5/5
“ทำไมมึงหนีกลับไปก่อนวะ” เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้ชานแม่งเป็นตัวน่ารำคาญ...
เพราะงั้นพวกคุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าไอ้ประโยคกวนหัวใจนี่ใครเป็นคนถาม เสียงทุ้มของมันที่ลอดออกมาจากลำโพงทำให้ผมพอจะนึกออกว่ามันกำลังทำหน้ายังไง ป่านนี้คงกำลังขมวดคิ้วเป็นโบว์อันใหญ่ แล้วนั่งพิงหัวเตียงจุดบุหรี่สูบอยู่แน่ๆ
“กูท้องเสีย”
เป็นข้อแก้ตัวที่โคตรสิ้นคิดเลยว่าไหม? แต่ถึงอย่างนั้นไอ้คนปลายสายก็ดันเชื่อซะสนิทใจ...
“อ้าวหรอ แล้วเป็นอะไรมากไหม บอกแม่มึงหรือยัง”
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจากไอ้ชานทำให้ผมรู้สึกผิดเล็ก ๆ ไม่รู้สิ คุณเคยโกหกเพื่อนไหม? ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้หนักหนาอะไรยังทำให้ไม่สบายใจ แล้วโดนอัดตูดมาอย่างนี้ควรจะบอกมันดีไหม? หรือควรจะเงียบ ๆ แล้วเก็บไว้ชำระแค้นตามลำพังดี
กระเด้งตัวลุกจากเตียงแล้วถอนหายใจออกมาหมดปอด สุดท้ายยางอายบนหน้าก็กระซิบบอกว่าควรเงียบเอาไว้จะดีกว่า เพราะถ้าขืนให้ไอ้ซูเนโอะเพื่อนยากรู้ มีหวังได้โดนล้อยันชาติหน้าแน่
“กูยังไม่ได้-”
“เนี่ยไอ้โนบิตะก็ถามถึงมึง มันเป็นห่วงมึงนะเว้ย อยู่ๆก็หายไปไม่โทรบอกพวกกูเลย...ว่าแต่เมื่อกี้มึงจะพูดอะไรนะ” คงจะรอฟังผมนานไปหน่อยถึงได้พูดสวนกันขึ้นมาอย่างนี้ ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อโนบิตะดังมาตามสาย
โอ้โห...พูดถึงไอ้โนบิตะแล้วเลือดหน้าขึ้นเลย นี่มันยังมีหน้ามาถามถึงผมอีกหรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งนึกก็ยิ่งอาย ภาพตอนมันถามอย่างหน้าซื่อตาใสว่าทำไมโดนต่อยแล้วไม่มีแผลที่หน้านี่มาเลยครับ...
ได้ข่าวว่าเป็นมึงไม่ใช่หรอที่ซ้อมกูจนเดินกระเผลกเซเป็นแม่ปูอย่างนี้...
ไอ้เวรตะไล ไอ้ตอแหลได้โล่ห์!
“...”
“พิก” เสียงปลายสายเรียกขึ้นเมื่อผมเงียบไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีตีนก็เหยียบอยู่บนสมุดรายงานที่ไอ้โนบิตะทำให้เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว
“อะไร”
“มึงเงียบทำไม ปวดท้องหรอ”
“ช่างกูเหอะ” ผมขยี้ตีนลงบนปกรายงานที่มีชื่อ ‘ศตวรรษ’ เด่นหราอยู่ใต้ชื่อตัวเองอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเตะมันให้กระเด็นหายไปอยู่ใต้โต๊ะเขียนหนังสือแล้วล้มลงนอนเอาหมอนอัดหน้าตัวเองพร้อมพูดอู้อี้ตอบไอ้ชาน “ต่อไปนี้อย่าพูดชื่อแม่งให้กูได้ยินอีกนะ กูเกลียดมัน”
“อ้าว?”
น้ำเสียงของไอ้ชานฟังดูฉงนสงสัย แต่ก็นั่นแหละ กูไม่มีอารมณ์จะตอบอะไรแล้วโว้ย และเมื่อมันครางในลำคอทำท่าเหมือนจะถามถึงเหตุผล ผมเลยตัดบทสนทนาอันน่าปวดหัวนี้ด้วยการบอกว่าปวดขี้ จะไปเข้าห้องน้ำ มีอะไรไว้คุยกันในคลาสเรียนวันพรุ่งนี้แทน
ไอ้ชานวางสายไปพักใหญ่แล้วหลังจากผมแสร้งทำเสียงเหมือนคนปวดหนักแบบสุดๆ นึกโทษไอ้โนบิตะหน้าแว่นนั่นขึ้นมาในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะมันผมก็คงไม่ต้องโกหกเพื่อนด้วยเรื่องเหี้ยๆนี่อีกเป็นครั้งที่สอง
ครั้งที่สอง...
“โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ดีดดิ้นบนเตียงสุดแรงจนหอบเหนื่อยแล้วก็ยังไม่สามารถคลายความรู้สึกแย่ที่เกาะกินจิตใจนี้ได้ ทำไมวะ ทำไม ทำไมถึงไม่รู้ตั้งแต่ก่อนกินชาบูว่าเป็นแม่งที่อัดตูดตัวเองจนเดินเป๋มาถึงสองครั้งสองครา ทำไมถึงไม่ตั้งสติแล้วเดินไปกระชากหัวมันมาจับกดกับน้ำซุปในหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน
ทำไม!
ตอนนี้ผมแม่ง เกลียดเกลียดทุกอย่างบนโลกใบนี้เลย ให้ตายเหอะ... เกลียดตัวเองนึกไม่ออกว่าควรทำอะไรในตอนนั้น เกลียดตัวเองที่ช็อคซีนีม่าจนต้องวิ่งหนีออกมาเหมือนนางเอกในละครช่องสาม เกลียดมันที่ไม่เคยถกแขนเสื้อออกมาแล้วยอมรับแมนๆเลยว่าเป็นคนเปิดซิงตูดผมในคืนนั้น...
เกลียด
ผมเกลียดมัน...
คอยดูพรุ่งนี้เถอะ...มึงเจอกูแน่
ต่อให้มีโดเรม่อนอีกสิบตัวก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้แล้ว
ไอ้โนบิตะ...แว่นหนาชาติหมาหน้าปลาจวดยังต้องสวดศพให้มึง
มึงจะต้องตาย.. (กระซิบ)
ตายแน่ ๆ (เสียงเริ่มดัง)
ตายคามือกูนี่แหละ...สาบาน! (ตะโกนในใจให้ลั่น)
‘กร๊อบ!’ (หักนิ้วรอ)
“ได้ข่าวว่าไปโดนซ้อมมาหรอวะเชี่ยพิก” ยังไม่ทันจะได้ย่างเท้าเข้าห้องแล็คเชอร์ดีๆ เสียงกวนตีนของไอ้ช้างก็ดังเข้าหูมาแต่ไกล มันเต๊ะท่าเดินดูดจูปาจุ๊บเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มลงสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดชายกางเกง
“เสือก”
“อ้าวๆ พูดงี้เดี๋ยวก็สวย ถามดีๆก็ตอบดีๆสิวะ” มันพูดพลางควงจูปาจุ๊บในปากเล่น “นี่เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะเว้ย”
“ใครเพื่อนมึง” ผมกอดอกแล้วยืนพักขา มองมันที่จ้องมาอย่างหาเรื่อง
“ก็มึงไง” มันหัวเราะเสียงแหลมเมื่อเห็นผมขมวดคิ้วยุ่ง “เพราะงั้น...ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนมึงแล้วจะบอกอะไรให้อย่างนะครับพิก ลดความปากหมาลงบ้างเหอะ จริงๆนะ กูเป็นห่วงกลัวมึงจะตายแล้วไม่มีใครมาต่อล้อต่อเถียงด้วย”
“ไอ้สัตว์ช้าง”
“แหน่ะ โมโหอีกแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าโมโหบ่อยๆแล้วหน้าจะเหี่ยวไว”
“ไปไกลๆตีนกูเลย ไอ้ห่า อย่าให้กูต้องฆ่าใครตอนนี้!”
พูดเสร็จก็ถกแขนเสื้อแล้วเตรียมง้างมือรอเลยครับ เห็นท่าทีเอาจริงของผมอย่างนี้ ไอ้ช้างเลยยอมเลิกราวีแต่โดยง่าย มันโบกมือบ๊ายบายแล้วเดินดูดจูปาจุ๊บไปนั่งที่โต๊ะประจำของตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนผ่อนลมหายใจออกดั่งดอกไม้บานอยู่ที่ประตูตามลำพัง
“อ้าวพิก...กูนึกว่าวันนี้มึงจะไม่มาเรียนแล้วซะอีก”
คนต่อมาที่ต้องรับมือคือไอ้ชานครับ มันเดินดูดจูปาจุ๊บดังจ๊วบเข้ามาหาก่อนมือหนาๆจะตบลงที่ไหล่ผมเบาๆ
“กูก็แค่ท้องเสียปะวะ” ผมพยักเพยิดหน้าไปทางอมยิ้มยอดฮิตในปากเพื่อนสนิท “แล้วจูปาจุ๊บนั่นอะไร เดี๋ยวนี้หัดเป็นคนหวาน ๆ ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นี่หรอ” ไอ้ชานเลิกคิ้วแล้วดึงอมยิ้มออกจากปาก “เขาแจกฟรีหน้ามอไง สงสัยมึงมาเช้าเกินมั้งเลยไม่ได้”
ผมพยักหน้าใส่ไอ้ชานที่ควักจูปาจุ๊บอีกหลายอันในกระเป๋ามาอวด ตอนแรกก็กะว่าจะคุยต่อด้วยหรอกนะ แต่พอหันไปเห็นไอ้แว่นโนบิตะที่เดินถือจูปาจุ๊บสองอันตามมาข้างหลังก็หมดอารมณ์จะคุยทันที
“พิกครับ นี่จูปาจุ๊บครับ ผมเอามาเผื่อ”
ผมมองอีลูกอมแจกฟรีในมือของไอ้เก้านิ่ง ชั่งใจอยู่พักนึงเพราะไม่อยากรับของมาจากมือมันเท่าไหร่ แต่เพราะวิชาที่กำลังจะเรียนนี่แม่งเป็นคาบบรรยายที่น่าเบื่อมาก ๆ เลยตัดสินใจจกเอาตรงก้านที่เป็นรสครีมสตอเบอร์รี่มาอันนึงอย่างระมัดระวัง...
หึ...เสนียดจัญไร ไม่อยากโดนมือด้วยหรอก
เกลียด “แล้วจะยืนตรงนี้กันอีกนานไหม? ถ้าใช่ก็แหวกทางให้กูหน่อย จะไปนั่ง”
ผมเดินไปยืนบังทางเข้าไม่ให้ไอ้ชานได้ทำตามใจ ก่อนจะแกะอมยิ้มรสครีมสตอเบอร์รี่ออกมากัดอย่างแรง(แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่แตกเพราะมันแข็งมาก) แล้วตวัดสายตามองโนบิตะที่ยืนอึ้งอยู่ด้านหลังไอ้ชานเพื่อประกาศศึก
วันนี้ทั้งวันมึงจะต้องอึดอัดเพราะสายตาพิฆาตของกู
รอให้ถึงเวลาเลิกเรียนก่อนเหอะ
แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง! เออ...
นรกมีอยู่จริง ๆ ด้วยแหละ
หลังจากที่ประกาศไปกับตัวเองอย่างนั้นก็หลับเป็นตาย... ย้ำ หลับเป็นตาย! ทั้งที่หมายมั่นตั้งใจไว้แล้วว่าทั้งคาบจะจ้องไอ้โนบิตะจอมโกหกให้พรุนกันไปข้าง แต่ก็เสือกสิ้นฤทธิ์เพราะดันไปนั่งตรงกับมุมที่แอร์ลงพอดิบพอดี
คือ...กูก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลับไหม? แต่นั่งตรงนี้แล้วแอร์มันเป่าหัวเย็นสบายไง กะจะงีบแค่แป๊บ ๆ แต่ตื่นมาอีกทีกลายเป็นว่าหมดคาบไปแล้วซะงั้น เพราะไอ้ชานคนเดียวเลย ดันเสือกไปเลือกที่นั่งริมสุด แล้วทำไมน่ะเหรอ? คนถัดมาก็เลยเป็นไอ้โนบิตะไง แล้วจะให้ผมไปนั่งข้างมันหรอ? เดี๋ยวเกิดเผลอเอาแขนไปโดนแขนมันแล้วไฟช็อตตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?
สรุปก็เลยต้องย้ายตัวเองมานั่งอีกฝั่ง บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่ความของผิดผมแน่ ๆ ทั้งหมดทั้งมวลผมจะขอโบ้ยให้ไอ้หน้าจืดนั่นรับผิดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นเพราะมันนั่นแหละ...เพราะมันคนเดียวที่ทำให้เมื่อคืนนี้ผมนอนหลับไม่สนิท พอเคลิ้มๆจะหลับลึกลงไปทีไร สัมผัสกับเสียงเรียก ‘พิกครับ’ มันก็ดังขึ้นมารบกวนอยู่ทุกรอบ...
เอาเป็นว่าเมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอนเลย..ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ลงจริง ๆ เพราะไม่อยากจะฝันถึงเหตุการณ์ชวนเสียวซ่านอย่างนั้นขึ้นมาอีก ตอนตีสี่ก็เลยลุกไปล้างหน้าแปรงฟันจัดการตัวเองแล้วหยิบหัวขโมยแห่งบารามอสมาอ่านอีกรอบเพื่อฆ่าเวลา
“พิก....”
“พิก”
“พิกโว้ย!!!!” เสียงเรียกจนเกือบจะตะคอกของไอ้ชานทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ตื่นจากภวังค์ได้มองซ้ายมองขวาหาเป้าหมายทันที เพราะตอนนี้ทั้งห้องแล็คเชอร์ว่างเปล่าหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่ผมกับไอ้ชานสองคนที่นั่งอยู่กลางห้องเท่านั้น
“เฮ้ยชาน โนบิตะล่ะ”
“กลับไปแล้ว” มันเลิกคิ้ว “ก็กลับเร็วเป็นปกติของมันนั่นล่ะ”
“กลับไปนานหรือยัง”
ผมถามอย่างร้อนใจ ผุดลุกขึ้นมาก็ไม่ได้ดูว่าบานพับมันยังคาอยู่เอวเลยไปกระแทกเข้าอย่างแรง ความรู้สึกตอนนี้สุดยอดมาก ๆ เจ็บจนร้องไม่ออกกันเลยทีเดียว
“เฮ้ยเจ็บไหมวะ” ไอ้ชานก้มมาแตะมือลงบนเอวผมเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถาม “ทำไมวะมีอะไรกับมันหรือเปล่า”
“ไม่มี!”
ก็อยากจะคุยด้วยหรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ตอบมันเสร็จผมก็รีบหันไปคว้ากระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างๆมาสะพายอย่างรีบร้อน
“เฮ้ย แล้วมึงจะไปไหนเนี่ย!”
มันตะโกนเรียกเสียงดังทันทีที่ผมพุ่งตัวออกจากแถวที่นั่ง หน้าตาไอ้ชานตอนนี้เหรอหรามาก อยากจะอธิบายให้ฟังนะ แต่ก็ใส่เกียร์หมาวิ่งกระเผลกออกมาแล้ว และก็นับว่าเป็นโชคดีของผมมาก ๆ ที่ไอ้โนบิตะยังเดินไปได้ไม่ไกลนัก
“โนบิตะ! หยุด!” ผมตะโกนเรียกเสียงดังจนคอหอยแทบระเบิด และนั่นได้ผลมากๆกับคนอื่น...ใช่ คนอื่นแม่งหันมามองผมแทบจะทั้งตึก เว้นก็แต่ไอ้คนโดนเรียกที่ยังเดินล้วงกระเป๋าสบายใจเฉิบ เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งบันดาลโทสะหนักกว่าเก่า เรียกไม่ได้ยินอย่างนี้แม่งต้องใส่หูฟังเปิดเพลงดังกระหึ่มอยู่แน่ ๆ
“พิก!”
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ทันทีที่วิ่งเข้าไปประชิดตัวมันได้ผมก็กระชากสายรุงรังออกจากหูมันทันที
“พิกมีอะไรหรือเปล่าครับ”
เห็นมันทำหน้าซื่อตาใสถามเสียงอ่อนแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เร็วเท่าความคิดก็เลยเอื้อมมือไปกระชากแขนมันแล้วออกแรงดึงให้เดินตามมาติด ๆ ตอนนี้ไอ้เก้าหน้าตามันดูตกใจมากทั้งยังอุทานชื่อผมไม่หยุดอีก
“พิก พิกครับ พิก!”
“หุบปาก!”
ผมหันไปตวาดมันก่อนจะสอดส่ายสายตามองหามุมสงบ ฉุดกระชากลากถูกันอย่างนั้นอยู่พักใหญ่จนไอ้เก้าเลิกขืนมือเลิกต่อต้าน เดินวนกันอยู่พักนึงในที่สุดพระเจ้าก็เข้าข้าง ประทานห้องที่แลดูเป็นส่วนตัวมาให้ตรงหน้า
“เข้าไป”
ผมออกแรงเหวี่ยงแขนมันให้เซนำเข้าไปในห้องล็อกเกอร์แคบๆ ก่อนจะแทรกตัวตามเข้าไปแล้วปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา อาจจะเพราะชั้นนี้เป็นชั้นของห้องสมุดภาษาจีนจึงทำให้ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผมจะสามารถอัดมันได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีใครแส่มือเข้ามาช่วย
“พ...พิก?”
ไอ้โนบิตะครางชื่อผมเสียงสั่น กระเป๋าเป้ที่เคยอยู่บนไหล่ตอนนี้ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ผมโยนมันทิ้งไว้บนพื้นด้านล่าง ก่อนจะย่างสามขุมเข้าไปประชิดตัวจนอีกฝ่ายต้องถอยกรูดติดกำแพง
“มีอะไรจะบอกกูไหม?”
ผมว่าผมใจดีมากเลยนะที่เปิดโอกาสให้มันได้สารภาพก่อน แต่ถึงอย่างนั้นโนบิตะก็ยังขมวดคิ้ว และวินาทีต่อมาก็ส่ายหน้างง ๆ เป็นคำตอบ
“แน่ใจหรอ?...งั้นกูถามมึงอีกทีแล้วกัน”
“...”
“มีอะไรอยากจะบอกกูไหมโนบิตะ?”
“...”
“ได้...จะเอาใช่ไหม”
“ด...เดี๋ยวครับ...นี่มันอะไรกัน” ไอ้เก้าถามเสียงตะกุกตะกัก มันดูลนลานยิ่งกว่าเดิมเมื่อผมยกมือขึ้นไปที่ระดับหน้าแล้วจรดปลายนิ้วลงบนกรอบแว่นของมัน
“กูถามอีกที...ว่ามีอะไรอยากจะบอกกูไหม” ผมเค้นเสียง ชักจะโมโหแล้วนะ ให้โอกาสขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมสารภาพผิดอีกหรอ
“พ...พิกครับ.พิกอย่า”
เมื่อเห็นว่ายังปิดปากเงียบผมเลยต้องกระตุ้นให้มันเปลี่ยนความคิด โนบิตะพร่ำขอร้องเมื่อผมออกแรงดึงแว่นของมันหมายจะทำให้หลุดออกจากหน้า แต่แรงมันดันเยอะพอกันนี่สิ พอผมดึงมันก็รั้ง ยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ในห้องนี้ก็โคตรแคบ ธรรมดาผู้ชายสองคนยืนเฉยๆก็ยังต้องเบียดกันแล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้ล่ะ แทบจะขี่คอกันให้ได้เพราะโนบิตะแม่งทำอารยะขัดขืนใส่ผมแบบสุด ๆ
“ไอ้เหี้ย!” ผมตะคอกเสียงดัง “มึงถอดแว่นของมึงออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่าให้กูต้องต่อยมึงทั้งแว่นตา!”
“ไม่...ไม่ครับ” โนบิตะเบี่ยงหน้าขืนมือผม
“เฮ้ย!” ตะโกนขู่มันอีกทีแล้วจับหน้าให้หันมามองกันตรงๆ ครู่ใหญ่ที่ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น สายตาของไอ้เก้าดูอ้อนวอนขอร้อง แต่ผมไม่สน ยิ่งมันทำตาอย่างนั้นผมก็ยิ่งเดือด เลยเลื่อนสายตาไปที่อื่นแทน
ใช่ กระดุมข้อแขนด้านขวาของมันนั่นแหละ
“พิก! อย่า! อย่านะครับ”
เหมือนหูผมดับไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจแล้วว่าตอนนี้มันกำลังพูดอะไรอยู่ข้างหู รู้อย่างเดียวคือต้องปลดกระดุมเม็ดนั้นออกมาให้ได้ มันขืนตัว แต่ผมก็ไม่ละความพยายามเหมือนกันและสุดท้ายเมื่อปลดกระดุมเม็ดนั้นได้สำเร็จ รอยสักสวาทที่ผมตามหามาตลอดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ก็บอกแล้วไง...ว่าอย่า” โดยไม่รอให้ผมได้ตั้งหลัก เร็วเท่าความคิดร่างทั้งร่างก็ถูกผลักออกโดยแรงที่เหนือกว่า แล้วให้ทายว่าเสียง
ปัง! ที่ดังก้องไปทั่วทั้งห้องนั่นคือเสียงอะไร? ใช่..มันคือเสียงหลังผมกระแทกอัดกับประตูล็อกเกอร์นั่นเอง
“ผมเตือนพิกแล้วแท้ ๆ” มันก้าวเข้ามาหา
“มึง...ม...มึงเป็นใครเนี่ย!”
รู้ตัวนะว่าถามคำถามปัญญาอ่อนออกมา แต่ ณ จุดนี้ใครไม่มาเป็นผมไม่เข้าใจหรอก ก็นาทีที่ไอ้โนบิตะกระชากแว่นตาออกจากหน้าตัวเองแล้วเหวี่ยงทิ้งก่อนจะกระแทกตีนเหยียบติดพื้นจนดัง
กรอบ! น่ะ บอกได้เลยว่าโคตรน่ากลัว...
ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจจะลากมันมาต่อยแท้ ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะกำลังเสียเปรียบนะ...
“นั่น...มึง....มึงจะทำอะไรกู”
ผมถามคำถามโง่ ๆ ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมันใช้สองมือนั่นกั้นทางออกเอาไว้เสียหมด โนบิตะไม่ตอบอะไรออกซักคำ มันใช้ดวงตาเรียวรีคู่นั้นมองมาที่ผมอย่างตำหนิ แต่นั่นก็มากพอแล้วที่จะทำให้ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวอย่างไม่ได้นัดหมาย... ได้โปรดอย่ามองกันอย่างนี้ จะต่อยก็ต่อยเลยเถอะ กูชักจะใจไม่ดีขึ้นมาซะแล้ว...
“จ...จะด่าอะไรก็ด่าสิวะ! แต่อย่ามามองหน้ากูแบบนี้!”
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วจ้องมันกลับยิบตา เอาสิ กูก็สู้คนนะ มึงมองมากูก็มองกลับ จะเล่นเกมส์จ้องตากับกูก็ได้ แต่อย่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะจูบกันแบบนี้...
กูขนลุก! “ปากดีจังเลยครับ”
“...”
“ปากอย่างนี้มันน่าทำให้แตกนะว่าไหม”
มันพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใจผมนี่เต้นตึกตักเลย สาบานเหอะว่าตั้งแต่แต่งตั้งให้มันเป็นเหยื่อมาไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าวันนึงตัวเองจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นเมื่อมันยื่นมือมาบีบลงบนสันกรามผมเบา ๆ สายตามันวาววับเหมือนเมื่อวานตอนมองนักศึกษาคนนั้นไม่มีผิด
ห่าเอ้ย!!! แล้วทำไมต้องรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตด้วยวะเนี่ย! “เงียบอีกแล้ว” มันจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากแล้วมองไล่ไปทั้งตัวผม “ป๊อดเหมือนคืนนั้นเลย”
“เหี้ย”
ผมด่ามันด้วยอารมณ์คุกรุ่น แต่ดูมันจะไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่เลยมั้ง เพราะแทนที่จะตอบอะไรออกมา มันกลับก้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วใช้ปลายจมูกโด่งนั่นเขี่ยบนสันจมูกผมเล่น ให้ตายเถอะ แล้วสายตานั่นคืออะไร ทำไมต้องจ้องกูเหมือนจะกลืนเข้าไปด้วย!
“ครั้งที่แล้วก็สอนไว้ทำไมถึงไม่ยอมเก็บมาใช้บ้างเลยล่ะครับ?”
“สอนเหี้ยอะไรของมึง”
“ก็ที่บอกว่าให้พูดเพราะๆไง...สงสัยจะจำได้แต่อย่างอื่นนะครับเนี่ย” มันหัวเราะ ตลกมากนักหรอไอ้เหี้ย
“เสือก” ผมด่าออกไปเบา ๆ แล้วเสหน้าไปทางอื่นแทน
ตอนนี้เหตุการณ์ชักจะตัลปัตรไปหมด จากที่ผมเคยเป็นฝ่ายรุก ตอนนี้กลับโดนมันต้อนไล่ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะต่อยมันให้หน้ายับ แต่ตอนนี้แค่หน้ามันยังไม่อยากจะมอง ผมกดหน้าตัวเองลงต่ำ สายตาแม่งพิฆาตมาก ถ้าเผลอจ้องตอบมันบ่อย ๆ มีหวังผมคงต้องติดอ่างอีกแน่!
เพราะงั้นกูจะไม่มองตามึง ไม่มอง...มองแค่ปากกับจมูกก็พอ
“พิกครับ”
เรียกเสียงแผ่วไม่พอยังลดมือข้างนึงลงมาโอบไว้ที่เอวของผมอีก สาบานได้ว่าผมพยายามขัดขืนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแรงของมันก็มากพอที่จะบังคับรั้งเอวผมให้เข้าไปประชิดตัวมันได้
“มองตากันหน่อย”
ผมได้กลิ่นน้ำหอมของมันตอนที่ริมฝีปากบางนั่นเลื่อนมากระซิบข้างหู... ชัดเจนและแจ่มแจ้ง นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันทีเลยที่ไม่เคยสังเกตในข้อนี้ ทั้งๆที่มันก็ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้มาทุกวัน แต่ทำไมตอนเป็นโนบิตะถึงได้รู้สึกต่างออกไป...
ทำไมถึงไม่เคยรู้สึกเลย ว่ากลิ่นนี้มันโคตรอันตราย
ให้ตายเหอะ ตอนนี้หัวใจผมต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว...
“ปล่อยกู”
สุดท้ายแล้วก็ทำใจกล้าหันมาสบตากับมัน บอกตรงๆว่าตอนนี้หมดอารมณ์จะต่อยตีด้วยละ อะไรก็ไม่รู้ประดังประเดเข้ามานอนเต็มหัวไปหมด ทั้งโกรธ ทั้งโมโห หงุดหงิด เสียใจ ทุกอย่างแม่ง
ตู้ม! ระเบิดแรงจนสมองแจ้งเตือนว่ารับแทบไม่ไหว
ยื่นเจตนารมณ์จบก็พยายามขืนตัวออกจากการเกาะกุมของมัน แต่ยิ่งทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมหดคอพยายามจะอยู่ให้ห่างริมฝีปากนั้น แต่เพราะส่วนสูงที่เตี้ยกว่ามันจึงทำให้ดูเหมือนว่าตอนนี้ปากรูปกระจับนั่นกำลังคลอเคลียอยู่บนหน้าผม
“ไม่ปล่อย” มันกระซิบเบาๆ
“บอกให้ปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
“เอ๊ะไอ้เหี้ยนี่” ผมถลึงตามองมัน “กูปล่อยมึงแล้ว ไม่อยากรู้แล้ว มึงยังจะเอาอะไรจากกูอีก”
เทเลยครับ ยอมรับว่าผิดหวังมาก ๆ ยิ่งมาโดนมันทำเจ้าชู้ไก่แจ้ใส่แบบนี้ยิ่งหมดอารมณ์...
คิดว่ากูเป็นของเล่นของมึงหรือไง! ไม่อยากรู้ไม่อยากเข้าใจเหี้ยอะไรแล้วก็ได้โว้ย!
โนบิตะชะงักไป มันไม่พูดอะไรออกมาซักคำแต่กลับเลื่อนมือมาคว้าหมับเข้าให้ที่ข้อมือ ผมหลุบตามองต่ำหยั่งเชิงว่ามันจะทำอะไรต่อ แต่แล้วโนบิตะก็ทำให้ผมต้องอึ้งอีกเป็นครั้งที่สามของวัน…
“ก็ไม่อยากให้ปล่อย” มันกระซิบเบาๆแล้วออกแรงกระชากแขนผมก่อนจะดึงเข้าไปหาใกล้ๆ ริมฝีปากสีชมพูของมันตอนนี้อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบ “อยากถามอะไรก็ถามมาสิครับ จะตอบให้ฟัง...”
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ตอนที่มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง...
ไอ้ชิบหายยยย อย่าคิดเชียวนะพิก... บอกว่าอย่าคิดว่ามันเซ็กซี่ไง!
“...”
”แต่อย่าใช้อารมณ์ อย่าด่ากันแบบนั้นอีก...ถามกันดี ๆ พูดกันดีๆนะ...ได้ไหมครับ?”
เดี๋ยวนะ หรือเพราะว่ากูดูละครหลังข่าวกับแม่มากไป...
ทำไมกับอีแค่ถอดแว่นทิ้งไปถึงได้ดูออร่าจับขึ้นมาขนาดนี้
แล้วไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะละลายกลายเป็นน้ำนี่คืออะไร พอได้ยินเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขอร้องแล้วทำไมกูถึงต้องพยักหน้าตามมันด้วย! ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นมองสำรวจเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบของมันอยู่พักใหญ่ จนรู้ตัวอีกทีมือทั้งสองข้างก็ถูกมันกุมเอาไว้หมดแล้ว
“ไม่!!...มึงหลอกกู”
ผมสะบัดแขนแล้วผลักมันออกอย่างแรง ไม่หนำใจยังยกขาขึ้นเตรียมจะถีบด้วย แต่ดูเหมือนโนบิตะจะไวกว่า มันยกเข่าขึ้นกระแทกสวนเข้ามาที่หน้าขาผมทันที
มันใช้มือที่เพิ่งจะเสยผมลวก ๆ ยกขาผมขึ้นแล้วล็อกไว้กับสีข้างของมัน ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “ผมไม่ได้หลอกคุณ”
“ไม่ได้หลอกกูแล้วมาทำเป็นใส่แว่น ทำตัวจืดชืดให้กูคิดว่ามึงอ่อนแอทำไม!”
ผมตะโกนออกไปสุดเสียง เชิดหน้าขึ้นจ้องตากับโนบิตะเขม็ง
“คุณคิดไปเองทั้งนั้น” มันทำเพียงแค่ยักไหล่ไม่ยี่ระแล้วโน้มตัวมาหาจนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างเรา “ผมใส่แว่นก็เพราะว่าสายตาสั้น ที่ทำตัวจืดก็เพราะว่าตั้งใจมาเรียนหนังสือ ตอนกลางคืนก็แทบจะไม่ได้นอนอยู่แล้ว ตอนเช้าทำไมต้องรีบลุกขึ้นมาเพื่อแต่งตัวเซ็ทผมดีๆให้เหนื่อยกว่าเดิมด้วยล่ะครับ?”
“ไม่ใช่เรื่องนี้!” ผมเถียงขาดใจ “ก่อนหน้านี้มึงจะเป็นเหี้ยอะไรมากูไม่สน แต่มึงเอากูแล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่องทำเป็นตัวโนบิตะแบบที่ทำมาตลอดได้ยังไง มึงทำกับกูอย่างงี้ได้ยังไง!”
ข้อนี้แม่งจี้ใจสุด ยอมรับเลยว่าช็อคมากๆตอนที่รู้ว่ามันเป็นคนเดียวกับไอ้เวรนั่น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมคิดมาตลอดว่ามันใส แต่ไม่ใช่เลย.. ประเด็นคือ แม้แต่ตัวกูเองก็ยังคิดหาข้อแก้ตัวให้มึงตั้งมากมายจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องพบว่าตัวเองแม่งควายชิบหาย...
มันคงสะใจสินะที่หลอกผมได้...
สนุกมากไหม? สาแก่ใจมึงหรือยัง?
“นั่นมันเหตุสุดวิสัย...ผมเห็นคุณมานานแล้ว คุณชอบมานั่งเฝ้าโซจินที่ร้านของผมเป็นประจำ แต่คืนนั้นคุณเมามาก ทะเลาะกับเธอแล้วอาละวาดจนไปทั่วเผลอไปโดนนักเลงแก๊งใหญ่ในแถบนั้น...ลองนึกภาพดูสิ ถ้าผมไม่ช่วยเพราะว่าเห็นแก่ความเป็นเพื่อนร่วมห้องของเรา...ป่านนี้คุณอาจไม่ได้มีขาไว้เตะผมอย่างเมื่อกี้นี้ก็ได้”
“...”
“แต่พอผมช่วยคุณออกมาได้ คุณก็เมามากจนนึกทางกลับบ้านไม่ออก คืนนั้นผมเลยต้องให้คุณไปนอนที่คอนโดของผม แต่ก่อนจะถึงห้อง คุณน่ะอ้วกเรี่ยราดไปทั่วเลย... เบาะรถผมแพงมากนะ รู้ไหมว่าอาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ผมต้องอดทนกับกลิ่นของมันด้วยความรู้สึกยังไง”
“...”
“ไม่หนำใจ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จจะพาไปนอนที่เตียงดีๆคุณก็ขึ้นมาคร่อมบนตัวผม รู้ไหมว่าคืนนั้นคุณเอาแต่พูดว่าอะไร?...ไม่ไหวแล้ว...มาทำอย่างว่ากันเถอะนะ เธอน่ารักจัง เรามามีเซ็กส์กันเถอะ ฉันจะรับผิดชอบเธอเอง...แล้วจะผมให้ทำยังไงในเมื่อคุณเกิดอารมณ์ขนาด---”
“พอ!! พอโว้ย !!!”
โอ้ย! ไอ้ชิบหายยย ยังมาทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนกูอีกนั่น! ผมยกมือสองทั้งข้างขึ้นแนบหูตัวเองทันที ทนฟังไม่ได้แล้วโว้ยยย ไม่เคยนึกเลยว่าวีรกรรมที่เคยก่อไว้มันจะยิ่งใหญ่อะไรได้ขนาดนี้
“แล้วคืนสอง...ที่ผมทำกับคุณอย่างนั้น คุณไม่อยากรู้แล้วหรอว่าทำไม”
“ไอ้สัตว์ หุบปากไปเลย! อย่าให้กูต้องซัดมึงหน้าแหก...”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงครับ” และระหว่างที่ผมกำลังเสียสติเพราะความบ้าของตัวเองในคืนนั้น ไอ้เก้าก็ยื่นปากเข้ามาใกล้แล้วพูดกระซิบที่บริเวณมุมปากของผม “เพราะว่าปากดีอย่างนี้ไง”
“...”
“บอกให้พูดดี ๆ แต่ก็ไม่เห็นพูด...เอาแต่หยาบใส่คนอื่นอยู่ท่าเดียว สงสัยจะไม่ชอบให้พูดดี ๆ ด้วยเหมือนกันสินะครับ”
“...”
“ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ทำอะไรคุณแล้วนะพิก...แต่คุณแม่ง”
“....”
“ตอนโกรธตอนโมโหนี่น่าเอาชิบหาย...ถ้าไม่ชอบแบบสุภาพ ต่อไปนี้กูก็จะพูดหยาบๆกับมึงเหมือนกัน ดีไหมครับพิก?”
ผมมองสบตามัน สายตาของมันกำลังทำให้ลมหายใจของผมติดขัด เพราะแม่งแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าที่พูดน่ะ เอาจริงแน่ ๆ
“ไอ้เหี้ย!! ปล่อย!!! ปล่อยกู!”
ตั้งสติได้ก็รีบขัดขืนสิครับพี่น้อง จะอยู่ให้มันทำตัวพิศาลใส่ทำไม! ผมทั้งผลักทั้งทุบทั้งต่อยมันสุดแรง แต่ถึงอย่างนั้นโนบิตะก็ไม่มีท่าทีว่าจะสะเทือนซักเล็กน้อยเลย มันยืนนิ่งแข็งเป็นหุ่นยนต์ให้ผมอัดอยู่นานสองนานจนผมเริ่มหอบเริ่มหมดแรงมันจึงเริ่มขยับมือที่ล็อคขาผมเอาไว้บ้าง
“ไม่ปล่อย” มันกระซิบ นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นแวววับเหมือนได้ของเล่นถูกใจ “เพราะวันนี้กูจะเอามึงแรงๆ แรงให้หายปากดี...แรงให้คลานกลับบ้านไม่ไหวเลย”
สาบานได้ว่ามันเป็นคนพูดจริงทำจริง เพราะเมื่อสิ้นเสียงแหบพร่านั่น หน้าของผมก็ถูกดันให้เชิดขึ้นรับจูบทันที ริมฝีปากของมันบดเข้ามาแรงมาก ไม่หนำใจยังใช้มือสากเลื่อนมาบีบกราม แล้วบังคับให้ผมเปิดปากรับเรียวลิ้นร้อนที่ฉกเข้ามาอีก
[size=18]
“อื้อ!” [/size]
ผมพยายามสะบัดหน้าหนี แต่แรงของมันมีมากกว่า! ไอ้เก้าจิกหัวผมให้เงยหน้าขึ้นรับจูบ ก่อนจะกวาดลิ้นร้อนฉกเล็มไปทั่วทั้งโพลงปาก น่าแปลกมากที่ผมไม่รู้สึกรังเกียจ ซ้ำยังเสียวแปลกๆตอนที่มันลากลิ้นผ่านเพดานปากอีกด้วย(ลองเอาลิ้นคุณลากเบา ๆ บนเพดานกวาดตามไร้ฟันด้านบนสิครับ ความรู้สึกนั้นเลย)
มันปล่อยมือแล้วถอยห่างออกช้า ๆ ผมได้แต่มองเส้นใยเหนียวหนืดจากน้ำลายของเราที่ติดอยู่บนริมฝีปากสีเชอร์รี่ของมันนิ่ง คือ...อึ้งอยู่ คือ...นึกอะไรไม่ออกแล้วครับ ไม่คิดว่าจูบของมันจะมีพลังทำลายล้างขนาดนี้ ตั้งแต่คบกับผู้หญิงมายังไม่เคยเจอใครจูบเก่งเท่านี้เลย ทั้ง ๆ ที่ปากมันไม่ได้นุ่มเลยซักนิด แต่กลับมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด…
โว้ยยยย อย่าเคลิ้มสิวะ! ดีดดิ้นหน่อย! ขัดขืนหน่อยสิไอ้เหี้ยพิก! (มีต่อ)