CHAPTER 19: Diamond Cuts Diamond (Part I)
“ไป ไปเรียน!”ม่อนแจ่มสะดุ้งน้อยๆ.. เอี้ยวหน้ามองนิดหนึ่ง ไอดิลที่กระแทกไหล่เขาเบาๆยืนเลิกคิ้วอยู่ข้างๆ
“มึงจะมองให้ทะลุเตียงเลยไหม? ป่านนี้เจ้าของเตียงเขาไปถึงคณะมนุษยฯแล้ว ไป! เราก็ไปวิศวฯบ้าง”
ก็.. จริง.. พชรก็ออกจากห้องเป็นคนแรก (และกลับห้องเป็นคนสุดท้าย) ทุกๆวันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ที่เขาตื่นมาไม่เห็นพชร ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่น่าจะชาชิน ทำไมเช้านี้ ถึงรู้สึกแปลกๆไปได้..
ม่อนแจ่มส่ายหัวน้อยๆ พยักหน้าให้ไอดิล พลางสาวเท้าออกจากห้อง มิวายหันมองผ้าปูที่นอนเรียบตึงและผ้าห่มที่พับอยู่ปลายเตียงเดี่ยวอีกครั้ง
เตียงพชรก็เหมือนเดิม ..เรียบร้อย ..เป็นระเบียบ พชรดึงที่นอนและพับผ้าห่มไว้ทุกวันอยู่แล้ว
ม่อนแจ่มคงบ้าไปเองที่รู้สึกว่าเมื่อคืน ..พชรไม่ได้นอนบนเตียงนี้..
“ไอ้ดิ้ล..” เสียงเล็กชวนคุย “เมื่อคืนพชรกลับมากี่โมงวะ?”
“อืม..” คนถูกถามขมวดคิ้วใคร่ครวญ “ห้าทุ่มกว่าแล้วมั้ง”
“ฮื่อ..” ม่อนแจ่มครางรับ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีจนไอดิลต้องช่วยเรียกความมั่นใจ
“มึงอย่าคิดมากน่า คืนนี้ พชรอาจจะกลับมาเร็วขึ้นก็ได้”
..
“ฮื่อ”
ตึกเรียนแลดูวุ่นวายไม่ต่างจากทุกวัน ผองเพื่อนแฟ้มน้ำตาล รุ่นพี่ช็อปน้ำเงินเดินกันขวักไขว่
“เฮ้ๆ!” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง สองเพื่อนซี๊จึงหันไปมอง
นายพีระศิลป์ วิศวฯสิ่งแวดล้อมแห่งหอสี่ชายนั่นเอง
“สายนะมึง” ไอดิลล้อเลียน
“ก็สายกว่ามึงนิดเดียวเท่านั้นแหละวะ!”
ฮ่ะๆ
แล้วพวกเขาก็ได้หัวเราะกันเล็กน้อย ก่อนที่ผู้มาใหม่จะทำหน้าจริงจังใส่
“ไอ้ม่อน วันนี้ไปประชุมชมรมอาร์ทติสกัน รุ่นพี่เขาว่าจะมีจัดนิทรรศการ”
อ้อ..
ม่อนแจ่มพยักหน้ารับ “ได้สิ”
“เออ เลิกเรียนละกูคอย ถ้ามึงลงมาก่อนก็คอยกูด้วย”
“อ่าฮะ” ม่อนแจ่มพยักหน้ารับอีกครั้ง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ลากกูมาด้วยเพื่อ!?”ไอดิลกลอกตาไปมา เมื่อทั้งเพื่อนม่อนและเพื่อนพีรั้งคอเสื้อเขามาที่อ.มช.ด้วยในยามเย็น
“เอ้า แล้วมึงบอกดูกูวาดรูปแล้วพอหายคิดถึงพ่อได้บ้าง นี่มาเจอทั้งชมรมวาดรูป มึงหายคิดถึงพ่อเป็นปลิดทิ้งแน่ๆ”
ห๊ะ?
ไอดิลไม่รู้จะขอบใจหรือโบกในความซื่อใสของม่อนแจ่มดี จึงได้แต่ส่ายหน้า ขณะก้าวขาเข้าไปนั่งล้อมวงในห้องชมรมอาร์ทติสซึ่งรกน้อยลงกว่ารอบก่อนนิดหน่อย ไม่เป็นไร.. เดี๋ยวเขาค่อยหาทางชิ่งไปวรรณศิลป์เอา
“เอาล่ะ! อย่างที่หลายๆคนได้เห็นโพส แต่ละชมรมมีกิจกรรมเด่นของตนเอง ซึ่งหลายๆชมรมก็ได้เริ่มเตรียมงาน จัดกิจกรรมกันไปเยอะแล้ว อย่างวรรณศิลป์ก็เพิ่งมีเสวนาหนังสือ อนุรักษฯก็กำลังจะมีบั๊ดดี้ทรี เราเองก็จะจัดบ้าง นั่นคือนิทรรศการโชว์ภาพวาดผลงานนักศึกษาชมรมนั่นเอง”
..
“แน่ละ เรามีภาพสวยงามมากมาย ผลงานรุ่นพี่ของเรา แต่ในปีนี้ พี่อยากเห็นอะไรใหม่ๆ ภาพใหม่ๆ ของคนใหม่ๆ
ทุกคน โดยเฉพาะปีหนึ่งมีสิทธิ์ส่งภาพ เพื่อพี่จะได้คัดใส่กรอบโชว์ในนิทรรศการของชมรมเรา”
..
“มีธีมสำหรับภาพที่จะส่งให้คัดหรือยังครับ?” ม่อนแจ่มชูมือขึ้น
รุ่นพี่ยิ้ม “นี่ล่ะที่กำลังจะขอความเห็น เสนอมาได้เลย”
อ่าม..
ธีมหรือ? สำหรับม่อนแจ่มก็ต้องภาพการ์ตูนสิ งานถนัด
“ผมเสนอ Portrait ครับ” เป็นพีระศิลป์นั่นเองที่เอ่ย
“อาจจะดูธรรมดา แต่ผมคิดว่า เราลองมาดูซิว่าจะวาด Portrait ให้ไม่ธรรมดาได้ยังไง”
“อืม..” หลายๆคนมองหน้ากัน ขมวดคิ้วอย่างใคร่ครวญ
“Portrait เป็นงานยอดนิยมและน่าสนใจอีกงานหนึ่งเลย ผมรู้สึกว่า ยังไงๆ คนเราก็ยังชอบเสพ Portrait กันอยู่ มันมีความหมายและนัยยะหลายประการซ่อนอยู่ในภาพแนวนี้”
“ถูก.. อาจไม่ใช่
เหมือนแค่ไหน แต่เป็น
จับใจแค่ไหน”
“โอเคเลย .. ถ้างั้นพี่คิดว่าธีมคือ..”
..
“Inspiring Portrait!” พีระศิลป์ต่อ ทำเอาประธานชมรมดีดนิ้ว "ใครเอาด้วยบ้าง?"
และเมื่อค่อนครึ่งยกมือสนับสนุน จึงเป็นอันสรุปได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“นั่นล่ะ เอ้า จัดกันมา!”
..
ไม่ต้องถามหาม่อนแจ่ม ..ลาตายไปแล้วเรียบร้อย
“ทำไมต้องวาดภาพเหมือนด้วยวะ ไม่เห็นน่าสนใจ” เสียงเล็กบ่นกระปอดกระแปด
“ไม่น่าสนใจหรือมึงวาดเป็นแต่ภาพการ์ตูน เอาให้แน่ไอ้ม่อน ฮ่ะๆ”
“ไอ้พี!”
แม่ง.. เพื่อนร่วมภาควิชาไอดิลเจือกฉลาด
ก็เออ ก็ใช่ไง.. ม่อนแจ่มไม่เคยวาดภาพเหมือนมาก่อน เขาไม่ถนัดเลยจริงๆ แล้วภาพของม่อนแจ่มจะได้เข้ากรอบโชว์กับคนอื่นๆไหมละนี่..
ไอ้พีนะไอ้พี! ทำไมเสนอธีมอะไรแบบนี้ ม่อนแจ่มถลึงตาใส่เพื่อนต่างภาควิชาอยู่นาน
จน..
“มึงกำลังทำอะไร ไอ้ม่อน?” ไอดิลเหล่มอง
“กูกำลังพยายามฆ่าไอ้พี” ม่อนแจ่มตอบขรึมๆ
“โดยใช้?”
“จิตวิทยา”
“แล้ว.. เมื่อไหร่ไอ้พีมันจะตาย?”
“ข้อนั้น กูก็ไม่รู้”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ร่างเล็กกลับมาถึงหอสามชายถิ่นพำนักพร้อมกับความคิดเรื่องภาพ Portrait
เป็นอะไรที่ไม่นึกอยากจะวาดและไม่รู้จะวาดอะไรด้วย อย่างไรก็ตาม ม่อนแจ่มไม่ต้องคิดมากนัก เพราะความคิดนั้นก็หายไปทันทีแทบจะพร้อมๆกับที่เขามาหยุดหน้าประตูห้องสามสามแปด ความคิดไปอยู่ที่บุคคลซึ่งปรารถนาให้อยู่ในห้องแทน
มือเรียวจับลูกบิดหมุน โผล่หน้าเข้าไป
“ไม่ต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้นน่า” ไอดิลส่ายศีรษะอ่อนใจ “เดี๋ยวมันก็มา..”
..
“ฮื่อ..”
..
แต่อีกเดี๋ยว และหลายเดี๋ยว ..ก็ไม่มีวี่แววของการมาใดๆเลย
ยามค่ำคืนของหอในไม่ได้เงียบงัน เสียงเจี๊ยวจ๊าวของห้องโน้นห้องนี้ดังมาพอได้ยิน
บรรยากาศของการอยู่ร่วมกันนั้นน่าอบอุ่นใจ ทว่า คนบางคนรู้สึกหงอยเหงาเหลือเกิน
ม่อนแจ่มถอนหายใจน้อยๆ ปิดเอกสารเมื่ออ่านจบ ดวงตาเงยขึ้น มองสำรวจโต๊ะรูมเมทปรัชญา
“ทำไมไม่มีหนังสือเรียนพชรอยู่บนโต๊ะเลย..”
“มันก็หอบไปเรียนงาย..” ไอดิลงึมงำตอบ
ม่อนแจ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ตนเอง เคลื่อนกายเข้าใกล้โต๊ะตัวนอกสุดมากยิ่งขึ้น
บนนั้นมีเพียงหนังสืออ่านเล่นวางอยู่ไม่กี่เล่ม เอกสารประกอบการเรียนที่เห็นเสมอๆดูจะพร้อมใจกันอันตรธานไปอย่างน่าสงสัย
‘โลกของโซฟี’เล่มหนึ่งที่หน้าปกบ่งเช่นนั้นวางอยู่ เล่มที่ม่อนแจ่มเคยเห็นและเคยหยิบจับคราเช็ดทำความสะอาดโต๊ะเมื่อก่อนเปิดเทอม
มันเป็นนวนิยายปรัชญานี่นะ ไม่น่าแปลกใจ.. นักศึกษาปรัชญาหลายๆคนก็คงจะอ่านกันแน่ๆ
ปลายนิ้วขาวเอื้อมสัมผัสปกเคลือบมันนั้นเบาๆ..
มีหนังสือเรื่องโลกของโซฟี แล้วจะมีหนังสือเรื่อง ‘โลกของพชร’ บ้างไหมนะ? ม่อนแจ่มนึกสงสัย
ถ้ามี.. ม่อนแจ่มนี่แหละจะขอเปิดอ่านเป็นคนแรกเลยทีเดียว
และถ้าหากมีหนังสือเรื่อง ‘โลกของพชร’ ขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้จะมีกี่หน้า หนาเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้น หน้าปกจะทำด้วยอะไร เปิดอ่านยากเย็นแค่ไหน..
ม่อนแจ่มไม่คิดว่าทำด้วยกระดาษ ..จะเป็นอะไรนะ?
ซีเมนต์.. เหล็ก.. ควอตซ์.. ทองคำ..
หรือ.. เพชร
แน่ละ ใครก็รู้.. เพชรเป็นแร่ธาตุที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่.. แม้เพชรก็คงมีจุดอ่อน หาไม่แล้ว จะเจียระไนเพชรได้อย่างไร?
แสดงว่าเพชรไม่ได้แข็งเท่ากันหมดในทุกทิศทางหรอก และจะหาส่วนที่อ่อนกว่าให้เจอ ก็ต้องมองลึกลงไปในโครงสร้างของเพชรเท่านั้น
มอง..ลึก..ลง..ไป
ม่อนแจ่มละจากโต๊ะพชร มานั่งจุ้มปุ๊กที่เตียงตนเองบ้าง หวนนึกถึงธีม Inspiring Portrait อีกครั้ง
ภาพเหมือนเปี่ยมแรงบันดาลใจอย่างนั้นหรือ..มือเรียวค่อยๆหยิบฉากตั้งกางออก สอดกระดาษเข้าไป ดวงตาตวัดมองเตียงเดี่ยวฝั่งตรงข้าม
เขาไม่เคยวาดภาพเหมือนของอะไรหรือ
ใครมาก่อนเลยในชีวิต
เขาจะเริ่มอย่างไร.. จากตรงไหน? ในเมื่อไม่มีแม้แต่แบบอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
แต่.. แบบของบางอย่างหรือบางคน ยังจำเป็นหรือ ในเมื่อ.. เขาจดจำได้ทุกรายละเอียด ในเมื่อ.. เขามองบ่อยและนานมากมายเกินกว่าทุกอย่างที่เคยมองมา
ม่อนแจ่มลากเส้นดินสอ..
เขาเลือกวาดภาพเหมือนของคน และตระหนักว่ามันไม่ใช่แค่การวาดให้เหมือนคนๆนั้น แต่ต้องวาดความเป็นคนๆนั้นออกมาด้วย
การวาดที่ต้องใช้เส้นดินสอสื่อออกมาให้ครบ ..ทั้งลักษณะและจิตวิญญาณ..
เป็นครั้งแรกที่วาดภาพเหมือน และเป็นภาพเหมือนที่ต้นแบบไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน ม่อนแจ่มก็จะไม่เปลี่ยนใจ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ไอ้ดิ้ล เมื่อคืนพชรไม่ได้กลับห้อง”ม่อนแจ่มถลันตัวลุกขึ้น แว่นเอียงกะเท่เร่ข้างดวงตาส่งให้เห็นภาพคู่ซี๊ค่อยๆปีนลงบันไดเตียงมา
“มึงบ้าป่ะ ไม่กลับแล้วจะไปนอนไหน พชรกลับดึกแค่นั้นเองแหละน่า แล้วก็ตื่นตั้งแต่เช้า เราเลยไม่เจอ”
“แต่ว่า..”
“ไปๆ ไปอาบน้ำกันเถอะ เร็วๆเลย เดี๋ยวสาย”
“แต่พชร-”
“โอเคๆ” ไอดิลยกสองมือขึ้น “รีบไปเรียนก่อน เดี๋ยวมีช่วงว่าง กูจะโทรไปถามให้ ตกลงนะ”
ก็ตกลง..
แต่ม่อนแจ่มไม่คิดว่าจะสามารถรอคำตอบจากไอดิลได้หรอก เขาจะโทรเอง
แต่โทรแล้ว.. โทรอีก.. และโทรอีกแล้ว.. ก็ไม่มีคนรับสายเลยตลอดทั้งวัน..
“ไอ้ดิ้ล มึงโทรหาพชรหรือยัง” ม่อนแจ่มถามทันทีที่เจอหน้าอีกครั้ง
“โทรแล้ว” ไอดิลยักไหล่ ปลดเป้วางลงบนเก้าอี้
“เหรอๆ แล้วรับสายไหม”
“ไม่”
โธ่!
“กูกดจนมือหงิก นิ้วแทบจะล็อคอยู่แล้ว” ไอดิลเสริม “สุดท้ายก็เลยส่งข้อความไปว่า..
ท่านพชรครับ เมทดิ้ลเอง โปรดรับโทรศัพท์เมทดิ้ลหน่อยเถิดครับ เมทม่อนกำลังจะลงแดงด้วยความเป็นห่วง นั่นแหละ พชรเลยโทรกลับ”
“ห๊ะ! มึงนี่ มีวิธีเกรียนก็ไม่สอน!”
“ก็มัน-”
“ช่างๆ แล้วพชรว่าไง?” ม่อนแจ่มเข้ามาพันแข้งพันขา
“มันบอกว่าอยู่หอเพื่อน”
“หอเพื่อน?” ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว “แล้วมึงถามมันไหมว่ามีธุระอะไร ถามหรือเปล่าว่าทำไมต้องไปอยู่หอเพื่อน”
ไอดิลถอนใจน้อยๆ “ถาม”
“แล้วมันตอบว่า?”
..
“อยู่หอเพื่อน”
..
ห๊ะ?
“แล้ว.. แล้วมึงถามมันไหมว่าจะกลับเมื่อไหร่?”
คราวนี้ ไอดิลพ่นลมหายใจ “ถาม!”
“แล้วมันตอบว่า..” ม่อนแจ่มตั้งหน้า ตั้งตาและตั้งใจฟัง
หนุ่มสิ่งแวดล้อมหันมามองหน้าเพื่อนซี๊ หวังว่าสายตาแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับทารกแรกเกิดนี้จะช่วยให้ม่อนแจ่มเข้าใจ..ว่าเขาได้มาแค่นี้จริงๆ
“มันบอกว่า.. อยู่-หอ-เพื่อน!”“อะไรวะ” ม่อนแจ่มหงุดหงิด “มึงได้คำตอบมาแค่นี้เหรอ?”
ไอ้..ม่อน.. “กูถามจริง มึงไม่รู้จักพชรเหรอวะ?” ไอดิลถลึงตาใส่
"มึงจำไม่ได้หรือไง ตอนมึงให้กูไปถามว่ามันมีปัญหาอะไรกับมึงหรือเปล่า กูถามไปสิบคำถาม มันก็ตอบกูมาคำตอบเดียว ว่า ‘ไม่ชอบมึง’ จะนับประสาอะไรกับที่กูถามแค่สามคำถามนี้ล่ะม่อนเอ๋ย กูก็ได้มาคำตอบเดียวเหมือนกันนี่แหละ"
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ม่อนแจ่มถอนหายใจ.. แว่นแดงยังคาตา คืนที่สองแล้วที่ต้องนอนมองเตียงว่างเปล่า
พชรไปไหน? ..ม่อนแจ่มงุนงง
เออว่ะ.. ไอดิลบอกแล้วว่ารูมเมทปรัชญาอยู่หอเพื่อน
แล้ว.. ทำไมต้องไปอยู่หอเพื่อนนะ?
อาจจะมีงานกลุ่มอะไรต้องทำด้วยกันหรือเปล่า ..จำเป็นขนาดไม่กลับมาห้องเลยหรือไง
ดวงตาใสลืมค้าง นอนไม่หลับ จนที่สุด ร่างกายที่ทนความอ่อนเพลียไม่ไหวก็ผล็อยหลับไปเมื่อค่อนรุ่ง
“ไอ้ม่อน ..ไอ้ม่อนตื่น!”
...
...
ม่อนแจ่มลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
“นอนทำไมไม่ถอดแว่นวะ มึงบ้าเปล่าเนี่ย?”
..เสียงไอดิล
ม่อนแจ่มประมวลผล มือเปะปะแตะแว่นตา
แล้วนี่ก็เป็นเช้าที่สองแล้วที่เขาตื่นขึ้นมาพบว่า.. เขานอนหลับทั้งใส่แว่น
ดีที่กรอบแว่นแดงเป็นพลาสติกเหนียวและยืดหยุ่นจึงไม่แตกหักเสียหาย
อยู่หอมาเทอมหนึ่งแล้ว ..เขาใส่แว่นนอนทุกคืนตั้งแต่ตั้งใจว่าจะทำให้พชรจำหน้าได้
นอนมองหน้าคนบนเตียงฝั่งตรงข้าม ..หลับไปพร้อมแว่น ..ละเมอถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะ
แล้วทำไม.. ทำไมสองคืนที่พชรไม่อยู่ เขาไม่ละเมอถอดแว่นตัวเอง
มือเรียวสัมผัสแว่นบางเบา ..กรุ่นกลิ่นกาย ..กลิ่นลมหายใจที่เขามักจะรู้สึกได้แม้ในภวังค์ และเพียรบอกตัวเองว่า
‘นั่นคือความฝัน’
แต่มันคือความฝันจริงหรือ?
หรือไม่ว่าจะฝัน.. หรือละเมอ.. ก็ล้วนไม่ใช่ความจริง
ม่อนแจ่มไม่ได้ฝัน.. ม่อนแจ่มไม่ได้ละเมอ แต่ความจริงคือ..
ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังเตียงเดี่ยว
..พชร..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
คืนที่สาม.. ไม่มีอะไรแตกต่าง เตียงเดี่ยวว่างเปล่า และม่อนแจ่มก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ไอ้ม่อน?”
ไอดิลปีนลงมาตามราวบันได ขมวดคิ้วใส่รูมเมท ผู้ซึ่งนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเตียงของตัวเองในเวลาหกโมง ซึ่งสองวันที่แล้ว เจ้าตัวยังไม่มีวี่แววจะลุกขึ้นในเวลานี้
หลักฐานบนใบหน้า ความเหนื่อยล้าในดวงตา เมื่อพิจมองรูมเมทใกล้ๆทำให้ไอดิลชักจะห่วงใย
“ไอ้ม่อน นี่มึงนอนหรือยัง?”
ไม่มีคำตอบ แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไอดิลถอนหายใจหนักหน่วง “มึงไปเรียนไหวไหมเนี่ย?”
ม่อนแจ่มพยักหน้ารับ
ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่มันนอนไม่หลับ มันไม่ชิน เขาไม่รู้จะทำอย่างไร
ร่างเล็กค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้น อย่างไรเสียก็ต้องไปเรียน ต้องตั้งใจ มีสมาธิให้มากที่สุด แม้ว่าความอ่อนล้าจะทำให้แทบรับไม่ไหว
ใช่.. ไม่ไหว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เขาล้มป่วยแน่นอน
พชรเป็นอะไร?
พชรมีเรื่องเครียดอะไร เรื่องกลุ้มใจอะไรเกี่ยวกับคุณแม่หรือเปล่า?
เพราะตอนที่พบคุณน้านิภา พชรดูเครียดมาก ซึ่งจริงๆก็ดูเครียดมากมาตลอดในช่วงหลัง และมันมากขึ้นทุกวัน..
เขาต้องไปหาพชร..
ตอนที่พชรโอบกอด เขาคิดว่าอยากรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเอง
แต่แบบนี้ไม่ได้ เล่นหายไปแบบนี้ ม่อนแจ่มเป็นห่วง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
‘ภาควิชาปรัชญาและศาสนา’ป้ายหน้าห้องยังอยู่เหมือนเดิม แต่บริเวณนั้นไม่มีนักศึกษามายืนอออยู่เหมือนตอนเที่ยง
ม่อนแจ่มก้มมองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง.. วันนี้เขาไม่มีเรียนในคลาสเย็น เกือบบ่ายสามจึงเดินออกมาจากคณะ
รถม่วงไม่ผ่านมา ร่างเล็กจึงก้าวเท้าเดินอย่างเคย พร้อมๆกับกดโทรศัพท์หมายเลขโทรด่วน ซึ่งไม่ว่าจะโทรกี่ครั้ง ..มันก็ฝากข้อ ความอยู่ดี
ม่อนแจ่มก้าวลงบันได กำลังจะเดินผ่านห้องน้ำ แต่เห็นนักศึกษาหญิงคาดผ้าเหลืองรอบคอพอดี
คาดผ้าเหลืองหรือ?
“เอ่อ.. ปีหนึ่งปรัชญาใช่ไหมครับ?” ม่อนแจ่มรี่เข้าไปหา
ถึงแม้พชรจะไม่ได้คาดผ้า แต่จากที่เคยมาครั้งนั้น ม่อนแจ่มจำได้ว่าคนอื่นๆคาดกันหมด
สาวผมสั้นพยักหน้า เลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม ม่อนแจ่มจึงรีบตอบ
“ผมมาหาพชรครับ”
“อ้อ” หญิงสาวยิ้ม “ยังไม่เลิกคลาสเลยค่ะ เรามาเข้าห้องน้ำ”
ม่อนแจ่มพยักหน้าบ้างอย่างยินดี เช่นนี้ก็แสดงว่าพชรยังอยู่คณะ
“เรียนอยู่ห้อง Slope ข้างล่างนั้นค่ะ” เธอชี้ตรงไป ที่ซึ่งม่อนแจ่มเห็นบันได
“ขอบคุณมากครับ งั้น ผมเอ่อ.. ผมจะรอ”
“เอาไว้เดี๋ยวเลิกคลาส เราจะบอกพชรให้นะคะ อาจจะเลิกสักสี่โมงค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ม่อนแจ่มยืนยันแข็งขัน “ผมรอได้..”
แล้วก็เป็นเวลาบ่ายสามโมง ห้าสิบนาที ที่ม่อนแจ่มได้ยินเสียงพับโต๊ะ เสียงเคลื่อนย้ายภายในห้อง Slope
ร่างเล็กยืนพิงผนัง มองไปหน้าประตูใหญ่อย่างรอคอย..
ประตูเปิดออก นักศึกษาปรัชญาค่อยๆทยอยกันออกมา
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย ประหม่าน้อยๆ ..พชรอยู่ไหน? เขาโผล่หน้าเข้าไปข้างใน
หญิงสาวคนเดิมหันมาเห็น แล้วจึงยิ้มให้เขาอีกครั้ง พลางตะโกนเรียกร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้าเธอ
“พชร”
“พชร เพื่อนมาหา!”
.
.
ใบหน้าคมสันหันมาตามเสียงเรียก ขมวดคิ้วให้เพื่อน ก่อนที่จะมองตามสายตาเธอมา จน.. หลังจากสามวัน ทั้งสองได้สบตากัน
ม่อนแจ่มเตรียมยกยิ้ม อ้าปากจะทักทาย
“ไม่รู้จัก”
..
แล้วก็เพียงเท่านั้น ..เท่านั้นที่เสียงเข้มเอ่ย
หน้าคมหันกลับไปทางเดิม มือแกร่งเก็บหนังสือใส่กระเป๋าสะพาย ยกขึ้นพาดบ่า ..และเดินขึ้นบันไดมาเพื่อออกจากห้อง
ร่างสูงเดินสวน ..ผ่านคนตัวเตี้ยกว่าไป ..โดยไม่เหลือบมามองแม้เพียงนิด
ไม่รู้จัก..ม่อนแจ่มได้แต่ยืนนิ่ง แฟ้ม Entaneer สั่นไหวด้วยมือเรียวกำแน่น
หลังจากรอคอยมาสามวัน..
หลังจากสามคืนที่นอนมองเตียงว่างเปล่า..
หลังจากครึ่งชั่วโมงที่เดินมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์..
พชรบอกว่า.. ไม่รู้จักเขา
‘สองผืนนั้นมันโดนแชมพู โดนสบู่แล้ว ..จะเช็ดเข้าไปยังไง’ผ้าขนหนูที่โยนมาใส่หัว
‘นั่งได้หรือเปล่าล่ะ ..จะไปส่งให้’ร่างกำยำที่ขี่มอเตอร์ไซค์อย่างช้าๆ ให้ซ้อนท้าย
‘..ทีหลังเรียกแล้วกัน’ขายาวที่เดินเคียงไปส่งห้องน้ำ
‘เครื่องกล อย่าเดิน..’มือที่จูงพากลับห้องตอนไฟดับ
‘ขอให้ออกตรงกับที่รู้..’คำอวยพรก่อนสอบเคมี
‘จะมีสักวันที่มึงไม่ชนอะไรไหม?’มือสากที่ลูบหน้าขาอย่างอ่อนโยนให้คลายความเจ็บ
แล้วทั้งหมดนั้นคือ..
..ไม่รู้จัก..
ม่อนแจ่มเม้มปาก ไม่มีคำพูดใดๆจะโต้แย้ง ถ้อยคำโหดร้ายนั้นทวนซ้ำอยู่ในหัว..
ไม่รู้เพราะคำนั้นหรือเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืนที่ทำให้เขาอ่อนแอได้ถึงขนาด..
ปล่อยให้หยาดน้ำตาที่เอ่อท้นค่อยๆไหลริน ..หยดลงช้าๆสองข้างแก้ม
“มีอะไรให้ช่วยหรือนักศึกษา?”
อาจารย์ใส่แว่นกรอบดำคนเดิมเดินขึ้นมาถามไถ่ เมื่อร่างเล็กหนีบแฟ้มสีน้ำตาลยืนนิ่งเป็นจุดสนใจ
ทว่า เมื่อก้มลงเพ่งมองให้ชัดๆ
“นักศึกษา! ร้องไห้ทำไม?”..
..ร้องไห้ทำไม
คำถามด้วยเสียงอันดังเพราะความตกใจของอาจารย์ปรัชญาทำให้นักศึกษาหนุ่มที่เดินไปถึงประตูแล้วหันขวับกลับมา
“นักศึกษา ร้องไห้ทำไมครับ!” อาจารย์ถามซ้ำอีก ก้มลงสำรวจร่างเล็กต่างคณะ
แต่ไม่มีคำตอบ.. น้ำตาไหลรินลงมาเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะหยุด
ม่อนแจ่มกลั้นสะอื้น ห้ามน้ำตาไม่ได้ แต่ก็ยังอยากห้ามไม่ให้ส่งเสียงน่าสมเพชออกมา
ทว่า น้ำตาที่ไหลไม่ขาดสายนั้นก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่าเขาเจ็บปวดใจมากขนาดไหน
ไม่รู้จักอย่างนั้นหรือ..
ร่างเล็กหันหลังกลับช้าๆ ก้มมองเพียงพื้นกระเบื้องด้านล่าง
ไม่สนใจสายตานักศึกษาปรัชญาที่มองกลับมา ในหัวประหวัดถึงคำพูดไอดิลที่เคยย้ำเตือน
‘เด็กปรัชญาน่ะทำเด็กวิศวฯพ่ายแพ้มาแล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นวี่แววชนะ เรื่องนี้ มึงเชื่อกูเหอะ อย่าประมาทไป..’แล้ววันนี้..
เด็กปรัชญาก็ทำเด็กวิศวฯพ่ายแพ้อีกแล้ว
เป็นการพ่ายแพ้แบบน้ำตาไหลอาบแก้มต่อหน้าสาธารณชนเสียด้วยว่ะ ..ไอ้ดิ้ล
ม่อนแจ่มพยายามบอกเพื่อนรักในใจ
ถ้าเพียงแต่พชรพูดว่า..
‘ไม่อยากคุย’
‘ไม่ว่าง’
‘ติดธุระ’
อะไรทำนองนั้น ม่อนแจ่มยังจะยอมเข้าใจ
แต่การบอกว่า ‘ไม่รู้จัก’ ..มันเกินไป
มันคือ.. การปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา
มันคือ.. การปฏิเสธการมีตัวตนของเขาในชีวิตพชร
และ..มัน..โหด..ร้าย..มาก..จริงๆ... . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .