ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง
เช้าวันนี้พี่ชายมาระรานกันอีกแล้ว
“เอาไป” มาถึงก็โยนโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมให้ ผมไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ เพียงเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วหันไปถามลูกค้าเจ้าประจำที่นับจากนี้จะเรียกว่าคุณคนแรก เพราะเขาเป็นลูกค้าคนแรกของผมอย่างสุภาพ
“วันนี้รับอะไรดีครับ”
“ชานมไข่มุก...” คุณคนแรกพูดพลางเหลือบมองพี่ชายผมที่แทบจะเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อโดนน้องชายเมิน ผมรู้เจตนาลูกค้าทันที เลยหันไปถามพี่ชายอย่างไม่ค่อยจะสุภาพสักเท่าไหร่ว่า
“วันนี้พี่จะซื้อชานมอีกรึเปล่า โปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งยังมีอยู่นะ”
“ไม่!” พี่ชายกระแทกเสียง ก่อนจะเดินหัวเสียจากไปด้วยมาดผู้บริหารในชุดสูทที่แม้จะโกรธแค่ไหนก็ยังหลังเหยียดตรงทรงภูมิ ผมหันมาทำหน้าจนใจใส่คุณคนแรกเชิงว่าพยายามแล้วนะ ผมเองก็อยากให้เขากินฟรี แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะพี่ชายไม่ให้ความร่วมมือ
เขาหลุดขำพรวดจนตัวกระตุก เส้นตื้นสุดๆ จนน่ากลัวว่าสักวันจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย
“ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”
“จะจ่ายเต็มหรือครึ่งราคาครับ” ผมถามกึ่งระแวง เรียกรอยยิ้มจากร่างนั้นให้ยิ่งกว้างขึ้นอีก แต่ถึงจะบอกว่ายิ้มกว้าง จริงๆ แล้วก็แค่กระตุกมุมปากขึ้นมาหน่อยนึงเท่านั้น
“จ่ายเต็ม”
สีหน้าผมสดใสขึ้นทันที แม้จะยอมให้เขาเป็นพิเศษ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมโดนเอาเปรียบไปตลอดกาล หลังชงชานมไข่มุกเสร็จผมก็รีบเจาะหลอดส่งให้ด้วยฉากหลังดอกไม้บาน
“สามสิบบาทครับ”
“อืม”
อืมแล้วไง อืมแล้วอะไร อืมแล้วทำไมถึงให้เหรียญสองบาทมา...
ผมมองหน้าเขาด้วยความอึ้ง ค้างในท่าแบมือรอรับเงินด้วยความหวังว่าต้องได้เพิ่มสิ มันไม่ควรมีแค่นี้สิ!
“นี่คืออะไรครับ”
“แปะโป้ง” คุณคนแรกดื่มชานมด้วยสีหน้าผ่อนคลายสบายใจเหมือนทำความดีเพื่อสังคม “วันนี้ไม่ได้พกเงินมา ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่นี้ แปะโป้งไว้ก่อนนะ”
ผมพูดอะไรไม่ออก
ชื่อเขาก็ไม่รู้ เป็นใครจากไหนก็ไม่ทราบ จู่ๆ มาขอแปะโป้งค่าชานมสองบาท แบบนี้ก็ได้เหรอ!
ฝ่ายนั้นก็คล้ายจะรอว่าผมจะตอบยังไง พอได้ชานมแล้วถึงไม่รีบเดินออกจากซอยเหมือนเคย เพียงยืนดูดหลอดมองหน้าผมอย่างสำรวจ ราวพร้อมจะหลุดหัวเราะออกมาทุกเมื่อ
แล้วจะให้เขาสมหวังได้ยังไง
“ได้ครับ” ผมรับเหรียญสองบาทมากำในมือ ไม่รู้ทำไม แต่ในใจไม่มีความคิดว่าเขาจะโกงสักนิดเดียว พรุ่งนี้จะต้องได้เจอกันอีก ไม่มีทางแปะโป้งด้วยเหรียญสองบาทแล้วชิ่งหายดื้อๆ แน่นอน
ก็อยากรู้นักว่าจะมาไม้ไหน
“ยอมด้วย?” คุณคนแรกกลายเป็นฝ่ายประหลาดใจซะเอง ก่อนจะยิ้มกริ่มด้วยสีหน้าที่ชวนให้ผมลนลานเหมือนโดนเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเมื่อเขาปรายตาไปยังเชือกผูกเหรียญสองบาทสองเหรียญข้างกำแพง ทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรส่อไปในแง่นั้น เพียงแค่ใช้สายตาจ้อง แต่กลับทำให้ผมคันปากอยากแก้ตัวเอามากๆ
“คือว่า...”
“พิชญ์!”
วันนี้ก็ไม่วายมีมารผจญคนใหม่
แถมเป็นคนที่ผมไม่อยากพบที่สุดด้วย
“หมอนี่ใคร!!”
มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ชี้นิ้วใส่คุณคนแรกที่ยืนดูดชานมอย่างสบายอุราเหมือนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้
ซึ่งก็ไม่เกี่ยวจริงๆ นั่นแหละ
“ไม่ตอบ แสดงว่าแฟนใหม่ มึงมายุ่งอะไรกับแฟนกูไอ้เชี่ย!!”
โอ๊ย พังไปหมดแล้วชีวิต ผมอยากจะร้องไห้เมื่อ ‘แฟนเก่า’ กระชากคอเสื้อคุณคนแรก ไม่ทันจะมุดเคาน์เตอร์ออกไปห้ามปราม ผมก็ต้องเป็นฝ่ายอ้าปากค้างเมื่อคุณคนแรกไม่หือไม่อือ ไม่โวยวายหรือคัดค้าน เพียง...คว่ำชานมไข่มุกในมือเต็มกลางกบาลของ ‘กฤต’
คุณยายร้านข้างกันได้ยินเสียงวิวาทเลยชะโงกหน้าออกมา ทันเห็นฉากนั้นพอดีจนอุทานร้องอุ๊ย
ส่วนผมร้องเชี่ย!
หลายคนเดินเข้ามาในซอยก็พากันมองร้านผมด้วยสายตาแปลกๆ เข้าไปใหญ่ อยู่เฉยไม่ได้แล้ว ผมรีบมุดออกจากเคาน์เตอร์ ไปยืนขวางระหว่างกฤตกับคุณคนแรก ในมือถือผ้าขี้ริ้วช่วยซับชานมอย่างบรรจง
“พิชญ์ห่วงเราเหรอ” กฤตที่โกรธจนตัวสั่นฟีบลงทันตาเมื่อผมปราดมาเช็ดน้ำเอ่ยเสียงอ่อนแกมง้อทันที ใช้มือเปียกๆ นั้นกุมมือผมไว้ แต่ก็โดนปัดทิ้ง แม้จะโกรธแต่เขาพยายามสงบใจ เผยยิ้มเจิดจ้าหลังปรับอารมณ์หึงหวง เพราะกฤตมีความผิดติดตัว และการจะขอให้ผมยอมอภัยย่อมไม่ใช่การพาลใส่คนอื่นแน่นอน
ต่อหน้าผม กฤตจะเป็นผู้ชายยิ้มเก่งพูดจาหวานน่ารักเสมอ
“เปล่า ห่วงชานม” ผมตอบเสียงเรียบขณะพยายามจะโกยไข่มุกบนหัวเขาให้ครบทุกเม็ด น้ำตารื้นขึ้นมาหน่อยๆ นึกเสียดายชานมที่ชงด้วยใจรัก เสียดายไข่มุกที่ต้มด้วยความเอาใจใส่ พลันเสียงหัวเราะหลุดพรืดอีกครั้ง จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่คุณคนแรก
“ขอโทษด้วยนะครับ” ผมรีบหันไปขอโทษขอโพยลูกค้า “ผมจะชงแก้วใหม่ให้ เงินที่ค้างไว้ก็ไม่คิด ยกให้ฟรีแทนคำขอโทษครับ”
“อืม” คุณคนแรกตอบรับอย่างว่าง่าย ถ้ากฤตใจเย็นได้แบบนี้สักครึ่งหนึ่งคงดี แค่คิดผมก็เผลอมือหนัก จากเช็ดหัวเขาเป็นจิกหัวเขาผ่านผ้าขี้ริ้วจนได้ยินเสียงร้องโอดโอย
“พิชญ์! หัวเราจะหลุดแล้วพิชญ์!”
“ผมเปล่าทำร้ายเขานะ” ผมหันไปแก้ตัวกับคุณคนแรกว่าไม่ได้ประทุษร้ายแฟนเก่าด้วยอารมณ์ส่วนตัวเลยจริงๆ ผมไม่ใช่คนชอบใช้ความรุนแรงแม้แต่นิดเดียว อย่าได้หวาดกลัว อย่าได้เดินหนีเชียว
โชคดีที่คุณคนแรกเข้าใจว่าเมื่อครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุ จึงยอมถอยหลังให้ผมมุดเคาน์เตอร์กลับไปชงชานมแก้วใหม่ ส่วนกฤตที่โดนทึ้งหัวจนเส้นผมติดมือมาด้วยก็หงุดหงิดนิดหน่อย แอบส่งสายตาคาดโทษให้คุณคนแรก ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ผมอย่างเอาใจ
กฤตหนอกฤต ผ่านไปสองเดือน ยังนิสัยเสียแบบไม่รู้ความผิดตัวเองเหมือนเดิม
คนที่เข้าใจผิดก่อนก็เขา คนที่กระชากเสื้อหาเรื่องก่อนก็เขา ยังมีหน้าไปอาฆาตคนอื่นอีก ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนผมเอาหัวโขกเต้าหู้แล้วทำสมองหายที่ไหน ถึงหลวมตัวตกลงคบกับเขาได้ตั้งนานสองนาน
“ชานมแก้วใหม่ครับ ผมแถมไข่มุกให้พิเศษเลย” ผมกล่าวกับคุณคนแรกด้วยน้ำเสียงจริงใจเป็นพิเศษ วาดหวังให้อย่าได้โกรธเคืองกับการปรากฏตัวของแฟนเก่าที่โคตรจะไร้มารยาทคนนี้
“อืม” ซึ่งคุณคนแรกก็ตอบแบบขอไปทีคล้ายไม่คิดอะไรและทำราวกับว่ากฤตเป็นอากาศธาตุ “แก้วนี้ฟรีใช่มั้ย”
“ครับ”
“งั้นที่แปะโป้งไว้...”
“อ้อ ต้องให้คืนสินะครับ”
“ไม่ ไม่ต้องคืน” ผมชะงักในท่ายื่นเหรียญสองบาทให้คุณคนแรก เมื่อเขาใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือชานมกำรอบมือผมอย่างง่ายดาย ทั้งที่เป็นมือผู้ชายเหมือนกันแต่เขาทำเหมือนมือผมเล็กนิดเดียว
“พิชญ์ สรุปแล้วพิชญ์กับมันเป็นอะไรกันแน่!”
“กฤต!” ผมหันไปขึ้นเสียงใส่กฤตที่เสียมารยาทอีกครั้ง เขาหดคอนิดหน่อย ไม่วายจ้องคุณคนแรกแบบจับผิดอย่างปักใจเชื่อว่าผมกับเขาต้องมีซัมติงกันแน่ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้คุณคนแรกเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มเย็น ปล่อยมือผมแล้วเดินออกจากซอยไป
“พิชญ์จ๋า” ไร้คนนอก กฤตก็หันมาเรียกผมเสียงหวาน กุมมือผมทับสัมผัสของคุณคนแรก พยายามจะประสานนิ้วให้ได้ แต่โทษที ผมกำมือแน่น ไม่โอนอ่อนหรือใจอ่อนแม้แต่น้อย
เอาจริงๆ แล้วกฤตก็ไม่ใช่คนหัวร้อนหรอก เขาไม่ใช่ภูมิ ติดแต่ขี้หึงไปหน่อย และร้อนตัวแบบไม่หน่อยด้วย
เขากลัวผมมีคนใหม่ ในเมื่อสาเหตุที่เราทะเลาะกันก็เพราะว่าเขานั้น...
“รู้มั้ยว่าเราตามหาพิชญ์ตลอดสองเดือนเลย เป็นห่วงแทบบ้า เราไม่อยากให้พิชญ์เข้าใจผิด เรื่องในวันนั้นน่ะเป็นแค่...”
“กฤต” ผมพลิกมือ เปลี่ยนมาเป็นกำมือกฤตแทน พร้อมบีบเบาๆ...อืม ก็ไม่เบาเท่าไหร่ “ตามเจอได้ยังไง”
“เพราะหัวใจสั่งมา โอ๊ย!! เพราะไอ้ภูมิบอก มันบอกว่าพิชญ์ไม่ยอมกลับเพราะโกรธเรา ก็เลยให้เราเป็นคนมาตามแล้วเคลียร์เรื่องเข้าใจผิดให้มันจบๆ ไปสักที นี่ก็สองเดือนแล้วนับจากวันนั้น เรายังไม่มีโอกาสแก้ตัวกับพิชญ์เลย!”
ผมมองกฤตที่ชักดิ้นชักงอแล้วปล่อยมือ เกือบลืมบอกไปว่าสารพัดงานอดิเรกของผมรวมถึงการฝึกเทควันโด้ ไอคิโด้ และซูโม่ด้วย แม้จะเป็นแค่การเรียนแป๊บๆ แค่พื้นฐานไม่กี่เดือนแล้วเบื่อก็เถอะ
ภูมินะภูมิ จะเสือกทำไม! ผมคิดอย่างเซ็งจิต เพราะรู้ดีว่ากฤตไม่มีวันหาผมเจอเองแน่ๆ
“พิชญ์จ๋า” กฤตเรียกเสียงหวาน ยิ้มเจิดจ้าน่ามอง ทำให้ผมหันไปสำรวจว่าสองเดือนนี้เขามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างมั้ย ผลคือ...ไม่เลย แม้ใต้ตาจะดำ แต่ก็เป็นปกติของคนชอบเที่ยวกลางคืนอย่างเขาอยู่แล้ว กฤตเป็นผู้ชายหน้าหล่อที่เห็นแวบแรกใครเป็นต้องหัน เขาหล่อมากขนาดถูกทาบทามเป็นดารา แต่เนื่องจากเกลียดความลำบาก รักสบาย และความจำไม่ดี เขาจึงปฏิเสธแล้วเลือกเป็นนายแบบแทน กฤตสูงมาก เฉียดร้อยเก้าสิบได้ สูงยาว เข่าดี แต่งตัวเก่ง เขาจะออกจากบ้านไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ใส่สร้อยเท่ๆ หรือนาฬิกาเก๋ๆ เส้นผมสีน้ำตาลเสยเปิดใบหน้าที่เจ้าตัวแสนจะภูมิใจ แม้ยามนี้จะเปียกชื้นเจือกลิ่นชานมก็ตาม
“เรารักพิชญ์คนเดียวนะ พิชญ์หายโกรธ แล้วกลับไปด้วยกันเถอะนะ ภูมิก็รออยู่ พี่พจน์เองก็ร้อนใจ ทั้งคู่อยากให้พวกเราคืนดีแล้วกลับมาคบกันเหมือนเดิมนะ”
“โกหก” ผมแค่นยิ้ม พี่พจน์น่ะคัดค้านเรื่องผมคบกับกฤตยิ่งกว่าใคร ไม่มีวันพูดจาญาติดีกับแฟนเก่าของผมคนนี้เด็ดขาด เพราะเป็นเพศเดียวกันคือเหตุผลข้อแรก เพราะกฤตไม่เอาอ่าววันๆ เอาแต่เที่ยวคือเหตุผลข้อที่สอง และเพราะกฤตโคตรเจ้าชู้คือเหตุผลข้อที่สาม
เขาหล่อขนาดนี้ หน้าตาดีขนาดนี้ ไม่มีคนเข้าหาย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่สาเหตุที่ทำให้เราเลิกกันน่ะไม่ใช่ข้อนั้นหรอก
“เกะกะหน้าร้านจริงๆ พูดจบแล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว” ผมโบกมือไล่กฤตแบบไม่แม้แต่จะเจ็บปวดหรือตัดพ้อตามประสาคนที่เจอหน้าแฟนเก่าซึ่งเลิกราอย่างไม่ค่อยจะดีนัก
“พิชญ์จะให้เราทำอะไรเรายอมทุกอย่างเลย”
“ก็บอกให้ไสหัวไปไง” ผมเอ่ยอย่างเหนื่อยใจเกินจะกล่าวซ้ำเป็นรอบที่สาม
“พิชญ์จ๋า อย่างน้อยก็อย่าประชดกัน หนีมาเปิดร้านชานมแบบนี้สิ”
คล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดผึง
อ้อ เส้นอารมณ์ของผมเอง
“ฟังนะ” ผมเอ่ยเสียงเหี้ยม ขณะเอื้อมไปจับหูกฤตให้ตั้งใจฟังดีๆ แน่นอนว่าต้องเขย่งเท้าสุดตัว และต้องขอบคุณที่กฤตยอมย่อตัวแล้วเอียงเข้าหาด้วย “ฉันไม่ได้หนี ต่อให้หนีออกจากบ้านจริงก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะหนีหน้านาย และที่เปิดร้านชานมไข่มุกก็เพราะใจรัก!”
คำว่าใจรัก ผมเน้นย้ำเป็นพิเศษจนแทบจะขบกัดหูกฤตกลืนลงท้องอยู่รอมร่อหากเขายังไม่เข้าใจอีก
มีหูแต่ฟังไม่รู้เรื่องก็อย่ามีมันเลย! “โอ๊ย เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้ว” กฤตบิดตัวเป็นเกลียวตามแรงบิดของผมเพื่อรักษาหูตัวเองไว้
“เข้าใจว่าอะไร” ผมปล่อยมือจากกฤต
“เข้าใจว่าพิชญ์ยังไม่ยกโทษให้ งั้นเราจะมาง้อทุกวันเลย”
...ฉายากฤตสมองน้อย ไม่ได้มาเล่นๆ จริงๆ ครับท่านผู้ชม
“ขอกลับไปคิดแผนใหม่ก่อนนะ” กฤตถอยห่าง กลัวจะโดนผมฉุดกระชากทำร้ายร่างกายอีก แต่ก็ไม่วายทำมือเป็นรูปหัวใจพร้อมขยิบตาให้ “พิชญ์ครับ รักนะ”
รักนะบ้าบออะไรอีก! ผมแทบจะปาของใกล้มือเขวี้ยงใส่กบาลกฤต แต่ยั้งทันเพราะของสิ่งนั้นคือ...เหรียญสองบาท
เพียงเห็น ความเกรี้ยวกราดก็คล้ายจะหดหายอย่างอัศจรรย์ ผมเป็นพวกโกรธง่ายหายไวอยู่แล้ว มองร่างกฤตที่สวมแว่นดำ ใส่หมวก ปลอมตัวเดินออกจากซอยอย่างกับตัวเองเป็นดาราดังแล้วถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหันไปผูกเหรียญกับเชือกข้างกำแพงอย่างขะมักเขม้น
และแล้วเครื่องรางเสริมสร้างกำลังใจก็กลายเป็นเหรียญสองบาทเรียงยาวแนวดิ่งสามเหรียญ
ผมยืนจ้องสักพักก็หยิบไม้ถูพื้นมุดออกจากเคาน์เตอร์ไปเช็ดคราบชานมที่โดนกฤตย่ำจนเละเป็นสีดำๆ ด่างๆ เห็นแล้วใจปวดร้าวประหนึ่งความพยายามของตัวเองถูกเหยียบย่ำ ให้ตายสิ ทำไมภูมิ พี่พจน์ กับกฤตถึงไม่เข้าใจ ผมเปิดร้านชานมเพราะใจรัก ไม่ได้ทำเพื่อประชด ไม่ได้ทำเพื่อหนีหน้า ไม่ได้ทำเป็นงานอดิเรกแก้เบื่อฆ่าเวลาด้วย
คำว่ารักมันเข้าใจยากขนาดนั้นเลยรึไง!!
-------------------
และแล้วตัวละครก็ออกมาครบแล้วนะคะ แถมรู้ชื่อกันหมดแล้วด้วย
ภูมิ พี่พจน์ และกฤต
ใครกันนะที่ทำให้พิชญ์ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน หรือจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังกว่านี้?? ยังไงก็ตาม...พระเอกของเราที่มาเห็นในทุกฉากทุกตอน ด้วยหน้าปลาตายก็ยังไม่เฉลยชื่อ มาลุ้นกันนะคะว่าเหตุผลของพิชญ์จะเฉลยก่อน หรือชื่อพระเอกจะเฉลยก่อน!??
#ผมกับชานมไข่มุก
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja