ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี
ครบสามเดือน พี่ชายสุดที่รักโทรปลุกแต่เช้าตรู่
(( จะกลับบ้านรึยัง ))
“ยัง”
แล้วพี่พจน์ก็วางสาย
แม้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพี่พจน์คงไม่ได้ร่วมวงพนันกับพ่อแม่ด้วย แต่ก็อดงงไม่ได้ว่าทำไมพี่ชายจู่ๆ ถึงเกิดรักน้องขึ้นมาซะเฉยๆ เพราะพวกเรานิสัยต่างกันมาก แม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่แทบไม่เคยเล่นด้วยกันเลย ขณะที่ผมบ้าบอไปกับภูมิ พี่พจน์จะคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือ ศึกษากิจการของท่านบ้านพร้อมรับช่วงต่อ
เขาคือลูกชายดีเด่น จริงจังไปกับทุกเรื่อง
ส่วนผมเป็นลูกชายผู้เอ้อระเหยลอยชาย ไม่อะไรกับทุกเรื่อง
แต่ด้วยความเป็นลูกคนเล็ก มีมุมอ้อนๆ น่ารัก พ่อกับแม่เลยมักเข้าข้างและเอ็นดูผมมากกว่า ผมเองก็เคยถามว่าทำไมต้องเข้มงวดกับพี่พจน์ ผิดนิดผิดหน่อยเป็นตำหนิเสียงดัง ขณะที่ผมซึ่งทำผิดแทบทั้งชีวิตไม่เห็นจะดุด่ารุนแรง ออกจะสปอยกันด้วยซ้ำ คำตอบคือ...
‘พจน์น่ะเป็นความหวังของบ้าน คือผู้สืบทอดกิจการ ส่วนพิชญ์น่ะ...พ่อกับแม่ไม่อยากบังคับ อยากทำอะไรก็ทำ’ ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม
สรุปแล้วผมไม่ค่อยสนิทกับพี่ชายเท่าไหร่ และพี่พจน์เองก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับผมนักเพราะเห็นว่าน้องชายช่างทำตัวไร้สาระไปวันๆ จนคนสมบูรณ์แบบอย่างเขารับไม่ค่อยจะได้ ฉะนั้น...ผมถึงแปลกใจมากเมื่อเขาโทรหาผมแล้วถามคำเดิมๆ ทุกวัน!
เพราะนับจากวันนั้น พี่พจน์ก็โทรถามว่าจะกลับบ้านรึยังติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์แล้ว!!
รวมถึงวันนี้ด้วย
(( จะกลับบ้านรึยัง ))
“มีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านรึเปล่า” ผมทนไม่ไหวแล้ว พี่ชายทำตัวผิดปกติเกินไป ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ! หรือว่าพ่อป่วยหนัก แม่หกล้มเข้าโรงพยาบาล ไอ้ภูมิติดพนันก่อเรื่อง หรือกฤตวิ่งโร่ขอให้ช่วยกล่อมอะไรผมอีก
(( เปล่า ))
แล้วดูคำตอบพี่พจน์สิ
เปล่าเนี่ยนะ
ถ้าเปล่า แล้วอะไรถึงดลใจพี่ชายที่ไม่เคยจะสนใจไยดีน้องเวลาผมทำตัวบ้าๆ บอๆ ตามกลับบ้านกันล่ะ
(( สรุปจะกลับบ้านรึยัง ))
“ยัง”
แล้วพี่พจน์ก็วางสาย
ผมชักหลอนแล้วนะ หรือนี่จะเป็นมาตรการใหม่หวังกดดันทางอ้อมให้ประสาทเสียใช่มั้ย คือวิธีไล่ต้อนน้องให้กลับบ้านของท่านประธานผู้เก่งฉกาจสินะ ช่างล้ำลึกเหลือเกิน!
เอาละ ช่างเรื่องพี่พจน์ไปก่อน
วันนี้ผมนั่งคำนวณรายรับรายจ่ายของร้านของเดือนที่ผ่านมา ช่วงครึ่งเดือนแรกบอกเลยว่าขาดทุนยับ แต่ช่วงครึ่งเดือนหลังที่ปรับกลยุทธ์นั้นกำไร พอเฉลี่ยแล้วเลยเท่าทุน ไม่สิ ถ้านับรวมพวกค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าคอนโดด้วย ยอดติดลบหนักด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีเงินเก็บ ผมคงอดอยาก กินชานมไข่มุกต่างข้าวทุกวันจึงจะรอดชีวิต
ปัญหาคือผมให้เงินก้อนกับไอ้ภูมิไปเทียบเท่าค่าเช่าคอนโดสำหรับสิบเดือน
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แล้ว
หรือจะย้ายที่พักดี จะได้ประหยัด ผมเริ่มคิดหนัก ไม่ทันสังเกตว่าคุณคนแรกยืนรอหน้าร้านอยู่นาน
“ขมวดคิ้วทำไม”
“ก็...มีเรื่องกลุ้มนิดหน่อยน่ะ” ผมยิ้มแห้ง พักหลังมานี้คุณคนแรกเริ่มช่างถามช่างสังเกตมากขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ได้นึกรำคาญ อาจเพราะเราเริ่มสนิทใจ และรู้ว่าเขาถามเพราะห่วงจริงๆ ไม่ใช่สอดรู้ “พอจะมีที่พักแนะนำมั้ย เป็นห้องเช่าไม่ใช่คอนโดก็ได้ ค่าเช่าไม่เกินสี่พันต่อเดือน คนไม่พลุกพล่าน ปั่นจักรยานไปกลับได้....”
ผมชอบคุณคนแรกตรงเขาเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี
ถ้าเป็นคนทั่วไป อาจตั้งคำถามว่าทำไมผมต้องย้าย มีปัญหาเรื่องเงินเหรอ ดีหน่อยก็คงถามว่าอยากให้ช่วยอะไรมั้ย ยืมเงินก่อนมั้ย
ซึ่งผมไม่อยากให้ช่วยเรื่องนั้นอ่ะครับคุณ
เลือกหนีออกจากบ้าน ทำตามความฝัน มอบรักให้ชานมไข่มุก ผมก็อยากจะอยู่รอดด้วยตัวเอง แล้วนี่ก็เป็นผลจากการตัดสินใจเอาเงินให้ไอ้ภูมิของผมด้วย เลยไม่อยากเดือดร้อนคนอื่น
“เย็นนี้จะพาไปดูแล้วกัน” คุณคนแรกให้คำตอบด้วยคำมั่น
“ขอบใจ” ผมเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ตั้งใจชงชานมไข่มุกให้มากกว่าทุกวัน หวังว่าพอกินแล้วเขาจะรับรู้ถึงความขอบคุณนี้นะ
เย็นวันนั้นคุณคนแรกเลยถือโอกาสมารับผมไปเลี้ยงข้าวเย็น ไปดูห้องเช่า แล้ววกกลับมาส่งที่คอนโด
ปกติเวลาเขามาส่ง ผมจะไม่เดินหนีขึ้นคอนโดทันที แต่จะยืนคุยกันสักพักหนึ่ง ยืนจ้องตาให้ความเงียบเข้าแทรกอีกสักพักใหญ่ รอจนเขาเริ่มไล่อ้อมๆ ถึงค่อยแยกย้าย
แต่วันนี้คงไม่ได้ทำแบบนั้น
เพราะจู่ๆ ก็มีรถหรูสีดำจอดเทียบข้างๆ รถมอเตอร์ไซค์ของคุณคนแรก ตอนแรกพวกเราไม่ใส่ใจ คุยเล่นเกี่ยวกับร้านก๊วนเตี๋ยวคั่วไก่ที่เพิ่งไปกินมา แต่พอฝั่งคนข้างรถเปิดกระจก คุณคนแรกก็สะกิดให้ผมหันไปมอง
“พิชญ์ ขึ้นรถ”
ผมช็อกมาก
เรียกว่าอ้าปากค้างเลยดีกว่า พี่พจน์มาแปลกแหวกแนวเกินไปแล้ว!
“งั้น...ฉันไปหาพี่ก่อนนะ”
“ให้รอมั้ย”
“เฮ้ย ไม่ต้อง นายกลับก่อนเถอะ” ผมรีบโบกมือปัดกับความมีน้ำใจของคุณคนแรก “ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
คุณคนแรกมองผมอย่างลังเลนิดหน่อย แต่พอเห็นผมไม่ยอมขึ้นรถพี่ชายสักทีก็พยักหน้ารับคำนิ่งๆ สวมหมวกกันน็อกแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์จากไป
เขาอุตส่าห์มาส่ง ผมเลยไม่อยากกระโดดขึ้นรถพี่ชายแล้วทิ้งไว้ลำพังน่ะครับ
ส่วนหนึ่งก็กดดันให้เขากลับบ้านด้วยนั่นแหละ เกรงใจจะแย่แล้ว
“มีอะไรรึเหรอพี่พจน์” ผมเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดเรียบร้อย แต่พี่ชายไม่ยอมออกรถสักที เอาแต่มองตามทิศทางของคุณคนแรกที่ป่านนี้ไปไกลลิบแล้ว เขาขับเร็วจะตาย แม้เวลาผมซ้อนจะช้ายิ่งกว่าเต่าคลานก็เถอะ
“แฟนใหม่เหรอ”
“แค่คุยกันครับ” ผมตอบอย่างสุภาพไม่กล้ายียวน เพราะรู้ดีว่าทั้งพ่อและแม่ รวมถึงพี่ชายต่อต้านเรื่องผมคบกับเพศเดียวกันมากแค่ไหน ก่อนหน้านี้ที่แม่ช่วยพูดให้กฤตก็เพราะทุกคนเข้าใจผิดว่าผมหนีออกจากบ้านเพราะเขา เลยยอมลงให้ชั่วคราวต่างหาก
แต่ผ่านมานานขนาดนี้ หลายคนก็เริ่มรู้สักทีว่าผมไม่ได้หนีออกจากบ้านเพียงแค่อกหักจากผู้ชายเจ้าชู้คนหนึ่ง
หนึ่งในนั้นก็คือพี่พจน์
พี่ชายอาจจะสงสัยอยู่แล้ว แต่พอเห็นผมอยู่กับคุณคนแรก คุยเล่นกันอย่างเป็นธรรมชาติด้วยบรรยากาศมากกว่าเพื่อน ก็ยิ่งยืนยันความคิดนั้น เพราะผมเป็นประเภทถ้าคิดจะทำอะไรก็ลุยสุดตัว ถ้ารักใครก็ปักใครไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเมื่อผมเปิดใจให้คุณคนแรก ก็เท่ากับว่าเรื่องของผมกับกฤตไม่มีวันกลับเป็นอย่างเดิมแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์
ผมตัดแฟนเก่าทิ้งแบบเด็ดขาดสุดๆ
“พี่พจน์?” เห็นพี่ชายเงียบไป ผมก็ทำอะไรไม่ถูก คุ้นชินกับมาดดุของเขามากกว่าสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนอย่างนี้ คาดว่าในหัวพี่พจน์ตอนนี้คงมีความคิดหลายอย่างตีกัน เพราะผมเคยเห็นมาก่อนหลายครั้ง สีหน้าที่จะเผยออกมาเฉพาะเวลาไม่มั่นใจ ทั้งที่เขาเป็นพวกเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก
ครั้งแรก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตอนผมสี่ขวบ วัยกำลังซนวิ่งเล่นไม่อยู่นิ่ง พี่ชายนึกรำคาญ เลยไล่ให้ผมไปไกลๆ
ผลคือผมวิ่งตกบันไดขาหัก ร้องเรียกพี่ชายเสียงดังลั่น
นึกถึงสีหน้าตอนนั้นแล้ว...พี่พจน์คงอยากจะด่า ว่าผมโง่รึเปล่าที่วิ่งตกบันไดเอง และคงจะน้อยใจ ที่พ่อกับแม่ตำหนิเขาที่ไม่ดูน้อง และโกรธตัวเองที่พูดจาโหดร้ายจนผมวิ่งหนี
ล่าสุดก็ตอนเขามาตามผมกลับบ้านหลังเปิดร้านชานมได้สองวัน พี่พจน์คงจะคิดโทษตัวเองที่ต่อต้านกฤตจนผมทะเลาะกับคนรัก ชักนำมาจนกลายเป็นกฤตนอกกาย ถึงอย่างนั้นก็แอบสมน้ำหน้าน้องชายหน้าโง่ที่โดนผู้ชายหักหลัง ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจพ่อแม่ที่ยังยอมฟังคำกฤตมากล่อมผมทั้งที่ก่อนหน้านี้คัดค้านแทบตาย
เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะซับซ้อน ซึ่งผมดันอ่านออกได้ชัดเจนซะงั้น
แต่ครั้งนี้ผมเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าพี่พจน์ทำสีหน้าอย่างนี้ทำไม
ท่ามกลางความเงียบ รถจอดนิ่งไม่ไปไหน ผมเลยมั่นใจว่าที่บ้านยังสุขสบายดีไม่มีใครเป็นอะไร
รู้แบบนี้ก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย ผมมองวิวข้างทาง มองหมา มองแมวที่เดินผ่านเพื่อให้เวลาพี่พจน์ได้ประมวลความคิดให้เข้าที่เข้าทาง
“พี่ขอโทษ”
ก่อนจะหันคอแทบหัก เมื่อได้ยินคำนั้นจากคนที่ไม่เคยทำผิดจนพูดขอโทษมาก่อน
ผมต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายพูดคำนี้ คุ้นชินกับการขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าจากความบ้าบอของตัวเอง
ขนาดตอนผมตกบันไดพี่พจน์ยังไม่ขอโทษเลย แต่เขาช่วยดูแลจนผมหายดีด้วยความรู้สึกผิด ตอนหนีมาเปิดร้านชานม พี่พจน์ก็แค่โยนโทรศัพท์ให้แล้วไป ก็ไม่แปลกใช่มั้ยหากผมจะจ้องเขาตาแทบถลน
โชคดีที่พี่พจน์ไม่เห็น เพราะเขาก้มหน้ากุมขมับ คล้ายว่าการกล่าวคำนั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน
“พี่โอเคมั้ย” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมถามแบบนั้น คำถามที่ออกจะเหยียดหยามบุรุษผู้แสนจะเพอร์เฟ็คคนนี้ไปสักหน่อย พี่ชายคนนี้ของผมไม่เคยเผยท่าทีอ่อนแอทำอะไรไม่ถูกมาก่อน และเขาก็ตอบสนองดีเยี่ยมชนิดที่เงยหน้าสบสายตากับผมในทันที
“แกจะกลับบ้านได้รึยัง”
ด้วยมาดดุเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมงงมาก
“เดี๋ยวนะพี่พจน์” ผมยกมือเบรกอารมณ์ “พี่ขอโทษผมเรื่องอะไร แล้วมันเกี่ยวกับผมต้องกลับบ้านตรงไหน ”
พลันพี่พจน์เผยสีหน้า...โลกถล่ม...
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะนะ เขามองผมแบบไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็ยกมือปิดปาก เพื่อปกปิดความตกตะลึง ก่อนจะกุมขมับ ขยี้หัว แล้วหันมาจ้องผมเหมือนเดิมด้วยอารมณ์ดุขรึม
“อย่าประชดกันพิชญ์ พี่ก็ขอโทษแล้วไง กลับบ้านได้แล้ว พ่อกับแม่เป็นห่วง”
ทำไมทุกคนถึงชอบคิดว่าผมประชดนะ แค่ถามดีๆ เหอะ!
“ไม่ผมงงก็พี่งงแล้วล่ะ” ผมกุมขมับบ้าง “ถ้าผมเดาไม่ผิด พี่น่าจะรู้แล้วว่าผมไม่ได้หนีออกจากบ้านเพราะกฤต”
พี่ชายไม่ตอบ ถือว่าใช่
พี่พจน์ไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว ถึงจะชอบคิดว่าผมโง่เง่าก็เถอะ
“พี่เลยคิดว่าผมหนีออกจากบ้านเพราะ...พี่?” ผมเดาเหตุผลที่เข้าเค้าที่สุด “พี่โทรมาหาผมทุกเช้า ถามว่ากลับบ้านรึยังเพราะคิดว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบใช่มั้ย และที่พี่มาขอโทษผม เพราะคิดว่าผมโกรธพี่จนไม่ยอมกลับ เลยมาพูดให้จบเรื่องจบราว พ่อกับแม่จะได้สบายใจ”
เงียบอีกแล้ว แสดงว่าเดาได้ถูกต้องตรงเผง
“พี่พจน์...” วินาทีนั้น ผมมองหน้าพี่ชายเหมือนเห็นคนแปลกหน้า จริงอยู่ว่าพี่พจน์ชอบตีหน้าดุ เหมือนรำคาญกันตลอดเวลา แต่เขาก็เป็นพี่ชายที่ผมรักมากๆ เข้าขั้นเคารพนับถือด้วยซ้ำ
มีพี่ชายเก่งสุดยอด ใครบ้างจะไม่ปลื้ม!
“ดูปากผมนะ” ผมชี้ที่ปากตัวเอง “ผม-ไม่-เคย-โกรธ-พี่!”
พี่พจน์มองด้วยสายตาแบบอย่ามาโกหกไอ้น้องเวร
“ผมไม่เคยโกรธพี่จริงๆ อาจจะมีเคืองบ้าง น้อยใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้โกรธจนหนีออกจากบ้าน” ผมยืนยันเสียงหลง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจให้กับพี่ชายคนนี้ “ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ลองถามตัวเอง ขนาดพี่ที่ชอบทำหน้าดุ เหมือนโกรธผมตลอดเวลา ปากก็บอกว่ารำคาญ ในใจก็คิดไอ้น้องโง่ แต่พี่ไม่เคยโกรธผมจัดๆ สักครั้งไม่ใช่เหรอ”
พี่พจน์นิ่งไปหลายอึดใจ จนผมแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวว่าจะเดาผิด ความจริงแล้วพี่ชายผูกใจเจ็บอยากฆ่าน้องหมกส้วมมานาน และวันนี้ก็เป็นวันดี เพราะผมดันไปกระตุ้นต่อมโหดเขาเข้า
วินาทีนั้นผมเหงื่อแตกพลั่ก
จนกระทั่งพี่พจน์ถอนหายใจเฮือกเหมือนคิดได้นั่นแหละ ถึงจะพอหายใจเข้าเต็มปอด
“สรุปว่าแกไม่ได้หนีออกจากบ้านเพราะฉัน?” พี่พจน์กลับเป็นคนเดิมแล้ว คนที่ชอบทำหน้าดุมองเหยียดน้องชายเหมือนว่าไอ้เวรนี่เกิดมาเป็นน้องผู้ชายที่แสนจะสมบูรณ์แบบอย่างเขาได้ยังไง
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ ในใจลอบยิ้ม คิดว่าไม่ได้คุยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ “ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น”
“ก็เพราะ...” พลันพี่พจน์มองผมด้วยสายตาซับซ้อน สีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนปรากฏอีกครั้ง “...แกขอลาออก”
แบบนี้นี่เอง
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่พจน์ถึงเข้าใจผิด
เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้ครับ จำได้มั้ยว่าไอ้ภูมิบอกว่าผมเคยทำงานกับพี่พจน์ เงินดีแถมยังอยู่สบายอีกต่างหาก แล้วทำไมถึงหนีมาเปิดร้านชานม เรื่องของเรื่องก็คือ...หลังผมเรียนจบ พ่อกับแม่ก็ฝากฝังน้องชายเข้าบริษัทที่พี่ชายคุมอยู่ ตอนแรกว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งลอยๆ ให้ผมเป็นผู้ช่วยพี่ด้วยซ้ำ แต่ผมคัดค้าน ขอเริ่มต้นจากพนักงานทั่วไปเพราะไม่เคยทำความเข้าใจกับกิจการครอบครัวมาก่อน
ถึงจะทะเลาะกันบ่อย มีปากเสียงเป็นประจำ แต่ผมเคารพพี่พจน์มาก เวลาเขาทำงานน่ะเจ๋งสุดๆ ผมเลยพยายามอย่างยิ่งในการทำผลงานให้พี่พจน์ภูมิใจ แบบว่า...ขอมีค่าในสายตาพี่ชายบ้างน่ะครับ อีกอย่าง ผมเองก็บ้าบอมาหลายปี เรียนจบทั้งทีก็ควรทำตัวเป็นผู้เป็นคนบ้าง แหม เห็นแบบนี้ก็คิดได้นะเออ
แต่หลังฝึกงานได้สามเดือน กับแผนกการเงินที่ได้ชื่อว่าเครียดและงานละเอียดยิบที่สุดในบริษัท พี่พจน์ก็...ไล่ผมไปนั่งๆ นอนๆ อยู่แผนกบุคคล และสั่งให้ทุกคนห้ามใช้งานผมหนัก หรือง่ายๆ ก็คือ เขาไม่พอใจกับความขยันขันแข็งของผม คิดว่าน้องชายคนนี้โง่เง่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จนไม่กล้าให้รับผิดชอบงานใหญ่
ตอนนั้นผมยอมรับว่าโกรธ เลยเลียบๆ เคียงๆ ถามแผนกการเงินว่าทำบัญชีผิดหรือทำให้บริษัทเสียหายเหรอ พี่พจน์ถึงต้องลงโทษกันขนาดนี้ ผลคือ...ไม่เลย ผมทำงานยอดเยี่ยมมาก แถมยังช่วยจัดข้อมูลหลายส่วนให้เป็นระเบียบ เป็นหมวดหมู่ หาง่ายกว่าเดิมด้วย
พอรู้ผมก็ตั้งใจจะไปปะฉะดะกับพี่พจน์สักยก ผมเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว ไม่ผูกใจเจ็บ กะถามเหตุผลให้รู้ก็ยังดี
แต่พี่พจน์ไม่ยอมบอก
ผมเลยขอลาออก
ช่วงนั้นไอ้ภูมิหัวเสียน่าดู พยายามกล่อมผมให้กลับลุยใหม่ พอผมไม่ฟังก็แสร้งยิ้มว่าไม่เป็นไร แต่ดันคาบข่าวไปบอกกฤตซะงั้น
ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าผมกับกฤตกำลังทะเลาะกันอยู่ ไอ้ภูมิไม่วายก่อเรื่องเพิ่มให้ยิ่งผิดใจ หลังจากนั้นไม่นาน...กฤตก็นอกกายไปนอนกับชายอื่น
ค่ำวันนั้น ผมหนีออกจากบ้าน
ไทม์ไลน์ค่อนข้างไล่เลี่ยกัน ก็ไม่แปลกที่พี่พจน์จะเข้าใจผิด พอตัดกฤตออกก็เข้าใจว่าเป็นเพราะตัวเอง ยอมลดทิฐิมาขอโทษผม
“พี่พจน์จะบอกมั้ยล่ะว่าไล่ผมไปแผนกบุคคลทำไม”
“...”
ยังคงเป็นความเงียบอีกครั้ง แต่ผมรู้คำตอบแล้ว และเพราะรู้ ถึงขอลาออก ไม่มีประโยชน์เลยที่ผมจะนั่งๆ นอนๆ กินเงินเดือนในบริษัท
แม้พี่พจน์จะไม่รู้ว่าผมรู้ก็เถอะ
“ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยแล้วกันว่าผมสบายดี” หมดเรื่อง ผมก็ถอดเข็มขัดนิรภัย แล้วเปิดประตูลงจากรถ “และคงไม่กลับไปเร็วๆ นี้ พี่น่าจะมาดูบ้างนะว่าตอนนี้ร้านของผมมีลูกค้าเยอะกว่าวันแรกตั้งหลายเท่า”
“ฉันเห็น...”
ผมเลิกคิ้ว งงนิดหน่อยว่าเขาเห็นตอนไหน เพราะนับตั้งแต่เอาโทรศัพท์มาให้ พี่พจน์ก็ไม่เคยมาที่ร้านอีกเลย
“งั้นพี่ก็น่าจะเห็น...ว่าผมมีความสุขกับร้านชานมแค่ไหน”
“...”
“แวะมาอุดหนุนกันบ้างนะครับคุณพี่ชายที่แสนดี”
“ไปไกลๆ เลยไป!”
ผมหัวเราะ ทุกครั้งที่ผมเรียกเขาว่าพี่ชายแสนดี พี่พจน์ที่แทบไม่เคยจะเล่นกับน้องก็จะออกอาการหัวเสียทุกรอบ เข้าใจว่าผมประชด และก็จี้ใจดำอย่างจัง
แต่ถึงเราจะไม่ค่อยแสดงออกถึงสายสัมพันธ์พี่น้องเขาก็นับเป็นพี่ชายแสนดีของผมนะ
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเชื่อมั้ยนี่สิ
---------------
และแล้วก็จบเคสพี่พจน์ค่ะ
บางคนอาจจะยังงงๆ ว่าจบสามเคสแล้วสรุปพิชญ์หนีออกจากบ้านเพราะอะไรกันแน่ อย่างที่พิชญ์บอกเลยค่ะว่าไม่ใช่เพราะทั้งสามคน แต่เพราะอะไรนั้น...เริ่มมีแง้มๆ มาเยอะพอสมควร
เพิ่งจะสิบตอนเท่านั้นเอง เกือบๆ จะครึ่งเรื่องเองค่ะ
ตอนหน้าก็จะกลับมาหวานๆ กับคุณคนแรก ตอนนี้มาน้อยแต่มานะเหมือนเดิม ตอนหน้ารับรองลูกตาจ่อยคนนี้จะมาทำคะแนนค่ะ! เย้!
#ผมกับชานมไข่มุก
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja