ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก
แปดโมงตรงเคารพธงชาติ หน้าร้านผมมีผู้ชายสองคนยืนเหล่กันด้วยหางตา
คุณคนแรก กับไอ้ภูมิ
อืม...รายหลังไม่มาระรานจริงๆ ด้วย แต่ผันตัวเองเป็นลูกค้าประจำซะงั้นเลย
“ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”
แถมทั้งคู่ยังสั่งพร้อมกันซะด้วยสิ ผมมองความสามัคคีตรงหน้าแล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่ และนั่นก็เรียกสายตาให้ทั้งคู่เลิกจ้องหน้าหาเรื่องกัน แล้วมาจดจ่อกับเจ้าของร้านชานมไข่มุกสักที
แต่สายตาทะลุทะลวงนั้นไม่สามารถทำอะไรผมที่ใส่ใจเกินร้อยกับการชงเครื่องดื่มได้ เพื่อความยุติธรรม ผมเลยให้ชานมไข่มุกกับคุณคนแรกที่มาถึงก่อน พอไอ้ภูมิเห็นเขายืนนับเหรียญบาทก็แค่นหัวเราะดูถูก แต่คุณคนแรกไม่สนใจ บรรจงโกยเหรียญใส่มือผมที่แบรออย่างคุ้นชิน ไม่ลืมวางเหรียญสองบาทไว้บนสุดตามธรรมเนียม
ซึ่งครั้งนี้มีสองเหรียญ
“แก้ตัวเมื่อวาน” คุณคนแรกเอ่ย ผมพยักหน้า หยอดเหรียญใส่กระปุกใสด้วยในใจที่คล้ายถูกบางสิ่งเติมเต็ม ไอ้ภูมิมองไม่เข้าใจ จับประเด็นไม่ได้สักนิดว่าผมกับคุณคนแรกคุยอะไรกัน แล้วทำไมบรรยากาศถึงได้เหมือนรู้กันแค่สองคน
“ดูหลังบัตรรึยัง”
ซึ่งก็รู้กันแค่สองคนจริงๆ นั่นแหละ ผมซึ่งกำลังคนชานมสำหรับภูมิถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ดูแล้ว” ผมตอบแบบไม่เผยพิรุธ แต่คนจะจับผิดยังไงก็ต้องจับให้ได้ ภูมิขบฟัน ใช้ตัวสูงใหญ่บึกบึนนั้นเบียดคุณคนแรกมายืนกลางเคาน์เตอร์ “ภูมิ...”
“ก็...ก็เขาได้ชานมไปแล้วนี่ จะยืนขวางลูกค้าคนอื่นทำไมล่ะ” พอได้ยินผมเอ่ยเสียงเย็น ภูมิก็แก้ตัวเสียงหลง
“สามสิบบาท” ผมยื่นชานมให้เพื่อนขณะหันไปส่งสายตาขอโทษคุณคนแรกซึ่งเบี่ยงตัวเองมายืนข้างๆ ไม่ยอมถอยไปอยู่หลังไอ้ภูมิ
“หรือช่วงนี้พิชญ์จะชอบเหรียญ?”
“ไม่ต้องสันนิษฐานมาก จ่ายมาเร็วๆ” ผมเร่งภูมิที่พยายามจะหาจุดเชื่อมโยงให้ได้
ปรากฏภูมิจ่ายแบงก์ร้อยมา ผมเลยยิ้มมุมปาก แล้วบรรจงนับเหรียญบาททั้งหมดเจ็ดสิบเหรียญใส่ถุงให้
คิดว่าผมชอบเหรียญใช่มั้ย งั้นเอาไปให้หมด จะได้เลิกฟุ้งซ่าน!
ภูมิถึงกับยิ้มไม่ออก แล้วเขากล้าปฏิเสธมั้ย ก็ไม่
คุณคนแรกหลุดหัวเราะทันควัน
“หัวเราะอะไรวะ”
“ภูมิ!”
เจ้าของชื่อหงอยลงนิดหน่อย แต่ก็ไม่วายมองระหว่างผมกับคุณคนแรกคล้ายความสงสัยจุกอก
“อย่าบอกนะว่าที่ไม่ยอมกลับเพราะ...หมอนี่”
ผมหยิบสเปรย์พริกไทยขึ้นมาเขย่า
“ละ...แล้วเจอกันนะพิชญ์!” ภูมิถอยกรูดทันที ไม่ลืมรับบัตรสะสมแต้มที่มีแสตมป์สองดวงไปด้วย มองร่างที่รีบวิ่งหนีกึ่งลนลานจนมั่นใจว่าไม่ย้อนมาผมก็เก็บสเปรย์พริกไทย ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วใส่คุณคนแรกที่ยืนดูดชานมไข่มุกหน้าตาย
“เพื่อนที่ดีนะ”
เขาหมายถึงภูมิไม่ต้องสงสัย
แต่ประโยคนั้นประชดหรือพูดจริงนี่เดาไม่ถูก
“อืม ก็ดีแหละ” ผมตอบส่งๆ ในใจลอบขมขื่นเล็กน้อย แม้จะคบกับภูมิมาสิบปีแต่เรื่องของผมกับมันก็พูดยาก
“วันนี้อากาศดี”
“อืม ก็ดีมั้ง” ผมเงยมองฟ้า แดดร้อนเปรี้ยงจนแสบตา
“ชานมอร่อยดี”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด เรียกรอยยิ้มจางบนหน้าที่มักนิ่งเฉยของคุณคนแรก
จากนั้นเขาก็เงียบ
ผมทำเป็นนับเงินในลิ้นชักไปเรื่อย คุณคนแรกก็ดูดชานมกินไข่มุกไปเรื่อย จนหมดแก้ว เขาถึงยื่นแก้วเปล่ามาให้
“ฝากทิ้งหน่อย”
“ได้” ยอมรับว่าแอบอึ้งนิดๆ ไม่เคยเจอลูกค้าคนไหนยืนดูดจนหมดหน้าร้านแล้วฝากทิ้งมาก่อน
แต่พอเอื้อมมือไปรับ คุณคนแรกกลับชักแก้วกลับ
ผมกะพริบตาใส่ปริบๆ
“กำลังใจยังอยู่ดีมั้ย”
ก่อนจะหลุดยิ้ม...เมื่อรู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาไม่ยอมไปไหนสักที
ในที่สุดก็ถาม!
“อยู่ดี” ผมจับกระปุกใสขึ้นมาเขย่าให้เขาดูเหรียญสองบาทที่อยู่ครบ ก่อนจะวางไว้ด้านในเคาน์เตอร์เหมือนเดิม “จะฝากทิ้งอยู่รึเปล่า”
“ฝาก” คุณคนแรกยื่นแก้วให้ สีหน้าดูโล่งอกโล่งใจขึ้น
“ปิดร้านกี่โมง”
“หนึ่งทุ่ม” ผมตอบพลางหันหลังไปทิ้งแก้วเปล่าใส่ถังขยะ ไม่ลืมแยกระหว่างแก้วพลาสติกสำหรับรีไซเคิลกับพวกเศษน้ำแข็ง
“ไปกินข้าวเย็นด้วยกันดีมั้ย”
ผมหันขวับคอแทบหัก ก่อนจะอ้าปากค้าง มองเขาแบบเหลือเชื่อ
คุณคนแรกทำหน้าตายใส่ซะงั้น
“เอ่อ...ดีก็ได้”
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ คุณคนแรกก็เดินกลับออกไป
ทิ้งผมให้ยืนอึ้งเป็นบ้าใบ้อยู่อย่างนั้น
หนึ่งทุ่มตรง ผมปิดร้านไปพลางกระสับกระส่ายในใจไปพลางอย่างบอกไม่ถูก
เผลอชะโงกหน้ามองทางปากซอยบ่อยๆ ทั้งโล่งใจแกมหวิวในอกเมื่อไม่เห็นร่างคุ้นตา
จนเมื่อดึงประตูเหล็กม้วนลงแล้วล็อกแม่กุญแจ คุณคนแรกก็วิ่งเหยาะๆ มาหาพอดี
“ขอโทษที่มาช้า”
ผมมองนาฬิกาข้อมือ หนึ่งทุ่มสิบห้านาที ไม่ถือว่านานมากสำหรับการรอ แต่ถือว่านานมากสำหรับการปิดร้าน
“ไม่เป็นไร” ผมตอบ ก่อนจะเดินออกจากซอยไปพร้อมกับคุณคนแรก เป็นความรู้สึกที่...ประดักประเดิดแกมคันยุบยิบในใจ เป็นความเงียบที่น่าเขินอาย ต่างคนต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“ไอ้จ่อย!”
พลันคุณคนแรกก็สะดุ้งโหยง สะดุ้งแบบสุดตัวชนิดที่ผมไม่เคยเห็นใครสะดุ้งเฮือกแรงขนาดนี้
คนที่เอ่ยทักคือผู้ชายวัยไล่เลี่ยกัน น่าจะเป็นเพื่อนกับคุณคนแรก เพราะมาถึงก็ตบบ่าเขาดังป้าบ แล้วเหล่มองผมด้วยสายตาล้อเลียน
“ถึงว่ารีบหายไปไหน ที่แท้ก็รีบไปรับ...”
“ถ้าไม่อยากโดนไล่ออกก็ไสหัวไป” เสียงของคุณคนแรกค่อนข้างทุ้ม พอเขาเอ่ยเสียงต่ำ เลยฟังน่ากลัวเหมือนโดนขู่คำรามในลำคอ ได้ยินปุ๊บเพื่อนของเขาก็ยกมืออย่างยอมแพ้แทบจะเดินถอยหลัง คุณคนแรกไม่สนใจ โอบไหล่ผมให้เดินออกไปอีกทาง
...โอบไหล่!?
นี่มันฉวยโอกาสใช่มั้ยนะ หรือก็ไม่อยากโดนเพื่อนล้อจนอยากพาผมหลบให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน แต่ผมก็เดินตัวแข็งทื่อตามแรงโอบเขาแต่โดยดี ใช่ว่าจะชอบโดนล้อจากคนแปลกหน้าสักหน่อยนี่ แม้จะคนคนนั้นจะช่วยไขข้อสงสัยให้ผมสองข้อก็ตาม
ข้อแรก คุณคนแรกทำงานอะไร
จากประโยคที่บอกว่าไล่ออก แสดงว่าเขาเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่แค่คนเดินลอยชายไปวันๆ
ข้อสอง คุณคนแรกชื่อจ่อย
อืม...เป็นชื่อที่ไม่ค่อยจะเข้ากับหน้าเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ชอบ
“กินเผ็ดได้มั้ย”
“โปรดปรานเลยละ”
จากหน้าตึงๆ เพราะเจอเพื่อนล้อ คุณคนแรกก็เริ่มยิ้มออกเมื่อได้ยินผมตอบเต็มปากเต็มคำ เขาพาผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนประถม ส่งหมวกกันน็อกให้ ก่อนจะสวมของตัวเอง
“รัดให้แน่นๆ มันอันตราย”
คุณคนแรกขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นผมสวมหมวกกันน็อกแบบหลวมๆ ด้วยคิดว่าไม่สำคัญ เลยช่วยจับสายรัดใต้คางให้แน่นขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยใส่กันเสียงดุขนาดนี้ แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงอะไร ยืนตัวแข็งให้เขาช่วยสวมหมวกถูกวิธี ก่อนจะซ้อนหลังแบบเก้ๆ กังๆ
“จับดีๆ”
“จับตรงไหน” ผมถามแบบมือไม้ไปไม่เป็น
“ตรงไหนก็ได้” คุณคนแรกหัวเราะพรืด คลายความขึงขังลง “จับที่ยึดด้านหลังก็ได้”
ผมหันซ้ายหันขวา พอเห็นที่จับด้านหลังรถมอเตอร์ไซค์ก็เลยเอื้อมมือจับหมับแน่น และยิ่งตัวเกร็งเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว ถึงผมจะเคยขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้า แต่ผมไม่เคยขึ้นมอเตอร์ไซค์มาก่อน แม่บอกว่ามันอันตราย และผมก็คิดว่ามันอันตรายจริงๆ นั่นแหละเวลาเห็นวินมอเตอร์ไซค์ขับเลาะตามช่องว่างระหว่างรถเวลาติดไฟแดง ถึงจะชอบใช้ชีวิตสบายๆ แต่ผมก็รักชีวิตนะ
อืม...เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าผมน่าจะกลัวความเร็วนิดหน่อยน่ะ
ว่าแต่ได้การจับที่ยึดด้านหลังมันเสียสมดุลยังไงชอบกล เหมือนพาลจะหงายหลังชวนใจหวิวอย่างบอกไม่ถูก จะเปลี่ยนท่าตอนนี้ก็ทำไม่ได้ มีแต่ต้องทนเท่านั้น
ผมแทบไม่มองทางเลยเพราะมัวแต่ใจหล่นหายไปถึงตาตุ่ม รู้ตัวอีกครั้งรถมอเตอร์ไซค์ก็จอดอยู่หน้าร้านส้มตำริมถนนแล้ว คุณคนแรกถอดหมวกกันน็อกแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ผมมือสั่น รีบถอดหมวกส่งให้ สติสตังยังไม่ค่อยเข้าที่นัก
“ไม่เคยนั่งมอ’ไซค์เหรอ”
“อืม”
คุณคนแรกไม่ถามต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี หากเขาล้อแม้แต่นิดเดียวละก็ผมจะกลับห้องให้ดู
เขายืนเป็นเพื่อนผมให้รวบรวมสติอีกสักพัก ด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก เมื่อเห็นสีหน้าผมค่อยยังชั่วแล้วก็พาไปต่อคิวหน้าร้านส้มตำ
“สองคนครับ” คุณคนแรกพูดกับพนักงานที่ช่วยจัดคิว เพราะร้านนี้มีคนต่อแถวเยอะมาก ระหว่างรอ อาการเกร็งตัวสั่นของผมก็เริ่มจะหายแล้ว สวนทางกับท้องที่เริ่มร้องครวญคราง
“สองที่ได้แล้วคร้าบ”
ถึงคิวพอดี คุณคนแรกเดินนำ ไม่วายหันมากระซิบบอก
“มื้อนี้ขอเลี้ยงนะ”
เป็นคำพูดที่ป๋ามาก แม้ผมจะเลิกคิ้วสงสัยว่าถุงพลาสติกใส่เหรียญของเขาจะมีพอรึเปล่า แต่ในเมื่อเขาออกปากก็ไม่ควรขัดน้ำใจ ผมรับเมนูมาดูก่อนจะสั่งราวๆ ห้าอย่าง
ระหว่างนั่งรอ เราสองคนเหลือบมองกันไปมองกันมา อยากจะทำลายความเงียบแต่ก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร ข้อมูลของเขาในหัวผมมีน้อยมาก แต่เกรงว่าข้อมูลผมในหัวเขาน่าจะมีเยอะมากแบบกระจัดกระจาย ทั้งไอ้ภูมิก็ดี กฤตก็ดี หรือพี่พจน์ก็ดี
แต่คุณคนแรกเป็นพวกไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่น
วันแรกเขานิ่งยังไงก็ยังเป็นแบบนั้น ส่วนใหญ่จะเปิดปากถามเรื่องผมมากกว่า และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมยอมมากินข้าวด้วย
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ น้ำตก เมี่ยงปลาเผา ส้มตำ ต้มแซ่บกระดูกอ่อน และคอหมูย่างวางเต็มโต๊ะ ผมกับคุณคนแรกจับช้อนส้อมพร้อมกันแล้วเริ่มจ้วงทันทีด้วยความหิว ต่างคนต่างทาน ไม่มีมานั่งแกะก้างปลา หรือตักใส่จานให้ ซึ่งก็ดีแล้ว ถ้าเขาทำแบบนั้นคงพิลึกน่าดู
กินไปสักพักความเผ็ดก็เริ่มมาเยือน รสชาติร้านนี้อร่อยแซ่บไม่เลว ผมกินไปก็ซี๊ดปากไป น้ำหูน้ำตาแทบไหล
“หึ” คุณคนแรกหลุดขำ ส่งกระดาษทิชชูให้ “ไหนบอกชอบกินเผ็ด”
“ชอบ แต่ใช่ว่าจะไม่เผ็ด” ผมตอบพลางเอากระดาษทิชชูซับหน้าซับเหงื่อ
“ปากแดงหมดแล้ว”
“ก็มันเผ็ดนี่” ผมแลบลิ้นตากลม วิธีนี้ช่วยแก้เผ็ดได้ดีนะครับอยากจะบอก แต่คุณคนแรกคงไม่รู้ ถึงได้มองผมตาโต ก่อนจะหลุดหัวเราะตัวโยน
ตัวโยนจริงๆ นะ เขาหัวเราะจนต้องตบโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มกว้างจนเห็นฟัน
“กินต่อไหวมั้ย”
“ไหวสิ ขอพักตากลิ้นก่อนเฉยๆ เผ็ดจนน้ำตาคลอแล้ว” ผมชี้ดวงตาคลอน้ำใสให้เขาดู
“ชอบฝืนตัวเองนะเราน่ะ” คุณคนแรกเอ่ยกึ่งเอ็ด แต่ก็แฝงความเอ็นดูแกมขำขัน เขาพูดอย่างกับว่าอายุเยอะกว่าผมอย่างนั้นล่ะ แม้จะดู...แก่กว่านิด แต่ก็ไม่น่าจะมากเกินสามถึงสี่ปี
“ไม่ได้ฝืน” ผมแย้ง “แต่ชอบเลยอยากกิน”
เหมือนที่เวลาอยากจะทำอะไรก็ลุยเต็มที่
“เถียงเก่งซะด้วย”
“เปล่าสักหน่อย” ผมตอบ หน้าเริ่มหงอหงำ คุณคนแรกเลยรีบผลักจานคอหมูย่างให้อย่างเอาใจ เพราะทั้งโต๊ะมีจานนี้จานเดียวที่ไม่เผ็ดมาก
ผมไม่ขอบคุณเขาหรอกนะ แต่ก็จิ้มคอหมูย่างเข้าปาก กินไปก็แลบลิ้นตากลมเป็นพักๆ จนเริ่มหายเผ็ดก็กินส้มตำต่อ ไม่นานก็กลับมาซี๊ดปาด น้ำตาแทบเล็ดอีกรอบ
คุณคนแรกส่ายศีรษะ ยกมือเรียกเก็บเงินเพราะกินกันหมดพอดี
“ทั้งหมดสี่ร้อยเจ็ดสิบสองบาทค่ะ”
แล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่ผมรอคอย แม้ร้านนี้จะไม่แพงมาก แต่ถุงพลาสติกใส่เหรียญของเขามีไม่ถึงสี่ร้อยแน่ๆ คุณคนแรกคล้ายจะจับสังเกตถึงความตั้งใจมองของผมได้ จึงค่อยๆ หยิบแบงก์พันออกมาจาก...กระเป๋าเสื้อ!
“เหรียญใส่ในถุง แบงก์ใส่ในนี้” คุณคนแรกตบกระเป๋าเสื้อหลังพนักงานเก็บเงินไปแล้ว
“ไม่ได้ถาม” ผมตอบอ้อมแอ้ม คิดในใจว่าทำไมถึงไม่เคยควักแบงก์ให้กันบ้างละ
“ทับทิมกรอบมั้ย”
“เอา!” แม้จะรู้ทันว่าเขาเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมก็ตอบรับอย่างยินดียิ่งเพราะเผ็ดจนแสบท้อง ทับทิมกรอบเย็นๆ กรุบๆ ช่วยชีวิตไว้พอดี “อันนี้ฉันจ่ายนะ”
“ได้” คุณคนแรกไม่อิดออด ผมแปลกใจนิดหน่อย นึกว่าเขาอยากทำตัวป๋าในการ...เดต? เดตรึเปล่านะ หรือจะไม่ใช่ แค่ชวนกันมากินข้าวตามประสาคนรู้จักเฉยๆ
พวกเรานั่งกินทับทิมกรอบอยู่ริมฟุตบาท เพราะเป็นร้านของคุณป้าที่มีแค่เก้าอี้ตั้งเรียงเป็นแถว โต๊ะไม่มี ต้องใช้มือถือชามโซ้ยเอา
เป็นวิถีชีวิตที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับผม เชื่อสิถ้าพ่อแม่มาเห็นต้องร้องโวยวายหาว่าผมกินอะไรสะอาดรึเปล่าก็ไม่รู้
กิจกรรมการกินหมดแต่เพียงเท่านี้ คุณคนแรกพาผมเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ ส่งหมวกกันน็อกให้สวม และพอผมรับมาใส่ เขาก็ช่วยจับที่รัดใต้คางดึงให้แน่น
“ปกติกลับยังไง”
“ปั่นจักรยาน”
“...”
รักโลก ช่วยโลกลดมลพิษมันผิดตรงไหน
“เดี๋ยวไปส่ง”
มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอในเมื่อจักรยานอยู่ที่ร้านชานมน่ะ
ผมไม่พูด และไม่ทักเรื่องไอ้มือที่แอบลูกคางกันนั่นด้วย ก่อนจะซ้อนหลังคุณคนแรกแบบเกร็งๆ คราวนี้เข็ดแล้วครับ ลาก่อนที่จับด้านหลัง ขอห่อตัวเกาะเอวเขาดีกว่า
“อยู่ที่ไหน”
ผมพูดชื่อคอนโดแล้วอธิบายคร่าวๆ คุณคนแรกพยักหน้ารับ เขาคงรู้จัก เลยเริ่มขับออกไปด้วยความเร็วที่...ช้ากว่าเดิมจนเรียกได้ว่าเต่าคลาน
แทบจะเทียบเท่าเวลาผมปั่นจักรยานเลย
ทั้งที่ร้านส้มตำไม่ได้ห่างจากคอนโดผมมาก แต่คุณคนแรกใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการมาส่ง ผมถอดหมวกกันน็อกคืนเขา ซาบซึ้งในความเอาใจใส่ คุณคนแรกเองก็เปิดหน้ากากหมวกกันน็อก ไม่ได้ดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ แต่เงยมองที่พักผมอย่างประเมิน
เป็นคอนโดราคาแปดพันบาทต่อเดือน นับว่าราคาค่อนไปทางกลางถึงแพงสำหรับย่านนี้ แม้ผมจะง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับทรมานตัวเองพักในย่านแออัดหรอกนะ ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยดีด้วย ใช่ว่าใครจะเข้าก็เข้ามาง่ายๆ
เห็นเขาไม่พูดอะไร แถมเตรียมตัวจะไป ผมก็เลยรีบเอ่ยชื่อที่คิดวนในหัวตลอดตั้งแต่ได้ยิน
“ขอบคุณนะ...จ่อย”
คุณคนแรกนิ่งเหมือนโดนสาปเป็นหิน ก่อนจะหัวเราะ...ลั่น
ลั่นยิ่งกว่าตอนอยู่ในร้านส้มตำอีก เขาหัวเราะจนต้องถอดหมวกกันน็อกเพื่อเช็ดน้ำใสตรงหางตา
“นั่นชื่อพ่อ”
โอเค ผมรู้แล้วว่าเขาหัวเราะอะไร ต้องโทษประเทศไทยที่จนป่านนี้ยังมีคนล้อชื่อพ่อแม่แทนจะเรียกชื่อเพื่อน
หน้าแตกเพล้งขนาดนี้หมดแรงจะยืนคุยกับเขาต่อแล้ว แต่คุณคนแรกไม่ยอมปล่อยผมไปนอนง่ายๆ เพราะพอเห็นผมหันหลังเตรียมชิ่ง เขาก็ขี่รถชิงหายไปก่อน ก่อนไปไม่วายเอ่ยทิ้งท้ายเสียงเรียบเฉยที่ไม่ยักจะเฉยในความรู้สึกคนฟังสักนิด
“ฝันดีนะ...พิชญ์”
-------------
ฮั่นแน่ รู้นะ กดมาอ่านตอนนี้เพราะคิดว่าจะรู้ชื่อพระเอกแล้วใช่ม้าา
ยังค่ะยัง คุณคนแรกเล่นตัวมาก อยากให้พิชญ์เป็นคนถาม แต่พิชญ์ก็เล่นตัวเหมือนกัน ไม่ยอมถามสักที 5555
สองคนนี้ก็จะยึกยักพอประมาณ หยอดๆ จีบๆ ไปอย่างนี้ค่ะ สุดท้ายคุณคนแรกจะได้พูดก่อน หรือพิชญ์ทนไม่ไหวถามก่อน ต้องมารอติดตามกัน! แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นพวกเขาก็ไปเดตกันแล้วเจ้าค่าเอ๊ยยยย เดตทั้งที่เรียกชื่อคู่เดตด้วยชื่อพ่อเขา 55555
#ผมกับชานมไข่มุก
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja