- โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12  (อ่าน 47418 ครั้ง)

ออฟไลน์ maxtorpis

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1442
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-4

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คุณคนแรกงอนหรอคะ 555555 แต่ทิ้งเบอร์ไว้ให้แบบนี้ก็ร่ายไม่เบาเลยนะ

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
สงสัยในความสัมพันธ์เหลือเกินนนน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
มีความเขียนเบอร์ไว้หลังบัตร
กลัวบัตรหายหรือตั้งใจจะให้เบอร์คนขายแบบเนียนๆจ๊ะ :hao7:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ภูมิน่าจะรักพิชสินะ

ชอบน้องพิชที่มุ่งมั่นตั้งใจในการทำร้านชานมนี้มากๆ สู้ๆ จ้า อย่างน้อยก็มีลูกค้าเจ้าประจำแล้ว 1 คน

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
มีเบอร์แล้ว ต่อไปก็ต้องรู้ชื่อกันแล้วนะครับเนี่ย ^^

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'

ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก



   แปดโมงตรงเคารพธงชาติ หน้าร้านผมมีผู้ชายสองคนยืนเหล่กันด้วยหางตา

   คุณคนแรก กับไอ้ภูมิ

   อืม...รายหลังไม่มาระรานจริงๆ ด้วย แต่ผันตัวเองเป็นลูกค้าประจำซะงั้นเลย

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   แถมทั้งคู่ยังสั่งพร้อมกันซะด้วยสิ ผมมองความสามัคคีตรงหน้าแล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่ และนั่นก็เรียกสายตาให้ทั้งคู่เลิกจ้องหน้าหาเรื่องกัน แล้วมาจดจ่อกับเจ้าของร้านชานมไข่มุกสักที

   แต่สายตาทะลุทะลวงนั้นไม่สามารถทำอะไรผมที่ใส่ใจเกินร้อยกับการชงเครื่องดื่มได้ เพื่อความยุติธรรม ผมเลยให้ชานมไข่มุกกับคุณคนแรกที่มาถึงก่อน พอไอ้ภูมิเห็นเขายืนนับเหรียญบาทก็แค่นหัวเราะดูถูก แต่คุณคนแรกไม่สนใจ บรรจงโกยเหรียญใส่มือผมที่แบรออย่างคุ้นชิน ไม่ลืมวางเหรียญสองบาทไว้บนสุดตามธรรมเนียม

   ซึ่งครั้งนี้มีสองเหรียญ

   “แก้ตัวเมื่อวาน” คุณคนแรกเอ่ย ผมพยักหน้า หยอดเหรียญใส่กระปุกใสด้วยในใจที่คล้ายถูกบางสิ่งเติมเต็ม ไอ้ภูมิมองไม่เข้าใจ จับประเด็นไม่ได้สักนิดว่าผมกับคุณคนแรกคุยอะไรกัน แล้วทำไมบรรยากาศถึงได้เหมือนรู้กันแค่สองคน

   “ดูหลังบัตรรึยัง”

   ซึ่งก็รู้กันแค่สองคนจริงๆ นั่นแหละ ผมซึ่งกำลังคนชานมสำหรับภูมิถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “ดูแล้ว” ผมตอบแบบไม่เผยพิรุธ แต่คนจะจับผิดยังไงก็ต้องจับให้ได้ ภูมิขบฟัน ใช้ตัวสูงใหญ่บึกบึนนั้นเบียดคุณคนแรกมายืนกลางเคาน์เตอร์ “ภูมิ...”

   “ก็...ก็เขาได้ชานมไปแล้วนี่ จะยืนขวางลูกค้าคนอื่นทำไมล่ะ” พอได้ยินผมเอ่ยเสียงเย็น ภูมิก็แก้ตัวเสียงหลง

   “สามสิบบาท” ผมยื่นชานมให้เพื่อนขณะหันไปส่งสายตาขอโทษคุณคนแรกซึ่งเบี่ยงตัวเองมายืนข้างๆ ไม่ยอมถอยไปอยู่หลังไอ้ภูมิ

   “หรือช่วงนี้พิชญ์จะชอบเหรียญ?”

   “ไม่ต้องสันนิษฐานมาก จ่ายมาเร็วๆ” ผมเร่งภูมิที่พยายามจะหาจุดเชื่อมโยงให้ได้

   ปรากฏภูมิจ่ายแบงก์ร้อยมา ผมเลยยิ้มมุมปาก แล้วบรรจงนับเหรียญบาททั้งหมดเจ็ดสิบเหรียญใส่ถุงให้

   คิดว่าผมชอบเหรียญใช่มั้ย งั้นเอาไปให้หมด จะได้เลิกฟุ้งซ่าน!

   ภูมิถึงกับยิ้มไม่ออก แล้วเขากล้าปฏิเสธมั้ย ก็ไม่

   คุณคนแรกหลุดหัวเราะทันควัน

   “หัวเราะอะไรวะ”

   “ภูมิ!”

   เจ้าของชื่อหงอยลงนิดหน่อย แต่ก็ไม่วายมองระหว่างผมกับคุณคนแรกคล้ายความสงสัยจุกอก

   “อย่าบอกนะว่าที่ไม่ยอมกลับเพราะ...หมอนี่”

   ผมหยิบสเปรย์พริกไทยขึ้นมาเขย่า

   “ละ...แล้วเจอกันนะพิชญ์!” ภูมิถอยกรูดทันที ไม่ลืมรับบัตรสะสมแต้มที่มีแสตมป์สองดวงไปด้วย มองร่างที่รีบวิ่งหนีกึ่งลนลานจนมั่นใจว่าไม่ย้อนมาผมก็เก็บสเปรย์พริกไทย ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วใส่คุณคนแรกที่ยืนดูดชานมไข่มุกหน้าตาย

   “เพื่อนที่ดีนะ”

   เขาหมายถึงภูมิไม่ต้องสงสัย

   แต่ประโยคนั้นประชดหรือพูดจริงนี่เดาไม่ถูก

   “อืม ก็ดีแหละ” ผมตอบส่งๆ ในใจลอบขมขื่นเล็กน้อย แม้จะคบกับภูมิมาสิบปีแต่เรื่องของผมกับมันก็พูดยาก

   “วันนี้อากาศดี”

   “อืม ก็ดีมั้ง” ผมเงยมองฟ้า แดดร้อนเปรี้ยงจนแสบตา

   “ชานมอร่อยดี”

   “แน่นอนอยู่แล้ว” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด เรียกรอยยิ้มจางบนหน้าที่มักนิ่งเฉยของคุณคนแรก

   จากนั้นเขาก็เงียบ

   ผมทำเป็นนับเงินในลิ้นชักไปเรื่อย คุณคนแรกก็ดูดชานมกินไข่มุกไปเรื่อย จนหมดแก้ว เขาถึงยื่นแก้วเปล่ามาให้

   “ฝากทิ้งหน่อย”

   “ได้” ยอมรับว่าแอบอึ้งนิดๆ ไม่เคยเจอลูกค้าคนไหนยืนดูดจนหมดหน้าร้านแล้วฝากทิ้งมาก่อน

   แต่พอเอื้อมมือไปรับ คุณคนแรกกลับชักแก้วกลับ

   ผมกะพริบตาใส่ปริบๆ

   “กำลังใจยังอยู่ดีมั้ย”

   ก่อนจะหลุดยิ้ม...เมื่อรู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาไม่ยอมไปไหนสักที

   ในที่สุดก็ถาม!

   “อยู่ดี” ผมจับกระปุกใสขึ้นมาเขย่าให้เขาดูเหรียญสองบาทที่อยู่ครบ ก่อนจะวางไว้ด้านในเคาน์เตอร์เหมือนเดิม “จะฝากทิ้งอยู่รึเปล่า”

   “ฝาก” คุณคนแรกยื่นแก้วให้ สีหน้าดูโล่งอกโล่งใจขึ้น

   “ปิดร้านกี่โมง”

   “หนึ่งทุ่ม” ผมตอบพลางหันหลังไปทิ้งแก้วเปล่าใส่ถังขยะ ไม่ลืมแยกระหว่างแก้วพลาสติกสำหรับรีไซเคิลกับพวกเศษน้ำแข็ง

   “ไปกินข้าวเย็นด้วยกันดีมั้ย”

   ผมหันขวับคอแทบหัก ก่อนจะอ้าปากค้าง มองเขาแบบเหลือเชื่อ

   คุณคนแรกทำหน้าตายใส่ซะงั้น

   “เอ่อ...ดีก็ได้”

   เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ คุณคนแรกก็เดินกลับออกไป

   ทิ้งผมให้ยืนอึ้งเป็นบ้าใบ้อยู่อย่างนั้น

   



   หนึ่งทุ่มตรง ผมปิดร้านไปพลางกระสับกระส่ายในใจไปพลางอย่างบอกไม่ถูก

   เผลอชะโงกหน้ามองทางปากซอยบ่อยๆ ทั้งโล่งใจแกมหวิวในอกเมื่อไม่เห็นร่างคุ้นตา

   จนเมื่อดึงประตูเหล็กม้วนลงแล้วล็อกแม่กุญแจ คุณคนแรกก็วิ่งเหยาะๆ มาหาพอดี

   “ขอโทษที่มาช้า”

   ผมมองนาฬิกาข้อมือ หนึ่งทุ่มสิบห้านาที ไม่ถือว่านานมากสำหรับการรอ แต่ถือว่านานมากสำหรับการปิดร้าน

   “ไม่เป็นไร” ผมตอบ ก่อนจะเดินออกจากซอยไปพร้อมกับคุณคนแรก เป็นความรู้สึกที่...ประดักประเดิดแกมคันยุบยิบในใจ เป็นความเงียบที่น่าเขินอาย ต่างคนต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

   “ไอ้จ่อย!”

   พลันคุณคนแรกก็สะดุ้งโหยง สะดุ้งแบบสุดตัวชนิดที่ผมไม่เคยเห็นใครสะดุ้งเฮือกแรงขนาดนี้

   คนที่เอ่ยทักคือผู้ชายวัยไล่เลี่ยกัน น่าจะเป็นเพื่อนกับคุณคนแรก เพราะมาถึงก็ตบบ่าเขาดังป้าบ แล้วเหล่มองผมด้วยสายตาล้อเลียน

   “ถึงว่ารีบหายไปไหน ที่แท้ก็รีบไปรับ...”

   “ถ้าไม่อยากโดนไล่ออกก็ไสหัวไป” เสียงของคุณคนแรกค่อนข้างทุ้ม พอเขาเอ่ยเสียงต่ำ เลยฟังน่ากลัวเหมือนโดนขู่คำรามในลำคอ ได้ยินปุ๊บเพื่อนของเขาก็ยกมืออย่างยอมแพ้แทบจะเดินถอยหลัง คุณคนแรกไม่สนใจ โอบไหล่ผมให้เดินออกไปอีกทาง

   ...โอบไหล่!?

   นี่มันฉวยโอกาสใช่มั้ยนะ หรือก็ไม่อยากโดนเพื่อนล้อจนอยากพาผมหลบให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน แต่ผมก็เดินตัวแข็งทื่อตามแรงโอบเขาแต่โดยดี ใช่ว่าจะชอบโดนล้อจากคนแปลกหน้าสักหน่อยนี่ แม้จะคนคนนั้นจะช่วยไขข้อสงสัยให้ผมสองข้อก็ตาม

   ข้อแรก คุณคนแรกทำงานอะไร

   จากประโยคที่บอกว่าไล่ออก แสดงว่าเขาเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่แค่คนเดินลอยชายไปวันๆ

   ข้อสอง คุณคนแรกชื่อจ่อย

   อืม...เป็นชื่อที่ไม่ค่อยจะเข้ากับหน้าเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ชอบ

   “กินเผ็ดได้มั้ย”

   “โปรดปรานเลยละ”

   จากหน้าตึงๆ เพราะเจอเพื่อนล้อ คุณคนแรกก็เริ่มยิ้มออกเมื่อได้ยินผมตอบเต็มปากเต็มคำ เขาพาผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนประถม ส่งหมวกกันน็อกให้ ก่อนจะสวมของตัวเอง

   “รัดให้แน่นๆ มันอันตราย”

   คุณคนแรกขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นผมสวมหมวกกันน็อกแบบหลวมๆ ด้วยคิดว่าไม่สำคัญ เลยช่วยจับสายรัดใต้คางให้แน่นขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยใส่กันเสียงดุขนาดนี้ แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงอะไร ยืนตัวแข็งให้เขาช่วยสวมหมวกถูกวิธี ก่อนจะซ้อนหลังแบบเก้ๆ กังๆ

   “จับดีๆ”

   “จับตรงไหน” ผมถามแบบมือไม้ไปไม่เป็น

   “ตรงไหนก็ได้” คุณคนแรกหัวเราะพรืด คลายความขึงขังลง “จับที่ยึดด้านหลังก็ได้”

   ผมหันซ้ายหันขวา พอเห็นที่จับด้านหลังรถมอเตอร์ไซค์ก็เลยเอื้อมมือจับหมับแน่น และยิ่งตัวเกร็งเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว ถึงผมจะเคยขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้า แต่ผมไม่เคยขึ้นมอเตอร์ไซค์มาก่อน แม่บอกว่ามันอันตราย และผมก็คิดว่ามันอันตรายจริงๆ นั่นแหละเวลาเห็นวินมอเตอร์ไซค์ขับเลาะตามช่องว่างระหว่างรถเวลาติดไฟแดง ถึงจะชอบใช้ชีวิตสบายๆ แต่ผมก็รักชีวิตนะ

   อืม...เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าผมน่าจะกลัวความเร็วนิดหน่อยน่ะ

   ว่าแต่ได้การจับที่ยึดด้านหลังมันเสียสมดุลยังไงชอบกล เหมือนพาลจะหงายหลังชวนใจหวิวอย่างบอกไม่ถูก จะเปลี่ยนท่าตอนนี้ก็ทำไม่ได้ มีแต่ต้องทนเท่านั้น

   ผมแทบไม่มองทางเลยเพราะมัวแต่ใจหล่นหายไปถึงตาตุ่ม รู้ตัวอีกครั้งรถมอเตอร์ไซค์ก็จอดอยู่หน้าร้านส้มตำริมถนนแล้ว คุณคนแรกถอดหมวกกันน็อกแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ผมมือสั่น รีบถอดหมวกส่งให้ สติสตังยังไม่ค่อยเข้าที่นัก

   “ไม่เคยนั่งมอ’ไซค์เหรอ”

   “อืม”

   คุณคนแรกไม่ถามต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี หากเขาล้อแม้แต่นิดเดียวละก็ผมจะกลับห้องให้ดู

   เขายืนเป็นเพื่อนผมให้รวบรวมสติอีกสักพัก ด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก เมื่อเห็นสีหน้าผมค่อยยังชั่วแล้วก็พาไปต่อคิวหน้าร้านส้มตำ

   “สองคนครับ” คุณคนแรกพูดกับพนักงานที่ช่วยจัดคิว เพราะร้านนี้มีคนต่อแถวเยอะมาก ระหว่างรอ อาการเกร็งตัวสั่นของผมก็เริ่มจะหายแล้ว สวนทางกับท้องที่เริ่มร้องครวญคราง

   “สองที่ได้แล้วคร้าบ”

   ถึงคิวพอดี คุณคนแรกเดินนำ ไม่วายหันมากระซิบบอก

   “มื้อนี้ขอเลี้ยงนะ”

   เป็นคำพูดที่ป๋ามาก แม้ผมจะเลิกคิ้วสงสัยว่าถุงพลาสติกใส่เหรียญของเขาจะมีพอรึเปล่า แต่ในเมื่อเขาออกปากก็ไม่ควรขัดน้ำใจ ผมรับเมนูมาดูก่อนจะสั่งราวๆ ห้าอย่าง

   ระหว่างนั่งรอ เราสองคนเหลือบมองกันไปมองกันมา อยากจะทำลายความเงียบแต่ก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร ข้อมูลของเขาในหัวผมมีน้อยมาก แต่เกรงว่าข้อมูลผมในหัวเขาน่าจะมีเยอะมากแบบกระจัดกระจาย ทั้งไอ้ภูมิก็ดี กฤตก็ดี หรือพี่พจน์ก็ดี

   แต่คุณคนแรกเป็นพวกไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่น

   วันแรกเขานิ่งยังไงก็ยังเป็นแบบนั้น ส่วนใหญ่จะเปิดปากถามเรื่องผมมากกว่า และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมยอมมากินข้าวด้วย

   ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ น้ำตก เมี่ยงปลาเผา ส้มตำ ต้มแซ่บกระดูกอ่อน และคอหมูย่างวางเต็มโต๊ะ ผมกับคุณคนแรกจับช้อนส้อมพร้อมกันแล้วเริ่มจ้วงทันทีด้วยความหิว ต่างคนต่างทาน ไม่มีมานั่งแกะก้างปลา หรือตักใส่จานให้ ซึ่งก็ดีแล้ว ถ้าเขาทำแบบนั้นคงพิลึกน่าดู

   กินไปสักพักความเผ็ดก็เริ่มมาเยือน รสชาติร้านนี้อร่อยแซ่บไม่เลว ผมกินไปก็ซี๊ดปากไป น้ำหูน้ำตาแทบไหล

   “หึ” คุณคนแรกหลุดขำ ส่งกระดาษทิชชูให้ “ไหนบอกชอบกินเผ็ด”

   “ชอบ แต่ใช่ว่าจะไม่เผ็ด” ผมตอบพลางเอากระดาษทิชชูซับหน้าซับเหงื่อ

   “ปากแดงหมดแล้ว”

   “ก็มันเผ็ดนี่” ผมแลบลิ้นตากลม วิธีนี้ช่วยแก้เผ็ดได้ดีนะครับอยากจะบอก แต่คุณคนแรกคงไม่รู้ ถึงได้มองผมตาโต ก่อนจะหลุดหัวเราะตัวโยน

   ตัวโยนจริงๆ นะ เขาหัวเราะจนต้องตบโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มกว้างจนเห็นฟัน

   “กินต่อไหวมั้ย”

   “ไหวสิ ขอพักตากลิ้นก่อนเฉยๆ เผ็ดจนน้ำตาคลอแล้ว” ผมชี้ดวงตาคลอน้ำใสให้เขาดู

   “ชอบฝืนตัวเองนะเราน่ะ” คุณคนแรกเอ่ยกึ่งเอ็ด แต่ก็แฝงความเอ็นดูแกมขำขัน เขาพูดอย่างกับว่าอายุเยอะกว่าผมอย่างนั้นล่ะ แม้จะดู...แก่กว่านิด แต่ก็ไม่น่าจะมากเกินสามถึงสี่ปี

   “ไม่ได้ฝืน” ผมแย้ง “แต่ชอบเลยอยากกิน”

   เหมือนที่เวลาอยากจะทำอะไรก็ลุยเต็มที่

   “เถียงเก่งซะด้วย”

   “เปล่าสักหน่อย” ผมตอบ หน้าเริ่มหงอหงำ คุณคนแรกเลยรีบผลักจานคอหมูย่างให้อย่างเอาใจ เพราะทั้งโต๊ะมีจานนี้จานเดียวที่ไม่เผ็ดมาก

   ผมไม่ขอบคุณเขาหรอกนะ แต่ก็จิ้มคอหมูย่างเข้าปาก กินไปก็แลบลิ้นตากลมเป็นพักๆ จนเริ่มหายเผ็ดก็กินส้มตำต่อ ไม่นานก็กลับมาซี๊ดปาด น้ำตาแทบเล็ดอีกรอบ

   คุณคนแรกส่ายศีรษะ ยกมือเรียกเก็บเงินเพราะกินกันหมดพอดี

   “ทั้งหมดสี่ร้อยเจ็ดสิบสองบาทค่ะ”

   แล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่ผมรอคอย แม้ร้านนี้จะไม่แพงมาก แต่ถุงพลาสติกใส่เหรียญของเขามีไม่ถึงสี่ร้อยแน่ๆ คุณคนแรกคล้ายจะจับสังเกตถึงความตั้งใจมองของผมได้ จึงค่อยๆ หยิบแบงก์พันออกมาจาก...กระเป๋าเสื้อ!

   “เหรียญใส่ในถุง แบงก์ใส่ในนี้” คุณคนแรกตบกระเป๋าเสื้อหลังพนักงานเก็บเงินไปแล้ว

   “ไม่ได้ถาม” ผมตอบอ้อมแอ้ม คิดในใจว่าทำไมถึงไม่เคยควักแบงก์ให้กันบ้างละ

   “ทับทิมกรอบมั้ย”

   “เอา!” แม้จะรู้ทันว่าเขาเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมก็ตอบรับอย่างยินดียิ่งเพราะเผ็ดจนแสบท้อง ทับทิมกรอบเย็นๆ กรุบๆ ช่วยชีวิตไว้พอดี “อันนี้ฉันจ่ายนะ”

   “ได้” คุณคนแรกไม่อิดออด ผมแปลกใจนิดหน่อย นึกว่าเขาอยากทำตัวป๋าในการ...เดต? เดตรึเปล่านะ หรือจะไม่ใช่ แค่ชวนกันมากินข้าวตามประสาคนรู้จักเฉยๆ

   พวกเรานั่งกินทับทิมกรอบอยู่ริมฟุตบาท เพราะเป็นร้านของคุณป้าที่มีแค่เก้าอี้ตั้งเรียงเป็นแถว โต๊ะไม่มี ต้องใช้มือถือชามโซ้ยเอา

   เป็นวิถีชีวิตที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับผม เชื่อสิถ้าพ่อแม่มาเห็นต้องร้องโวยวายหาว่าผมกินอะไรสะอาดรึเปล่าก็ไม่รู้

   กิจกรรมการกินหมดแต่เพียงเท่านี้ คุณคนแรกพาผมเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ ส่งหมวกกันน็อกให้สวม และพอผมรับมาใส่ เขาก็ช่วยจับที่รัดใต้คางดึงให้แน่น

   “ปกติกลับยังไง”

   “ปั่นจักรยาน”

   “...”

   รักโลก ช่วยโลกลดมลพิษมันผิดตรงไหน

   “เดี๋ยวไปส่ง”

   มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอในเมื่อจักรยานอยู่ที่ร้านชานมน่ะ

   ผมไม่พูด และไม่ทักเรื่องไอ้มือที่แอบลูกคางกันนั่นด้วย ก่อนจะซ้อนหลังคุณคนแรกแบบเกร็งๆ คราวนี้เข็ดแล้วครับ ลาก่อนที่จับด้านหลัง ขอห่อตัวเกาะเอวเขาดีกว่า

   “อยู่ที่ไหน”

   ผมพูดชื่อคอนโดแล้วอธิบายคร่าวๆ คุณคนแรกพยักหน้ารับ เขาคงรู้จัก เลยเริ่มขับออกไปด้วยความเร็วที่...ช้ากว่าเดิมจนเรียกได้ว่าเต่าคลาน

   แทบจะเทียบเท่าเวลาผมปั่นจักรยานเลย

   ทั้งที่ร้านส้มตำไม่ได้ห่างจากคอนโดผมมาก แต่คุณคนแรกใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการมาส่ง ผมถอดหมวกกันน็อกคืนเขา ซาบซึ้งในความเอาใจใส่ คุณคนแรกเองก็เปิดหน้ากากหมวกกันน็อก ไม่ได้ดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ แต่เงยมองที่พักผมอย่างประเมิน

   เป็นคอนโดราคาแปดพันบาทต่อเดือน นับว่าราคาค่อนไปทางกลางถึงแพงสำหรับย่านนี้ แม้ผมจะง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับทรมานตัวเองพักในย่านแออัดหรอกนะ ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยดีด้วย ใช่ว่าใครจะเข้าก็เข้ามาง่ายๆ

   เห็นเขาไม่พูดอะไร แถมเตรียมตัวจะไป ผมก็เลยรีบเอ่ยชื่อที่คิดวนในหัวตลอดตั้งแต่ได้ยิน

   “ขอบคุณนะ...จ่อย”

   คุณคนแรกนิ่งเหมือนโดนสาปเป็นหิน ก่อนจะหัวเราะ...ลั่น

   ลั่นยิ่งกว่าตอนอยู่ในร้านส้มตำอีก เขาหัวเราะจนต้องถอดหมวกกันน็อกเพื่อเช็ดน้ำใสตรงหางตา

   “นั่นชื่อพ่อ”

   โอเค ผมรู้แล้วว่าเขาหัวเราะอะไร ต้องโทษประเทศไทยที่จนป่านนี้ยังมีคนล้อชื่อพ่อแม่แทนจะเรียกชื่อเพื่อน

   หน้าแตกเพล้งขนาดนี้หมดแรงจะยืนคุยกับเขาต่อแล้ว แต่คุณคนแรกไม่ยอมปล่อยผมไปนอนง่ายๆ เพราะพอเห็นผมหันหลังเตรียมชิ่ง เขาก็ขี่รถชิงหายไปก่อน  ก่อนไปไม่วายเอ่ยทิ้งท้ายเสียงเรียบเฉยที่ไม่ยักจะเฉยในความรู้สึกคนฟังสักนิด

   “ฝันดีนะ...พิชญ์”


   -------------

   ฮั่นแน่ รู้นะ กดมาอ่านตอนนี้เพราะคิดว่าจะรู้ชื่อพระเอกแล้วใช่ม้าา

   ยังค่ะยัง คุณคนแรกเล่นตัวมาก อยากให้พิชญ์เป็นคนถาม แต่พิชญ์ก็เล่นตัวเหมือนกัน ไม่ยอมถามสักที 5555

   สองคนนี้ก็จะยึกยักพอประมาณ หยอดๆ จีบๆ ไปอย่างนี้ค่ะ สุดท้ายคุณคนแรกจะได้พูดก่อน หรือพิชญ์ทนไม่ไหวถามก่อน ต้องมารอติดตามกัน! แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นพวกเขาก็ไปเดตกันแล้วเจ้าค่าเอ๊ยยยย เดตทั้งที่เรียกชื่อคู่เดตด้วยชื่อพ่อเขา 55555


    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ชื่อพ่อรู้แล้ว  เหลือชื่อแม่และญาติพี่น้อง​ส่วนพระเอกรอจนปิดเรื่องก็ได้ึ่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อย่างน้อยก็ได้รู้ชื่อพ่อก่อนแล้วนะ 555555

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ขำ "ขอบคุณนะ จ่อย"มากๆเลยค่ะ จุดนี้อย่างฮา  :laugh:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตกใจตอนได้ยินว่าจ่อย แต่มาฮาตรงชื่อพ่อนี่ละนะ
หรือว่าคุณคนแรกเป้นเจ้าของร้านชานมหน้าปากซอย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2019 22:57:47 โดย songte »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หัวเราะใหญ่เลยนะคุณคนแรก

ปล. หน้างอง้ำ เขียนแบบนี้นะคะ

ออฟไลน์ pranliew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แงงงงง น่ารักมากกกกกกก สุดท้ายคุณคนแรกน่ารักโดด สุดท้ายชื่ออะไรกันน๊าาาา

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ถึงจะยังไม่รู้ชื่อพระเอก
แต่ก็ได้รู้ชื่อพ่อ ของพระเอกแล้วนะ

 :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ขำ55555555555 เรียกชื่อพ่อกันเลยนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ว่างาย...จ่อย...อ้าวชื่อพ่อเหรอฮ่าๆ :hao3:...เห็นขรึมๆนิ่งๆหยอดตลอดเลยนะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ลูกพ่อจ่อยนี่ท่าจะมุกเยอะเนอะ.

เดทแรกที่ร้านส้มตำ  โรแมนติกมาก 55555

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
คุณคนเเรกนี่เริ่มจีบแบบจริงแล้วซินะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ มาจะกล่าวบทไป

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +666/-7
    • เพจ 'มาจะกล่าวบทไป'

ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ


   สรุปแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าคุณคนแรกชื่ออะไร

   อยากรู้ก็แค่ถาม แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่กล้าถาม ทั้งที่เขาน่าจะรอตอบมาหลายวันแล้ว

   ครับ นับจากกินข้าวด้วยกันวันนั้นก็ผ่านมาอีกห้าวัน

   ครบรอบเปิดร้านวันที่ยี่สิบ ลูกค้าร้านผมยังคงมาแบบเรื่อยๆ เรียงๆ ไม่เยอะมากแต่ก็ไม่น้อยจนน่าใจหาย ส่วนใหญ่เกิน 70% ถ้าเข้ามาลองแล้วจะกลายเป็นลูกค้าประจำ เพราะร้านผมถูกและรสชาติดี ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงครึ่งของคิวร้านชานมเจ้าใหญ่ แม้จะดึงมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยึดติดกับแบรนด์ไม่คิดลองของใหม่

   ผมเริ่มคิดกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง

   ไม่ถึงขั้นอาจหาญขนาดสู้รบตบมือกับเจ้าดัง แค่อยากให้คนลองชิมชานมที่ชงด้วยรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แค่นั้นเอง ถ้าลูกค้าไม่ชอบกลับไปร้านเดิมก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าอย่างน้อยผมได้ทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การยืนรอเฉยๆ

   แต่ความคิดยังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ เป็นแค่กลุ่มก้อนขมุกขมัว

   ส่วนเรื่องข้าวเย็น....

   คุณคนแรกชวนผมตามอารมณ์ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ไหนเหมือนกัน วันเว้นวัน บางทีก็เว้นสองวัน อยู่ในระดับที่ผมรับได้ ถ้าชวนทุกวันก็คงขี้เกียจ เพราะตอนเช้าต้องนั่งรถเมล์มาร้านชานมเนื่องจากทิ้งจักรยานไว้ในร้าน อีกอย่าง คนเราก็ต้องอยากมีเวลาส่วนตัวกันบ้าง

   โดยเฉพาะเมื่อผมและเขายังไม่ได้เป็นอะไรกัน

   ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ภูมิมายืนจ้องหน้าคุณคนแรก และเริ่มจะใจเย็นไม่ไหว

   “พิชญ์ จะครบสามเดือนแล้วนะ”

   “แล้วไง”

   “ไม่คิดจะกลับจริงๆ เหรอ”

   ผมกลอกตา ภูมิคงไม่ได้พนันข้างเดียวกับพ่อหรอกนะใช่มั้ย

   ไม่สิ เขาไม่ร่วมพนันกับพ่อแม่ผมหรอก แต่พนันอย่างอื่นต่างหาก

   “พิชญ์ กู...”

   “ไว้ค่อยคุยกันตอนปิดร้าน”

   “พิชญ์” เสียงของภูมิสั่นเครือ ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น แม้รูปร่างสูงใหญ่แต่ภูมินิสัยเด็ก ใจร้อน อารมณ์ร้อน ต่อหน้าคนอื่นขี้เก๊กชอบวางมาด ต่อหน้าผมเดี๋ยวหงอเดี๋ยวหงอย เขาเป็นทั้งเพื่อนและก็เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง

   ได้คำตอบที่ต้องการภูมิก็เดินออกจากซอยทันที ไม่แม้แต่จะรับชานมไข่มุกที่สั่งไว้ด้วยซ้ำ

   เลยกินเองซะเลย

   คุณคนแรกกับผมถือชานมจ้องตากัน แม้ไม่พูดอะไร แต่พวกเราต่างรู้กันดีว่าคืนนี้ผมไม่ว่างแล้ว

   ถ้าจำไม่ผิดเมื่อสองวันก่อนตอนพาผมไปกินผัดไทบอกว่าครั้งหน้าจะพาไปลองสุกี้เจ้าเด็ด คุณคนแรกเป็นสายตระเวนกิน จะไกลแค่ไหนก็จะถ่อไปให้ถึง ก็ไม่รู้ว่าเป็นความชอบส่วนตัวหรือแค่อยากพาผมไปเปิดหูเปิดตา เพราะผมเป็นประเภทมีของอร่อยให้กินก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร

   ทุ่มตรง ภูมิยืนรออยู่หน้าร้านผม ช่วยดึงประตูเหล็กม้วนลงมาให้

   “พิชญ์...”

   “เท่าไหร่” ผมถามสวน ขี้เกียจฟังเขาพล่ามน้ำท่วมทุ่ง

   “แปดหมื่น...” ภูมิเอ่ยเสียงอ่อย สภาพดูไม่ได้เลยกับมาดเกเรของเขา ผมคร้านจะด่า เลยพยักพเยิดให้เขาซ้อนเบาะหลังจักรยาน แล้วปั่นไปจอดหน้าตู้ถอนเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง

   ภูมิรออย่างเจี๋ยมเจี้ยมเจียมตน ได้ของที่ต้องการปุ๊บก็รับมานับแบบไม่เกรงใจเจ้าของเงินที่ยืนหัวโด่

   “ขอบคุณนะ พิชญ์”

   “นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะภูมิ มึงก็รู้ว่ากูออกจากบ้านแล้ว ไม่ได้รับเงินพ่อแม่แล้ว ไม่มีให้มึงผลาญอีกเหรอนะ”

   “มึงก็กลับบ้านสิวะ จะอยู่แบบกระเบียดกระเสียรตัวเองทำไม”

   “กูสบายดี”

   “ร้านชานมเล็กๆ นั่นทำกำไรให้มึงเท่าไหร่ล่ะ เท่ากับที่เคยได้ตอนทำงานกับพี่พจน์มั้ย”

   “...”

   “พิชญ์”

   “แปลกดีเนอะ” หลังเงียบไปอึดใจหนึ่ง ผมก็เงยหน้าจ้องตากับภูมิด้วยน้ำเสียงสุดเซอร์ไพรส์

   “แปลกอะไร”

   “กูออกจากบ้าน ชีวิตโคตรสบายดี แต่มึงดันลำบาก ดิ้นพล่านๆ ไม่หยุด แปลกมั้ยล่ะ”

   ไอ้ภูมิเงียบ ซึ่งก็ดีแล้ว ผมไม่อยากทะเลาะกับมัน

   “กูแค่เป็นห่วง มึงไม่เคยเป็นแบบนี้ ทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไร มึงจะให้กูตามมึงไป...”

   “งั้นมึงควรจะดีใจ ที่ครั้งนี้ไม่ต้องลำบากตามมากระเบียดกระเสียรกับกูด้วย”

   “พิชญ์ มึงอย่าประชดสิวะ”

   “กูพูดความจริงอยู่นะ” ผมกะพริบตาปริบ แสดงความจริงใจเต็มที่

   “หรือมึงเบื่อกูแล้ว”

   “ก็ไม่เชิง”

   “เพราะกูติดการพนันเหรอ”

   “อย่างกับบอกว่าใช่แล้วว่ามึงจะเลิก” ผมหัวเราะ ก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยาน เตรียมแยกทางกันเพียงเท่านี้ “อ้อ ที่มึงถามว่ากูได้กำไรเท่าไหร่ บอกเลยว่าโคตรน้อยเลยว่ะ พอกินพอใช้ ฉะนั้นตราบใดที่กูยังเปิดร้านชานม มึงก็อย่าสร้างเรื่องนัก กูไม่ว่างไปช่วยมึงแล้ว และไม่มีเงินพอจะให้มึงผลาญเล่นด้วย หรือถ้าจะเป็นจะตายนักมึงก็คงต้องปล้นร้านกูแล้วว่ะ ไอ้ภูมิ”

   “พิชญ์ มึงประชดอีกแล้วนะ”

   “เออ อันนี้กูประชด” ผมยอมรับหน้าด้านๆ “มึงก็อย่าทำให้คำประชดกูเป็นจริงแล้วกัน บาย”

   ทิ้งเพื่อนเวรไว้ข้างหลัง ผมถีบจักรยานไปข้างหน้า แม้คืนนี้อากาศเย็นสบาย แต่ในใจผมเหมือนมีฟ้าฝนพายุคลั่งกระหน่ำสาด

   มิตรภาพสิบปีก็แค่เท่านี้เอง

   สายตาคนภายนอก เห็นผมกับภูมิเป็นเพื่อนรักกัน แต่จริงๆ คือภูมิต่างหากที่เกาะติดผมไม่ห่าง ผมมันเพื่อนน้อย คิดจะทำอะไรก็ทำ นิสัยแปรปรวน ชอบประชด เลยมีแค่ภูมิที่ทนได้ หรือให้ถูกคือ มันจำเป็นต้องทน เพราะคงมีผมคนเดียวที่ยอมให้มันผลาญเงินกับการเล่นพนันโง่ๆ

   เมื่อก่อนไอ้ภูมิไม่ใช่คนอย่างนี้หรอก มันหัวสูง ขี้เก๊ก ไม่ชายตาแลผมด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่งบ้านมันก็ล้มละลาย พ่อแม่มันทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพื่อใช้หนี้และส่งลูกเรียนสูงๆ อย่างที่เคยตั้งใจไว้ และไอ้ภูมิก็จมไม่ลง มันมาเกาะติดผม คงเห็นว่าควักเงินเนียนขอกินฟรีง่ายดี ผมเองก็คร้านจะสลัดทิ้ง เลยยอมให้มันเกาะ ทนได้ก็ทนไป

   จากนั้นทุกคนก็เข้าใจว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน

   ภูมิมันทำทุกอย่างเพื่อเกาะผมให้แน่นที่สุด ความพยายามนั้นทำให้ไม่ว่าผมทำอะไร มันก็มีผลพลอยได้ไปด้วย พ่อแม่ผมรักมัน พี่ผมชอบมัน ทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นเพื่อนที่น่าสงสารซึ่งหลงผิดคบกับผม

   ถ้าถามว่าเกลียดมันมั้ย

   ตอบเลยว่าไม่ เพราะผมรู้เช่นเห็นชาติมันแต่แรกแล้ว ช่วงหลังมานี้ภูมิเริ่มติดการพนัน เพราะเคยเล่นแล้วได้มาเป็นแสนๆ คนอย่างมัน ได้จับเงินก้อนใหญ่หลังคลุกอยู่ในบ่อนไม่กี่ชั่วโมงถือเป็นโชค จากนั้นมันก็เล่นได้ๆ เสียๆ มาตลอด ไม่เข็ดสักที และมันก็บอกใครไม่ได้ นอกจากผม

   ผมเตือนมันแล้ว ต่อยมันก็แล้ว ภูมิไม่ยอมเลิก บอกแต่ว่าได้ถึงล้านถึงจะยอม

   แล้วไหนละเงินล้าน มีแต่ผมเนี่ยที่เงินเก็บร่อยหรอทุกวันๆ เพราะโดนมันผลาญเล่น แม้มันจะยืมๆ คืนๆ ตามโชคชะตาจะนำพาก็เถอะ แต่ไม่บอกคงรู้ใช่มั้ยว่าเสียมากกว่าได้น่ะ

   ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่ได้ลำบากจริงๆ แค่ออกปาก พ่อกับแม่ก็ให้เงินผมง่ายๆ โดยไม่ถามสักคำว่าเอาไปทำอะไร อาจจะนึกว่าผมคิดพิเรนทร์ หนีไปลงทุนนู่นทำนี่เล่นนั่นอย่างที่ชอบทำ ซึ่งผมก็ไม่เคยบอกใคร ถ้าหลุดปาก ไอ้ภูมิผู้เป็นที่รักของครอบครัวผมต้องโดนตัดหางปล่อยวัดแน่

   ผมใจดีมั้ยล่ะ

   อย่างที่บอก ผมไม่ได้เกลียดมัน อย่างน้อย ในช่วงเวลาสิบปี ภูมิก็อยู่กับผมตลอด ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ในวันที่ลุกขึ้นมาเป็นบ้าคนเดียว มันก็บ้ากับผมด้วย ในวันที่ผมเคว้งคว้าง มันก็พร้อมหนุนหลัง ในวันที่ผมทะเลาะกับแฟน มันก็ช่วยไกล่เกลี่ย ในวันที่ผมเรียนจบ มันก็ยืนรับปริญญาอยู่ข้างกัน

   ภูมิเป็นเพื่อน

   แต่ไม่รู้ว่ามันเห็นผมเป็นเพื่อนจริงๆ บ้างรึเปล่า

   อยากให้ผมกลับบ้าน คำนั้นพูดเพราะห่วง หรือเพราะกลัวไม่มีเงินใช้กันแน่

   นึกแล้วก็ขมในอก ผมสะบัดศีรษะ ปั่นจักรยานกลับบ้านแบบวัดใจ ว่าระหว่างผมอดตาย กับไอ้ภูมิติดพนันจนโดนเจ้าหนี้รุมกระทืบ อะไรจะเกิดก่อนกัน

   แต่เชื่อเถอะว่าคนอย่างพิชญ์ไม่งอมืองอเท้าแน่

   ต่อให้อดตายก็ยังมีชานม!

   พอคิดถึงชานม ผมก็ชักอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะย่นหน้าเพราะท้องร้องโครกคราก คิดถึงสุกี้เจ้าดังชะมัด ทำไมต้องอดเพราะไอ้ภูมิด้วยเนี่ย ความจริงผมนัดกับคุณคนแรกช้าหน่อยก็ได้ แต่อาจเป็นนิสัยของลูกชายนักธุรกิจที่ไม่ชอบนัดหมายแบบไม่รู้เวลาแน่ชัด ผมไม่รู้ว่าภูมิมันจะจบแค่แปดหมื่นรึเปล่า เพราะถ้าเกินวงเงินบัตรเดบิต ผมก็ต้องวิ่งหาตู้ธนาคารอื่นเพื่อหาเงินให้มันจนกว่าจะครบ หนักสุดคือช่วยออกหน้าเจรจา ผมเก่งต่อยตีก็ใช่ว่าจะซ้อมมือแต่กับภูมิสักหน่อย

   นี่ละหนาความลำบากของการมีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

   ช่วยไม่ได้ ผมดันมีมันเป็นเพื่อนแค่คนเดียว

   ปั่นจักรยานมาถึงหน้าห้องพัก ผมก็หิวไส้กิ่ว ขณะคิดว่าจะซื้ออะไรดี ฝากท้องกับเซเว่นดีมั้ยนะ ผมก็เห็นมอเตอร์ไซค์สีดำคุ้นตาจอดอยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากคอนโดประมาณสามสิบเมตร

   คุณคนแรกไถโทรศัพท์ฆ่าเวลา ไม่รู้ตัวสักนิดจนผมเข็นจักรยานเข้าไปหา

   เขาสะดุ้งนิดหน่อยตอนเงยหน้ามาเจอพอดี

   “ไง” ผมทักก่อน แม้อยากรู้ใจจะขาดว่าเขามายืนเท่อะไรตรงนี้ แต่ทิฐิบางอย่างรั้งไว้ เหมือนที่จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ถามสักทีว่าเขาชื่ออะไร

   เป็นนิสัยเสียๆ ของคนชื่อพิชญ์น่ะครับ เกิดมาสุขสบาย อยากได้อะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นยอมลงให้คนที่แสดงออกว่าสนใจกันก่อน ไม่ใช่ตัวผมเลยจริงๆ

   “ไง” และคุณคนแรกก็ชื่นชอบมากที่จะปั่นประสาทผมเล่น ด้วยการประวิงเวลา ทำหน้าตาย

   เวลาอยู่ด้วยกันพวกเราเลยมักฆ่าเวลาด้วยความเงียบ

   โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และคุณคนแรกก็เป็นหนึ่งคนนั้นที่คล้ายจะไม่เคยเริ่มต้นเข้าหาใครก่อนเหมือนกัน บรรยากาศเริ่มต้นไปอย่างประดักประเดิดแต่ก็น่าแปลก เพราะเวลาสบสายตา ผมกลับไม่เบื่อความเงียบนี้

   อาจเพราะรู้ว่าสุดท้ายแล้วคุณคนแรกจะเป็นฝ่ายทำลายมัน

   “สุกี้ที่เล่าให้ฟัง” เขาพูดพลางชูถุงพลาสติกซึ่งห้อยกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ผมเห็นแต่แรกแล้ว แต่ไม่ถาม นิสัยไม่ดีใช่มั้ยล่ะ

   “ขอบคุณ” ถึงจะนิสัยเสีย แต่ผมไม่เคยเสียมารยาทกับใคร โดยเฉพาะกับคนที่แม้จะไม่ได้กินข้าวด้วยกัน แต่มีน้ำใจซื้อมาฝาก “กำลังหิวเลย”

   “ไม่รู้ว่าชอบกินน้ำหรือแห้ง เลยซื้อมาสองถุง” คุณคนแรกชูอีกถุงขึ้น ตอนนี้เขาเหมือนเทพธิดาแห่งบ่อน้ำ และกำลังถามว่าขวานที่ผมทำตกไปคือขวานไม้หรือขวานทองคำ

   “ชอบกินแห้ง แต่ตอนนี้อยากกินแบบน้ำ”

   ผมกวนตีน ผมรู้ตัว

   “งั้นเอาแบบแห้งไป”

   และคุณคนแรกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

   “แต่นี่เป็นแบบน้ำนะ” ผมรับถุงมาถือ ไม่ว่ามองยังไงก็เป็นสุกี้ที่กำลังอืดอยู่ในน้ำสีส้มน่ารับประทาน

   “ส่งผิดน่ะ”

   ดูรอยยิ้มมุมปากนั่นแล้วไม่ว่าจะใช้หัวซีกขวาหรือซีกซ้ายคิดก็รู้ว่าจงใจชัดๆ

   แล้วพวกเราก็ตกในความเงียบอีกรอบ

   ความจริงผมหิวจนอยากขึ้นห้องไปแกะสุกี้แล้ว แต่ท่าทางของคุณคนแรกเหมือนมีเรื่องค้างคาใจ ซึ่งผมเองก็รู้ว่าเขามีเจตนาไม่ซื่อยังไง

   ซื้อสุกี้มาสองถุง ทำหน้าตาย แต่มือลูบท้อง เหมือนหิวซะเต็มประดา

   รอผมชวนขึ้นห้องอยู่น่ะสิ

   ผมย่อมไม่ทำให้เขาสมปรารถนา

   และก็เป็นอีกครั้งที่คุณคนแรกเลือกที่จะทำลายความเงียบ

   “หิวแล้ว”

   ทั้งที่น้ำเสียงราบเรียบมากแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมฟังอ้อนๆ ชอบกล

   “ไม่ชวนขึ้นห้องไปกินสุกี้ด้วยกันเหรอ”

   ผมมองเขา ชั่งใจว่าจะจบแค่กินสุกี้รึเปล่า ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความสัมพันธ์สำหรับเพศเดียวกันนั้นค่อนข้างไวไฟ จริงอยู่ว่าผมไม่ซิง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมขึ้นเตียงกับใครง่ายๆ โดยที่ยังไม่รู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ

   อย่าลืมว่าผมเพิ่งอกหักนะ แม้จะเปิดใจ แต่ยังไม่พร้อมจะตกล่องปล่องชิ้นกับใครไวปานนี้

   “ไม่” คำตอบจึงเป็นคำปฏิเสธ พูดจบก็ไม่หนีหายไปไหน แต่ยืนจ้องหน้าคุณคนแรกว่าจะมีปฏิกิริยายังไง

   ผลคือเขาไม่ประหลาดใจ ออกจะคิดไว้แล้วด้วยซ้ำ

   “ไปเถอะ เดี๋ยวเส้นอืด” คุณคนแรกพยักพเยิดให้ผมเลิกจ้องหน้าสักที และนั่นก็ทำให้ผมเพิ่งคิดได้ว่า...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายหันหลังให้เขาก่อน

   ไม่ว่าจะเป็นตอนซื้อชานม ตอนไปมารับไปกินข้าว ตอนมาส่งที่ห้องพัก คุณคนแรกจะเป็นฝ่ายเดินนำผมไปก่อน ไม่ก็ขับรถชิ่งหายไปก่อนเสมอ

   เป็นความรู้สึกที่ประหลาด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ผมพยักหน้ารับนิ่งๆ ไม่รู้จะพูดอะไร เลยลากจักรยานไปจอดหน้าคอนโด คล้องโซ่กันหาย แล้วเดินมึนๆ เตรียมขึ้นห้อง

   พอลองหันกลับไปมอง คุณคนแรกก็ยังอยู่ที่เดิม

   ผมพยายามที่จะไม่ยิ้ม

   แต่ทำได้ยากชะมัด


   ------------

   และแล้วก็เฉลยเรื่องราวของภูมิกันค่ะ //จบเคสแรก

   จริงๆ แล้วพิชญ์ไม่ใช่คนนิสัยดีมากมายอะไร สังเกตได้จากน้องที่ถือทิฐิพอสมควร มีมุมเอาแต่ใจ และค่อนข้างไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ใครเท่าไหร่ เพราะเราคิดว่าคนทุกคนย่อมมีมุมไม่ดี แต่ว่าจะยอมรับข้อเสียนั้นแล้วพัฒนาตัวเองอย่างไร พิชญ์เองก็พยายามหาคำตอบและพยายามทำอยู่ด้วยการเปิดร้านชานมไข่มุกค่ะ

   แต่ถ้าทำคนเดียวคงจะเหงาไปสักนิด...เลยต้องมีกำลังใจมาเสริมให้จากคุณคนแรก

   มาน้อยๆ แต่น่ารักใช่มั้ยคะ

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
ภูมิไม่ใช่เพื่อนอ่ะพิชญ์ ภูมิคือปลิงเลยแหละแต่ใช้คำว่าเพื่อนมาบังหน้า   :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด