[ 21 ]
สายลมที่พัดผ่านร่างกายและปะทะกับใบหน้าของเขาตามความเร็วของรถจนทำให้เส้นผมที่ถูกจัดทรงมาอย่างดีปลิวไปตามแรงลม แต่ถึงอย่างนั้นลมเย็นๆ บวกกับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าก็ทำให้คนที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ยามาฮารุ่นคลาสสิกยิ้มกว้างหลับตาพริ้มเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์นี้ให้เต็มปอด จังหวะที่คนขับชะลอความเร็วเพื่อเข้าโค้ง ฝ่ายคนที่ซ้อนจึงเอียงแก้มซบแผ่นหลังกว้าง มือทั้งสองข้างรวบเอวเจ้าของรถให้แน่นขึ้น
พื้นถนนลาดยางสองเลนที่พอสวนกันได้เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวครึ้มสองข้างทาง บรรยากาศรอบกายดูเงียบสงัดเพราะนานๆ จะมีรถของชาวบ้านสวนทางมาสักคัน เพลิงชะลอความเร็วอีกครั้งเมื่อถึงทางแยก เขาบังคับแฮนด์รถเลี้ยวขวามุ่งสู่ทางลูกรังดินสีแดงผ่านทุ่งนาของชาวบ้านและไม่นานก็ถึงทางเล็กๆ ขึ้นสู่พื้นที่สูง
คนในชุดลายพรางละมือจากแฮนด์ข้างหนึ่งมาจับมือของรเณศที่เกร็งขึ้นเล็กน้อยเพราะอากาศรอบกายเย็นชื้นขึ้นเมื่อเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติ แรงแตะเบาๆ สองสามครั้งนั้นทำให้คนเมืองรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที เขาหันไปยิ้มให้กับกระจกด้านข้างรถทันเห็นเพลิงมองเขาจากกระจกด้านนั้นพอดี เพลิงละจากมือเขาหันไปบังคับพวงมาลัยเมื่อถึงทางแคบที่พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อก่อนจะค่อยๆ ประคองรถไปช้าๆ มุ่งสู่เนินเขาที่สูงขึ้น
มันเป็นเส้นทางเล็กๆ ที่มีเพียงคนพื้นที่หรือเจ้าหน้าที่อุทยานเท่านั้นที่รู้กัน เส้นทางที่นานๆ ครั้งจะมีคนใช้สัญจรนี้จึงได้ดูระหกระเหินไม่น้อย แต่รเณศไม่มีความหวาดกลัวใดๆ หากผู้ชายที่อยู่ด้วยกันตรงนี้คือเพลิง คนเมืองเหลือบตามองสองข้างทางที่เป็นสันเขามีดอกหญ้าขึ้นเป็นทุ่ง เขามองมันโดนลมพัดไหวจนลู่ไปมา มองไปจนสุดสายตาเขาเห็นเทือกเขาสูงชัน แล้วเพลิงก็ประคองรถมอ’ไซค์มาจอดตรงทุ่งหญ้า
“ที่ไหนกันครับ”
รเณศถามขึ้นตอนที่ก้าวลงจากเบาะ คนตัวโตหันมายิ้มให้แล้วกระตุกข้อมือเขาให้ออกเดิน ทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งเดียวตั้งอยู่ริมหน้าผามองลงไปเห็นผืนป่าขนาดใหญ่กว้างไกลสุดสายตา แต่ รเณศสะดุดตาตรงชายป่าด้านหนึ่งซึ่งแห้งโกร๋น แถบนั้นทั้งแถบเป็นผืนป่าสีดำเพราะถูกไฟผลาญไปแถบหนึ่งเต็มๆ
“จุดที่สูงสุดของดอยห่มรัก”
เพลิงพูดขึ้น
“เวลามองลงไปจะเห็นผืนป่าอุทยานเกือบทั้งหมด” เพลิงอธิบาย “ตรงนั้นคือป่าท้ายหมู่บ้านหลังเขา ส่วนตรงโน่นที่ไกลจากสายตาเรามีป่าไม้ขึ้นอย่างหนาแน่นคือผืนป่าลึกที่มีป่าพะยูงผืนสุดท้ายของที่นี่...อยู่ตรงนั้น”
คนเมืองมองตามปลายนิ้วของเพลิงไปอย่างตื่นเต้น
“เวลาได้มองผืนป่าเต็มตาแบบนี้ มันรู้สึกดีบอกไม่ถูกเลยครับ”
รเณศยิ้มกว้าง
“ผืนป่ากว้างใหญ่มาก”
“ใช่”
“คุณกับเจ้าหน้าที่ต้องดูแลทั้งหมดนั่นเหรอ”
เพลิงพยักหน้าน้อยๆ ขณะที่รเณศหันมามองอีกฝ่ายด้วยสายตามีประกายชื่นชม
“พวกคุณต้องเดินไปทั่วป่า”
“...”
“หมดนั่นเลยหรือครับ”
“ป่าเป็นบ้านหลังใหญ่ของพวกเรา”
เพลิงกระตุกข้อมือรเณศให้ทรุดตัวนั่งกับพื้นหญ้าริมหน้าผา รเณศเลยได้โอกาสชะโงกไปสำรวจพื้นป่าหลายแสนไร่ไกลสุดลูกหูลูกตาตัดกับผืนฟ้าสีคราม ธรรมชาติรังสรรค์ทุกอย่างมาได้สวยงามน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
“ถ้าคุณบอกว่าพวกคุณสามารถหลับตาเดินในป่าได้ ผมคงเชื่อ”
คนเมืองแกล้งเย้า
“เคยมีคนพูดอย่างนั้น”
“แล้วคุณทำได้จริงๆ มั้ย”
เพลิงยักไหล่ขำๆ ก่อนกระชับบ่าของรเณศให้ขยับมาจนชิดกันแล้วกระซิบข้างหูว่า
“ความลับ”
รเณศทำหน้ายู่ทันทีก่อนจะเอียงใบหน้าซบที่หัวไหล่ของเพลิง
“คุณเคยกลัวมั้ย เวลาเข้าป่าแต่ละครั้ง”
“แรกๆ ก็กลัว แต่พวกเราฝึกการเดินป่ามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”
เพลิงตอบ
“การเดินป่าเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่ง มันเหมือนการผจญภัยที่ต้องลุ้นทุกครั้งเมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่เหมือนเดิมในแต่ละครั้ง”
“แต่มันเงียบมากเลยนะ”
“ใช่เงียบ”
คนในชุดลายพรางลูบแผ่นหลังเขาเล่น
“ความเงียบนั่นแหละน่ากลัวสำหรับบางคน”
นึกดูสิทั้งเงียบทั้งมืดกว่าจะข่มตามให้หลับจนถึงเช้าได้ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว รเณศคิดแบบนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้าหวือเพราะเขาเองไม่ชื่นชอบความมืดที่เงียบจนน่าใจหายนั่นเลย
คนเมืองนิ่งฟังเงียบจังหวะการเต้นที่หน้าอกด้านซ้ายของเพลิงเงียบๆ
“คุณเคยท้อมั้ย”
“งานแบบนี้มันก็น่าท้อไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละ”
เพลิงตอบ
“แต่ถ้าพวกเราท้อแล้วใครจะทำหน้าที่นี้กันล่ะ ถ้าพวกเราหมดแรง ป่าจะเป็นยังไง ถึงบางช่วงเวลามันเหนื่อยยากก็แค่พักผ่อนให้หายแล้วกลับมาสู้กันใหม่ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ตราบใดที่ป่าและสัตว์ยังถูกระราน พวกเราก็ต้องทำหน้าที่ของเรากันต่อไป”
“...”
“ผมจะละทิ้งบ้านหลังใหญ่นั่นไปได้ยังไงกัน”
ผู้ชายตัวใหญ่จะมีขนาดของหัวใจใหญ่มากกว่าคนทั่วไปหรือเปล่าหนอ รเณศไม่อาจทราบได้ เขารู้แต่เพียงว่าเพลิงใจใหญ่ไม่ใช่เพราะขนาดหัวใจ แต่ใหญ่เพราะทั้งหมดทุกห้องนั้นเต็มไปด้วยความรักและศรัทธาที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำให้เขาเพลิงแปรเปลี่ยนไปได้
“คุณรู้มั้ยมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขายอมสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่าเอาไว้ เขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าพวกผมมาก และการเสียสละของเขาครั้งนั้นก็ทำให้หลายคนหันมาตระหนักและให้ความสำคัญของป่าไม้กันอย่างจริงจัง”
“เขาเป็นใครเหรอครับ”
“ผมรู้จักเขาเพราะกลอนบทหนึ่ง” เพลิงเหม่อมองไปไกล “ซึ่งกวีซีไรต์ได้แต่งบทกลอนนั่นเพื่อสดุดีความเสียสละของผู้ชายคนนั้น”
รเณศนิ่งฟังเงียบ
*“หนึ่งเปรี้ยง! ปืนลั่นสะท้านป่า
หนึ่งวูบไหวผวา ทั้งป่าลั่น
หนึ่งคืน นานยาวราวกัปกัลป์
หนึ่งฝัน ฟุบแล้วลับแนวไพร
หนึ่งคน ควรค่าคารวะ
สืบสร้าง สัจจะ ยิ่งใหญ่
หมื่นคำ ร่ำหาอาลัย
รวมใจ สืบทอดเจตนา”*
เมื่อฟังจบเขาความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจ หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกจุกแน่นในอก รเณศ หายใจติดขัดคล้ายกับกลืนน้ำลายลงคอแล้วมีอะไรติดอยู่ มันยากเกินอธิบาย รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงเรื่องราวของนักอนุรักษ์ท่านหนึ่งซึ่งยอมเสียสละชีวิตเพื่อเรียกร้องให้สังคมเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
“น่าเสียดาย”
คนเมืองซบบ่ากว้างแล้วเหลือบตามองแนวป่าด้านหนึ่งซึ่งร้างโกร๋นเป็นสีดำเพราะถูกไหม้จนเสียหายไปทั่ว คนเมืองถอนหายใจเฮือกใหญ่แอบชำเลืองมองเพลิงที่มองภาพความเสียหายนั่นนิ่ง แวบหนึ่งเขาเห็นความเสียใจที่ปรากฏชัดในแววตาคู่นั้น แต่แค่แวบเดียวเท่านั้นก่อนที่มันจะพลันหายไป
“ถึงแม้เขาจะเสียไปพร้อมปณิธานในใจนานแล้ว แต่ป่าก็ยังถูกทำลายไม่เปลี่ยนแปลง”
“ไม่เป็นไรนะ”
เขาลูบหลังมือใหญ่ของเพลิง
“เราจะช่วยกันปลูกป่าไม้กันใหม่ ปลูกไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งมันจะต้องเติบใหญ่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่เสียหายไป”
เพลิงกดยิ้มมุมปากแล้วหันมามองเขา
“คุณให้กำลังใจผมอยู่เหรอ”
“อื้อ”
รเณศหลับตาพริ้มเงยหน้ารับสัมผัสที่ปลายนิ้วของเพลิงซึ่งกำลังเกลี่ยใบหน้าเขาอยู่
“ขอบคุณครับ”
“...”
“แค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้ว”
รเณศยิ้มกว้างก่อนจะสะดุ้งโหยงตอนที่เพลิงกระตุกให้เขาหงายตัวลงนอนกับพื้นหญ้า เพลิงยื่นแขนข้างหนึ่งให้เขาหนุนต่างหมอน มืออีกข้างใช้รองศีรษะตัวเอง เราทั้งคู่กำลังนอนมองท้องฟ้าซึ่งมีแดดอ่อนๆ สาดส่องลงมา
“วันนี้อากาศดีจัง”
รเณศชวนคุย
“นึกไม่ถึงว่าบ้านเราจะมีสถานที่สวยงามแบบนี้ ว่าแต่ส่วนนี้เป็นเขตหวงห้ามเฉพาะเจ้าหน้าที่หรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก”
คนในชุดลายพรางขยับตัวเล็กน้อย
“ปกติมีชาวบ้านขึ้นมาหาของป่าอยู่บ้าง แถวนี้เป็นเขตป่าให้ชาวบ้านทำกิน แต่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเพราะทางสัญจรมันค่อนข้างลำบาก”
“แน่สิเมื่อกี้ยังแอบลุ้นอยู่เลย”
“ผมไม่พาคุณไปทางลูกรังจนถูกดีดโคลนใส่หลังหรอก”
รเณศแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายทันทีเพราะจำได้ไม่ลืมว่าตอนที่มาที่นี่ใหม่ๆ เขาถูกเพลิงแกล้งพาไปทางลัดจนโดนโคลนตมดีดใส่เสื้อผ้าเนื้อตัวมอมแมมไปหมด
“โอ๊ย”
เพลิงร้องขึ้นเมื่อถูกอีกฝ่ายกัดบ่าอย่างมีอารมณ์
“ทำไมถึงชอบแกล้งผมนัก”
เพลิงยิ้มไม่ยอมตอบ ชายหนุ่มยกตัวขึ้นแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาหาเขาใกล้ๆ
“ตำฮื่อน้องลำบาก ปี้ขอสุมาเน่อ”
“ฟังไม่รู้เรื่อง”
คนเมืองแกล้งปิดหน้าหนีเพราะทนสายตาวิบวับของเพลิงไม่ได้
“น่าฮัก”
“ฮือ เสียงในฟิล์มอีกแล้ว”
เพลิงหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะแกะมือรเณศที่ปิดหน้าตัวเองอยู่นั่นให้คลายออก
“หน้าคุณแดงมาก”
“...”
“แดงเหมือนคืนนั้น”
สายตาวิบวับของเพลิงเล่นเอารเณศทำตาโตรีบเลื่อนมือไปปิดปากอีกฝ่ายทันที
“ห้ามแซว”
“ผมเปล่า”
ทั้งคู่สบตากันนิ่งก่อนที่เพลิงจะโน้มตัวไปกดจูบที่หน้าผากอีกฝ่าย
“รเณศ”
“ครับ”
“ช่วงนี้ช่วยปิดร้านขายยาสักพักนะครับ” เพลิงเกลี่ยแก้มอีกฝ่าย “อยู่แต่บ้านไปก่อน”
คนถูกขอร้องทำหน้านิ่วอย่างประหลาดใจยิ่งเห็นแววตาที่มองเขาแล้วกดยิ้มคล้ายกับจะกดดันให้เขารับปาก
“มีอะไรงั้นหรือ”
“ผมแค่จะต้องไปลาดตระเวน”
พอจะรู้มาบ้างว่าอีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดการออกลาดตระเวนในป่า เห็นเจ้าเปลวเปรยๆ อยู่ แต่ครั้งนี้เพลิงแปลกไปจากทุกครั้ง จะเรียกว่าผิดปกติก็ย่อมได้ ขณะที่ฝ่ายนั้นสอดนิ้วสางผมเขาเล่นท่าทางดูไม่จริงจัง แต่แววตาคู่นั้นเข้มขึ้นอย่างเรื่อง
“ถ้าคุณคิดว่าผมไม่ควรรู้ ผมก็จะไม่ถาม แต่ถ้าผมสมควรรู้อะไรบ้าง ช่วยผมบอกได้มั้ย”
เพลิงยิ้มน้อยๆ
“คุณถูกจับตาโดยคนกลุ่มหนึ่ง แต่เขาทำอะไรไม่ได้หรอก เพียงแต่ผมอยากให้คุณระวังตัวเพราะไม่อยากให้ตกเป็นเป้านิ่งให้คนกลุ่มนั้นฉวยโอกาส”
“เพลิง”
รเณศท้วงขึ้น
“มันค่อนข้างอันตรายเนตร”
“แล้วคุณ...” คนเมืองเม้มปากแน่ “จะปลอดภัยใช่มั้ย”
เพลิงแค่ยิ้ม
“ช่วงนี้ตำรวจอาสาอาจจะวนเวียนอยู่แถวๆ ไร่ปลายดอยจนผิดสังเกตสักหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงพวกเขาแค่มาสอดส่องดูแลคุณเท่านั้น”
“เพลิง”
แวบหนึ่งรเณศนึกกลัว ไม่ใช่กลัวว่าตัวเองจะเป็นอันตรายแต่เขากลัวว่าคนตรงหน้าต่างหากที่จะได้รับอันตราย เรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
“ผมอยากขอร้องให้คุณไม่เข้าป่า แต่ผมรู้ว่าผมห้ามคุณไม่ได้ ฉะนั้นคุณสัญญาได้มั้ยว่าจะดูแลตัวเอง”
“ได้สิ”
“คุณต้องปลอดภัยนะ”
“แน่นอน”
เพลิงกอดเขาแน่นขึ้น
☘☘☘☘
วันสองวันนี้รเณศเห็นเปลวและแก้มใสเหมือนฝาแฝดที่ตัวติดกัน เพราะหากเห็นบิดาที่ไหนย่อมเห็นลูกสาวแก้มกลมอยู่ใกล้ๆ เสมอ ช่วงนี้เลยกลายเป็นว่าคนเมืองคล้ายกับคนตกกระป๋องเพราะถูกเด็กน้อยเมินใส่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“งอนลูกสาวผมเหรอพี่”
เปลวยิ้มขำเห็นรเณศจ้องเด็กน้อยซึ่งนอนดูดนมขวดอยู่ในอ้อมแขนเขา มือน้อยๆ ข้างหนึ่งกำขวดนมแน่น มืออีกข้างกำคอเสื้อของเจ้าเปลวเล่นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย รเณศย่นจมูกนึกมันเขี้ยวเจ้าแก้มกลมก่อนจะบีบแก้มที่คล้ายก้อนซาลาเปาสีแดงทั้งสองข้างอย่างมันเขี้ยว
“งื้อ”
เด็กคายขวดนมที่ดูดออกก่อนจะร้องประท้วง
“สู้หรือเรา”
คนเมืองแกล้งจิ้มพุง
“คิก”
สุดท้ายแก้มใสหัวเราะจนตาหยี เปลวเลยได้โอกาสยื่นเด็กน้อยไปใส่มือของรเณศที่รอท่าเพราะตัวเองจะปลีกตัวไปเก็บสัมภาระ แต่ดูเหมือนจะตัวน้อยจะรู้ทัน แก้มใสหันหน้าหนีคนเมืองไม่พอยังหันก้นหนีอีกต่างหาก ก่อนจะขยับยุกยิกไปมาเป็นสัญญาณว่าไม่ยอมไปหารเณศแต่โดยดีจนเขาอ่อนใจ
“ทำไมวันนี้ขี้อ้อนจังฮึเรา”
เปลวงึมงำอย่างอ่อนใจเพราะวันสองวันนี้แก้มใสติดเขาแจคล้ายฝาแฝดตัวติดกันก็ไม่ปาน
“สงสัยเจ้าแก้มมันจะรู้มั้งคะคุณเนตร ว่าพ่อจะไปทำงาน”
ป้าสมัยที่ยกของว่างมาให้รเณศเอ่ยขึ้น แกยิ้มขำมองสภาพหลานเจ้าบ้านที่อยากกอดเจ้าหนูใจจะขาด แต่เด็กน้อยกลับไม่ให้ความร่วมมือเอาซะเลย
“ก็ไม่แน่นะ เด็กอาจจะมันมีเซนส์ว่าพ่อจะไม่อยู่หลายวันเลยเกาะเป็นลูกลิงอย่างนั้น”
เจ้าบ้านที่เดินพ้นหัวบันไดบ้านขึ้นมาพยักหน้าเห็นด้วย
“พกใส่กระเป๋าเอาเข้าป่าด้วยเลยดีมั้ยเนี่ย”
เปลวแกล้งแซวลูกตัวเองจนรเณศขำตามไปด้วย
“ดูสิหน้าทะเล้นเชียว”
แก้มใสยิ้มแป้นเหมือนรู้ความ ก่อนจะหันหน้าเข้าหาขวดนมที่เปลวจับป้อนใส่ปากอีกครั้ง
“กินเยอะแบบนี้พ่อจะเลี้ยงไหวมั้ยเนี่ยลูก”
เปลวพูดยิ้มๆ
“ผมว่าพี่เนตรเลี้ยงลูกดีเกินไป ดูสิผมว่าแก้มใสหนักขึ้นเยอะเลย กลมเป็นลูกบอลเลยลูกพ่อ”
“เขาเรียกหุ่นเจ้าเนื้อ เนอะลูกเนอะ”
รเณศสัพยอกเด็กน้อย
“กินอิ่ม นอนหลับแบบนี้จะมีใครสบายเกินเจ้าแก้มใสไปได้”
ป้าอนงค์พูดยิ้มๆ
“ก็คุณเนตรเธอเลี้ยงดี เมื่อก่อนผอมแห้งเห็นแต่ลูกตา ดูตอนนี้สิแก้มกลมแทบจะปิดตาอยู่แล้ว”
รเณศขำคิก
“ลูกสาวผมนี่ครับจะน้อยกว่านี้ได้ยังไง”
คนเมืองชะโงกไปเล่นหน้าเล่นตากับเด็กน้อยซึ่งยิ้มหวานจ๋อยให้ พอกินอิ่มเด็กน้อยก็ยื่นไม้ยื่นมือออกมาจับหน้าจับตารเณศเล่นอย่างอารมณ์ดี
“สงสัยจะให้พี่อุ้มครับ”
รเณศอ้าแขนรอท่าแก้มใสที่ผวาเข้าใส่อ้อมกอดของเขา
“เหมือนลูกสาวพี่มากกว่าลูกผมอีก”
เปลวเอ่ยแซวไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเด็กน้อยในอ้อมกอดของรเณศ ตรงกันข้ามเขาดีใจด้วยซ้ำที่ฝ่ายนั้นให้ความเอ็นดูแก้มใสจากใจจริง
“งั้นขอเลยแล้วกัน”
รเณศพูดหยอกแบบที่ทำประจำ
“เอาสิครับ”
เปลวยิ้มหัว
“ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่แล้ว พี่คงดูแลแก้มใสได้สบายเลย”
รเณศมุ่นหัวคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น ไม่ต่างจากป้าอนงค์และป้าสมัยที่พากันทำหน้าเครียด
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะเปลว”
รเณศดุขึ้น
“แหมพี่เนตรคิดอะไรมากล่ะครับ”
“อย่าพูดจาเป็นลางแบบนั้น” ป้าสมัยเสียงเขียวใส่อีกคน “พูดจาแบบนี้โบราณเขาถือ”
“งั้นคงหนักแย่”
เจ้าเปลวทำหน้าล้อเล่นเป็นลิงหลอกเจ้าเพื่อให้คนอื่นๆ คลายสีหน้าที่วิตกกังวล
“ดุแล้วยังทำเป็นเล่นเจ้าเด็กนี่”
ป้าอนงค์ส่ายหัว
“ผมขอโทษครับ”
เด็กมันรู้สึกว่าบรรยากาศตึงเครียดจริงจังจึงยกมือไหว้ขอโทษ
“ไม่ได้ตั้งใจจะให้ทุกคนคิดมาก อย่าคิดมากกันเลยนะครับ”
“เอาเถอะๆ”
ป้าสมัยโบกมือไหวๆ “ไปๆ ไปเก็บสัมภาระได้แล้ว พรุ่งนี้เดินทางกันตั้งแต่เช้ามืดไม่ใช่รึ”
“เห็นว่าอย่างนั้นนะครับ”
“งั้นรีบไปเตรียมตัว เดี๋ยวพวกป้าจะไปเข้าครัวแล้ว เย็นนี้ผู้ช่วยจะมากินข้าวด้วย”
บรรดาผู้สูงวัยต่างกุลีกุจอพากันไปทำมื้อเย็น ขณะที่รเณศมองตามแผ่นหลังเปลวอย่างไม่สบายใจ เพราะเขาหวนนึกถึงคำขอร้องของเพลิงเมื่อหลายวันก่อน
“จะมีเรื่องอะไรกัน”
รเณศพึมพำนึกกังวลใจ
ไม่ว่าจะเรื่องก็ตามขออย่าให้มันมีอะไรร้ายแรงจนเกินจะรับไหว รเณศถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะหันมามองเด็กน้อยในอ้อมแขนที่กำลังจ้องหน้าเขาตาแป๊ว
.
.
เช้ามืดวันนั้นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ทุกคนในบ้านตื่นมาส่งเจ้าเปลวไปปฏิบัติหน้าที่ในป่าไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กน้อยที่วันนี้ตื่นเช้ามาส่งบิดา แก้มใสเกาหัวยุ่งๆ ก่อนจะเบะปากทันทีที่เปลวส่งร่างนุ่มนิ่มนั่นใส่มือของรเณศ
“พ่อไปก่อนนะ”
“...”
“เป็นเด็กดีนะลูก”
แก้มใสร้องลั่นมือพยายามไขว่คว้าหาเปลวแต่เจ้าตัวกลับยิ้มก่อนจะเกลี่ยน้ำตาของลูกสาวแล้วกดจูบที่หน้าผากลูกน้อย
“สงสัยจะง่วงครับ”
รเณศพยักหน้าเห็นด้วยเพราะวันนี้หนูน้อยตื่นก่อนเวลามาตั้งเกือบชั่วโมง
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะลูก”
ป้าสมัยตรงเข้าไปกอดหลานชายก่อนจะลูบแผ่นหลังนั้นอยู่นาน
“เปลว”
ป้าอนงค์ลูบศีรษะเด็กหนุ่ม
“ขอให้เอ็งปลอดภัยนะ ให้เอ็งและเจ้าหน้าที่ทุกคนแคล้วคลาดจากอันตราย พรใดใดที่ประเสริฐจงบังเกิดกับคนที่ประพฤติดี ขอให้ความดีคุ้มครองนะลูก”
“ครับ”
“เดินทางปลอดภัยนะเปลว”
รเณศจับมือเด็กน้อยโบกมือ เปลวหันมายิ้มให้พวกเขาก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์สองล้อหายลับไปในความมืด รเณศมองภาพนั้นไปจนลับตาก่อนจะเหม่อมองไปในความมืดมิดเบื้องหน้า
“ถ้าผมมีพรวิเศษสักข้อหนึ่ง”
เขาพึมพำคนเดียว
“ผมขอให้พวกเขาปลอดภัย”
รเณศนึกถึงเพลิง เปลวและเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าคนอื่นๆ ที่ป่านนี้คงเตรียมพร้อมกันอยู่ที่อุทยาน เขานึกถึงภารกิจที่คนในชุดลายพรางกำลังทำอยู่ คนกลุ่มหนึ่งที่ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปทำภารกิจปกป้องผืนป่า ซึ่งเวลาเดียวกันนั้นคนอื่นๆ กำลังหลับใหล คนกลุ่มนั้นกำลังแบกภาระอยู่เต็มสองบ่า พวกเขามีเพียงเป้คนละใบ มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด รวมถึงอาหารกระป๋องของกินอย่างจำกัด และสองเท้าที่กำลังก้าวเดินสู่อันตรายในป่า
แต่พวกเขามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ เป็นหัวใจที่เสียสละเพื่อส่วนรวม หัวใจที่ใครก็ไม่อาจทัดเทียม
หัวใจศรัทธาเพื่อปกป้องผืนป่าให้พวกเรา
☘☘☘☘
______________________________
*บทประพันธ์โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา แต่งขึ้นเพื่อสดุดี สืบ นาคะเสถียร (นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติ) ที่ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้สังคมเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ยิ้มไว้เมื่อภัยมา ฮึบๆ มาช่วยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กัน
หวีดในทวิตติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ