ลิขิตครั้งที่ 4
ตะวันแทงตาขุดตัวเองขึ้นจากที่นอนได้พวกผมก็ต่อสายตรงถึงพ่อทันที ผมเล่าเรื่องสุดแปลกประหลาดเกี่ยวกับไอ้ล่อนจ้อนให้พ่อฟัง เป็นการเล่าที่เล่นใหญ่เวอร์วังอลังการแต่พ่อกลับไม่ได้ดูตกใจนัก อย่างกับรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ผมต้องเจอ เป็นปัญหาที่ผมต้องเผชิญในสักวัน
[มันเป็นเรื่องที่ลิขิตต้องตัดสินใจเอง พ่อช่วยอะไรไม่ได้หรอก]
"มันอาจจะเป็นเอเลี่ยนก็ได้นะพ่อ นี่มันปัญหาระดับชาติแล้ว ไม่ใช่ของผมคนเดียว"
[ทำไมคิดอย่างนั้น] พ่อหัวเราะ แต่ไอ้คนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ผมกำลังทำหน้าประมาณว่าทนฟังความเพ้อเจ้อของผมไม่ไหวแล้ว
"เอาตรงๆ นะพ่อ คือผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แล้วทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย"
[พ่อเข้าใจลิขิตนะลูก แต่ก็ตามที่พ่อบอกไป มันเป็นความพิเศษของครอบครัวเราน่ะ]
"เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตนี่ผมว่ามันน่าจะเป็นปัญหามากกว่าความพิเศษนะพ่อ"
[คิดแบบนั้นเหรอ]
"ใช่ครับ มันเป็นปัญหาแน่ๆ"
[ถ้าเกิดผ่านมันไปได้แล้วลูกอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้]
คำพูดของพ่อมีแต่ทำให้ผมสงสัยมากขึ้นโดยที่ไม่สามารถไขข้อข้องใจใดๆ ให้ได้เลย นอกจากว่าผมต้องเผชิญกับมัน ต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วชีวิตหลังจากนั้นก็จะดี แต่กว่าจะผ่านมันไปได้จริงๆ ผมอาจจะประสาทก่อนได้
[แล้วก็กาล]
"ครับ" คนที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดตอบรับ เรื่องของผมคงจบลงแค่นี้แล้วสินะ พ่อถึงได้เรียกไอ้กาลมันต่อ
[ถ้าลิขิตผ่านมันไปได้ เวลาของกาลก็จะมาถึง]
"ของผมเหรอ"
[พ่อบอกได้แค่นี้แหละ ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ ผ่านมันไปให้ได้นะลูกๆ ของพ่อ] ตัดจบเพียงเท่านี้แล้วพ่อก็วางสายไปเลย
ผมกับเหนือกาลมองหน้ากันแล้วกะพริบตาปริบๆ สุดท้ายพ่อก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันกระจ่างขึ้นเลย
"สรุปก็คือมันเป็นเวรกรรมที่กูต้องเจอสินะ" ผมสรุป เจอโรคจิตแอบเข้ามาในห้อง แถมยังเป็นโรคจิตที่หายตัวได้ สุดยอดไปเลย
"มึงจะเอาไงต่อ"
"จะทำไงได้วะ ก็คงต้องหาความจริงจากไอ้ล่อนจ้อนนั่น แต่กูนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะเป็นความพิเศษของกูได้ยังไง น่าจะเป็นความหายนะมากกว่า"
"ถ้าพ่อบอกแบบนี้ก็ต้องเชื่อไปก่อนแหละ ตอนนี้กูก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน" มันว่าหน้าเครียดกว่าผมสิบเท่าได้ เพราะจากที่พ่อบอกถ้าเรื่องของผมผ่านไปได้ด้วยดีก็จะถึงตามัน ได้เครียดรอกันยาวๆ เลยว่ามันจะเจอความแปลกประหลาดอะไรในชีวิต
"เอาเป็นว่าครั้งหน้ากูจะจับมันให้ได้ ยังไงมันต้องมาอีกแน่"
เหนือกาลพยักหน้ารับให้กับความมุ่งมั่นของผม มันนิ่งไปสักพักแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิดขึ้นมาอีก จากนั้นก็หันมามองผม บอกตามตรงว่าใจไม่ดีเลยที่โดนมันมองด้วยสายตาจับผิดแบบนี้ ไปรู้อะไรมาอีกวะ
"เออมึง เมื่อเช้ากูเห็นถ้วยสีชมพูวางอยู่ตรงระเบียง ถ้วยอะไรวะ"
ขนาดนี้แล้วอย่าเรียกว่าเมื่อเช้าเลย ตอนนี้เพิ่งแปดโมง เรียกว่าเห็นตอนตื่นนอนไปเลยดีกว่า
ผมพยายามคิดหาข้อแก้ตัวแต่คิดไม่ออก ไม่ได้กลัวโดนมันด่า แต่ขี้เกียจฟังมันบ่น เชื่อเถอะว่าไอ้กาลมันแกล้งโง่ถามไปงั้นเองว่าถ้วยอะไร ถึงกลัวแมวมันก็ต้องรู้แหละว่าหน้าตาแบบนั้นมันคือชามอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง ถ้างั้นก็สู้ยอมรับตรงๆ ไปเลยให้มันจบๆ
"ชามข้าวแมว"
"สรุปว่ามึงแอบเลี้ยงจริงๆ ใช่มั้ย"
"อ้าว รู้เหรอวะ"
"คิดว่ากูโง่ รู้ไม่ทันมึง"
"จ้า พ่อคนฉลาด กูนี่โง่ไปเลย" ถึงจะผิดคาดที่กาลมันไม่โวยวาย แต่การที่มันรู้ทันแล้วเก็บเงียบเอาไว้ก็ทำให้ผมดูโง่หน่อยๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ
"กูคงห้ามอะไรไม่ได้แล้วใช่มั้ย" มันพูดเหมือนตัดพ้อ
"ก็แค่ให้อาหารเอง"
"แพ้หนักขึ้นมาเดือดร้อนกูอีก"
"ที่จริงวันนั้นที่กูใส่มาสก์ออกไปไล่มันก็ไม่ได้แพ้อะไรนะเว้ย น่าจะกันขนมันได้อยู่กูเลยไม่แพ้"
"จริงๆ ที่มึงแพ้คือรังแคกับพวกสารคัดหลั่ง"
"เออ อะไรก็ช่างแม่งเถอะ สรุปคือก็ป้องกันได้ ไม่เดือดร้อนมึงแน่นอน"
มันมองกลับมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ส่วนผมก็เสนอหน้ายิ้มอย่างมั่นใจให้มันดู จนสุดท้ายไอ้น้องชายก็ถอนหายใจออกมา ทำตัวเหมือนผู้ปกครองผมจนแยกไม่ออกแล้วว่าสรุปใครพี่ใครน้องกันแน่
"งั้นก็อย่าให้มันเข้ามาในห้องแล้วกัน"
"กูไม่ให้มันเข้ามาได้หรอก" รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมยังไม่อยากหูดับเพราะโดนคนกลัวแมวกรี๊ดใส่หรอก
"แล้วนัดฉีกวัคซีนครั้งต่อไปเมื่อไรวะ"
วัคซีนพิษสุนัขบ้ากับบาดทะยักฉีดครั้งเดียวแล้วใช่ว่าจะจบ ผมยังมีนัดให้ไปโดนจิ้มอีกหลายเข็ม ยาวไปอีกครึ่งปีกันเลยทีเดียว
"พรุ่งนี้"
"งั้นไหนๆ ก็ไปโรง'บาลแล้ว มึงไปตรวจอาการแพ้เพิ่มด้วยก็ดี แพ้ทั้งที่ไม่ได้สุงสิงกับแมวกูว่ามึงต้องได้โรคเพิ่มแน่ๆ"
"แช่งกูอีก"
"ไปตรวจด้วย"
"เออๆ รู้แล้ว" ผมรับปาก แต่จะได้ทำตามไหมอันนี้ก็ต้องดูกันอีกที บอกตามตรงผมไม่ค่อยชอบโรงพยาบาล แค่ต้องไปฉีดยาตามนัดก็ยุ่งยากมากพอแล้ว ไอ้จะให้ไปรอตรวจนู่นนี่เพิ่มอีกนั้นปัดตกไปได้เลย
หมดเรื่องคุยแล้วกาลมันก็ไปเรียน ส่วนผมยังมีเวลากลับไปนอนเปื่อยได้อีกชั่วโมง
กลับมาจากคณะผมก็มานั่งเฝ้าชามข้าวแมวที่เทอาหารไว้ให้เมื่อเช้าหลังประตูกระจก อาหารเม็ดในชามยังเหลือเท่าเดิมไม่พร่องลงเลยสักนิด แม้มันจะหายตัวไปแค่วันเดียวผมก็เริ่มคิดมากแล้ว ไม่รู้ว่ามันไปแอบนอนหลับอยู่ที่ไหน หรือเป็นแมวที่หนีออกจากบ้านแต่เจ้าของตามตัวเจอแล้วหรือเปล่า
คิดไปคิดมาก็อยากทำตัวเป็นเจ้าของมันเต็มตัว อาหารก็ซื้อให้กินแล้ว จะเหลือก็แค่ให้มันเข้ามานอนด้วย ผมว่าซื้อปลอกคอมาใส่ให้มันเลยก็น่าจะดีเหมือนกัน
นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานเจ้าตัวที่รอคอยก็โผล่มา มันกระโดดมายืนอยู่บนขอบระเบียง เลียขนสองสามทีก่อนกระโดดลงมาหน้าประตู หันไปมองชามข้าวแวบนึงแต่ไม่ยักไปกิน มันนั่งลงแล้วก็จ้องหน้าผม
"มานั่งมองหน้าทำไมวะ ทำไมไม่ไปกินข้าว" พฤติกรรมแปลกๆ ของมันชวนให้ผมแปลกใจ ก็รู้ว่าแมวมันเป็นสัตว์ที่เดาอารมณ์ไม่ค่อยได้เท่าไร แต่เป็นครั้งแรกเลยที่โดนแมวนั่งจ้องหน้ากันแบบนี้
ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินหรือเข้าใจสิ่งที่ผมพูดไปหรือเปล่า แมวเปอร์เซียหน้ามันจะดูเหวี่ยงหน่อยๆ ดั้งก็หักเหมือนไปโกรธใครมา แล้วเล่นมานั่งจ้องหน้ากันแบบนี้ผมจะคิดว่ามันกำลังโกรธผมก็ได้นะ แต่มันจะโกรธผมเรื่องอะไรล่ะ อาหารก็เทให้ น้ำก็มี จะเอาอะไรอีก
"เป็นอะไรวะ มานั่งจ้องหน้าเพื่อ"
ถามไปแต่กลับโดนเมิน มันเริ่มเลียขนทำความสะอาดร่างกายของมันไป จะว่าไปยังไม่ได้คาดโทษมันที่ฝากแผลไว้ที่ผมเลย เพศมันผมก็ยังไม่รู้ หรือว่าผมต้องขอโทษมันก่อน บางทีมันอาจจะงอนจริงๆ ก็ได้
"เออ เรื่องวันก่อนน่ะขอโทษนะ เนี่ย ได้มาตั้งหลายแผลก็เจ๊าๆ กันไปละกัน เลิกงอนแล้วก็ไปกินข้าวไป"
พอผมพูดไปแบบนั้นมันก็เลิกเลียขนแล้วกลับมาจ้องกันเหมือนเดิม อย่างกับว่าเข้าใจงั้นแหละ
"ว่าแต่เพศอะไรวะ จะดูก็หวงเลยเรียกไม่ถูกเลยเนี่ย ถ้าเป็นผู้ชายจะเรียกมึง มาเป็นเพื่อนกัน จะได้สนิทกันเร็วๆ"
มันยังคงใช้หน้าเหวี่ยงๆ จ้องผม ทำไม ไม่ชอบเหรอวะ แค่เรียกมึงเอง
"ทำไมวะ ไม่ชอบให้เรียกมึงเหรอ เป็นแมวผู้ดี?"
ผมทำหน้ากวนตีนใส่ มันก็ยังทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมเหมือนเดิม
"อ่ะๆ เปลี่ยนก็ได้ งั้นเรียกแก ใสๆ น่าร้าก" คราวนี้ผมแกล้งยิ้มตาปิดใส่มัน ลองทำตัวน่ารักๆ บ้างเผื่อแมวจะชอบ แต่เหมือนจะไม่ได้ผล
นั่งพูดคนเดียวกับแมวเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ผมล่ะเซอร์ไพรส์ตัวเองจริงๆ แม้ไอ้แมวตัวนี้มันจะดูไม่สนใจผมเลยก็เถอะ ว่าแต่เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ อ้อใช่
"เออ แล้วถ้าเป็นตัวเมียจะเรียกเธอ เป็นไงดีป้ะ คิ้วๆ เธอ ตะเอง ไรงี้"
แม้จะพูดอะไรไปมันก็ยังนั่งจ้องหน้าผมด้วยสายตาเหวี่ยงๆ เหมือนเดิม ไม่ร้องเหมียวๆ ไม่เอาตัวมาสีประตู ไม่ออดไม่อ้อนเลยสักนิด ชักสงสัยแล้วจริงๆ ว่ามันโมโหอะไรผมกัน จะใช่เรื่องวันก่อนจริงเหรอ แต่ถามให้ตายยังไงมันก็คงตอบผมไม่ได้ ถึงตอบได้ก็เป็นแค่เสียงร้องเมี้ยวๆ ที่ผมแปลความหมายไม่ออกอยู่ดี
"อยากเข้ามามั้ย แต่เดี๋ยวขอใส่มาสก์ก่อน"
บอกมันแล้วผมก็ลุกไปหยิบหน้ากากอนามัยมาใส่ เปิดประตูไว้แค่พอให้แมวเดินผ่านเข้ามาได้ แต่มันก็ยังเล่นตัวไม่ยอมเข้ามา
"แล้วแต่นะงั้น" งอนขนาดนี้ผมเองก็ชักขี้เกียจง้อแล้วเหมือนกัน แฟนยังไม่เคยต้องง้อขนาดนี้เลยให้ตาย
ผมเดินออกไปหาอะไรกินนอกห้อง พูดคนเดียวมากๆ คอมันก็แห้ง ในตู้เย็นมีเป๊ปซี่กระป๋องที่ไปซื้อกับกาลมันเมื่อสัปดาห์ก่อน เคาะน้ำแข็งใส่แก้วแล้วเทน้ำตาม ฟองซ่าขึ้นมาจนเกือบล้นแก้ว เหลืออยู่ครึ่งกระป๋องเลยเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้ก่อน ได้เครื่องดื่มแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อต่อล้อต่อเถียงกับแมวต่อ
แต่ว่า...
"ไอ้เหี้ย! มึง!"
แก้วเป๊ปซี่แทบจะหลุดจากมือเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ในห้อง ไอ้ล่อนจ้อนหันมามองผม ต่างคนก็ต่างตกใจ แต่รอบนี้ผมมีสติพอ รีบวางแก้วไว้บนโต๊ะแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปหา มันที่กำลังตกใจก็ลนลานหันซ้ายหันขวาหาทางออกไม่เจอ ถึงมันจะปราดเปรียวว่องไวแค่ไหนก็เถอะ แต่ครั้งนี้ไม่ยอมให้หนีไปแน่
ผมรีบกระโดดล็อกตัวมันจากด้านหลังเมื่อเห็นว่าคนร้ายกำลังพุ่งไปที่ประตู การจับกุมค่อนข้างทุลักทะเลเมื่อไอ้ล่อนจ้อนมันดิ้นอย่างไม่ยอม เหมือนแรงมันจะเยอะกว่าคราวที่แล้วนิดหน่อย แต่ก็ยังสู้ผมไม่ได้อยู่ดี
"กูไม่ให้มึงหนีแล้วไอ้สัด ถ้าคุยไม่รู้เรื่องกูจับมึงส่งตำรวจแน่" แน่นอนว่านี่เป็นแค่การขู่ เพราะถ้าหากว่าไอ้ล่อนจ้อนนี่คือส่วนสำคัญของเรื่องประหลาดในชีวิตผมจริง การจับมันส่งตำรวจย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดี
ผมจับมันนั่งเก้าอี้แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนบางๆ มัดไว้เพราะหาอะไรที่มันดีกว่านี้ไม่ทัน แน่นอนว่าการปรากฏตัวครั้งนี้ไอ้ล่อนจ้อนมันก็ยังล่อนจ้อนสมชื่อ ครั้นจะปล่อยให้ผิวมาชเมลโล่ต้องแสงไฟล่อตาล่อใจก็ยังไงอยู่ ผมเลยต้องเอาผ้าขนหนูอีกผืนใหญ่มาคลุมให้
หลังจากหายเหนื่อยก็ได้เวลาพิจารณาหน้าตามันแบบจริงๆ จังๆ ก่อนหน้านี้ที่ผมตกใจจนเกือบทำแก้วหลุดมือเพราะตอนเห็นหน้ามันชัดๆ เหมือนมีหน้าของใครบางคนซ้อนทับขึ้นมา คนหน้าตาดื้อๆ ที่กลายเป็นฝันร้ายของน้องชายผม เหมือนกันจนหน้าตกใจ แต่สภาพไอ้ดื้อตอนนี้มาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่
"เรามาคุยกัน"
ผมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นมิตรที่สุด ถึงไอ้เสียงโทนต่ำฟังดูน่ากลัวนี่จะไม่ได้ช่วยให้ไอ้ล่อนจ้อนมีสีหน้าผ่อนคลายเลยก็ตาม แต่ก็ดีแล้ว ไอ้โรคจิตต่างดาวอย่างมันควรกลัวผม และรู้ตัวด้วยว่าไม่ควรบุกเข้าห้องคนอื่นแบบนี้
"มึงเข้ามาในห้องกูทำไมวะ ต้องการอะไร"
ประเดิมทำถามแรกง่ายๆ แต่กลับไร้คำตอบ ไอ้ล่อนจ้อนมันจ้องผมแล้วก็หลบตา ทำท่าเหมือนอยากจะพูดแต่ก็เงียบ
โอเค ถ้ายังไม่อยากตอบ งั้นข้ามคำถามนี้ไปก่อนก็ได้
"แล้วทำไมมึงไม่ใส่เสื้อผ้าวะ"
เป็นเรื่องที่ผมสงสัยรองจากการที่มันบุกเข้ามาในห้องผม รอบที่แล้วมานอนด้วยโดยไม่ขโมยอะไรสักอย่าง ฉะนั้นก็ตัดหัวข้อขโมยออกไปได้เลย ส่วนวันนี้ทำท่าเหมือนเข้ามาเดินทัศนศึกษา แถมมันยังเข้ามาได้ภายในเวลาแป๊บเดียวที่ผมออกไปเอาน้ำ อีกอย่างประตูก็ยังเปิดไว้เท่าเดิมที่ผมเปิดให้ไอ้แมวขาว ซึ่งตอนนี้มันได้หายตัวไปแล้วเรียบร้อย
"ถามก็ตอบดิวะ ถ้ามึงคุยรู้เรื่องกูจะไม่บอกตำรวจ แต่ถ้ายังเงียบอยู่แบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้วว่ะ"
ในเมื่อพูดดีๆ ยังไม่ยอมก็คงต้องขู่อีกรอบ ไอ้ล่อนจ้อนแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา เป็นการตอบโต้ที่อย่างน้อยผมก็รับรู้ว่ามันเข้าใจคำพูดของผม แต่เลือกที่จะเงียบไว้
ผมถอนหายใจยืนกอดอกมองมันเมื่อหมดปัญญาจะซัก ผมไม่ใช่คนที่เค้นความจริงเก่งอะไรนัก เรียกว่าไม่มีสกิลด้านนี้เลยก็ว่าได้ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้มีความอยากรู้เรื่องของคนอื่นเท่าไรด้วยล่ะมั้ง อีกอย่างหน้าตาไอ้ล่อนจ้อนเวลากลัวดูน่าสงสารเอาเรื่อง จะลงไม้ลงมือก็ไม่กล้า แต่ถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้แล้วผมจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตที่ต้องเผชิญนี้ได้ยังไง
นึกอะไรไม่ออกแล้วผมเลยใช้มือถือถ่ายรูปมันเก็บไว้ก่อน อย่างน้อยก็เอาไว้ให้ไอ้กาลมันดูว่าไอ้ล่อนจ้อนหน้าตาเป็นยังไง มันต้องตกใจแน่ๆ ที่ไอ้ล่อนจ้อนเหมือนกับไอ้ดื้อขนาดนี้
กดถ่ายได้รูปเดียวอยู่ๆ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหลือแค่กองผ้าขนหนูบนเก้าอี้ มือถือผมเกือบหลุดจากมือ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ากำลังทำให้ผมกลัว ใจเต้นรัวขึ้นจนได้ยินเสียงมันไอ้อย่างชัดเจน แม่งบ้าไปแล้ว เห็นชัดเจนเต็มสองตากลางแสงไฟ ชัดกว่ารอบที่แล้วเป็นร้อยเท่า
ยังอึ้งไม่ทันหาย มือไม้แข็งขยับไปไหนไม่ออกก็มีแมวกระโดดออกมาจากกองผ้า ผมอ้าปากค้าง มองไอ้แมวขาวที่คิดว่ามันคงกลับไปแล้ววิ่งออกไปที่ระเบียง ผ่านช่องเล็กๆ ของประตูที่ผมเปิดเอาไว้
ไอ้ล่อนจ้อนกลายเป็นไอ้แมวขาว แม่งจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว
ผมเปิดประตูออกไปดูที่ระเบียงหลังจากตั้งสติได้ ไร้วี่แววของทั้งคนและสัตว์ แม้ไม่อยากเชื่อแต่สิ่งที่เห็นบอกให้ผมเชื่อ
นี่สินะคือเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิตของผม
"มึงอยู่ไหนวะ จะกลับยัง" หลังจากตั้งสติได้ผมก็ต่อสายหาไอ้กาลทันที พยายามถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติที่สุดเพราะไม่อยากตื่นตูมแล้วทำให้มันเป็นห่วงมาก แม้ความจริงเหมือนสติผมจะลอยหายไปไหนแล้วไม่รู้ก็เถอะ
[อีกสักพัก มึงกินอะไรยัง]
"ยัง"
[จะเอาอะไรอ่ะ] กาลมันต้องคิดว่าผมโทรหาเพราะจะสั่งซื้อของกิน แต่ปากมันไม่อยากกินอะไรเลยตอนนี้
"อะไรก็ได้ ซื้อมาเหอะ"
[หรือมีอะไรวะ]
บอกแล้วน้องผมมันฉลาด มีอะไรผิดแปลกไปแค่นิดเดียวมันก็รับรู้ได้แล้ว
"ไอ้ล่อนจ้อน"
[โอเค เดี๋ยวกูรีบกลับ]
"ขับรถดีๆ นะมึง ไม่ต้องรีบมาก"
[เออ]
วางสายจากน้องชายแล้วผมก็มานั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น พยายามนึกโยงเข้ากับเรื่องตัวเองแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ขนาดผีผมยังไม่เคยเห็นเลยแล้วประสาอะไรกับแมวที่กลายเป็นคน หรืออาจจะคนที่กลายเป็นแมว พอรู้ว่าแพ้แมวผมก็ถูกที่บ้านห้ามเข้าใกล้มันมาตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งมีน้องชายกลัวแมวด้วยชีวิตยิ่งเหมือนตัดขาดออกจากแมวเลยด้วยซ้ำ จะมีก็ช่วงหลังจากเข้ามหา'ลัยแล้วที่พอได้เล่นด้วยบ้าง แล้วก็เกิดอาการแพ้ไปตามระเบียบ
ยี่สิบนาทีต่อมาเหนือการก็มาถึง ผมออกมานั่งรอมันที่โซฟา วางของกินที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะแล้วมันก็เดินคิ้วขมวดมายืนตรงหน้าผม ทำหน้าเครียดกว่าผมผู้ที่กำลังเผชิญเรื่องราวสุดแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตเสียอีก
"มันอยู่ไหน" เสียงที่ถามน่ากลัวจนผมไม่อยากตอบ
"หนีไปแล้ว"
"ทำไมไม่จับมันมัดไว้วะ"
"มันแล้ว"
"มัดแล้วจะหนีไปได้ไง หรือมันหายตัวไปอีก"
"มึงนั่งลงก่อน" ผมดึงมันให้ลงมานั่งข้างๆ เรื่องหายตัวได้มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว
ผมเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดตั้งแต่ที่ไอ้แมวขาวมาหา เล่าเป็นฉากๆ อย่างต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยให้น้องชายได้ขัด ปิดจบด้วยเรื่องสุดเซอร์ไพรส์ที่ทำให้กาลมันขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะผมมีหลักฐานมายืนยัน
"กลายเป็นแมวแล้วหนีไปเนี่ยนะ"
"เออ"
"บ้าไปแล้วไอ้สัด"
"เออ กูก็กำลังจะบ้าเหมือนกัน"
ถ้าคนฟังอย่างมันยังรู้สึกเหมือนประสาทจะกินแล้วคนที่กำลังเผชิยอยู่อย่างผมล่ะ บอกเลยว่าประสาทแดกไปแล้วเรียบร้อย
"กูยังมีอะไรให้มึงอึ้งกว่านี้อีก" เกริ่นไว้ก่อนผมจะเปิดรูปที่ถ่ายไว้ได้ให้ดู แล้วกาลมันก็นิ่งไปเลย
เหนือกาลจ้องรูปไอ้ล่อนจ้อนนั่นอย่างไม่อยากเชื่อ มันขยายรูปแล้วส่องทุกซอกทุกมุม ถ้าผมไม่รู้เรื่องราวความหลังอะไรมาก่อนคงคิดว่ามันเป็นไอ้หื่นกามแน่ๆ เล่นซูมรูปคนเปลือยขนาดนี้ เพราะถึงแม้ผมจะเอาผ้าขนหนูมาคลุมไว้แล้ว แต่เนื้อหนังที่โผล่พ้นผ้าออกมาก็ยังล่อตาล่อใจได้อยู่ดี
"ไม่ใช่" ใช้เวลาพิจารณารูปอยู่สักพักมันก็ส่งมือถือคืนให้ผม
"ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วมั้ยวะ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนกูเห็นหน้ามันชัดๆ แม่งโคตรตกใจ หน้าไอ้ดื้อซ้อนทับขึ้นมาเลย"
"กูไปหาดื้อมันทุกอาทิตย์ ตอนนี้มันผอมจะตาย ขี้แมลงตรงแก้มก็ไม่มี"
"เห็นได้ไงวะขี้แมลงวัน" ได้ยินมันบอกแบบนั้นผมถึงกับต้องขยายรูปดู แล้วก็เห็นจุดดำเล็กๆ ข้างแก้มซ้ายอย่างที่กาลมันบอก
"กูเป็นคนใส่ใจไง แต่กลับมาที่ประเด็นมึงก่อน สรุปก็คือไอ้แมวสีขาวที่กูเห็นก็คือไอ้ล่อนจ้อนที่กลายร่างมาเป็นคน"
"ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ กูเห็นมันวิ่งออกจากห้องไปต่อหน้าต่อตา ก่อนหน้าไอ้ล่อนจ้อนจะโผล่มากูก็นั่งคุยกับแมว แล้วมันก็ยังเคลียร์ข้อสงสัยที่ว่ามันกระโดดหนีจากระเบียงได้ยังไงได้ด้วย เพราะมันกลายเป็นแมวไม่ได้หายตัวไป ก็มีสิทธิ์ที่จะหนีรอดสายตากูไปได้"
"แฟนตาซีสัด"
"มึงก็เตรียมตัวเตรียมใจต่อจากกูได้เลย เรื่องกูจบเมื่อไรมึงได้แฟนตาซีต่อแน่"
ไอ้กาลทำหน้าขยาด เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้มันเลยน่ากลัว แต่ถ้าเรื่องนี้สามารถกำหนดได้ล่ะก็ ผมรู้เลยว่ากาลมันอยากขออะไร
"แล้วมึงคิดอะไรออกบ้างยัง" มันถาม เริ่มทำหน้าที่สมองของครอบครัว
"ยังเลย กูนึกไม่ออกว่าเคยเกี่ยวข้องอะไรกับแมวบ้าง เลี้ยงก็ไม่เคยเลี้ยง เล่นก็ไม่ค่อยได้เล่น มีแต่คลิปที่ดูบ่อย"
"แล้วที่แพ้แมวอ่ะ มึงจำได้มั้ยว่ารู้ตัวว่าแพ้ตั้งแต่เมื่อไร"
"ประถมมั้งถ้าจำไม่ผิด" ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้มันเลือนรางจนเหมือนจะหายไปจากความทรงจำผมแล้วด้วยซ้ำ
"หมดปัญญาจะช่วยคิดเลยทีนี้"
"แล้วมึงจำเรื่องของกูไม่ได้บ้างเหรอวะ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มึงเริ่มกลัวแมวก็ได้"
"กูก็กลัวแมวตั้งแต่จำความได้อ่ะ ทำไมถึงกลัวกูก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องที่มึงแพ้แมวเหมือนมันมีในความทรงจำกูอยู่แล้วว่ามึงแพ้"
"หมดทางจะไขปริศนานี้แล้วตัวกู" ผมพูดอย่างหมดหวัง รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันใด
"มันเพิ่งเริ่มต้น ถ้ามึงทำให้มันกลายเป็นคนได้มันต้องมาอีกแน่ ถ้ามันมาอีกคราวหน้ามึงก็ลองคุยกับมันดีๆ แล้วกัน"
"วันนี้กูก็พยายามคุยกับมันดีๆ นะ แต่มันไม่ตอบอะไรกูสักคำ หรือแมวมันพูดไม่ได้วะ"
"มันเป็นคนต้องพูดได้ดิวะ"
"แต่เป็นคนที่กลายร่างมาจากสัตว์นะเว้ยอย่าลืม ไม่ใช่กูถามอะไรแม่งตอบแค่เมี้ยวๆ แบบนั้นคือจนปัญญา"
เหนือกาลมันเงียบไปอีกครั้ง ทำหน้าเหมือนโคนันกำลังไขคดีแบบนี้คงคิดอะไรได้อีกแล้วสินะ ถ้าไม่มีมันคอยช่วยคิดบอกเลยสภาพผมคงแย่กว่านี้
"หรืออาจจะเป็นคนที่กลายเป็นแมว"
ข้อสันนิษฐานนี้น่าคิด แต่อยู่ๆ คนจะกลายเป็นแมวได้ไงวะ นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่แฮรี่ พอตเตอร์ ไม่มีพ่อมดแม่มดสาปใครให้กลายเป็นสัตว์ได้ ผมก็อยากเชื่ออย่างนั้นนะ แต่การเห็นคนกลายเป็นแมวต่อหน้าต่อตาแบบนี้ บางทีโลกเวทมนต์อาจจะมีจริงก็ได้
เฮ้อ ก็ว่าไปนั่น
"มึงโอเคมั้ยเนี่ย" กาลมันดีดนิ้วเรียกสติผม
"เออ โอเค"
"ระหว่างนี้มึงก็พยายามนึกไปก่อนแล้วกัน หรือไม่ลองโทรไปคุยกับพ่อก็ได้ แค่เรื่องสมัยเด็กกูว่าพ่อน่าจะยอมเล่าให้ฟัง"
ฟังแล้วผมก็พยักหน้าตาม มันมีอยู่ในเศษเสี้ยวความคิดของผมอยู่แล้วที่ว่าจะโทรถามพ่อ แค่ถามว่าทำไมผมถึงแพ้แมว หรือเริ่มแพ้ตั้งแต่เมื่อไรแกคงไม่คิดปิดบังอะไร
"แล้วถ้าครั้งหน้ามันมาอีกอย่าลืมล็อกประตูด้วย"
"เออ รู้แล้ว"
เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย แต่ใครมันจะไปรู้เล่าว่าอยู่ๆ ไอ้ล่อนจ้อนจะกลายเป็นไอ้แมวขาวแบบนั้น แต่จะว่าไปแบบนี้ก็เท่ากับว่าผมไม่ต้องจับไอ้แมวขาวแหกขาดูเพศให้ต้องเสี่ยงเจ็บตัวอีกแล้ว เพราะนอกจากจะรู้ว่ามันเป็นตัวผู้ ยังเห็นอะไรต่อมิอะไรมันหมดแล้วด้วย
เป็นไอ้แมวขาวที่ขาวสมกับสีขนมันจริงๆ
การนั่งรอแมวหน้ากระจกกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว แม้กระทั่งวันหยุด หลังจากไปฉีดวัคซีนเข็มที่สองกลับมาเรียบร้อยก็มานั่งเฝ้าแมวต่อ หลังจากนั้นไม่ว่าจะปั่นงาน อ่านหนังสือหรือกินข้าวผมก็ขนทุกอย่างมาทำในห้อง เปิดผ้าม่านกับประตูรับแสงแดดเชื่อเชิญให้แมวเข้ามาในห้อง ยอมทนร้อนไม่เปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ ทุ่มเทขนาดไหนคิดดู
วันนี้กาลมันไม่อยู่ห้อง หลังจากไปส่งผมที่โรงพยาบาลมันก็เลยไปทำธุระประจำวันหยุดของมัน ผมเลยต้องรอคอยคนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยว แต่ถึงแม้เหนือกาลจะอยู่ด้วยก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเห็นแมวมาล่ะก็ มันนั่นแหละจะเผ่นคนแรก
รอตั้งแต่ช่วงสายจนเหนือกาลกลับมาตอนห้าโมงเย็นไอ้แมวขาวก็ยังไม่ยอมโผล่มา ผมเข้าใจนะ ถ้าเป็นผมโดนจับมัดแบบนั้นก็คงกลัวเหมือนกัน ถึงจำเป็นต้องกลับมาหาอีกแต่ก็คงต้องใช้เวลาทำใจสักหน่อย สุดท้ายจนแล้วจนรอดตะวันตกดินมันก็ไม่มา
คล้ายกำลังฝัน แต่ก็เหมือนเรื่องจริง เสียงร้องที่แว่วมา เหมือนเสียงนาฬิกาปลุกที่ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาขณะกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น
"เมี้ยว"
ยอมมาหากันแล้วสินะ
ผมหันมองเหนือกาลที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนลุกขึ้นเมื่อเห็นว่ามันหลับสนิท เสียงแมวหยุดร้องไปสักพักแล้ว และเมื่อเปิดม่านออก ก็เจอกับไอ้ล่อนจ้อนยืนอยู่หลังประตู
คนที่ไม่ใส่เสื้อผ้าสะดุ้งสุดตัว มันทำหน้าตาตื่นกระวนกระวายขึ้นมาทันที ผมพยายามทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้มันใจเย็น แต่เหมือนไม่ช่วยอะไรเท่าไร เสียงดังมากก็ไม่ได้เดี๋ยวไอ้กาลตื่น ซึ่งถ้ามันตื่น มีหวังไอ้ล่อนจ้อนได้เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า...
ร่างมนุษย์หายไป กลายเป็นเปอร์เซียขนฟูสีขาวภายในไม่กี่วินาทีที่ได้เห็นหน้ากัน
ถึงจะเป็นผมมันก็กลัวอยู่ดีสินะ
แล้วก็ไอ้การกลายร่างแบบนี้ แม้จะเคยเห็นมาแล้วแต่ก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี
ไอ้แมวสีขาวกระโดดไปจากระเบียงโดยไม่สนใจสีหน้าอาวรณ์ของผมเลยสักนิด มันกลัวผมแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย กล้ามาหาแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ งานเข้าเบอร์ใหญ่ชนิดที่ว่าคิดไม่ออกเลยว่าต้องทำยังไงให้มันกลับมาเชื่อใจได้อีก
ต้องไปหาซื้อคู่มือการเลี้ยงแมวมาอ่านแล้วมั้งแบบนี้
tbc.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า