนักหนา” ผมทำปากขมุบขมิบด่ากลบเกลื่อนความเก้อกระดากของตัวเองที่ชอบรอยยิ้มนั้นของสตาร์
“ผมไม่เคยเห็นพี่ดินในมุมนี้มาก่อน”
“มุมอะไร”
“ก็มุมที่ดูหวาดๆ กลัวๆ อ่ะ ปกติเห็นชอบทำหน้าโหดๆ อยู่เรื่อยไม่ใช่เหรอ”
“มึงก็เลยขำเหรอ”
“ใช่ครับ”
“บ้าป่ะ”
สตาร์หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะขยับมือของตัวเองกลับไปวางบนตัก ผมเองก็เก็บมือของตัวเองเหมือนกัน เมื่อตะกี้ผมแอบแต๊ะอั๋งนิ้วมันไปนิดหนึ่ง
ทำไมแค่นี้กูก็รู้สึกฟินแล้ววะ...
สยาม
“ขอบคุณนะครับพ่อ”
“ขอบคุณนะครับ”
สตาร์กับผมบอกลาพ่อที่มาส่งถึงหน้าสยามกิตติ์ที่เป็นที่เรียนพิเศษของสตาร์ พ่อของมันสั่งคนรถขับรถจากไปแล้ว ตอนนี้จึงมีแค่ผมกับไอ้เด็ก ม.5/1 คนนี้
“หายใจสะดวกขึ้นบ้างป่ะพี่” สตาร์ถามยิ้มๆ
“เออ ขึ้นชื่อว่าพ่อก็น่ากลัวหมดอ่ะ โดยเฉพาะพ่อมึง” หากชอบลูกชายใครสักคน...แล้วพ่อคนนั้นขี้หวงล่ะก็ แม่งโคตรน่ากลัวเลย ผมขอบอก
“พ่อผมใจดีนะ”
“ถามจริง พ่อมึงเคยถามอะไรทำนองนี้กับคนอื่นบ้างมั้ย”
“...”
“ไม่สิ มึงเคยพาใครมาหาพ่อมึงแบบที่มึงกับกูทำหรือเปล่า” นี่ต่างหากคือสิ่งที่ผมควรถาม สตาร์มันเป็นเด็กไม่หยิ่ง แม้จะมีแต่เพื่อนๆ ห้องมันรุมล้อม แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ได้ไปปฏิสัมพันธ์กับหนุ่มๆ คนไหน
“เคยครับ พี่อาร์ตเคยขอติดรถไปครั้งหนึ่ง”
ไอ้เชี่ยอาร์ตอีกแล้วเหรอ นี่กูหนีมึงมาจากโรงเรียนชื่อมึงก็ยังตามกูมาถึงนี่เลยเหรอ
“มึงกับไอ้อาร์ตนี่ยังไง” ถามด้วยอาการคิ้วกระตุก
“พี่เขาเป็นพี่รหัสของผม ก็เลยสนิทกัน”
“พี่รหัสอะไรของมึง” มีเรื่องแปลกๆ ในโรงเรียนที่กูไม่รู้อีกแล้ว
“ห้องคิงมีพี่รหัสน้องรหัสครับ ใช้เลขที่ประจำห้องนั่นแหละ ผมเลขที่สิบ พี่อาร์ตก็เลขที่สิบ”
“ก็เลยสนิทกันว่างั้น”
“ประมาณนั้น”
ผมรู้สึกขุ่นเคืองเล็กๆ จนหน้าบึ้งตึง รู้สึกเสียดายที่ตอนอยู่ในตำแหน่งสภานักเรียน ผมไม่ยอมล้มเลิกระบบพี่รหัส (เอาจริงๆ ถึงจะไม่มีเรื่องสตาร์ผมก็ไปเสือกกับชีวิตของพวกห้องคิงไม่ได้อยู่แล้ว)
“แล้วอย่างกูเนี่ย มึงจะเรียกกูว่าอะไร”
“ก็เรียกว่าพี่ดินไง พี่ถามอะไรของพี่” มันมองเหมือนผมโง่
“อย่างไอ้อาร์ตก็เป็นพี่รหัสของมึง แล้วกูอ่ะเป็นพี่อะไรของมึง”
“ก็เป็นรุ่นพี่” สตาร์เริ่มขมวดคิ้ว “พี่อยากได้ตำแหน่งอะไรของพี่วะ มันจะมีอะไรนอกเหนือจากรุ่นพี่อีกอ่ะ”
“มึงก็คิดดิ”
อีกฝ่ายเริ่มเกาหัว นี่ผมตั้งโจทย์ยากเกินไปเหรอ
“เรื่องเยอะจริงๆ” สตาร์ดึงโพสต์อิตออกมาเขียน จากนั้นก็ส่งมาให้ผม
ไอดีไลน์ตัวที่ 3
I
พี่คือพี่ดินคนเท่ของผมครับ “พอใจยัง” สตาร์เลิกคิ้ว ขณะที่ผมอ่านสิ่งที่อยู่ในมือด้วยความอึ้ง
พี่ดินคนเท่...พี่ดินคนเท่...
ไอ้เหี้ย ดีใจมาก ถ้ากรี๊ดได้คงกรี๊ดไปแล้ว แต่นี่กรี๊ดไม่ได้ไง...เพราะผมเป็นคนเท่อยู่
“เออ พอใจ”
“...”
“ส่วนมึงก็คือน้องดาวของพี่ดินนะ รู้มั้ย”
“หา”
เรื่องอะไรจะอยู่ให้เด็กมันเห็นหน้าแดงๆ ของผมล่ะ ต้องรีบชิ่งก่อนที่น้องมันจะรู้ตัวว่าผมพูดอะไร
ท่าทางผมคงชอบเด็กคนนี้เข้าแล้วจริงๆ นั่นแหละครับ
TBC*เด็กน้อยเอ๊ยยย 555