……41………
เมื่อคืนกว่าผมจะผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายมาได้ก็เกือบสว่าง อยากจะบ้าตาย นี่มันนิยายดราม่านะ ทำไมช่วงนี้มันตลกจัง
“อ้าว เมฆ ตื่นเช้าจัง” ไอ้พี่เขยโดยพฤตินัย ทักก่อนจะยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียม พร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี ใครตื่นเช้ากัน ผมยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก
“ครับ” ผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะยังทำใจไม่ได้ ที่ตัวเองจะมีพี่เขย ถึงมันจะเป็นความจริงก็ตาม
“พี่ฝากดูไอ้ชิน มันด้วยนะ พี่ขอตัวเข้าไปเคลียร์งานที่ริษัทก่อนแล้วตอนเที่ยงจะกลับมา นะครับ คุณน้องเมีย”
“ครับ” ผมตอบรับอย่างเคย แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้พี่คินเรียกผมว่า น้องเมีย งั้นเหรอ
“ไม่ต้อง งง หรอกครับ พี่รู้แล้วว่าเราน่ะ เป็นน้องไอ้ชินมันถ้ามันตื่นแล้วก็ฝากบอกมันด้วยนะ ว่าพี่เข้าไปดูงานแปปเดียว เดี๋ยวก็กลับ” พี่คินบอกก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้ผมอยู่ ง งอ ที่มากันจนเต็มหัว
สักพักใหญ่ๆ พี่ชายผมก็เดินตาปรือลงมาจากห้องก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นว่าผมนั่งยู่ก่อนแล้ว
“อะ อ้าว เมฆเองเหรอ ตื่นเช้าจัง”
“ผมยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก” ผมบ่นเสียงไม่เบานัก
“อ้าว ทำไมละ หรือว่า ไอ้ใหญ่มันทำอะไร!!”
“พวกพี่นั่นแหล่ะที่ทำให้ผมไม่ได้นอนทั้งคืน พี่บอกผมมาตามตรงดีกว่านะ ว่าพี่กับพี่คินอะไรนั่นเป็นอะไรกัน แล้วอย่ามาอ้างนะว่าแค่เพื่อน เพราะไอ้ที่ผมได้ยินเมื่อคืน มันไม่ใช่” ผมถามเสียงแข็งก่อนจะจ้องพี่ชินเขม็ง เอาสิ ยังไงวันนี้ผมต้องรู้เองให้ได้
“คือว่า เรื่องมันยาวน่ะ เอาไว้ เล่าวันหลังได้ไหม แต่ว่าตอนนี้พี่บอกเมฆได้แค่ว่า พี่กับไอ้ชิน ยังเป็นเพื่อนกัน”
“บอกว่า อย่าโกหกไงครับ แบบที่พี่ทำเมื่อคืนน่ะ มันแฟนกันชัดๆเลยนะ”
“ก็ยังไม่ได้เป็นไง ….มันไม่เห็นขอสักที เหอะ” พี่ชินบอกก่อนจะกอดอกแน่น ผมได้แต่ทำหน้างง เพราะไม่เคยเห็นพี่ชายตัวเองในลุคที่มันออกจะเหมือนงอน แบบนี้สักครั้ง มันดู เอ่อ ไม่ค่อยจะชินตาเท่าไหร่ น่ะครับ
ผมละสายตาจากพี่ชายก่อนจะมองเต็นท์ที่กางอยู่หน้าบ้าน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมอง ทั้งๆที่เต็นท์มันก็อยู่ของมันนิ่งๆ เฮ้อ
“เอ่อ คุณ เมฆ ครับ คุณใหญ่ฝากอันนี้มาให้น่ะครับ” ลุงชมเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
“แล้วเจ้าตัวมันไปไหนล่ะครับลุง” พี่ชินถามพลางยื่นมือออกไปรับแทน
“คุณเขากลับไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ” ลุงชมบอกก่อนจะ ขอตัวไปทำงานต่อ ผมมองกระดาษในมือพี่ชินด้วยความสนใจ ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ว่าตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก ทั้งๆที่มันไม่ใช่สิ่งที่น่าตื่นเต้นอะไรสักนิด
ดูแลตัวเองดีๆนะครับ พี่ไปทำงานก่อน เย็นๆจะกลับมาใหม่
พี่ชินอ่านออกเสียงดังๆ ก่อนจะเบ้หน้า พร้อมกับโยนกระดาษแผ่นนั้นลงถังขยะอย่างไม่ไยดี มันจะผิดไหม ถ้าผมไม่อยากให้พี่ชายทิ้งกระดาษแผ่นนั้น
“เมฆ อยากเก็บมันเอาไว้เหรอ”
“เปล่าครับ ทิ้งไปนั่นแหล่ะดีแล้ว มันก็แค่กระดาษแผ่นเดียว” ผมบอก แต่กลับถูกพี่ชายจ้องหน้าเขม็ง เหมือนจับผิด
“เมฆ ถ้าเมฆรักมันพี่ก็..”
“ไม่ครับ ผมบอกพี่ไปแล้วว่าผมไม่มีวันกลับไปหาเขา ทานข้าวดีกว่านะครับเดี๋ยวผมไปยกมาให้” ผมตัดบทก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ผมยอมรับว่า ใจอ่อนกับพี่ใหญ่ แต่ผมก็ไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว ผมเจ็บมามากเกินพอแล้ว
“ไอ้ชิน เมฆ เกินเรื่องใหญ่แล้ว!!” พี่คินวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในบ้าน พร้อมกับนิตยสารแนวปาปารัสซี่เล่มหนึ่ง
“มีอะไรเล่าเอะอะ โวยวาย” พี่ชินแหวลั่น
“มึงดูนี่สิ” พี่คินบอกก่อนจะยื่นนิตยสารเล่มนั้นให้พี่ชิน
“เฮ้ย นี่มันเรื่องอะไรกันวะ!!”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ” ผมถาม เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเอาแต่จ้องนิตยสารเล่มนั้น หรือจะขอหวย
“คือ เอ่อ..” พี่ชินอึกอัก
“หนังสือเล่มนั้นมันมีอะไร งั้นเหรอครับ ทำไมพวกพี่ต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วย” ผมถามย้ำ แต่พี่ชินก็ยังไม่ยอมตอบจนผมต้องคว้านิตยสารเล่มนั้นมาอ่านเอง
ทายาท สองตระกูล ดัง เข้าชมรม ไม้ป่าเดียวกัน แอบสวีท สองตอ่สอง “นี่มัน” ผมแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอเมื่อ อ่านพาดหัวข่าว รูปประกอบที่เป็นเหมือนภาพแอบถ่ายทั้งที่ ร้านและที่บ้านทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก นี่มันเรื่องบ้า อะไรกัน ถึงผมจะไม่ใช่ดารา นักร้อง แต่ครอบครัวของผมก็มีคนรู้จักอยู่พอสมควร การมีข่าวประเภทนี้คงไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจเท่าไหร่
“บ้าเอ้ย ใครมันทำวะ หรือว่าไอ้ใหญ่” พี่ชินสบถ
“กูว่าไม่ใช่หรอก ไอ้ใหญ่ มันรักนามสกุลตัวเองแค่ไหนพวกเราก็รู้ มันไม่มีทางสร้างข่าวพวกนี้เพื่อให้ สิริพิทักษ์เป็นขี้ปากชาวบ้าน
หรอก” พี่คินออกความเห็น ส่วนผมได้แต่นั่งฟังคนโน้นคนนี้พูดไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร มันเหมือนมืดแปดด้านไปหมด ผม
ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อจะเป็นยังบ้าง ข่าวของผมมีผลต่อธุรกิจพ่อมากแค่ไหน โถ่ เว้ย ทำไมผมถึงเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ
“เมฆ ” พี่ชินกอดผมแน่น
“ใครที่ทำแบบนี้กัน ผมไม่เคยทำอะไรให้ใครเลยนะพี่ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ แล้วพ่อล่ะ พ่อจะโดนผู้ถือหุ้นถามเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าข่าวของผมทำให้คนพวกนั้น ถอนหุ้นล่ะ พ่อจะทำยังไง”
“ใจเย็นๆนะเมฆ ทุกปัญหามันมีทางออกเสมอ เชื่อพี่นะ ใจเย็นๆ” พี่ชินอกเสียงนุ่มก่อนจะกอดผมแน่นขึ้น
“เมฆ!!” เสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดีตะโกนขึ้นก่อนที่พี่ใหญ่จะวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล
“ไอ้ใหญ่ มึงมาทำไม” พี่ชินตะคอก
“กูเห็นข่าวแล้วนะ กูเป็นห่วงเมฆ” พี่ใหญ่บอกเสียงเบา
“มึงเป็นคนทำหรือเปล่า” พี่ชินถามเสียงเข้ม
“กูจะทำ ทำไมวะ ข่าวพวกนี้มันไม่ได้มีผลดีนะเว้ย ถึงกูจะรักเมฆมากแค่ไหนแต่คงไม่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้หรอก เมฆเชื่อพี่นะข่าวบ้าๆพวกนี้พี่ไม่ได้เป็นคนทำจริงๆนะครับ”
“เฮ้ย พอๆ กูว่าเรื่องที่ใครปล่อยข่าว กูจะช่วยเอง แต่ว่าเราควรจะแก้ปัญหาก่อนนะเว้ย พวกมึงก็รู้ว่าตัวเองเป็นใคร การมีข่าวแบบ
นี้มันอาจจะทำให้ ธุรกิจของพวกมึง มีปัญหาได้ คนไทยน่ะยังไม่ค่อยยอมรับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่หรอกนะ” พี่คินบอกอย่างใจเย็น
“ตอนนี้คงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน เพราะกูว่า ป่านนี้ ที่บ้านพวกมึงนักข่าวเพียบว่ะ”
“แมร่ง เอ้ย อย่าให้กูรู้นะว่าใคร ปล่อยข่าว” พี่ใหญ่สบถก่อนจะถอนหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์ ผมเห็นด้วยกับพี่คินที่ว่าพี่ใหญ่ไม่ใช่คนที่ปล่อยข่าวนี้แน่ๆ คนอย่าง ชลธร สิริพิทักษ์ ไม่มีทางทำอะไรที่ทำให้ นามสกุล ของตัวเอง ต้องกลายเป็นขี้ปากชาว
บ้านอย่างแน่นอน
“พี่ชินครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ คงต้องโทรไปที่บ้านหน่อยว่ามีอะไรหรือเปล่า” ผมบอกก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป
………ชลธร…………….
ผมมองตามแผ่นหลังของเมฆ ก่อนจะลอบถอนใจ ผมไม่รู้ว่าไอ้เรื่องบ้าๆนี่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ไม่ใช่ว่าผมอายที่จะบอกใครต่อใครว่าเมฆคือคนที่ผมรัก แต่การตกเป็นข่าวแบบนี้มันอาจจะมีผลกระทบต่อธุรกิจของผมกับเมฆ เพราะคนไทยยังไม่ยอมรับเรื่องทำนองนี้เท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าพวกผู้ถือหุ้น พวกนั้นจะคิดยังไงกับข่าวของผม ในกรณีของผมมันต่างจากเจ้าเล็ก เพราะเจ้าเล็กไม่ได้บริหารธุรกิจของครอบครัว แถมคุณวรวัต ยังมีอิทธิพลมากพอที่จะกลบกระแสข่าวพวกนั้นให้เป็นแค่ข่าวซุบซิบ แต่กับผมมันไม่ใช่ เมื่อ สิริพิทักษ์ เพิ่งฟิ้นตัวจากการเป็นหนี้ได้ไม่นาน การมีข่าวแบบนี้มันสงผลถึงภาพลักษณ์ของบริษัทแน่นอน
“กูขอไปคุยกับเมฆได้ไหม”
“มะ…”
“ไปเถอะ” ไอ้คินบอกหลังจากที่มันจัดการปิดปากไอ้ชินไว้ ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะเดินตามเมฆขึ้นไป
“ครับพ่อ ผมเห็นข่าวแล้วครับ พ่อเป็นไงบ้าง”
“ครับ ผมไม่เป็นอะไร พ่อดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ผมจะกลับไปแก้ไขมันด้วยตัวเอง รักพ่อนะครับ”
ผมรอให้เมฆคุยธุรเสร็จก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้อง
“น้องเมฆ”
“คุณ ชลธร มีธุระอะไรครับ” เมฆยังคงพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเย็นชา ผมได้แต่ยิ้มเพื่อให้กำลังตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่
คิดถึงมาตลอด
“พี่ แค่อยากคุยกับเมฆ”
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันครับ ตอนนี้ผมกำลังยุ่งอยู่ ไม่มีเวลาว่างมานั่งคุยเรื่องไร้สาระ”
“พี่อยากจะคุยกับเมฆเรื่องข่าว”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมขอร้องให้คุณช่วยปฏิเสธด้วยนะครับ ว่ามันไม่เป็นความจริง ผมกับคุณไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกัน จะตอบแบบดาราก็ได้นะ ว่าคนหน้าคล้ายหรืออะไรก็แล้วแต่คุณ” น้ำเสียงและสายตาที่เย็นชานั่นกำลังทิ่มแทงให้ผมเจ็บปวด
“แต่เรื่องทั้งหมดมันเป็นความจริง นะครับ เราสองคน รักกัน”
“เหอะ คุณละเมอ เหรอครับ คุณชลธร เราสองคนไม่เคยรักกัน และไม่มีวันจะรักกัน เราสองคนเกลียดกัน จำไว้นะครับ ว่าเราเกลียดกัน!!”
“เมฆ” ผมครางแผ่ว คำว่า เกลียด ของเมฆ ทำให้แรงของผมแทบหายไปหมด
“ผมกับคุณ ไม่มีวันลงเอยกันได้ จำไว้ด้วยนะครับ ถือว่าผมขอร้อง เราอย่าเจอกันอีกเลย”
“แต่ว่าพี่”
“อย่าพูดอะไร ที่มันทำให้คุณ ดูน่าสมเพช ในสายตาผมไปมากกว่านี้เลยนะครับ ผมเบื่อ แล้วก็เหนื่อยเต็มทีกับเกมนี้ ช่วยออกไปจากชีวิตผมสักทีได้ไหม ตราบใดที่คุณยังตามผมไม่เลิก ปัญหามันก็จะไม่จบสักที คิดซะว่า น้องเมฆของคุณ คนนั้น เขาตายไปแล้ว”
“ไม่ พี่จะไม่ปล่อยเมฆไป พี่รักเมฆ รักเฆมมากได้ยินไหมครับ!!” ผมบอกพลางจับมือไว้แน่น
“ถ้าคุณ รักผมจริง คุณควรจะปล่อยผมไป ผมเคยบอกคุณไปแล้ว ว่าอย่าดันดุรังทำอะไรแบบนี้ กลับไปอยู่ในที่ของคุณซะ ผมก็จะอยู่ในที่ของผม ต่อไปเราสองคนจะเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น ไม่มีอะไรที่มากกว่านั้น ” คนตรงหน้าบอกผมด้วยน้ำเสียงนิ่งอย่างเคย ก่อนจะแกะมือผมออกจากข้อมือตัวเองแล้วเดินออกไป
แล้วผม ควรจะทำยังไง ต่อไปดี ??
.........................TBC...................................
อ้าว มีเรื่อง
คืออัลไล วิ
มันจะเป็น มาม่า ถ้วยสุดท้าย สัญญาเลย
เชื่อไหมว่านิยายเรื่องนี้ พิตกะจะเขียนไม่เกิน 150 หน้า
แต่ตอนนี้มัน 200 หน้าแล้ว และยังไม่จบเลย ฮ่าๆๆ