M o v i n g I n
ตอนที่ ๑
ผมว่าผมคงเป็นตัวอย่างสำหรับคนประเภทที่เรียกว่า ‘เนิร์ด’ หรือ ‘หนอนหนังสือ’ ที่ดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง ตั้งแต่เด็กยันโต ผมมักจะจมอยู่กับตัวเองและการอ่านหนังสือทุกประเภท แม้กระทั่งหนังสือเรียนหรือหนังสือวิชาการผมก็ชอบอ่าน ถึงจะหัวดีและประสบความสำเร็จในการเรียนและหน้าที่การงานมาโดยตลอด แต่กลับขาดการปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมรอบข้าง ชีวิตทางสังคมของผมเรียกได้ว่าต่ำจนเกือบจะถึงศูนย์ ก็จริงอยู่ที่ผมมีเพื่อนและเพื่อนร่วมงาน แต่ผมกลับไม่เคยได้คลุกคลีหรือสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอาชีพหมออย่างผมด้วยแล้ว เวลาทำงานหรือเข้าเวรทีก็ไม่เคยมีเวลาได้สุงสิงกับใคร และพอเลิกงานผมก็มักตรงดิ่งกลับบ้านมานอนพักผ่อน พอมีวันหยุดผมก็มักจะเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน จนคนอื่นๆ เรียนรู้ว่าผมเป็นคนอย่างนี้ และเลิกวุ่นวายที่จะลากผมให้ออกไปสังสรรค์ด้วยไปโดยปริยาย
นั่นคือเหตุผลหลักที่ทำให้ผมไม่เคยมีแฟนมาจนถึงทุกวันนี้ แถมนอกจากจะไม่มีแฟนแล้ว ผมยังไม่เคยมีอะไรกับใครเลยมาตลอด 27 ปีเต็มอีกต่างหาก ถ้าถามว่าเหงาบ้างมั้ย ผมก็บอกได้เลยว่าผมเหงามาก แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อผมทำตัวของผมเองแบบนี้
ผมไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดี ไม่เคยมั่นใจในตัวเอง ผมไม่ใช่คนหล่อ ก็แค่หน้าตี๋ๆ จืดๆ ขาวๆ ใส่แว่น หุ่นก็ไม่ดีเหมือนคนอื่นเขา ไม่เคยออกกำลังกายจริงจังนอกจากจะว่ายน้ำบ้างเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ ผมไม่ใช่คนแบบที่เวลาเดินผ่านแล้วใครจะหันมามองให้ความสนใจเลยสักนิด
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ผ่านมาทำไมผมถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แบบจริงๆ จังๆ สักที จนกระทั่งอายุเท่านี้แล้วผมถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมตัวคนเดียวและเหงามากขนาดไหน เพื่อนๆ ของผมก็เริ่มทยอยแต่งงานกันไปทีละคนสองคน แต่ผมก็ยังตัวคนเดียว ไม่เคยมีแฟน และไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับใครเป็นพิเศษ นอกจากเมื่อตอนยังเด็กแค่เพียงครั้งเดียว แต่มันก็ห่างไกลจากคำว่า ‘แฟน’ ไปคนละทิศละทาง ส่วนเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวที่ใกล้เคียงกับเรื่องอย่างว่าที่สุด ก็เกิดขึ้นนานยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเสียอีก และผมก็ไม่ค่อยอยากคิดถึงมันเท่าไหร่นักด้วย
ผมมีความสามารถในการผลักเรื่องที่ตัวเองไม่อยากจำไปไว้ส่วนหลังสุดของสมองด้วยการก้มหน้าก้มตาเรียน จนบางทีผมก็หลอกตัวเองได้ว่าผมลืมมันไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงการลืมแบบชั่วคราวเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ผมอยู่คนเดียวและหวนคิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้นขึ้นมา มันก็มักทำให้ผมต้องหวั่นไหวและรู้สึกกลัวใจตัวเองขึ้นมาทุกครั้ง
ผมอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งตัวคนเดียวมาเกือบห้าปีแล้ว พี่ชายกับพี่สาวของผมต่างก็แยกย้ายกันไปอยู่คนละจังหวัด พ่อกับแม่ของผมก็เสียไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อน ด้วยงานและนิสัยของผม ผมจึงไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเท่าไหร่นัก นานๆ ทีเวลาผมเจอใคร เราก็จะยิ้มทักทายให้กันบ้าง แต่ถึงแม้ผมไม่เคยได้รู้จักหรือใกล้ชิดใครจริงๆ จังๆ สักคน พวกเขาก็เป็นมิตรกับผมดี
เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่เจ็ดโมงและชะโงกหน้าออกไปมองดูนอกหน้าต่าง เหล่าต้นหญ้าและวัชพืชในสวนบ้านหน้าของผมที่ไม่ได้รับการดูแลมาเกินกว่าอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ ต่างก็แข่งกันเจริญงอกงามจนผมคิดว่าผมคงต้องจัดการดูแลมันบ้างสักหน่อยแล้ว
หลังจากมื้อเช้าง่ายๆ และนั่งอ่านงานวิจัยการแพทย์ที่เคยอ่านค้างไว้จบ ผมก็เดินออกไปหยิบเครื่องตัดหญ้าและอุปกรณ์ทำสวนมาดูแลสนามหญ้าและต้นไม้หน้าบ้าน ลุงที่อยู่บ้านเลยไปหน่อยเดินผ่านมาเห็นผมกำลังนั่งก้มๆ เงยๆ อยู่ก็กล่าวทักทายและหยุดคุยกับผมครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินต่อ เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงเที่ยง แดดก็เริ่มแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ความชื้นในอากาศเพราะฝนที่ตกมาตลอดจนถึงเมื่อคืนทำให้ผมรู้สึกร้อนจนแทบอึดอัด ผมตัดสินใจหยุดพัก เดินเข้าบ้านไปหยิบโค้กเย็นๆ ออกมาดื่ม และเมื่อเดินกลับออกมาหน้าระเบียงบ้านอีกครั้ง ผมก็เห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าบ้านฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่มีคนอยู่มากว่าครึ่งปีแล้ว ชายหนุ่มสองคนกำลังช่วยกันขนของลงจากรถเข้าไปในบ้าน ผมรู้สึกสนใจนิดหน่อยว่าสองคนนี้จะเป็นคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ หรือเป็นแค่คนขนของที่ถูกจ้างมา แต่ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีใครคนอื่นอยู่อีกนอกจากพวกเขา
“ไอ้แมน!! มึงออกมาช่วยกูยกชั้นหนังสือนี่ก่อน!” ผมได้ยินหนึ่งในสองคนนั้นตะโกนเรียกเพื่อนของเขา
ในระหว่างที่กำลังเล็มกิ่งไม้ใบไม้อยู่ ผมก็คอยแอบลอบมองบ้านฝั่งตรงข้ามไปด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่สบโอกาสที่จะได้เห็นหน้าพวกเขาชัดๆ สักที จนกระทั่งเมื่ออากาศเริ่มร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ถอดเสื้อยืดของตัวเองออก ทำให้ผมเห็นร่างกายกำยำที่ได้รับการดูแลอย่างดี ซึ่งสำหรับหนุ่มบริสุทธิ์อย่างผมแล้ว มันคือสิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของผมได้มากที่สุด ถึงแม้ด้วยอาชีพของผม ผมจะเห็นคนแก้ผ้าต่อหน้าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยคนต่อสัปดาห์อยู่แล้วก็ตามที
เวลาผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง ผู้ชายคนที่ตัวใหญ่กว่าและผิวเข้มกว่าหันมาเห็นผมเข้า เขาพยักหน้าเป็นเชิงทักทายให้แก่ผม ผมจึงพยักหน้าตอบเขาไปด้วยความตกใจแล้วก็รีบก้มหน้าพรวนดินใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ต่อ เมื่อเวลาผ่านไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง ผมที่จัดการดูแลต้นไม้บริเวณนั้นเสร็จแล้วลุกขึ้นยืนและบิดตัวแก้อาการปวดหลัง จากนั้นก็หันไปเห็นผู้ชายอีกคนกำลังตั้งท่าจะยกลังกระดาษใบใหญ่ลงจากหลังรถ เมื่อผมสบโอกาสได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ หัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นทันที ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาหน้าตาดียิ่งกว่าคนแรกเสียอีก แต่เพราะเขาคือคนที่ผมเคยรู้จักมาก่อนและไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกต่างหาก
ชายหนุ่มคนนั้นหันมาทางผมราวกับรู้สึกได้ว่าผมกำลังมองเขาอยู่ เมื่อเราสบตากันแล้ว เสี้ยววินาทีหนึ่งผมก็นึกสงสัยว่าเขาจะจำผมได้หรือเปล่า แต่รอยยิ้มกว้างที่ฉายขึ้นบนใบหน้าของเขาก็ช่วยตอบคำถามนั้นได้เป็นอย่างดี เขาวางลังกระดาษลงบนพื้นและรีบวิ่งตรงเข้ามาหาผมทันที
“พี่เก้า!!” เขาร้องเรียกชื่อผมพลางโบกมือไปมา
“รัก”
เด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าผมสองปีวิ่งข้ามถนนมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของผม “พี่เก้าอยู่ที่นี่เหรอ โห! นี่ผมไม่ได้เจอพี่มาตั้งกี่ปีแล้วเนี่ย!”
“ก็ 10 ปีได้แล้วมั้งครับ ตั้งแต่รักขึ้น ม. ปลาย ใช่มั้ยล่ะ”
“นั่นดิพี่ ผมดีใจนะที่ได้เจอพี่อีกครั้งอะ! อย่างน้อยๆ ผมก็มีคนรู้จักแล้วคนนึงล่ะ!” เขายิ้มกว้าง ผมคิดในใจว่าเขายังคงมีรอยยิ้มสดใสและเป็นคนร่าเริงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“นี่แปลว่าคนที่จะย้ายมาอยู่บ้านนั้นคือรักเหรอ” ผมถาม
“ใช่ครับ ผมเพิ่งซื้อต่อจากเจ้าของเก่าน่ะ จริงๆ ผมก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะได้มีบ้านของตัวเองเร็วขนาดนี้น่ะ แต่ก็นี่แหละพี่ ผมเพิ่งจะย้ายมาวันนี้ เลยให้เพื่อนมันมาช่วย”
“อ้าว รักมาอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาแชร์ด้วยเลยเหรอ”
“ไม่มีครับ ผมอยู่คนเดียว เดี๋ยวพอเย็นๆ ขนของเสร็จแล้วเพื่อนผมมันก็ต้องไปธุระต่อ เพราะงั้นพวกผมก็ต้องรีบกันหน่อยล่ะ ยังดีนะที่ของไม่เยอะ แต่ก็ยังต้องเก็บกวาดบ้านอีก จริงๆ นี่ก็ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ” เขาตอบ “ว่าแต่พี่ล่ะ พ่อกับแม่เป็นไงบ้าง แล้วพี่ชายกับพี่สาวพี่ล่ะไม่มีใครอยู่บ้านเหรอ”
“พี่ย้ายมาอยู่ที่นี่คนเดียวครับ ย้ายมาได้ราวๆ ห้าปีแล้วล่ะ เพราะต้องทำงานแล้วก็เรียนที่โรงพยาบาลใกล้ๆ นี่ ส่วนพ่อกับแม่พี่เค้าเสียไปแล้วครับ ส่วนพี่ฟ้ากับพี่สนก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น”
“อ้าว ผมไม่รู้เรื่องเลย ขอโทษนะครับพี่” เขาหน้าเจื่อนๆ ลงเล็กน้อย “งั้นพี่ก็อยู่คนเดียวเลยน่ะสิ”
“อื้อ ใช่” ผมตอบ รู้สึกกังวลๆ กับคำตอบของตัวเองยังไงบอกไม่ถูก แถมตลอดเวลาที่เราคุยกัน หัวใจของผมก็เต้นแรงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นผมยังไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
“แล้วเมื่อกี้ที่พี่บอกว่าพี่เรียนกับทำงานที่โรงพยาบาล... แปลว่าตอนนี้พี่เป็นหมอเหรอ”
ผมพยักหน้า “ใช่ครับ หมอผิวหนังน่ะ”
“โห พี่เก้าก็ยังเก่งเหมือนเดิม! ทั้งเรียนดี การงานดี หน้าตาก็ดีอีก น่าอิจฉาจริงๆ”
คำพูดนั้นของเขาทำเอาผมเขินจนหน้าแดง “ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง ว่าแต่รักเองเถอะ ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่”
“ผมเป็นพ่อครัวอยู่ร้านอาหารครับ เอาจริงๆ ลำพังเงินเดือนผมอย่างเดียวคงไม่พอซื้อบ้านอยู่ได้หรอก แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ย่าของผมเค้าเพิ่งเสีย และผมได้มรดกส่วนนึงมา เลยอยากจะมาตั้งตัว อยากมีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง ผมเลยมาซื้อบ้านหลังน้อยนี้อยู่นี่แหละ ไม่อยากเช่าห้องเล็กๆ เค้าอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีปัญญาทำอะไรกับมันมากหรอกนะครับ ยังดีที่เจ้าของเก่าเค้าทิ้งเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆ ไว้ให้ ถ้าผมตบแต่งเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ผมจะชวนพี่เข้าไปดูนะ”
“ยินดีครับ ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ พี่เก้า แต่ถ้าไงเอาไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันอีกทีนะพี่ ผมต้องไปเก็บบ้านต่อแล้ว เดี๋ยวเพื่อนมันจะด่าเอา” เขาหัวเราะเบาๆ
“โอเคครับ... เอ่ออ รัก ยังไงหลังจากเสร็จแล้ว ถ้ารักกับเพื่อนอยาก... มานั่งพักกินเบียร์ที่บ้านพี่ก็ได้นะ พี่ยินดีต้อนรับ”
“ขอบคุณครับ เพื่อนผมมันคงต้องรีบกลับน่ะ แต่ยังไงตอนเย็นผมจะเดินมาหาแล้วกันนะ ไม่ได้เจอพี่ตั้งนาน อยากคุยด้วยเหมือนกัน”
ผมพยักหน้าและยิ้มตอบเขากลับไป ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง
ผมอยู่ที่นี่มากว่าห้าปี แต่บทสนทนาที่ผมมีกับรักเมื่อครู่ นับว่าเป็นหนึ่งในบทสนทนาที่ยาวที่สุดที่ผมเคยมีกับเพื่อนบ้านไม่ว่ากับคนไหนก็ตามแล้ว
เมื่อเดินกลับเข้าไปในบ้าน ผมก็รินน้ำเย็นใส่แก้วให้ตัวเองแล้วเดินมานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะได้เจอกับรักอีกครั้งหลังจากที่ผ่านมาร่วม 10 ปี เขากำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนบ้านผม แถมยังโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่งกว่าเมื่อตอนเด็กๆ เสียอีก
ย้อนกลับเมื่อสมัยที่ผมรู้จักกับรักครั้งแรก เราเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน โดยที่เขาเป็นรุ่นน้องของผมหนึ่งปี ผมบังเอิญเจอกับเขาตอนที่ผมอยู่ ม. 4 วันนั้นผมต้องไปส่งงานวิชาชีวะที่ห้องพักครู เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปแล้ว ก็พบว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้น โดยที่มีอาจารย์ที่เคยสอนผมตอน ม. 3 กำลังตักเตือนเขาอยู่ ผมเดินเข้าไปวางสมุดรายงานลงบนโต๊ะอาจารย์ของผม แต่ด้วยความที่มันอยู่ติดกันกับพวกเขา ผมจึงได้ยินที่สิ่งที่อาจารย์กำลังพูดอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เธอจะทำกิจกรรม จะเป็นนักกีฬาอะไร ครูไม่ว่าหรอกนะ ลักษณ์ธิสุทธิ์ แต่เธอต้องอย่าลืมใส่ใจการเรียนของตัวเองด้วย อย่าลืมว่าหน้าที่หลักของนักเรียนก็คือการเรียน เธอจะทำตัวเหลวไหลไม่ทำการบ้าน ไม่ทำงานส่งครูบ่อยๆ แบบนี้ไม่ได้ เข้าใจมั้ย”
“ครับ อาจารย์ลักขณา ผมเข้าใจครับ และผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเหลวไหลด้วย แต่...”
“ไม่มีแต่ นอกจากจะสอนวิชาวิทยาศาสตร์เธอแล้ว ครูยังเป็นครูที่ปรึกษาของเธอด้วยนะ เพราะฉะนั้นครูไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ แน่ เราเคยมีข้อตกลงกันแล้วไม่ใช่รึไง”
“ครับ...”
อาจารย์ลักขณาเงยหน้าขึ้นมาเจอผมเข้าพอดี “อ้าว ก้าวตะวัน เป็นยังไงบ้าง สบายดีนะ”
“สวัสดีครับ อาจารย์” ผมยกมือขึ้นไหว้ “ผมสบายดีครับ”
“นี่ไง ลักษณ์ธิสุทธิ์ เธอต้องดูพี่คนนี้ไว้เป็นตัวอย่าง ตั้งใจเรียน เรียนดี ไม่เคยขาดงาน แถมพอขึ้น ม. 4 ก็ยังได้ไปอยู่ห้องคิงด้วย” อาจารย์หันไปพูดกับลูกศิษย์ของตัวเองต่อ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม เมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆ ผมกลับต้องรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตากลมโตและดำขลับของเขาแลดูสำนึกผิด สีหน้าเจื่อนๆ ของเขาแลดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ผมถึงกับต้องหันหลบไปมองทางอื่นเพราะไม่สามารถสู้แววตาของเขาได้ทีเดียว
“เธอต้องตั้งใจเรียนมากกว่านี้นะ ลักษณ์ธิสุทธิ์ ครูจะให้เวลาหนึ่งอาทิตย์นับตั้งแต่วันนี้ในการเคลียร์งานของครูที่ค้างอยู่ทั้งหมดมาส่ง รวมทั้งวิชาอื่นๆ ด้วย และถ้าหากเธอตกสอบเก็บคะแนนที่เราจะมีในวันศุกร์หน้านี้ล่ะก็ ครูจะต้องเชิญผู้ปกครองมาคุยจริงๆ แล้ว”
“โหหหห... อาจารย์ครับ!” เขาโอดครวญ
ผมที่เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนบอกขอตัวกลับไปยังห้องเรียน แต่หลังจากที่เพิ่งเดินออกจากห้องพักครูไปได้ไม่ไกล ผมก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกเรียกชื่อของตัวเองดังมาจากทางด้านหลัง
“พี่ๆ! พี่เก้า!”
ผมหยุดเดินและหันกลับไปมองว่าใครที่กำลังเรียกผมอยู่
รักวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “พี่ชื่อไรอะ ผมเรียกพี่ว่าพี่เก้าเพราะเห็นอาจารย์แกเรียกชื่อจริงพี่แบบนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าใช่ชื่อเล่นพี่รึเปล่า”
“อ... เอ่อ... พี่ก็ชื่อเก้านั่นแหละครับ”
“อ้าวเหรอ เออ ฟลุ้คดีเว้ย” เขาหัวเราะ “ตอนแรกก็ลังเลอยู่ว่าจะเรียกพี่ว่าตะวันหรือเก้าดี แต่เก้ามันสั้นกว่าก็เลยเรียกแบบนั้น ผมชื่อแมนนะครับ แต่เพื่อนๆ เรียกผมว่า ไอ้รัก เรียนอยู่ ม. 3 พี่จะเรียกผมว่ารักเหมือนกันก็ได้”
“ครับ” ผมตอบกลับไป ยังไม่รู้ว่าเขาวิ่งตามผมมาเพื่ออะไร
“พี่ คือผมมีเรื่องอยากรบกวนพี่หน่อยอะ ตอนนี้ผมกำลังลำบากโคตรเลย อยากให้พี่ช่วยอะไรนิดนึงอะครับ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่องเรียนไงพี่ ก็อย่างที่พี่ได้ยินเมื่อกี้อะ ตอนนี้ผมกำลังแย่เลย และผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วด้วย ถ้าพี่มีเวลา ผมอยากจะปรึกษาพี่เรื่องเรียนไรงี้หน่อยอะ พี่สะดวกรึเปล่า”
“หาาา พี่เนี่ยเหรอ” ผมตกใจ “แล้วรักจะให้พี่ช่วยยังไงครับ”
ยังไม่ทันที่เขาจะตอบ เสียงออดเริ่มคาบเรียนก็ดังขึ้น
“เอ้า! ออดดังแล้ว วิชานี้ผมเข้าสายไม่ได้ด้วย! งั้นเอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะครับพี่ เอาเป็นว่าตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมจะรอเจอพี่ที่หน้าอาคารหกนะ มาเจอผมก่อนกลับบ้านนะ พี่เก้า แป๊บเดียวเอง ผมจะรอนะครับ!”เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้นก่อนจะรีบวิ่งจากไป
ผมที่ยังคงงงๆ อยู่ได้แต่มองตามหลังของเขา ก่อนที่จะรู้สึกตัวและรีบวิ่งกลับไปยังห้องของตัวเองด้วยเหมือนกัน หลังจากนั้นจนถึงคาบสุดท้าย ผมก็ได้แต่คิดถึงรักและคำขอร้องของเขา ผมรู้สึกลังเลว่าควรจะไปพบเขาดีหรือไม่ เพราะผมไม่รู้จักเขา และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเขาจะแค่ล้อเล่นหรือจงใจแกล้งผมหรือเปล่า ด้วยความเป็นคนที่ขี้อายและไม่กล้าพบปะพูดคุยกับใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้ผมตัดสินใจไม่ไปพบกับเขา และรีบตรงกลับบ้านทันทีโดยพยายามเลี่ยงไม่เดินผ่านอาคารหกที่เขานัดเจอผมเอาไว้
ที่จริงผมก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน แต่ลึกๆ แล้วผมรู้สึกกลัวที่จะคุยกับเขามากกว่า ผมก็ไม่ได้ชอบที่ตัวเองเป็นคนแบบนี้หรอก ยิ่งสมัยก่อน ผมยิ่งอาการหนักกว่าที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เสียอีก จริงๆ แล้วพอมาคิดดูดีๆ สาเหตุที่ทุกวันนี้ผมยังไม่มีแฟนมันก็คงไม่ใช่เพราะเรื่องเรียนหรือเรื่องงาน แต่เป็นที่ตัวผมเองล้วนๆ ถ้าหากผมคิดจะโทษใครหรืออะไร ผมก็ต้องโทษตัวเองที่เป็นคนเก็บตัวและไม่กล้าเปิดใจให้คนอื่นก่อน อย่างเช่นเรื่องของรักในตอนนั้นที่ผมไม่ไปพบเขาตามนัด คืนนั้นผมเองก็แทบจะนอนไม่หลับเพราะความรู้สึกผิดต่อเขา ผมได้แต่คิดว่าเขาจะรอผมอยู่นานขนาดไหนและจะโกรธผมหรือเปล่า แต่ผมก็พยายามบอกตัวเองว่าเขาคงจะไม่คิดอะไร และเราก็อาจจะไม่ได้เจอหรือคุยกันอีกด้วยซ้ำ
แต่ผมคิดผิด เพราะอีกแค่สองวันถัดมา ในขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเรียน เพื่อนคนหนึ่งก็เดินมาบอกว่ามีคนมาถามหาผม และเมื่อเดินออกไปดูนอกห้อง ผมก็เห็นรักกำลังยืนรอผมอยู่
“หวัดดีครับ พี่เก้า” เขายกมือขึ้นไหว้ผม แต่ไม่ดูกระตือรือร้นเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เราเจอกัน
“หวัดดีครับ รัก...” ผมตอบ รู้สึกกระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก “เอ่อ คือ เมื่อวานพี่ขอโทษทีนะ พอดีพี่ คือ... พี่ต้องรีบกลับบ้านน่ะครับ”
เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมผิดเองแหละที่จู่ๆ ก็วิ่งไปขออะไรพี่แบบนั้นและยังไม่ทันจะคุยกันรู้เรื่องก็วิ่งหายไปก่อนเอง”
“แล้วว่าแต่รักรู้ได้ไงว่าพี่อยู่ห้องนี้”
“ก็เมื่อวันก่อนอาจารย์แกก็บอกไงว่าพี่อยู่ห้องคิง ไม่เห็นยากเลย” เขาตอบ “คืองี้พี่ ผมไม่อยากกวนเวลาพี่นาน ผมเข้าเรื่องเลยแล้วกัน คือพี่ก็รู้ว่าผมกำลังมีปัญหาเรื่องเรียน และผมอยากรบกวนพี่หน่อยอะครับ ผมต้องทำงานอีกหลายชิ้นเลย แล้วยังต้องอ่านหนังสือสอบอาทิตย์หน้าอีก สองวันมานี้ผมก็พยายามแล้วนะ แต่มันไม่ไหวจริงๆ ผมเลยอยากรบกวนขอเวลาพี่สักวันละชั่วโมง สองชั่วโมง หรือเสาร์อาทิตย์ถ้ามีพี่ว่าง ตอนไหนก็ได้ ให้พี่ช่วยติวผมหน่อยดิ ได้มั้ย นะๆๆ นะครับ ผมขอร้องล่ะนะ”
“หาาา! จะให้พี่เนี่ยเหรอ ติวให้!” ผมตกใจ “แต่ว่าพี่ไม่เคยติวให้ใครมาก่อนเลยนะครับ”
“นะครับพี่ ช่วยผมหน่อยนะ แล้วพี่จะให้ผมทำอะไรให้ ผมยอมทุกอย่างเลย” เขาขอร้องผมด้วยสายตาวิงวอน
ที่จริงผมก็สงสารเขาอยู่หรอกนะ และยิ่งเห็นหน้าเศร้าๆ ของเขาแบบนั้นด้วยแล้ว ผมก็ชักรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา แต่ด้วยนิสัยของผม ผมกลับไม่รู้สึกสบายใจที่จะทำแบบนั้น
“แล้วเพื่อนๆ เราล่ะ ให้เพื่อนเราติวให้จะไม่ดีกว่าเหรอ”
“เพื่อนผมมันช่วยผมไม่ได้หรอกครับพี่ และไอ้พวกคนเก่งๆ ในห้องมันก็ไม่อยากช่วยคนอื่นหรอก ผมไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ถ้าหากว่าอาจารย์ลักขณาเรียกพ่อแม่ผมมาคุยล่ะก็ คราวนี้เรื่องใหญ่แน่ ผมต้องหยุดเล่นกีฬา หยุดกิจกรรมทุกอย่าง โดนกักบริเวณหรือไม่ก็หักค่าขนมแหงๆ เพราะงั้นพี่ช่วยผมหน่อยนะครับ นะ ผมขอร้องจากใจเลยพี่ แล้วผมสัญญา ผมจะตอบแทนพี่ทุกอย่างทุกครั้งที่พี่ต้องการเลย อะไรก็ได้ ขอให้พี่บอกมา ผมไม่ผิดสัญญาแน่นอน”
สรุปเรื่องราวที่เหลือสั้นๆ คือหลังจากที่ผมลังเลและใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายผมก็ยอมตอบตกลงจนได้ จากวันนั้นมา ผมจึงได้เจอกับเขาทุกเย็นเพื่อช่วยติววิชาชีวะให้เขาจนกระทั่งถึงวันที่เขาสอบ และถึงจะผ่านพ้นช่วงสอบไปแล้ว เราก็ยังได้เจอกันอยู่เรื่อยๆ เขาขยันมาหาผมที่ห้อง นั่งกินข้าวกับผม และซื้อขนมมาฝากผมเป็นประจำ จนกระทั่งเขากลายมาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมที่ผมสนิทและคุยด้วยมากที่สุดไปโดยปริยาย
ถึงแม้ในตอนแรกผมจะอึดอัดใจอยู่บ้างที่ต้องนั่งสอนหนังสือให้เขาสองต่อสอง แต่เพราะความช่างพูด เปิดเผย และเป็นกันเองของเขา ช่วยทำให้ผมรู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่กับเขามากขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป ความสบายใจนั้นก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผมปล่อยให้เขาถูกเนื้อต้องตัวกันอย่างใกล้ชิดได้ ไม่ว่าจะจับแขน จับขา กอดคอ หรือแม้แต่กอดเอว
ตอนแรกๆ ที่เขาทำแบบนั้นผมก็ใจเต้นแรงและรู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน เปล่าหรอก ผมไม่ได้กลัวเขา แต่ผมกลัวใจตัวเองมากกว่า ผมกลัวว่าเขาจะรู้ว่าผมชอบผู้ชาย และผมกลัวว่าตัวเองจะคิดอะไรเกินเลยไป ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะยังไม่มั่นใจในตัวเองนักก็ตามที
เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ผมที่รู้สึกกลัวการเข้าไปใกล้ชิดกับคนอื่นยิ่งกว่าที่เป็นในตอนนี้ไม่รู้กี่เท่า ก็เริ่มถอยห่างออกมาจากเขา ผมไม่อยากเจ็บ ไม่อยากรู้สึกหวาดกลัวกับความใกล้ชิดและสิ่งไม่คาดฝัน ก่อนหน้านั้นผมเคยต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว และผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีก ดังนั้นผมจึงเริ่มเจอและพูดคุยกับเขาน้อยลง จนในที่สุด เมื่อเขาขึ้น ม. 4 และย้ายไปเรียนที่อื่น ผมก็ขาดการติดต่อกับเขาไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าจะไม่ได้คุยหรือเจอกับเขาอีก แต่ผมก็ไม่เคยลืมเขาเลย ถึงผมจะพยายามหันเหความสนใจของตัวเองไปที่การเรียนมากเท่าไหร่ ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าลึกๆ แล้ว ผมเคยรู้สึกดีๆ กับเขามาก่อน แต่เพราะความกลัวหลายอย่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกลัวการคิดไปเอง จึงทำให้ผมเลือกที่จะเดินต่อและใช้ชีวิตอยู่คนเดียวโดยที่มีเขาเป็นความทรงจำจางๆ คอยให้นึกถึงขึ้นมาบ้างในเวลาที่ตัวเองเหงาใจ
แต่แล้ววันนี้ จู่ๆ ผู้ชายคนที่เคยใกล้ชิดกับผมที่สุดและทำให้ผมหวั่นไหวเป็นคนแรกก็กลับเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้งในฐานะเพื่อนบ้านคนใหม่ แถมยังเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันแค่เพียงถนนเล็กๆ คั่นอีกด้วย นอกจากนั้นเขายังดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ผมที่เบื่อการต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ใจจะขาดอยู่แล้วรู้สึกหสั่นไหวขึ้นทันทีตั้งแต่นาทีแรกที่ผมเห็นหน้าเขา ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าผมจะรอดจากความใกล้ชิดครั้งใหม่นี้ไปได้อย่างไร