92
ความจำเสื่อม
[เอก...☼]
ღ
ღ
ผมสะลึมสะลือตื่น ความรู้สึกหล่นวูบแปลก ๆ กระตุ้นให้ผมต้องเด้งลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั่วทั้งหัวจนต้องกุมมันไว้
“อย่าเพิ่งขยับนะ”
เสียงใส ๆ ของใครบางคนบอก ผมหันไปมอง เห็นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ทิ้งตัวลงมานั่งข้าง ๆ ผมขมวดคิ้วมองด้วยความงุนงง
“เจ็บตรงไหนบ้างล่ะพ่อหนุ่ม”
ก่อนจะมีชายสูงวัยเดินมาทิ้งตัวลงนั่งอีกฟากตามมาติด ๆ ด้วยคุณยายวัยไล่เลี่ยกัน ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป ปวดหัวเอามาก ๆ ร้าวไปทั้วทั้งตัวเลย
ที่สำคัญหิวครับ
ท้องผมพากันร้องจ๊อก ๆ จนคุณยายต้องหันไปบอกน้องผู้หญิงให้ไปหาข้าวหาน้ำมาให้ผมกิน
“หลานนอนไม่ได้สติอยู่สองวันกว่า ๆ แน่ะ กะว่าถ้าวันนี้ยังไม่ฟื้น จะพาไปหาหมอในเมืองนะเนี่ย”
คุณตาว่า ผมพยักหน้า กำลังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่นานน้องผู้หญิงก็ยกถาดอาหารเก่า ๆ มาวางไว้ตรงหน้า ภายในมีกับข้าวที่ทำจากปลาและผักเป็นหลัก ที่เห็น ๆ ก็มีแกงส้มดอกแค แค่เห็นน้ำลายก็ไหลลงมาพลั่ก ๆ แล้ว มีปลาทอด น้ำพริก ผักต้ม แล้วก็ผัดผักบุ้ง ตามมาติด ๆ ด้วยข้าวสวยสีขาวฟู ๆ ในหม้อเก่า ๆ รอบนอกดำไปหมด
พอน้องยื่นจานข้าวมาให้ ผมก็จัดการกินแหลกด้วยความหิวโหยทันที คุณตาคุณยายมองผมที่สวาปามอาหารอึ้ง ๆ ดูทีท่าว่าจะไม่พอด้วย คุณตาเลยเดินไปหยิบกล้วยที่กำลังสุกเหลืองน่ากินมาให้ทั้งเครือเลย พอข้าวหมด ผมก็ดึงกล้วยมาซัดแบบไม่เกรงใจใคร มาตอนนี้ มีช้างก็กินช้างครับ
หลังจากผมอิ่ม คุณตาก็ยื่นขันน้ำเก่า ๆ ที่ถูกขัดจนเลื่อมมาให้ ผมรับมาดื่มอึก ๆ จนน้ำเกือบหมด
“กินเก่งจริง ๆ”
ผมตบหน้าอกตัวเองแรง ๆ ให้น้ำที่ค้างอยู่ลงไป น้องผู้หญิงเขยิบมาลูบหลังให้เบา ๆ
“ดีแล้ว กินได้เยอะขนาดนี้ แปลว่าภายในไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
คุณตาว่า
แล้วน้องผู้หญิงก็ยกถาดข้าวที่ผมกินอิ่มไปเก็บ
“ขอบคุณครับ”
ผมบอกเสียงทุ้มที่ติดจะแหบพร่าเล็กน้อย
“ชื่ออะไรล่ะพ่อหนุ่ม”
ผมกลืนน้ำลาย กำลังจะบอก
ว่าแต่…
กูชื่ออะไรวะ?
ผมขมวดคิ้วนั่งคิด มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีไปมา
“ผม…ไม่รู้”
“อ้าว”
อันนี้เป็นเสียงคุณตา
“จำชื่อตัวเองไม่ได้เลยรึ”
อันนี้เป็นเสียงคุณยาย
“สงสัยสมองพี่แกจะได้รับการกระทบกระเทือน“
อันนี้เป็นคนหลาน
“ไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มมาจากไหนนะ แต่เห็นลอยน้ำมาเกยอยู่ริมแม่น้ำที่ตากับไอ้สาไปหาปลากันพอดี”
ผมพยักหน้ารับ พยายามนึกให้ออกว่าตัวเองเป็นใคร แล้วมาจากไหน
แต่นึกไม่ออก
ก้มมองตัวเอง ทั้งร่างใส่เพียงกางเกงเลเนื้อหนาสีน้ำเงินเก่า ๆ ท่อนบนเปลือยเปล่า
“พี่ตัวใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน มีแค่กางเกงเลของตาตัวนี้แหละที่พอใส่ได้ สลับกับชุดของพี่เอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ สาจะเข้าเมืองไปซื้อตัวใหม่ให้”
น้องผู้หญิงเป็นคนบอก
ผมพยักหน้า มองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนที่นอนตัวเองที่ปูด้วยเสื่อเก่า ๆ มีผ้าห่มบาง ๆ รองหลังและมีผ้าห่มบาง ๆ อีกผืนเอาไว้ห่ม และเพราะความหิวเมื่อกี้ ตอนผมลุกนั่งไม่ได้สนใจมอง มันเลยม้วนอยู่ที่ขา ผมดึงมันออกไปวางไว้ข้าง ๆ แทน
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ทำจากหญ้าคา สภาพเก่ามากแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ภายในก็เก่าไปหมดทุกอย่าง แต่สะอาดสะอ้านดี ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเลย และถ้าให้เดา ไฟฟ้าก็น่าจะยังมาไม่ถึงด้วย แต่ตัวบ้านเย็นสบายดีครับ
รูปแบบบ้านสไตล์ไทยบ้านนอกแบบนี้ รู้สึกเหมือนใครบางคนจะชอบน้า
ใครสักคนที่ติดอยู่ในความรู้สึก แต่นึกไม่ออก
ใครหว่า….
“อันนี้ของพี่” น้องสายื่นสร้อยมาให้เส้นหนึ่ง “ของส่วนตัวของพี่อยู่ตรงนู้น ไม่มีบัตรติดตัว มีแต่แบ้งค์ยับ ๆ ติดอยู่ในกระเป๋ากางเกงพันเดียว พวกเราเลยไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน สายังไม่ได้ไปแจ้งข่าวกับพ่อผู้ใหญ่ กะว่าจะรอให้พี่ฟื้นก่อนแล้วค่อยไปแจ้ง”
ผมพยักหน้า รับสร้อยเส้นนั้นมาดู
“สัญลักษณ์อะไรน่ะนั่น”
คุณตาถามเพราะรูปทรงอันแปลกตาของมัน
“พระอาทิตย์น่ะครับ”
“อ้อ จะว่าไปตอนตาไปเจอหลาน ก็ตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดีเหมือนกัน”
ผมมองหน้าคุณตา ก่อนก้มมองสร้อยพระอาทิตย์อีกที พลิกด้านหลังขึ้นมาดู
“15 For 19”
ผมไม่รู้ว่าความหมายของตัวเลขเหล่านี้คืออะไร แต่ผมรู้สึกว่ามันต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมมากแน่ ๆ
“จำชื่อตัวเองไม่ได้ งั้นก็เรียกว่าพ่ออาทิตย์ไปก่อนละกัน”
คุณตาเสนอ
“ซัน”
ผมโพล่งขึ้น
“อะไรนะ”
คุณตาถามย้ำ
“เรียกผมซันก็ได้ครับ ผมคุ้นกับชื่อนี้มากกว่า”
“เหรอ เอางั้นก็ได้ อาจเป็นชื่อเล่นจริง ๆ ของหลานก็ได้”
“ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ซันเป็นภาษาอังกฤษ แปลว่าพระอาทิตย์น่ะครับ”
ผมจำเรื่องพวกนี้ได้ แต่ทำไมถึงจำเรื่องอื่น ๆ หรือครอบครัวไม่ได้หว่า
ใช่ว่าจะจำอดีตไม่ได้เลย แต่เหมือนภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ จำได้ลาง ๆ แต่เหมือนความทรงจำมันไม่ชัด และขาด ๆ หาย ๆ มากกว่า
“เอาเถอะ พ่อซันลุกไหวไหม นอนมานาน จะไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย หรือจะนอนต่อ”
คุณยายถาม
“ขอผมเดินเล่นหน่อยดีกว่าครับ”
ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เซหน่อย ๆ เพราะไม่ได้ลุกมานาน จนสาต้องเข้ามาช่วยพยุง
“พาพี่เขาไปเดินเล่นทางใต้นะลูก กว้างหน่อย เดี๋ยวย่าไปดูผักให้ พรุ่งนี้สาจะได้เอาไปขาย”
น้องสาพยักหน้ารับ
ผมเดินสำรวจไปรอบ ๆ โดยมีน้องสาช่วยพยุงและเป็นไกด์นำทาง
“เราปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปีเพราะเหมืองเรามีน้ำไหลตลอด ผักหญ้าก็ปลูกกินเองทุกอย่าง เลยไม่เดือดร้อนต้องเข้าหมู่บ้านไปหาซื้ออะไรเท่าไหร่ สาจะเข้าเมืองอาทิตย์ละครั้ง เอาผักไปแลกกับชาวบ้าน หรือไม่ก็เอาไปขาย เพื่อซื้อน้ำปูน้ำปลามาเก็บไว้ที่บ้านเพิ่ม”
น้องสาอธิบาย
“พี่เหมือนไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาเลยนะ คงเป็นลูกคนรวย แต่ดูสุภาพเรียบร้อย ไม่ห่ามเหมือนพวกลูกชายนายอำเภอ”
น้องสาบ่น ทำหน้างอนิด ๆ น่ารักน่าเอ็นดูดี ผมได้แต่นิ่งฟัง พยายามทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปในตัว
แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ ภาพทุกอย่างมันดูเบลอไปหมด เหมือน ๆ จะจำได้ แต่ก็จำไม่ได้
น้องสาไปแจ้งความกับพ่อผู้ใหญ่ให้ผมวันนี้ ใจจริงผมอยากตามไปด้วย แต่คุณตาห้ามไว้ เพราะระยะทางมันไกล ต้องเดินด้วยเท้าเป็นระยะทางมากกว่าสิบกิโล ล้มไป สาคนเดียวจะเอาไม่ไหว
“ไอ้สามันจะไปขายของที่ตลาดกลางหมู่บ้านทุกวันเสาร์ ยังไงก็รอไปวันนั้นละกัน”
คุณตาบอก ผมเลยจำต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านอย่างช่วยไม่ได้(คุณตาคุณยายไปทำงานครับ)
ผมนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้านจนเบื่อ พอตากับยายกลับมา ผมรีบเดินกะเผลกไปช่วยคุณตาหิ้วของทันที
“ไหวแล้วรึ”
คุณตาถาม ผมพยักหน้า
“ให้อยู่เฉย ๆ ผมคงต้องบ้าตายแน่ ๆ”
สองตายายพากันหัวเราะร่วน ถึงจะเจ็บขาเจ็บแขนบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ได้เลย
“ไอ้สายังไม่กลับรึ”
ผมส่ายหน้า
“คงจะเข้าเมืองไปหาซื้อของหลายอย่าง”
ผมพยักหน้าเข้าใจ หิ้วของขึ้นบ้านช่วย หลังจากนั้นผมก็ช่วยตากับยายทำงานก๊อกแก๊กทั่วไป ตามวิถีชีวิตแบบชาวบ้านง่าย ๆ ครับ
“มีกันแค่นี้เองเหรอครับ”
ผมถามตอนช่วยคุณตาเก็บแห ส่วนคุณยายนั่งขอดเกล็ดปลาอยู่ในครัวนู่น คงทำข้าวเย็นเลย
“มีกันแค่นี้แหละ พ่อแม่ไอ้สามันตายไปตั้งแต่มันเกิดใหม่ ๆ แล้ว มันเป็นเด็กดี แต่ก็น่าสงสาร ทั้งที่อยากเรียนหนังสือ แต่ติดตรงที่ต้องดูแลตากับยายนี่แหละ มันเป็นเด็กขยัน ขนาดไม่มีโอกาสได้เล่าได้เรียนเหมือนคนอื่น มันก็ยังขวนขวายไปหาหนังสงหนังสือมานั่งอ่านนั่งเรียนเอง บางวันมันก็ไปให้ชาวบ้านหรือครูสอนให้ มันเป็นเด็กฉลาดนะ มันเคยขนพวกผักและผลไม้ไปฝากพวกครู ๆ เพื่อแลกกับการสอนหนังสือให้มัน ให้มันได้รู้กอไก่กอกา หลังจากนั้น มันก็มานั่งอ่านเอง มันเป็นพวกชอบอ่านหนังสือน่ะ”
คุณตาชี้ไปยังกองหนังสือที่ถูกเก็บใส่ตู้ไม้เก่า ๆ น้องสาคงดูแลดี เพราะแทบไม่มีฝุ่นจับเลย
“มันอ่านหนังสือทุกชนิดนั่นแหละ ก็ไปขอ ๆ เขามา อย่างใครที่เรียนจบแล้ว หรือบ้านไหนที่มีแล้วโละ ๆ มันเอาหมด เห็นมันบอกว่า ตอนนี้มันอ่านไปถึงพวกปอตรีปอโทกันแล้วมั้ง ถ้ามันได้เรียนจริง ๆ ตาคงภูมิใจ”
ผมนิ่งฟังไปเรื่อย ๆ
“แต่โรงเรียนมันไกลบ้าน กว่าจะเดินทางไปกลับ มันใช้ระยะเวลานาน แล้วอีกอย่าง มันห่วงตากับยาย เป็นอะไรขึ้นมาระหว่างวันจะลำบาก”
ผมยิ้ม ไม่แปลกใจว่าทำไมน้องสาถึงได้ดูแสนรู้แสนซนขนาดนั้น
“กลับมาแล้วค่า!!!”
ได้ยินเสียงน้องสาดังแว่วมาแต่ไกล ตามมาติด ๆ ด้วยเจ้าตัวที่วิ่งเหงื่อโชกหอบของพะรุงพะรังเข้ามา ผมละจากคุณตาไปช่วยน้องสาหิ้วของเข้าบ้าน
ตัวก็เล็ก แต่หิ้วมาซะเยอะเชียว
“หาเสื้อผ้าตัวใหญ่ ๆ ให้พี่ยากน่าดู สาเลยต้องนั่งรถเข้าเมืองไปอีกเพื่อหาซื้อให้”
“พี่ใส่ยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่โป๊ก็พอ”
น้องสาหัวเราะร่วน แล้วพวกเราก็ช่วยกันจัดเสบียงให้เข้าที่เข้าทาง หลังจากนั้นน้องสาก็ไปช่วยคุณยายทำกับข้าวต่อ
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ ผมใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านธรรมดา ตื่นแต่เช้า เข้าไร่บ้าง เข้าสวนบ้าง เข้านาบ้าง แล้วแต่ว่าคุณตาจะพาไป ไม่ก็ไปที่แม่น้ำหว่านแหหาปลา โดยมีคุณตาเป็นคนสอน
แกบอกผมหัวดี สอนแป๊บเดียวก็ทำได้แล้ว ส่วนน้องสาก็ไปช่วยคุณยายปลูกผักปลูกหญ้า หุงหาอาหารไป ผมช่วยงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่สมอง ก็พยายามจำให้ได้ว่าตัวเองเป็นใครและมาจากไหน
“สาแจ้งพ่อผู้ใหญ่ไว้แล้วล่ะ ว่าถ้ามีคนมาตามหาพี่ก็ให้มาหาพี่ที่นี่”
น้องสาบอกให้คลายใจ
เรากำลังจะไปเก็บผักบุ้งกันที่หนองน้ำขนาดเล็กด้านล่างนี้แหละ ที่นี่มีผักสะเทิ้นบกสะเทิ้นน้ำแทบทุกชนิด ๆ เหมือน ๆ คุณตาจะแพลนเอาไว้
มุมหนึ่งเป็นผักกระเฉด อีกมุมเป็นผักบุ้ง อีกมุมเป็นผักแว่น และยังมีผักอีกหลายอย่าง น้องสาพับขากางเกงสูงถึงสะโพก เดินลุยน้ำลงไปเก็บ ตอนแรกผมจะเดินลงไปด้วย แต่สาบอกไม่เป็นไร ให้ผมยืนอยู่เฉย ๆ เก็บแป๊บเดียวก็เสร็จ
เก็บเร็วมาก แป๊บ ๆ ได้มาหอบเบ้อเร่อ วันนี้คงเป็นผักจิ้มน้ำพริกและปลาย่างล่ะมั้ง
น้องสาอายุ 14 กว่า ๆ อีกไม่ถึงเดือนก็จะ 15 แล้ว ตัวเล็ก ๆ หน้าตาดูน่ารักแบบเฉี่ยว ๆ ดี ดวงตาสีนิล ผิวคล้ำจากการตากแดด ผมสีเดียวกับดวงตา ยาวถึงกลางหลัง กตัญญู ทำอาหารเก่ง พูดเก่ง แล้วก็ร่าเริงดี
นิสัยแบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงใครขึ้นมาตงิด ๆ
ผมนั่งเหม่อ กอดเข่าหลวม ๆ แหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์เกือบกลมท่ามกลางท้องฟ้าสีไม่มืดไม่สว่าง ทุกเย็น ผมจะต้องมานั่งอยู่ริมชาน แล้วแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์แบบนี้เสมอ
ผมไม่รู้ว่าพระจันทร์มีความสำคัญกับผมยังไง แต่ทุกครั้งที่ผมมอง ผมจะรู้สึกสบายใจ
ผมจับสร้อยที่คอไว้ ก่อนปลดมันออก ยกดูเหนือใบหน้า ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ตั้งแต่ทรงกลมของพระอาทิตย์ คลื่นของแสงแดด และลายแปลก ๆ ตรงกลาง รวมถึงตัวหนังสือด้านหลังด้วย ผมหย่อนมันลงมาเหนือริมฝีปาก และจูบมันเบา ๆ
มันให้ความรู้สึกเหมือน ๆ กับผมเคยสัมผัสกับอะไรบางอย่างมาก่อน บางอย่างที่คุ้นเคย ผ่านสร้อยพระอาทิตย์เส้นนี้ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“สาว่าสร้อยเส้นนี้ต้องเป็นของสำคัญสำหรับพี่แน่ ๆ เลย”
สาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผมหันไปมอง
“พี่ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกอุ่นใจที่มีมันอยู่”
“ไม่แน่นะ บางที...คนสำคัญของพี่ อาจให้พี่มาก็ได้”
“คงงั้นมั้ง”
ผมบอกยิ้ม ๆ ใส่มันกลับลงคออีกครั้ง แหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์อีกที
“สาเอ้ย!! ตื่นรึยังลูก”
เสียงปลุกน้องสาพาเอาผมต้องตื่นขึ้นมาด้วย ผมชะโงกหน้ามองนาฬิกาข้อมือที่ผมถอดวางไว้ข้างหมอน หกโมงพอดี
ผมลุกออกจากที่นอนไปด้านนอก เห็นคุณตาคุณยายเดินถืออุปกรณ์การหาปลามา สงสัยจะลงเหมืองไปหาปลากันแต่เช้ามืด ผมรีบเข้าไปช่วยทันที
“เสร็จแล้ว ๆ”
น้องสาเปิดประตูเดินออกมาในชุดน่ารัก
“โอ้ น่ารักเชียวไอ้สาหลานยาย”
ยายยิ้มแป้นเชียว
“หาโอกาสแต่งสวยยาก วันนี้มีคนไปด้วย เลยแต่งสวยได้”
น้องสาบอกยิ้ม ๆ
วันนี้น้องสาใส่กางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาล เสื้อยืดเข้ารูป หน้าอกไม่มีครับ สงสัยจะยังไม่โต ไม่มัดผมด้วย
“พ่อซันไปล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวเถอะ”
คุณตาว่า ผมรีบไปอาบน้ำเตรียมตัว พอเรียบร้อยก็เห็นน้องสากำลังจะหิ้วของ ผมรีบเข้าไปแย่งทันที
“สาหิ้วได้พี่ แค่นี้จิ๊บจ๊อย”
“พี่รู้”
เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่แรงเยอะครับ เฮ้วเอาเรื่อง
“ให้พี่หิ้วไปก่อนละกัน พี่เมื่อยเมื่อไหร่สาค่อยช่วย”
ถ้าไม่พูดแบบนี้ สาคงไม่ยอมให้ผมหิ้วแน่ ๆ “และอีกอย่าง…” ผมมองหน้าสาตรง ๆ “วันนี้สาแต่งตัวน่ารัก เดินเฉย ๆ ก็พอ”
สาหน้าแดงทันทีที่ผมพูดจบ ผมหัวเราะหึ ๆ
“เอาล่ะ ขายกันให้หมดนะ”
คุณยายสั่งเสีย
“โห เชื่อมืออีสาเหอะน่า”
สายกกำปั้นทำท่าฮึด ผมอมยิ้ม แล้วพวกเราก็พากันออกเดินทาง ปกติสาจะแต่งตัวมิดชิด เพราะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เดี๋ยวมีคนมาฉุดมาฆ่ามันจะยุ่งเอา
เราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้สลับกับริมคลองเล็ก ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ชั่วโมงกว่า ๆ เราก็เดินมาถึงถนนใหญ่ ยืนรอกันสักแป๊บ ก็มีรถวิ่งผ่านมา น้องสารีบโบกทันที
บ้านนอกครับ โบกใคร ใครก็จอด เป็นรถกระบะเก่า ๆ แต่ก็ดีกว่าต้องเดินเท้าเป็นไหน ๆ เราลงรถกันที่ตลาดใหญ่ ช่วงเช้าเป็นตลาดของกิน ช่วงบ่ายจะเป็นตลาดเที่ยว น้องสาเอาของไปปูขายกับพื้น ที่นี่ไม่เสียค่าที่ด้วย ทางการเขาจัดไว้ให้ชาวบ้านโดยเฉพาะ
เห็นลีลาการขายแล้ว ผมก็อดขำไม่ได้ ดีว่าวันนี้แต่งตัวน่ารัก หนุ่ม ๆ เลยเหมาไปซะเกือบหมดร้าน ซื้อแล้วก็อยากได้ของแถมเป็นเบอร์โทรของแม่ค้า แต่น้องสาบอกไม่มีเบอร์มือถือ มีแต่เบอร์รองเท้าจะเอาไหม
กวนได้อีก
ไม่นานน้องสาก็ขายหมด ได้เงินหลายร้อยอยู่ น้องสาไปหาซื้อข้าวของที่ขาดเพิ่มเติม ที่เหลือก็เอาเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารหมู่บ้าน ถ้าไม่ได้ใช้ของฟุ่มเฟือย เงินก็เหลือเก็บเหลือใช้มากมายทีเดียวเชียว
“เสาร์หน้าเป็นเสาร์สิ้นเดือน ตลาดคนจะเยอะมาก เดี๋ยวสาจะพาพี่มาเดินเที่ยวด้วย”
และพวกเราก็จบการค้าขายไว้เพียงแค่นั้น
ผมกับสาเดินทางไปบ้านผู้ใหญ่อีกที เพื่อแจ้งความไว้ ผู้ใหญ่ไม่อยู่ เลยทิ้งเรื่องไว้กับผู้ช่วยอีกที
ผมกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นเช้าเข้าไร่เข้านา ตกเย็นหาปูหาปลา จนลืมไปเลยว่าต้องออกไปตามหาครอบครัวตัวเอง อีกอย่างผมไม่รู้ว่าจะตามหายังไงด้วย
ให้ไปหาตำรวจ แล้วแจ้งว่าความทรงจำผมหาย ช่วยตามหาให้ที มันก็กระไรอยู่ ผมเลยปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยจนเข้าอาทิตย์ที่สอง
วันนี้เราจะหิ้วของไปขายกันในตลาดเหมือนเคย เอาของไปเยอะขึ้น เพราะมีผมช่วยแบก ผมเอาเงินที่ผมพกติดตัวมาด้วย
พอมาถึงก็จริงอย่างที่น้องสาว่า เพราะข้าวของเยอะมาก และจัดระเบียบดีกว่าวันปกติ เรานั่งขายของกันช่วงเช้า พอหมดเราก็เก็บของเตรียมเดินเล่นกัน วันนี้ไม่มีของที่ต้องซื้อ เลยมีเวลาเยอะ
“สาอยากได้กิ๊ฟติดผมอันใหม่ หวีใหม่ด้วย อันเก่าพังหมดแล้ว”
น้องสาบอกยิ้ม ๆ
“แถวนี้มีร้านหนังสือไหม”
ผมถาม น้องสาพยักหน้า
“มีค่ะ แต่เป็นหนังสือเก่านะ อย่างพวกหนังสือเรียน หรือหนังสือที่เขาเอามาบริจาคน่ะ ไม่แพงหรอก พี่อยากได้อะไรเหรอ”
“พาพี่ไปหน่อยสิ”
ผมไม่ตอบ แต่ถามต่อ น้องสาพาผมเดินตรงไปยังร้านนั้นทันที มันเป็นร้านหนังสือเก่า ๆ ครับ เป็นพวกหนังสือเรียน หนังสืออ่านเล่น และหนังสือทั่วไป ร้านใหญ่อยู่เหมือนกัน
“อยากได้เล่มไหนหยิบเอาเลย พี่ให้งบพันหนึ่ง”
น้องสาตาโต
“ไม่เอาดีกว่า เยอะขนาดนั้น”
“เอาเถอะน่า หยิบเอาเถอะ ถ้าไม่เอา พี่เอาไปให้คนอื่นนะ”
ผมทำท่าจะเดินไปจริง ๆ จนน้องสาต้องรั้งไว้
“หยุด ๆ!! สาเอาเองก็ได้”
ผมยิ้ม ยืนรอน้องสาเลือกหนังสืออยู่อีกมุมของร้าน
“เฮ้ยไอ้ปิง!! พวกเรามาตามหาคน ไม่ได้มาเดินช็อปปิ้ง!!”
“กูรู้น่า แต่ขอกูดูนิดหนึ่ง เผื่อมีหนังสือหายากอยู่แถว ๆ นี้ ไม่เกินสิบนาทีหรอกน่า”
ได้ยินเสียงคนกำลังเถียงกันอยู่อีกฝากของชั้นหนังสือ เสียงฟังดูคุ้นเคยยังไงพิกล แต่ผมไม่ได้สนใจ หยิบหนังสือที่วางกอง ๆ กันอยู่ขึ้นมาดู หนังสือมันเก่าได้ใจจริง ๆ
“รีบไปเถอะน่า!!”
ผมหันไปมอง เห็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง กำลังดึงคอเสื้อผู้ชายที่ตัวเล็กกว่านิดหนึ่งเดินผ่านหน้าไป
“เดี๋ยวเดะ กูดูแป๊บเดียว!!”
คนที่ถูกรั้งคอเสื้อพยายามยื้อใหญ่ ผมเลิกคิ้วมอง อมยิ้มนิดหนึ่ง แล้วก้มดูหนังสือต่อ
ตัวเล็ก
ไอ้ตัวเล็ก…
คำบางคำโผล่ขึ้นมาในหัว ผมละสายตาจากหนังสือมาทำท่าคิด แล้วคำคำนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป
ไม่นานน้องสาก็เดินหอบหนังสือจนสูงท่วมหัวมาหา ผมรีบเดินเข้าไปช่วยทันที พันหนึ่งได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ
“เล่มละไม่กี่สิบบาทเอง”
น้องสาบอก ผมพยักหน้า หอบหนังสือเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์
“ไอ้โอ๊ค กูขอร้อง ขอกูดูนิดหนึ่ง!!”
“เอ้อ ๆ กูให้เวลามึงสิบนาที”
ผมหันไปมอง เห็นคนขอยิ้มแป้น เดินไปยังมุมที่ผมเพิ่งเดินจากมา ตามติดด้วยอีกคนที่ไปยืนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ข้าง ๆ
พอได้หนังสือ พวกเราก็ฝากเอาไว้ที่ร้านก่อน ขากลับค่อยมาแบกกลับ แล้วพวกเราก็พากันไปเดินดูของในงานกันต่อ
“กายไปดูทางนู้นละกัน ส่วนพี่จะไปดูทางนี้”
ผมสะดุดหูชื่อของใครบางคนเข้า หันมองไปรอบ ๆ เพื่อหาเจ้าของชื่อนั้น แต่ไม่เห็นใครสะดุดตาเลยสักคน
...กาย
ทำไมผมรู้สึกคุ้นหูชื่อนี้พิกล
หรือว่าจะเป็นชื่อผมเอง?
พวกเราเดินเที่ยวกันอยู่ไม่นานก็เตรียมตัวกลับ
“เกือบลืมไปเลย! สาต้องไปซื้อสารส้มก่อน พี่ซันรออยู่นี่ก่อนนะ”
น้องสายื่นของที่ถืออยู่มาให้ผมหิ้ว ผมรับมาถือไว้งง ๆ
ผมเขยิบไปยืนรออยู่หลังร้านขายกิ๊ฟช็อป (จะได้ไม่ขวางทางคนอื่นเขาครับ ตัวผมใหญ่กินพื้นที่ทางเดินเล็ก ๆ น่าดู) ผมกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าร้านค้าร้านหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล
ผมหยุดสายตาเอาไว้ที่คนคนนั้น ไม่แน่ใจว่าเพราะการแต่งตัวที่ดูเป็นคนเมือง หรือเพราะใบหน้าเศร้าสร้อยคล้ายคนจะร้องไห้แบบนั้น
เขายืนนิ่ง ทอดดวงตาคล้ายกำลังมองหาอะไรสักอย่างอยู่ แต่เขาไม่ได้มองมาทางผม
ผมรู้สึกคุ้นเคยยังไงพิกล
“กาย!!”
คนคนนั้นหันไปตามเสียงเรียก ผมหันไปมองตาม เห็นผู้ชายคนหนึ่งโบกมือเรียกเดินตรงเข้ามาหา ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่เห็นคนชื่อกายพยักหน้า เดินตามชายคนนั้นไป ผมมองตามจนลับสายตา รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีจนผมต้องกุมมันไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่ซัน”
น้องสาเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่ปวดหัวนิดหน่อย”
สาขมวดคิ้วมอง “สงสัยจะยังไม่หายดี แวะซื้อยากันสักหน่อยดีกว่า”
ผมพยักหน้าเดินตามน้องสาไป
ขณะที่ผมยืนรอน้องสาซื้อยาอยู่ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นใครคนนั้นเข้าอีก เขายืนห่างจากผมไปอีกล็อก รู้สึกหัวใจผมเต้นแรงแปลก ๆ ผมมองใครคนนั้นแทบตาไม่กะพริบ หวังให้เขาหันมามองผมบ้าง
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะฮะ”
น้ำเสียงก็คุ้นเคยยังไงพิกล ผมกับเขายืนห่างกันแค่สองวาเท่านั้น
หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่อคนคนนั้นกำลังจะหันมามอง
“กาย!”
แต่เสียงเรียกของใครอีกคนเบนสายตาและใบหน้าของเขากลับไปอีกด้าน แล้วคนคนนั้น ก็เดินตามเจ้าของเสียงนั้นไป
ความผิดหวังเข้าเกาะกุมจิตใจ
ไม่รู้ทำไม ผมถึงได้อยากให้เขาเห็นหน้าผมยังไงบอกไม่ถูก
ผู้ชายตัวขาว ๆ ที่ชื่อกาย
To Be Con....
Book & e-book:
https://goo.gl/FSOuuM