[ต่อ]ในชั้นแรกพระมหาอุปราชทรงสดับข่าวร้ายนึกข้างไปว่า คงมีเหตุมิบังควรเกิดขึ้นแต่เพียงไม่สำคัญ ครั้นมาฟังคำสาธยายสำทับว่าข้องเกี่ยวกับราชภัยทมิฬก็พระวรกายสั่น เหมือนหนึ่งปลาถูกจับเปลี่ยนแหล่งที่อยู่จากน้ำอุ่นมาเป็นน้ำเย็น พระราชดำริอันหลักแหลมประจำพระองค์ก็มาถูกเมฆหมอกดำทมิฬปกคลุมไร้หนทางแก้ อ้ำอึ้งมึนงงอยู่ชั่วขณะ จนมหาพราหมณ์จำต้องเตือนซ้ำ
“มหาอุปราชจงครองสติให้มั่น แลประพฤติตามคำของอาตมันโดยพลัน”
“ขอรับ พระคุณเจ้า” อุปราชอาทิตยาธรพนมมือกราบลา คืนสติรวดเร็วด้วยเลือดขัตติยะ แล้วผุดลุกขึ้นฉับไว เสมองทางเจ้าหนุ่มมากสิริโฉมชั่วครู่ หักใจเอาธุระบ้านเมืองเป็นที่ตั้งมาก่อนความร้อนในใจตัว หุนหันไม่รอช้าจากไปทำการทันที
ในห้องทรงดนตรีบัดนี้เหลือคนเพียงสาม เมื่อสำเหนียกเสียงใจความแจ้งจากปากผู้ทรงศีลเป็นเหตุใหญ่หลวงฉะนั้น พจน์อดวิตกหนักใจด้วยไม่ได้ เฝ้านึกคิดแต่เพียงว่า ดูหรือจักคือตนเองที่เป็นต้นสายปลายเหตุของราชภัยนี้ ก็ด้วยเนื้อความอันพราหมณ์ผู้เฒ่ากล่าวแจกแจง นึกเพียงครู่ก็ล่วงรู้ว่า ผีร้ายที่ส่งเสียงร้องปลุกมหาภัยมาสู่บ้านเมืองนี้ เป็น
นารีพิฆาตตนนั้นซึ่งคิดปองร้ายพจน์ไม่ผิดตัว ภัทรพจน์เฝ้าคิดวนเวียนกล่าวโทษตัวเองซ้ำอยู่เช่นนั้น จนถูกวาจาพราหมณ์โกสินธพกล่าวทักท้วง
“การอันมหาบุรุษท่านดำริอยู่ในใจนั้นมิควรก่อน ทุกสิ่งสรรพมีเกิดมีดับเป็นสังสารวัฏหมุนเวียนอยู่เช่นนี้มิรู้จบสิ้น ก็แหละมหาราชภัยนี้ช้าเร็วจำต้องเกิดขึ้นมิมีผู้ใดยับยั้งได้ บัดนี้ทั่วทั้งมหาพิภพประสบเคราะห์กรรมทุกข์เข็ญไปทุกหย่อมหญ้า ด้วยแสงเพลิงพิโรธของมารร้ายแผ่กระจายทั่วทศทิศ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างผจญชะตากรรมเดียวกัน หะนี้ภัยนั้นเหยียบย่างมาถึงชานเรือนของชาวเราแล้ว มิอาจยกเว้นด้วยประการทั้งปวง ความสามัคคีแลความสวามิภักดิ์จงรักต่อผืนแผ่นดินแลบุญญาธิการขององค์พระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นจักช่วยให้ชาวเราเผชิญกับความทุกข์ยากแสนเข็ญนี้ได้”
พจน์ส่ายหน้าพนมมือตอบ มองอย่างไรก็เพราะเขาเป็นตัวการจุดชนวนให้เกิดทั้งสิ้น
“ตามที่พราหมณ์ว่าผมไม่มีความผิดเลยนั้น คงไม่อาจลบล้างสิ่งที่กระทำล่วงผ่านมาแล้วได้ เพราะการปรากฏตัวของผมนี่แล้ว เป็นต้นตอของภัยร้ายซึ่งพวกท่านกำลังต้องเผชิญ”
มาตะเองตะลึงตะไลในข่าวร้ายสุดคาดคิด ซ้ำมาตรองดูตามถ้อยวาจาของอาจารย์ตนก็ฉุกคิดได้ว่า เหตุอันทำให้ดวงตาปีศาจฉายแสงมายังอาณาจักรอันร่มเย็นนี้ เพราะคำกรีดร้องของผีร้ายตนหนึ่งเป็นตัวการ ซึ่งในเพลาสนธยาวันนั้น ท่ามกลางลมโหมโบกพัดราวกับโกรธเกรี้ยวโกรธา ในที่ชุมนุมหอนั่งมีตน คนรัก แลมาลีผู้พี่ อีกทั้งกฤษณาเป็นสักขีพยาน หว่างความมืดมัวอนธการก่อนภัทรพจน์ยอดดวงใจจักเลือนหายกระทันหัน บังเกิดเสียงปริศนากรีดร้องสุดเจ็บปวดดังก้องสะท้อนทั่วอาณาบริเวณ เพียงชั่วครู่ตื่นตระหนกแลสับสนอลหม่าน พระอาจารย์โกสินธพจึ่งปรากฏกายขึ้นให้เห็นทันตาเหมือนเช่นราตรีนี้เป็นที่อัศจรรย์ ท่านบริกรรมคาถาสาดใส่ในที่ชุมนุมบนเรือนได้ทันท่วงที ศัพท์เสียงเจ็บปวดเงียบงันโดยพลันเช่นเดียวกับลมวายุลึกลับ กฤษณาสลบไสลเพราะแรงร้องไห้ มีมาลีพี่ท่านเป็นผู้ปฐมพยาบาล บ่าวไพร่สาละวนเก็บข้าวของที่ถูกลมพายุพัดเกลื่อนกลาด ครูท่านสั่งความหนึ่งเป็นข้อตะขิดตะขวงใจว่า
“มาตะเจ้า นับแต่นี้จงทอดกายดูแลคนรักให้จงหนัก ด้วยเภทภัยอันตรายกล้ำกรายมาสู่ภัทรพจน์ผู้นี้เป็นแน่แท้แล้ว พวกมันได้กลิ่นแลระแคะระคายแล้วว่า มหาบุรุษในตำนานปรากฏกายขึ้นในที่สุด”มีหรือมาตะจักมิรู้ว่า คนรักของตัวมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากปุถุชนสามัญ ทั้งด้วยการจากไปอย่างลึกลับ แลหรือมาปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งเป็นข้อประหลาดใจ มิมีใครในพิภพนี้จักทำได้ พลังอำนาจใดแฝงอยู่ในกายรูปงามจนเป็นเหตุให้เหล่าปีศาจร้ายจ้องหมายปองนั้นสุดล่วงรู้ แต่ดวงหน้างดงามมาทำประหนึ่งวิตกกังวลว่าตนเป็นต้นเหตุของเภทภัยทั้งหมดนั้น มาตะมิอาจทนเห็นได้ ซ้ำจะเข้าไปเวียนปลอบตามวิสัยตัวก็สำนึกได้ว่าตนกระทำปิดบังฐานะเป็นรอยแผลในใจคนคู่พิศวาส ท่าทีอึกอักจักขยับเอื้อมลูบโลมแต่ใคร่ครวญถี่ถ้วนเกรงอีกฝ่ายจะลำบากใจ ประเดี๋ยวยื่นมือออกไปประเดี๋ยวก็ชักกลับเป็นที่น่าเวทนาปรากฏสู่ตาผู้ทรงศีลในที่นั้น
“มาตะเอย ไฉนเลยยังมิติดตามพระมหาอุปราชผู้เชษฐา จงแจ้งข่าวด้วยวาจาเราซ้ำ แลหว่างกลางชุมนุมขุนนางเสนาบดีนั้นจงฝากคำเรากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า การทั้งนี้ยังมิพักต้องตระเตรียมพยุหพลเสนาเรือนหมื่นแสน ด้วยประสงค์แต่เพียงกองทะลวงฟันมากน้อยมิกี่หยิบมือ เร่งขับม้าเร็วลาดตระเวนลอบสังเกตดูเหตุการณ์มิชอบมาพากล ณ เทวาลัยร้าง อันตั้งอยู่ตรงข้ามประตูช่องเขาสุวรรณคีรี ซึ่งเป็นประตูหน้าด่านปราการศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวด้านทิศตะวันออก มหาเทวาลัยแห่งนั้นถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคน ต่อมามีพราหมณ์ลัทธิหนึ่งอพยพมาอาศัยบำเพ็ญเพียรได้เกือบครบเดือนแล้ว จงเล็ดรอดสืบดูความเป็นไปของนักพรตเหล่านั้น ด้วยมีบางสิ่งมิชอบมาพากล เพราะที่แห่งนั้นมิเคยประสบว่ามีพราหมณ์ใดอาศัยอยู่เกินกว่าเจ็ดทิวาก็หาไม่ แลราตรีนี้ระหว่างอาตมันบำเพ็ญเพียรอยู่ ปรากฏเห็นกลุ่มเงามืดปกคลุมเทวาลัยร้างแห่งนั้นเป็นที่ผิดสังเกต อาจมีเล่ห์กระเท่หลุมพลางใดแฝงเร้นอยู่ แหละการทั้งนี้มิควรแพร่งพรายให้กรมการเมือง เจ้าเมืองพระยามหานคร แลหรือเจ้าเมืองประเทศราชทราบโดยเด็ดขาด จงงำไว้แต่เพียงภายในราชสำนักเพื่อมิให้เกิดความแตกตื่นระส่ำระส่ายทุกหย่อมหญ้า แลอาตมันจักตามสมทบหลังเสร็จกิจ ณ ที่นี้แล้ว”
“แต่ศิษย์...” มาตะอ้ำอึงห่วงพะวงสีหน้าเครียดของพจน์แล้ว ไม่อาจสะกดใจละจากไปด้วยจิตสงบได้ อีกทั้งตนยังออกปากไว้เป็นคำหนักแน่นแล้วว่า จะไม่ทอดทิ้งยอดรักไว้เพียงคนเดียวในราตรี
“เพลานี้หากเจ้าฝืนดันทุรังดื้อแพ่งประสงค์จักทำการในใจเป็นทุนเดิม เห็นทีคงพบการแตกหักเป็นแน่แท้ สมมติยามเมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวควรหรือที่จักเอาเรือไปขวางกลางลำก็จะหักสะบั้นพังลงในทันใด ควรจักรอให้สายธารนั้นสงบนิ่งเหมาะควรแก่การพายล่วงก่อนจึ่งออกเรือ ก็แหละสินธุจักไหลเชี่ยวทุกมื้อยามก็หาไม่ สบช่องเห็นลู่ทางจึ่งควรออกพาย แต่การทั้งนี้ต้องอาศัยน้ำอดน้ำทนรอให้สายวารีทุเลาลงก่อน เจ้าว่าดี ฤา ไม่ มาตะ”
พระอาจารย์พราหมณ์กล่าวเป็นกลเปรียบเห็นชัด มาตะยกใจเข้าเทียบก็มิเห็นหนทางอื่น พยายามสบตามองภัทรพจน์ แต่พจน์ก็เสตาดูสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวมาตะ เหลือบทางหางตาเห็นเจ้าหนุ่มล่ำสันยังคงคุกเข่ามั่นคงอยู่แต่สีหน้าเครียดขมึงจนพจน์อดใจอ่อนมิได้ แต่ไฟแค้นสุมอกยังมีอีกครึ่งหนึ่งในตัว หักใจด้วยทิฐิมานะมิอยากให้มาตะเสียการต้องมาพะวงกับตัว จึ่งออกปากว่า
“ไปเถอะ เราอยู่ได้”
สะบัดหน้าเจรจาทิศทางอื่นเหมือนพูดกับลมฟ้า มาตะได้ยินคำเสนาะโสตหมายถึงตัวแน่แล้วใจหนึ่งยินดีที่คนรักยอมเจรจาด้วย แต่อีกใจก็เศร้าสลดด้วยเป็นตัวการทำให้คนรักต้องเจ็บช้ำ ซ้ำท่าทีเมินเฉยนั้นยังคงเป็นปราการหนักแน่นอยู่จึ่งไม่อาจเข้าประชิดตัวตามใจหวัง ได้แต่ปลอบว่าเพียงเท่านี้ก็เหมือนดั่งใจแห้งแล้งมาได้หยดน้ำประทังชีพแล้วอดปลื้มปิติมิได้ ละการหนักอกเก็บไว้หวนนำราชการบ้านเมืองมาเคียงคู่ แล้วจึ่งก้มกราบแทบเท้าพระอาจารย์ตน เอ่ยปากฝากคนรักกับผู้ทรงศีลก่อนลา
“ครูท่านเปรียบดั่งบิดาผู้พร่ำสอนสรรพวิชาทั้งสิ้นทั้งปวงสู่ข้า นับมากคุณอนันต์จักตอบแทนคืนได้ในชาติภพนี้ ทั้งมากด้วยจิตเมตตาพรั่งพร้อมบริบูรณ์เป็นที่สรรเสริญ ความเมตตาท่านนั้นเคยหลั่งลงเหนือตัวมาตะมากเท่าใด โปรดเมตตาภัทรพจน์คู่ใจมิให้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วยเถิด หากจักเทียบแล้วคนผู้นี้ประดุจครึ่งชีวีของศิษย์ ความเจ็บปวดในกายของอีกคนมากเท่าใดมีหรือที่ศิษย์จักมิเคยรับรู้ แลคำฝากครั้งนี้นอกกว่าฝากเมตตาแล้ว เหมือนฝากดวงใจแลชีวิตไว้ในความดูแลของพระอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน” มาตะก้มหน้าฝากฝังใต้เบื้องบาทพระอาจารย์
โกสินธพมหาพราหมณ์เห็นศิษย์เอกตัวเอ่ยปากฝากความเป็นนัยเจ็บช้ำเช่นนั้นอดที่จะระงับความอาดูรไว้มิได้ แต่หักลงเสียด้วยเป็นผู้ละกิเลสทั้งปวง พยักหน้ารับคำให้วางใจ
“มาตะเอย ควรหรือมาทำกิริยาอ่อนแอแลโศกสลดต่อหน้าคนรักเจ้าเฉกเช่นนี้ ครั้งหนึ่งอาตมันเคยพร่ำสอนว่าเช่นไรจำได้ ฤา ไม่”
ในตอนแรกพจน์ยินความฝากฝังตัวไว้ก็ให้รู้สึกสะเทือนใจสุดกลั้น อยากจะปลดความแค้นใจทิ้งละแล้วโผเข้าโอบกอดมาตะพร้อมคำอภัย แต่ถูกสายตามีความนัยของพราหมณ์ผู้เฒ่าสะท้อนคัดค้านห้ามปรามอยู่จึ่งยั้งไว้
มาตะส่ายหน้าด้วยตอนนี้ตื้อตันในอกไปหมด ห่วงแสนห่วงคนรักสุดแสน ห่วงการบ้านเมืองก็พอกัน
“ก็แหละเจ้านี่เองมิใช่หรือ พะเน้าพะนอถามอาตมันเมื่อแรกรุ่นหนุ่มว่า สตรีผู้ใดในพิภพคือคู่ครองของมาตะ ด้วยเพราะเจ้ามิเคยปะผู้ใดแล้วรู้สึกวาบหวิวใจอย่างเช่นต้องชะตากัน อาตมันกล่าวสอนว่า ความรักใดก่อเกิดขึ้นจักรู้สึกวาบหวิวแต่เพียงนั้นเป็นมิได้ ด้วยการครองคู่กันแลกันนั้น คนทั้งสองต้องเคยร่วมทำบุญกุศลมาแต่ชาติปางก่อนฉันใด ชาติภพนี้จึ่งรู้สึกเหมือนผลบุญหลั่งโลมรินไหลทั่วกายทันควันเมื่อสบเห็นฉันนั้น เพราะการครองคู่นอกกว่าความสุขแล้วยังมากทุกข์อนันต์ ซ้ำยังฉุดให้ใจกล้าเป็นอ่อนแอโดยง่าย หากเจ้ารู้สึกสุขแลทุกข์ประหนึ่งมีน้ำเย็นเป็นผลบุญโลมหลั่งตามคำอาตมันกล่าวแล้วไซร้ นั่นแล้วคือคู่ครองเจ้า”
“ขอรับ เป็นจริงเช่นนั้น” มาตะรับคำสอนหน้าสลด
“แหละตอนนี้เจ้าค้นพบแล้วหรือยังว่า การแสวงรักครองคู่กันนอกกว่าความรู้สึกเมื่อแรกเกิดแล้ว มีทุกข์แลสุขสอดผสานอยู่ทั้งสิ้น เช่นนั้นจงเร่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวพร้อมอาสาอุทิศตัวเป็นกองทะลวงฟันตามคำอาตมันแนะ เพื่อขจัดความอ่อนแอออกจากกายเป็นเครื่องพิสูจน์คำสอนเรา”
พอพจน์มาได้ยินคำแนะนำของพราหมณ์โกสินธพบอกเป็นช่องให้มาตะอาสาไปสอดแนมภยันตรายเช่นนั้นไฟแค้นมีมากอยู่ก็ลดละโดยพลัน ถลันเกาะชายผ้าคล้องไหล่สีขาวของอาจารย์พราหมณ์ไว้เป็นหลักชัยแล้วว่า
“ขออย่าได้ส่งมาตะไปทำการนี้เลยครับ ผม...ผมขออาสาไปเอง”
มาตะเห็นกิริยาท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของภัทรพจน์ บังเกิดซาบซึ้งตรึงใจสุดแสน พราหมณ์โกสินธพขยิบตาให้เจ้าหนุ่มแล้วแสร้งตวาดเสียงดัง
“ดูหรือมาตะ ยังชักช้าเอ้อระเหยรั้งรอการใดอยู่ เร่งปฏิบัติตามคำเราอย่าช้าที”
เสร็จแล้วก็ผลักไสมาตะให้ห่างตัว มาตะเห็นอาจารย์ตนต้องประสงค์ให้ทำจริงดังคำ แต่อัดอั้นตันอกอดห่วงภัทรพจน์ไม่ได้ก็อิดเอื้อนละล้าละลังอยู่
“บัดนี้คำเรามิเหลือความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฤา”
พจน์ไม่แจ้งอุบายระหว่างศิษย์อาจารย์ก็ออกปากห้ามซ้ำ มาตะทอดสายตาอนาทรเห็นควรปฏิบัติตามคำของอาจารย์แน่แท้ จึ่งข่มใจผละจากด้วยอาลัยอาวรณ์
คำร้องเรียกนามมาตะไล่หลังจนเจ้าตัวลับหายในเงามืดเบื้องประตู นอกจากตนจะเป็นต้นตอของมหาราชภัยแล้วยังเป็นเหตุให้มาตะถูกขับไสสู่อันตรายดำมืดซ้ำ ในใจอัดอั้ดสับสนตีกันจนกลั่นเป็นหยดน้ำตารินไหลมิรู้สึกตัว
“ผมขออาสาร่วมสืบเรื่องราวด้วย พราหมณ์ อนุญาตให้ผมไปร่วมกับมาตะด้วยเถอะ” พจน์กระพุ่มมือวอนทั้งน้ำตา
“การณ์ทั้งนี้มิอาจล่วงรู้ถึงเหตุภายภาคหน้าได้ อันตรายใดสิงสู่อยู่ในเทวาลัยร้างเกินความสามารถอาตมันจะหยั่งถึง อีกทั้งมาตะหรือจักยอมให้ท่านร่วมเดินทาง ศิษย์เอกของอาตมันคงมิเห็นชอบเป็นแน่” พจน์กัดริมฝีปากแน่นบ่งสำแดงอาการดื้อดึง “ดูก่อน มหาบุรุษ บัดนี้เราต่างอยู่สองต่อสองแล้ว อุปสรรคอันประกอบด้วยความไม่รู้ของศิษย์อาตมันได้ขัดขวางการทำคารวการมาหนหนึ่ง ควรหรือที่อาตมันจักลืมหลง โปรดยืนประทับองค์ให้เป็นสง่า ละกิริยาร่ำไห้เสียเถิด”
กล่าวสิ้นแล้วทรุดกายลงหมายจักน้อมกราบให้สมคะเน พจน์เห็นกิริยาเดิมมิบังควรเกิดซ้ำ ก็ถลันเข้าพยุง ยื้อยุดกันครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มเลิศสิริโฉมสังเกตเห็นรอยน้ำไหลรินจากดวงตาฝ้าฟาง คิดไปข้างว่าพราหมณ์เฒ่าคงได้รับความเจ็บจากการดึงรั้งของตนก็ผละมือออกทันควัน เป็นจังหวะให้โกสินธพมหาพราหมณ์ประนบมือก้มเคารพบูชาศีรษะจรดพื้นตามประสงค์ แน่นิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วว่าเป็นกลอนดังก้องจนพจน์ขนลุกชัน
“ประนมหัตถ์มนัสน้อมเศียรกราน
ทั้งพรหมานแซ่ซ้องเป็นสุขี
ตราบชีวิตเหลือเพียงผงธุลี
ขอบูชาเพชรมณีมิ่งมงคล”
“พราหมณ์ลุกขึ้นเถิด ท่านจะทำให้ผมอายุสั้น อย่าทำแบบนี้เลย” สำนึกรู้ถูกผิดกัดกินใจพจน์จนไม่อาจยืนนิ่งให้สมคะเนนักบวชพราหมณ์ได้ก็เอื้อมพยุงซ้ำ หยดน้ำตายังคงปรากฏให้เห็นชัดเจน นักพรตทรงศีลทำตามสมใจตัวแล้วจึ่งเงยหน้าขึ้นลุกยืนตามเดิม
“ผมทำให้พราหมณ์เจ็บใช่ไหม ขอโทษๆ เจ็บตรงไหนมากหรือเปล่า” พจน์ก้มสำรวจหารอยมือตน
“หามิได้ มหาบุรุษ เหตุอันก่อให้อาตมันเกิดหลั่งน้ำตาในครานี้เกิดขึ้นสองประการ หนึ่งคือปีติยินดีสุดจะกล่าว เพราะการปรากฏตัวของท่านเป็นเหมือนดั่งแสงสว่างผุดขึ้นกลางหมอกมัวดำมืด จุดไฟให้เห็นเส้นทางเบื้องหน้าต่อไปได้ชัดเจนขึ้น สองคือโศกสลดเสียดายในตนเองที่มิอาจมีอายุขัยยืนยาวจนเห็นวันที่หมอกมัวดำมืดสูญสลายไปสิ้น”
“พราหมณ์ทำไมพูดไม่เป็นมงคลแบบนี้” พจน์ตกใจไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล่าวแช่งตัวเอง
“ทุกสิ่งล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มหาบุรุษเอย อาตมันมีชีวิตอยู่มายืนยาวนัก สบเห็นทุกสรรพสิ่งมามากเกินพอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อาตมันไม่เคยทำสำเร็จ คือการพิชิตความโฉดชั่วให้สิ้นไปจากโลกา อุปมากลุ่มเมฆาปกคลุมทั่วพื้นพิภพฉันใด แสงสว่างจากดวงสุริยะหรือจะอาจเอื้อมฉายแสงฉันนั้น แหละการณ์ทั้งนี้เกิดก่อนที่จักมี
โคลงทำนาย กระจัดกระจายทั่วทั้งมหาพิภพ ครั้นบังเกิดข่าวลือ
กลอนปัจฉิมวาจา แพร่สะพัดซ้ำเป็นหลักชัยยึดถือแน่นหนัก ดุจประจักษ์หยาดน้ำเบื้องบนมาหยดลงกลางผืนดินแห้งแล้ง ความหวังก็พลันจุติในเบื้องใจอาตมันนับแต่นั้น ด้วยรอคอยสิ่งที่เหมือนมิมีตัวตนอยู่เช้าค่ำ เนิ่นนานจนลืมหลงวันเวลา แต่เพลานี้ความหวังลมๆแล้งๆนั้นปรากฏเป็นจริงอยู่เบื้องหน้านี่แล้ว จักมิให้อาตมันก้มลงกราบกรานเป็นคุณสักคราหนึ่ง แลยื้อยุดรอยน้ำตามิให้รินไหลนั้นทำมิได้”
ครั้นมารับรู้ความเบื้องลึกในใจของผู้ทรงศีลจนก่อเป็นการกระทำแลอาการหลั่งน้ำตาเช่นนั้น พจน์ก็รู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก ดูราวกับมีหินผาหนักอึ้งถมทับอยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง ความหวังซึ่งพราหมณ์เฒ่ากล่าวนั้นหรือคือตัวพจน์ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีบางอย่างผิดต่างจากคนปกติธรรมดา แต่ตอนนี้จะมีอำนาจเสกพลังเช่นที่ไอ้กันเคยทำได้นั้นไม่ปรากฏให้เห็น นอกกว่าความสามารถข้ามพิภพแล้ว ทุกสิ่งสิ้นล้วนไม่มี
“ผม...ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่พราหมณ์คาดหวังไว้ พลังอำนาจใดที่จะทำลายความชั่วร้ายได้ ตอนนี้ผมแทบไม่รู้สึกหรือทำได้เป็นชิ้นเป็นอัน เกรงว่าโคลงพยากรณ์คงกล่าวถึงคนอื่น”
“เป็นท่าน มิผิดตัวแน่แท้แล้ว หากแต่เพลานี้ทุกสิ่งเพิ่งเริ่มต้น อย่าเพ่อด่วนสรุปความสามารถลึกลับอันท่านพึงมี ทุกสิ่งล้วนอาศัยเพลาแลการฝึกฝนฝึกปรือ อาตมันนี่แลจักเป็นผู้ชี้แนะท่านในการนี้เอง” โกสินธพมหาพราหมณ์อาสารับคำมั่น พจน์ไม่มีข้อโต้แย้งอื่นจักอ้างมาลบล้างได้ก็ทรุดกายกระทำความเคารพ
“เช่นนั้นเพลานี้ มหาบุรุษท่าน จงเดินทางข้ามพิภพกลับคืนถิ่นเดิมก่อนเถิด”
พจน์พยักหน้ารับ คะนึงถึงเวลาแล้วคงใกล้อรุณรุ่งในอีกไม่ช้า เวลาบนพิภพนี้ใกล้จบลง จึงกราบลามหาพราหมณ์ซ้ำอีกหน พลางว่า
“ตอนนี้ผมห่วงก็แต่มาตะ ซึ่งพราหมณ์ใช้ให้อาสาไปสืบราชการ เกรงว่า...”
“อย่าได้ปริวิตกการณ์อันยังมามิถึง แลศิษย์เอกของอาตมันผู้นี้เลื่องลือทักษะในอาวุธเป็นที่กล่าวขาน ฝีมือเจนจัดช่ำชองคงเอาตัวรอดได้มิยาก ทั้งยังเป็นการเสริมเกียรติยศตนหากทำการสำเร็จ สิ่งใดก่อกวนใจจงละไว้เสีย” มหาพราหมณ์เปล่งวาจา “แต่สิ่งอันน่าปริวิตกยิ่งกว่านั้นอยู่บนพิภพซึ่งท่านจากมา มหาบุรุษ จงกลับไปแจ้งผู้คนทั้งปวงว่า เพลา
แท้จริงนั้น เหลือหลงไม่มากแล้ว มหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่กำลังคลืบคลานใกล้เข้ามาเช่นเดียวกับอำนาจชั่วร้าย จงเตือนแลปกป้องชีวิตอันมีค่าเหล่านั้น เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นความผิดของทุกลมหายใจบนพิภพนี้ทั้งสิ้น นอกจากจะมิอาจยับยั้งความชั่วร้ายไว้ได้ หนำซ้ำยังลุกลามเป็นภัยในเบื้องพิภพของท่านอีก บัดนี้ทั้งสองพิภพกำลังเผชิญมหาราชภัยใหญ่หลวงมิต่างกัน แลท่านเท่านั้นจักยุดห้ามการมิควรนั้นให้คืนดังเดิม”
สิ้นคำของพราหมณ์โกสินธพ พจน์ก็ถูกเมฆหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมรอบตัว บดบังห้องทรงดนตรีแลผู้ทรงศีลค่อยๆลับจากดวงตา นำพาตัวเขากลับคืนมายังห้องนอนบนเรือนไทยเทพวิมานในทันใด
100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป