ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป
ถือเป็นโชคดีของนคินทรที่การนำเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนจัดขึ้นในตอนเช้าวันอาทิตย์ เขาจึงไม่ต้องลางานและมีเวลาพอที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวในช่วงคืนวันเสาร์ก่อนจะต้องเดินทางกลับหลังจากได้นำเสนอเรียบร้อยเพื่อให้ทันทำงานในเช้าวันจันทร์ ทันทีที่ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง พายุพัดก็ได้รับโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง เขากดรับสายแล้วคุยกับอีกฝ่ายตั้งแต่ลงเครื่องกระทั่งเดินไปตามทางที่มุ่งสู่อาคารที่พักผู้โดยสาร นคินทรมองมือข้างที่สวมกำไลเงินรูปปลาคู่ซึ่งกำโทรศัพท์แน่น แม้จะถามคำตอบคำเป็นปกติแต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว คนที่ปลายสายคงต้องเป็นคนคุ้นเคยที่มักทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นแน่
“เออ จะถึงแล้วเนี่ย อย่าเร่งสิ คนเยอะ เดินเร็วได้แค่นี้” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะกดตัดสาย หย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาบอกคนเดินข้าง ๆ “เพื่อนเรารออยู่ข้างนอกแล้วละ”
“เดินไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวเพื่อนรอนาน”
“ไม่เป็นไร ไปด้วยกันนี่แหละ เราอยากให้นายเจอเพื่อนเรา” พายุพัดบอก
นคินทรเพียงแต่พยักหน้า เดินไปเรื่อย ๆ กระทั่งออกสู่บริเวณที่พักผู้โดยสาร เห็นคนมาด้วยกันยกมือขึ้นโบก ไม่นานใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้น
“ที่แท้ก็มีนนี่เอง” ชายหนุ่มยิ้ม ดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง
“ม่อนนี่เองคนที่พายบอกว่าจะให้มาช่วยนำเสนอโครงการ ก็ว่าอยู่ว่าหน้าอย่างฉลามหินนี่จะพูดได้เกินห้าประโยคหรือเปล่า ได้ม่อนมานำเสนอให้ แบบนี้ต้องผ่านแน่ ๆ เลย”
“ทีอย่างนี้ละไม่รีบ” คนหน้านิ่งแทรกขึ้น
“เออ ขอคุยกับม่อนหน่อยสิ นาน ๆ เจอกันที” ชลชาติบอก
“เราไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก”
“แต่งานนี้ไอ้พายมันหวังไว้มากเลยนะ”
นคินทรพยักหน้า เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขารับรู้มาโดยตลอด
“ไปกันเถอะ”
“จะรีบไปไหนวะ” ชลชาติมุ่นคิ้ว
“เดี๋ยวม่อนถึงบ้านมืด” คนพูดน้อยตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำไป...
พายุพัดละสายตาจากเจ้าของรถที่เพิ่งหยุดบ่นเรื่องการจราจรบนถนนวิภาวดี-รังสิต มองผ่านกระจกมองหลัง เห็นนคินทรกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง อดอยากรู้ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร เพราะอยู่บนเครื่องบินเขาก็เอาแต่ทำเช่นนี้ ดูพูดน้อยกว่าทุกครั้งที่พบกัน
“ไม่ให้เราไปส่งที่บ้านจริง ๆ เหรอม่อน” ชลชาติเอ่ยขึ้น
“รถติดขนาดนี้ เราไปเองดีกว่า มีนส่งเราตรงที่ป้ายรถเมล์ที่บอกนั่นแหละ เดี๋ยวเรานั่งแท็กซีต่อไปเอง”
ชายหนุ่มพยักหน้า มองเพื่อนเก่าผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่งแล้วย้ายกลับไปมองทางต่อ “ไม่คิดจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ บ้างเหรอม่อน คุณลุงหมอกับคุณป้าวาสนาคิดถึงแย่แล้วมั้งป่านนี้”
“พ่อกับแม่ก็ถามแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน” นคินทรตอบเสียงเรียบ ยังคงมองออกไปนอกกระจก
“เออ เห็นพายบอกว่าม่อนเรียนห้องเดียวกับพายก่อนที่พายจะย้ายมาเรียนกรุงเทพฯ เหรอ”
“อือ” คนถูกถามรับคำในลำคอ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“เราย้ายโรงเรียน แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่เชียงใหม่น่ะ”
“จริงเหรอ อย่างนี้ม่อนก็เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกับพ่อเราน่ะสิ พ่อเราจบเภสัช แล้วเป็นยังไงบ้าง เป็นเด็กกรุงเทพฯ ไปเรียนเชียงใหม่ โดนแกล้งอะไรไหม พ่อเราเล่าให้ฟังว่าไปถึงก็โดนเลย จะไปจีบสาวคณะทันตะ ก็เลยให้เพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่สอนพูดคำเมือง เพื่อนก็ดี๊ดี ช่วยสอนให้”
“แล้วเป็นยังไง” นคินทรหันมาฟังอย่างสนใจด้วยรู้ว่าแม่ของอีกฝ่ายไม่ได้เป็นทันตแพทย์แต่เป็นพยาบาล
“ไปถึงพ่อก็เอาดอกไม้ไปยื่นให้แล้วบอก เธอ ๆ น่าง่าวจัง”
ทั้งนคินทรและพายุพัดต่างพากันหัวเราะพรืด
“โดนสาวไล่ตะเพิด ตั้งแต่นั้นก็ไม่กล้ากลับไปเหยียบคณะทันตะอีกเลย” ชลชาติเล่าไปยิ้มไป นึกถึงเจ้าของร้านขายยาร้านใหญ่ย่านติวานนท์ “แล้วม่อนล่ะ โดนแกล้งอะไรบ้างไหม”
“อืม...เคยโดนหลอกให้ไปซื้อน้ำบ่ดายปั่น”
“น้ำอะไรนะ” หนุ่มเมืองนนท์ทวนคำ
“น้ำบ่ดาย” พายุพัดตอบแทน “แปลว่าน้ำเปล่า”
“นั่นแหละ จนแม่ค้าต้องติดป้าบอกว่าอย่าแกล้งให้เพื่อนมาสั่งน้ำบ่ดายปั่นเพราะมันไม่มี ดีไม่ดีจะถูกด่ากลับ แต่นี่ยังน้อย บางคนโดนให้ไปซื้อน้ำอย่างอื่น หลบกระบวยแทบไม่ทัน”
“เออ ๆ ตลกดีว่ะ” ชลชาติหัวเราะ “ไอ้พายนี่ก็ใช่ย่อย”
“อะไร” เจ้าของชื่อหันขวับ
“ก็ตอนเข้ามาเรียนที่โรงเรียนใหม่ ๆ ไง นายไม่พูดอะไรเลย จนบางทีเราก็นึกสงสัยว่าขี้เก๊กหรือ...” คนพูดนิ่งนึก “ภาษาเหนือเขาเรียกอะไรนะ คนที่ไม่รู้สึกไม่รู้สา ถูกด่าก็ยังเฉยน่ะ”
“มีน...” พายุพัดลากเสียงเป็นเชิงปราม
“คนบ่ฮู้คันบ่ฮู้เดียม” นคินทรบอก
“เออ ๆ นั่นแหละ ๆ ก็เลยโดนหลอกให้ไปโบกรถไฟฟ้า”
“โบกรถไฟฟ้า?”
“อือ วันนั้นจะไปสยามกัน แล้วด้วยความที่ไอ้พายมันเข้ามาเป็นรุ่นน้องไง พวกเพื่อน ๆ เราก็เลยถือโอกาสสอนไอ้พายโบกทั้งแท็กซี รถเมล์ แล้วก็รถไฟฟ้าเสียเลย”
“มีน...พอแล้วมั้ง” พายุพัดยกมือห้ามแต่ก็ถูกชลชาติคว้าหมับเข้าที่ข้อมือซึ่งไม่เคยว่างจากกำไลรูปปลา
“ไม่ต้องห้ามเลย เรื่องนี้มันต้องเล่าสู่กันฟัง” พูดจบก็ย้ายมืออีกฝ่ายไปวางบนตักของผู้เป็นเจ้าของแล้วมองนคินทรผ่านกระจกมองหลัง “พอเห็นรถไฟฟ้าใกล้จะมาถึงเพื่อน ๆ ก็ส่งไอ้พายออกไปโบก ไอ้พายก็ซื่อไง ให้โบกก็โบก เลยโดน รปภ. เป่านหวีดไล่”
“มีน...”
ชลชาติยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบ “หน้าง่าว”
“คนบ่ฮู้คันบ่ฮู้เดียมน่ะนายมากกว่า” พายุพัดถอนใจสลัดให้หลุดจากสัมผัสของอีกฝ่าย
“ทำงอน ๆ”
นคินทรละสายจากสองคนที่กำลังหยอกล้อกัน มองไปนอกกระจกเห็นว่าใกล้ถึงป้ายรถเมล์ที่เขาจะต้องลงจึงเตือนชลชาติอีกครั้ง เมื่อรถจอดเทียบบาทวิถีชายหนุ่มก็เตรียมสะพายเป้ ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเจ้าของรถ
“ขอบใจนะมีน” พูดจบก็เตรียมจะเปิดประตู แต่ต้องชะงักเพราะอีกคนที่หันมาเรียก
“ม่อน ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วยนะ”
เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วกล่าว “พรุ่งนี้เจอกัน”
พายุพัดมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองข้างจนกระทั่งรถเคลื่อนกลับเข้าสู่เส้นทางจราจรที่แสนคับคั่งอีกครั้ง ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ ฮัมเพลงเบา ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังบ่นเรื่องรถติดไม่หยุดปาก
ไม่รู้เสียงฮัมเพลงหยุดไปตอนไหน จู่ ๆ ชลชาติก็เอ่ยขึ้น “กับเราไม่เห็นเคยพูดแบบนี้บ้างเลย”
“พูดอะไร”
“ก็...” ทำยืนหน้าเข้ามาใกล้แล้วส่งสายตาวิบวับ “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ”
“ไอ้มีน” คนพูดน้อยมุ่นคิ้ว ตะปบมือแล้วดันหน้าตี๋ออก “ไปห่าง ๆ”
“แหม...ใช่สิ กับเราละอยากให้ไปห่าง ๆ แต่กับบางคนน่ะใจลอยตามเขาไปถึงไหน ๆ”
พายุพัดถอนใจเฮือก เสมองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ม่อนนี่เอง คนที่ทำให้ฉลามหินของเราหวั่นไหวได้”
“ขืนยังพูดมาก ต่อไปจะไม่เล่าอะไรให้ฟังแล้ว”
“พูดน้อยแบบนายก็ไม่ไหวนะ ระวังเถอะ ไม่บอกให้เขารู้ คนอื่นจะมาคาบไปกิน”
พายุพัดฟังเพื่อนพูดแล้วพลันนึกถึงคำพูดของอาจารย์เมธีขึ้นมา...
“ต้องถามตัวเองก่อนว่าเธอเป็นประเภทไหน บางคนแอบชอบแล้วต้องการบอกให้เขารู้ อยากให้ตัวเองมีตัวตนในสายตาของเขา ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเขา ส่วนบางคนก็ขอแค่ให้ได้บอก ไม่กลัวผลที่จะตามมา ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะเงียบ” ...ถึงตอนนี้ก็ยังค้นไม่พบว่าตนเองเป็นคนประเภทไหน
“กลัวเหรอ”
“อือ” ชายหนุ่มตอบตามตรง นั่นเพราะชลชาติเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเลือกที่จะคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย
“กลัวอะไรวะ กลัวว่าเขาจะไม่คิดเหมือนกันเหรอ”
พายุพัดส่ายหัว “กลัวถูกเกลียด”
“พายเอ๊ย... เราว่าม่อนไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก อย่างน้อยถ้านายบอก นายก็ไม่ต้องอึดอัดใจที่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียว ส่วนม่อนเองก็จะได้รู้ว่านายคิดแบบไหน ถ้าไม่ได้คิดเหมือนกันก็ไม่เป็นไรนี่ เป็นเพื่อนกันต่อไป ดีเสียอีก ต่างคนจะได้รู้ว่าควรปฏิบัติต่อกันยังไงหลังจากนี้”
คนฟังถอนหายใจรอบที่ล้าน “ถ้ามันง่ายอย่างนั้นจริง ๆ ก็ดีสิ”
...
ในวันรุ่งขึ้น ชลชาติ พายุพัด และนคินทรนัดพับกันที่อาคารพีเอสบนถนนรามคำแหงซึ่งเป็นที่ตั้งของ “มูลนิธิก่อฝันปันสุข” ก่อตั้งโดยคุณปัณณ์ สุขวิบูล ประธานบริษัท พี เอส สปอร์ต จำกัด บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านการเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา มูลนิธินี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลาย ๆ หน่วยงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางด้านกีฬาและนันทนาการภายในประเทศ ในแต่ละปีมูลนิธิก่อฝันปันสุขจะพิจารณามอบเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ จำนวน 10 ทุน โดยมีการกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ในปีนี้มีผู้เสนอโครงการกว่า 30 โครงการ มีโครงการที่ผ่านการพิจารณาในรอบแรกซึ่งเป็นการพิจารณาจากเอกสารรวม 17 โครงการ ซึ่งจะต้องมานำเสนอกันในวันนี้
พายุพัดเดินนำเข้าไปภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาจากทั่วสารทิศ บ้างจับกลุ่มซักซ้อม บ้างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกัน ชายหนุ่มกวาดตามองขึ้นตามแนวที่นั่งซึ่งลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ด้านหน้าสุดเป็นที่สำหรับคณะกรรมการ ส่วนถัดขึ้นไปจัดไว้ให้ผู้มานำเสนอและผู้ที่สนใจเข้าฟัง เมื่อพบที่นั่งว่างสามคนจึงพากันเดินขึ้นไปตามช่องทางด้านข้าง วางสัมภาระแล้วนั่งลง
“มาได้ไงวะ” ชลชาติพึมพำกับตัวเองเมื่อจู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ผลักประตูบานใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่พวกเขานั่งเข้ามา
“ใคร” พายุพัดถาม
“ไอ้ธรรม์”
นคินทรมองสองคนก่อนจะเบนสายตาไปยังเจ้าของร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตผูกเนคไท ผมเผ้าจัดแต่งทรงดูเนี้ยบ ผิดกับคนส่วนใหญ่ที่นี่ ชายคนนั้นกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดตรงที่พวกเขานั่ง พลันริมฝีปากก็เกิดรอยยิ้มยากจะคาดเดาความคิด ครู่หนึ่งก็มีอีกคนเดินตามเข้ามา เป็นชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดสูทดูภูมิฐาน ชายคนที่อายุน้อยกว่าผายมือเชิญ จากนั้นจึงเดินตามไปส่งจนถึงที่นั่งซึ่งมีป้ายชื่อติดกำกับ
“ลืมไปเลยว่ะว่าอาจารย์ธนิตก็เป็นคณะกรรมการของมูลนิธินี้”
“ไม่เป็นไรหรอก” พายุพัดตอบสั้น ๆ
“ใครเหรอ” คนที่นั่งถัดเข้าไปด้านในเอ่ยขึ้น รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ก็นึกว่าออกว่าเคยเจอชายหนุ่มผู้นั้นที่ไหน
“เพื่อนเก่าน่ะ”
นคินทรพยักหน้า พายุพัดยังไม่ทันอธิบายต่อ คนที่กำลังถูกกล่าวถึงก็เดินมาหยุด ถือโอกาสนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้า ใช้เท้ายันพื้นหมุนเก้าอี้เพื่อหันกลับทักทาย
“ไง ได้ข่าวว่าพวกนายก็มานำเสนอโครงการกับเขาด้วยเหรอ” ธรรม์ณธรว่าพลางยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนัก วางท่าราวกับเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่
พายุพัดตอบอือ ส่วนที่เหลือนั่งฟังเฉย ๆ
“ยากหน่อยนะ เห็นอาจารย์ธนิตบอกว่ามีแต่โครงการน่าสนใจทั้งนั้น อันที่จริง...ถ้านายลองใช้ความมีชื่อเสียงให้เป็นประโยชน์ ขี้คร้านบริษัทดัง ๆ จะพากันวิ่งเข้าหา” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ “อ้อ...เราลืมไป นายประกาศอำลาวงการไปแล้วนี่ ตอนนี้ชื่อเสียงพวกนั้นมันไม่เหลือแล้วสินะ”
“ไอ้ธรรม์” ชลชาติเตรียมจะลุกขึ้นแต่ถูกเพื่อนรักรั้งไว้
“นายเองก็อีกคน” ธรรม์ณธรชี้หน้าอาจารย์หนุ่ม “ไว้ให้เราเข้าไปเป็นเลขารองคณบดีได้เมื่อไร นายเตรียมตัวตกกระป๋องได้ จะได้รู้รสชาติว่าการเป็นคนที่ถูกมองข้ามมันเป็นยังไง” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็หัวเราะหึก่อนจะเดินจากไป
“ดูท่าทางเขาคงไม่นับพวกนายเป็นเพื่อนหรอกมั้ง” นคินทรว่า
ชลชาติถอนใจ “สงสัยจะเจองานหินแล้วว่ะไอ้พาย”
พายุพัดมองตามธรรม์ณธรซึ่งขณะนี้เดินไปหยุดที่ด้านหลังโต๊ะของคณะกรรมการ ในใจรู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก มือใหญ่เผลอกำแน่น แต่แล้วมือของอีกคนที่วางลงมาบนบ่าก็ทำให้ได้สติ
“ไม่เป็นไรน่า” นคินทรยิ้ม
เมื่อการนำเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนเริ่มขึ้น เจ้าของโครงการแต่ละโครงการต่างเตรียมพร้อม ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับการนำเสนอ ทั้งโมเดลตัวอย่าง รวมถึงแบบแปลนต่าง ๆ ในกรณีที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง ไม่นานข้อมูลทางสถิติและตัวหนังสือมากมายก็ถูกทยอยฉายขึ้นให้เห็นบนฉากรองรับขนาดใหญ่กลางเวที
“ตื่นเต้นไหม” พายุพัดหันมาถามคนนั่งข้าง ๆ
“สบาย ๆ” นคินทรไหวไหล่ก่อนจะวางมือบนแขนของอีกฝ่าย
“มือเย็นเฉียบยังว่าสบาย ๆ”
“ก็เหมือนสอนหน้าชั้นเรียนหรือยืนรายงานหน้าห้องนั่นแหละ นายอยากลองไหมล่ะ”
“นั่นแหละที่เราเกลียด ถ้าเราทำได้คงไม่ขอร้องให้นายมาหรอก”
“คุยอะไรกัน ขึ้นไปเตรียมตัวได้แล้ว” ชลชาติเตือน
นคินทรจึงลุกขึ้น เดินไปรอที่ข้างเวที เขาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคอยู่ครู่หนึ่ง รอผู้นำเสนอโครงการก่อนหน้าลงจากเวทีจึงก้าวขึ้นไปแทนที่ ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังโต๊ะสำหรับวางเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่ไม่ได้นำอุปกรณ์เหล่านี้ติดตัวมา รอเจ้าหน้าที่เทคนิคตั้งค่าต่าง ๆ เรียบร้อยจึงคว้าไมโครโฟนก้าวออกมายืนตรงกลางเวทีแล้วกล่าวทักทายทุกคน
“สวัสดีครับ ผมชื่อนคินทร ปฐวิพัฒน์ เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดครับ พ่อของผมเป็นนายทหาร ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน พวกเราย้ายตามพ่อไปอยู่ที่จังหวัดน่านตั้งแต่ผมจบป.หก”
ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ในตอนแรกนั้นคืองุนงงกับวิธีการนำเสนอของคนบนเวที แต่นานเข้าความฉงนสนเท่ห์ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นการฟังอย่างตั้งใจ
“ผมเริ่มเรียนชั้นมัธยมที่จังหวัดน่านจนกระทั่งถึงม.สี่ พ่อก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น หลังจากผมเรียนจบปริญญาตรี ผมก็ตั้งใจว่าผมจะต้องกลับมาที่น่านอีก เพราะผมเป็นคนกรุงเทพฯ ที่หลังรักจังหวัดนี้ไปเสียแล้วละครับ ผมกลับมาที่น่านในสถานะใหม่ ไม่ได้เป็นนักเรียนเหมือนก่อน แต่เป็นครู” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง แตะปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสเพื่อสั่งเลื่อนสไลด์รูปภาพที่ได้บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก พลันภาพต่าง ๆ ที่ทั้งเขาและพิทักษ์ช่วยกันเตรียมก็ปรากฏขึ้นบนฉากด้านหลัง
พายุพัดนั่งหลังตรง ดวงตาจับจ้องไปที่ร่างสูงบนเวทีที่ใช้วิธีการเล่าด้วยภาพและเล่าอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่สภาพทั่วไปของท้องถิ่น ความเป็นอยู่ของคนในชุมชน รวมถึงการยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าพื้นที่เล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ขาดแคลนสิ่งใดบ้าง อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าแม้นคินทรจะไม่ใช่คนในท้องถิ่นแต่กลับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ดีกว่าคนที่เกิดและโตที่นั่นอย่างตนเองเสียอีก
“แต่ผมเป็นครูที่ว่ายน้ำไม่เป็นครับ พ่อของผมท่านเคยสัญญาว่าจะสอนผมว่ายน้ำ สุดท้ายท่านก็งานยุ่งจนไม่มีเวลา และผมเองก็ไม่เคยคิดจะเรียนว่ายน้ำกับใคร...ถ้าหากคนนั้นไม่ใช่พ่อ”
นคินทรนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วเริ่มพูดต่อ “ผมรู้ว่าตอนที่คนเราจมน้ำและกำลังจะตายนั้นมันน่ากลัวขนาดไหน เด็ก ๆ ที่โรงเรียนของผมส่วนใหญ่ก็ว่ายน้ำไม่เป็น เพราะบ้านของเราอยู่ท่ามกลางภูเขา พ่อแม่ก็ทำไร่ทำนา แหล่งน้ำที่มีก็คือก็ลำธารที่มักจะแห้งขอดในช่วงหน้าแล้ง แล้วก็ไหลเชี่ยวในช่วงหน้าฝน ทุก ๆ ปีจะมีเด็กประสบอุบัติเหตุจมน้ำอยู่บ่อยครั้ง ผมจึงเป็นตัวแทนนำความหวังของเด็ก ๆ ในอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่งมานำเสนอ นั่นก็คือโครงการสระว่ายน้ำมีขาครับ”
นคินทรยังคงเล่าต่อไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับโครงการและวัตถุประสงค์ ด้านหลังของเขาคือภาพโครงร่างสระว่ายน้ำแบบถอดประกอบได้ เป็นภาพที่แสดงให้เห็นภาพรวม และภาพเมื่อแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ออกจากกัน
“ที่ผมใช้คำว่าความหวังของเด็ก ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะกดดันผู้ใหญ่ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่ผมเชื่อว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างแบกรับเอาความหวังของคนที่อยู่ข้างหลังเอาไว้บนบ่า วันนี้จึงเป็นวันที่เราได้รับโอกาสที่ดีในการเป็นสื่อกลางสะท้อนเสียงที่เคยดังอยู่แค่ในซอกหลืบของหุบภูเขา บนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเล หรือบริเวณชายขอบของประเทศ ให้คนอื่น ๆ ได้รับฟัง ผมคิดว่าโครงการแต่ละโครงการล้วนมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ซ้ำยังนำประโยชน์มาสู่ส่วนรวม หากโครงการเหล่านี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนอย่างถ้วนทั่วก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเรา ๆ อยู่ไม่น้อยครับ”
และเมื่อเขานำเสนอจบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งห้องประชุม...
หลังจากสิ้นสุดการนำเสนอโครงการ คณะกรรมการของมูลนิธิรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายสาขาก็พากันเข้าไปภายในห้องประชุมย่อยเพื่อทำการตัดสินและประกาศชื่อโครงการที่จะได้รับทุน
ผ่านไปเกือบ 30 นาที ปัณณ์ สุขวิบูล ก็เดินนำคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิออกมา ชายวัยห้าสิบปีเศษก้าวขึ้นยืนบนเวทีอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นจึงทำการประกาศรายชื่อโครงการที่ได้รับทุนทั้ง 10 โครงการ
“ทำไมไม่มีชื่อโครงการของเราวะ” ชลชาติกล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่พายุพัดเองก็กำหมัดแน่น ดวงตาจับจ้องไปยังเจ้าของร่างสูงที่หันมาส่งยิ้มเยาะเย้ย
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” นคินทรว่า ดวงหน้าของเขาปราศจากความผิดหวัง ซึ่งต่างจากสองคนที่มาด้วยกัน “กลับกันเถอะ” สิ้นเสียงคนที่ดูจะคุมสติได้มากที่สุด อีกสองคนก็พากันลุกออกจากห้องประชุม
พายุพัดเดินดุ่ม ๆ ไปที่หน้าลิฟต์ กำหมัดทุบกำแพงเสียงดังสนั่น “เป็นเพราะเรา” สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะโทษตัวเองแทนที่จะโทษว่าเป็นฝีมือของธรรม์ณธร
นคินทรก้าวไปหยุดยืนใกล้ ๆ ดวงตาจับจ้องแผ่นหลังกว้าง “ไม่ได้เป็นเพราะใครหรอก ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ที่ไม่ได้ก็เพราะว่าเขาไม่เลือกเรา อาจจะเป็นเพราะโครงการของเรายังไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในวงกว้างเท่าที่ควร” พูดจบก็วางมือลงบนบ่าหนาแล้วบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“แต่ว่าเด็ก ๆ...” ความรู้สึกหนักอึ้งประดังประเดไม่ต่างจากครั้งยังมีธงไตรรงค์ติดหน้าอก
“ไม่เป็นไร ทุกคนรู้ว่านายตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ถึงพวกเขาจะไม่มีสระว่ายน้ำ ชีวิตของพวกเขาก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่เหรอ เล่นกระโดดหนังยาง ถีบจักรยาน เตะฟุตบอล มีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ เหมือนตอนที่นายชวดเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ทุกคนทางนี้ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ มีแต่นายนั่นแหละที่รู้สึกว่าทำให้คนทั้งประเทศต้องผิดหวัง”
“จริงอย่างม่อนว่า นายอย่าคิดมากเลยพาย” ชลชาติเสริม “นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกพวกเราว่า ครั้งนี้เรามาเพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่ายังมีคนที่ขาดโอกาสอยู่อีกมาก”
พายุพัดคลายมือออก หันมาสบตาทั้งสองคนก่อนจะพยักหน้าเข้าใจในความหมายที่ต่างคนต่างพยายามจะสื่อ
“ถึงกับคอตกเลยเหรอ” จู่ ๆ เสียงที่ไม่มีใครอยากได้ยินก็ดังขึ้น
ธรรม์ณธรเดินจกกระเป๋ามาหยุดที่หน้าลิฟต์ “บอกแล้วไงว่ายากหน่อยนะ” พูดจบก็เอื้อมมือกดปุ่มเพื่อให้ลิฟต์หยุด
“พูดแบบนี้แสดงว่าเล่นสกปรกเหมือนเคยสินะ” ชลชาติเอ่ยขึ้น
“ก็ถ้ามันจะทำให้พวกนายแพ้ทุกทาง จะสกปรกหรือสกปรกกว่านี้เราก็ทำ” คนพูดกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
พายุพัดหันขวับ คิดจะตอบโต้แต่ก็ช้ากว่านคินทร
“แบบนี้ก็ง่ายดี” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ในที่สุดก็นึกได้ว่าที่แท้ก็เคยเจอเขาเมื่อตอนที่ได้พบกับพายุพัดเป็นครั้งแรกนั่นเอง
“อะไรง่ายเหรอม่อน” ชลชาติถามซื่อ ๆ
“ง่าย...เวลาที่จะแยกคนเลวออกจากคนดีไง”
“ก...แก!” ธรรม์ณธรกัดฟันกรอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา หันไปก็พบว่าอาจารย์ธนิตกับคณะกรรมและผู้ทรงคุณวุฒิกำลังพากันเดินมาทางนี้ ดวงตาอาฆาตจ้องชายหนุ่มแปลกหน้า แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างว่องไว “เชิญครับอาจารย์” ว่าแล้วก็ผายมือเชื้อเชิญบุคคลสำคัญเหล่านั้น แล้วปุ่มค้างไว้เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกพอดี
“สามคนนี้เขารออยู่ก่อนนี่ ให้เขาไปก่อนสิ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินคู่มากับประธานสูงสุดของ พี เอส สปอร์ต จำกัด เอ่ยขึ้น
“เราไปกันก่อนเถอะครับ พวกนี้เขาคนหนุ่มไฟแรง กำลังวังชายังดีอยู่” อาจารย์ธนิตกล่าวเมื่อพบว่าสองในสามคนคือศิษย์รักของอาจารย์ทวีคู่ปรับคนสำคัญ
“ไม่ได้สิครับอาจารย์ธนิต เราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะให้เด็ก ๆ มาว่า ว่าเป็นไม้หลักปักขี้เลนด้วยเหตุผลนี้ไม่ได้” เห็นรองคณบดีทำหน้าเจื่อนเกรงอีกฝ่ายจะเสียหน้าจึงได้กล่าวติดตลก “อีกอย่างผมก็ไม่แก่ขนาดนั้นด้วย ส่วนอาจารย์เองก็อายุน้อยกว่าผมอยู่ตั้งหลายปีนี่นะ”
“ท่านอานุภาพล้อผมเล่นอีกแล้วนะครับ” อาจารย์ธนิตฝืนหัวเราะ
“เชิญอาจารย์ไปกันก่อนได้เลยครับ” นคินทรเอ่ยขึ้น
“อ้อ...คนนี้ที่มาจากน่านใช่ไหม ชื่ออะไรนะ” ผู้อาวุโสถามพลางยกมือขึ้นลูบหนวดอย่างใช้ความคิด
“นคินทรครับ”
“นคินทร ปฐวิพัฒน์ ใช่ไหม”
“ครับ”
เจ้าของร่างสูงใหญ่เพียงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปในลิฟต์
....
(มีต่อค่ะ)