#เกิดเป็นสิงโตทะเล *จบ* (3/06/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #เกิดเป็นสิงโตทะเล *จบ* (3/06/2019)  (อ่าน 15311 ครั้ง)

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
 :hao7: น้อนนนนน น่ารักมากกกก ตลกมากกกกกกก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Misakiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หมั่นเขี้ยวน้อนนน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตี๋ พูดเพราะ  :mew1:
ตัวเล็ก คิดไกล คิดลึก แถมก้าวร้าวนะ  o22 :really2: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ตัวเล็กน่ารัก นะ นางฮามาก หวังว่า ตี๋ คงเอาอยู่ นะ ลุ้นๆนะคู่นี้

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
น้องงงงงงง ทำไมหยาบคายยย ฟิลกะเทยมากลูกก 55555

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
น้อนนนนลู๊กก ยานแม่ลง ฟิลติ่งมาสุด!  :laugh:  :laugh:

ออฟไลน์ ynessㅇㅅㅇ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตัวเร้กกกกกก  แม่อยากให้หนูกลายเป็นคนแล้ว

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
น้องก็คือเก้วกาดมาก ยัยตัวเล็กดุร้ายมากๆ55555 แล้วตาพี่ตี๋จะให้น้องดมอะไร!

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
....?ไปลอยทะเล ยุไหนเน้อ?

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มาอัฟ หน่อยนาจร้า  รอยุๆ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
หายไป จริงๆ หรือนี่ โอ้ยเนอะ  ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยากฮ้องไห่ เด้ อุดส่า รอ ม่ตลอด เมิ่ดคำสิเว่า

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ฮื่ออ ยังรออยู่นะคะ คิดถึงอุ๋งๆน้อยแล้วววว :hao5:

ออฟไลน์ CKJPQQ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ : 12
[/size]




“กี๊สสสส !” ปึกๆ ! เสียงครีบกระแทกกับกระจกรถดังลั่น พานส่ายหน้าเป็นพัลวันเหมือนเหยื่อที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ ข้าอ้าปากกรีดร้องภายในรถ เบิกตาโพลงจ้องถลนไปตามลานถนน ประจวบเหมาะกับที่มีรถอีกคันจอดเทียบอยู่ข้างๆ ข้าจึงเจอะเจอกับเด็กผู้หญิงใส่หูฟังหันมาทางกระจกรถด้านข้าง ทันทีที่เห็นข้าก็เบิกตาโต ริมฝีปากกรีดร้องไม่ต่างกันเลย

“กรี๊ดดดด !” อีกฝ่ายร้องลั่น

“กี๊สสสส !” ข้าเองก็ร้องแข่ง จากนั้นภาพของเด็กผู้หญิงตรงหน้าก็หายลับไปในทันที เมื่อรถยนตร์ของเจ้าตี๋นั้นได้ขับผ่านพ้นไป

“ตัวเล็กอย่ากรี๊ดสิครับ”

ขวับ ! รีบหันหน้ามาเขม็งใส่คนข้างกาย กล้าดียังไงมาสั่งสอน เจ้าตี๋ยังจับพวงมาลัยรถอยู่ จดจ้องไปตามถนนเบื้องหน้า พูดกับข้าทั้งที่ไม่มองตา

หึ กล้ามาก พวกเก่งแต่ปากแต่ไม่กล้าสบตา ! ไร้มารยาทสิ้นดี แน่จริงก็ปล่อยพวงมาลัยทิ้งซะสิ ปล่อยให้รถคว่ำตายโหงตายห่ากันไปทั้งคู่

“แอบมองเหรอครับ” เจ้าตี๋ชำเลืองมองมาทางนี้ ข้าก็เลยรีบหันขวับไปทางอื่นอย่างว่องไว

ฝากไว้ก่อนเถอะ ! ที่ไม่ยอมสบตาตอบก็เพราะกลัวจะโดนเจ้าไปจับดมอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้เจ้าชอบพูดจาสองแง่สองง่าม ลุ้นให้คนฟังต้องหวาดผวา

“ชิ” ข้าเชิดหน้าไปทางอื่น พลิกตัวไปนอนเอนหลังลงกับเบาะ โชว์พุงแผ่หลาให้เจ้าตี๋ที่แอบมองอยู่หลุดหัวเราะขำ

“ฮ่าๆ เอ็นดูจัง” เจ้าตี๋เอ่ย ส่วนข้ากลอกตาไปทางอีกฝ่าย วกกลับมามองที่กลางลำตัวของตัวเอง

เอ็นดู…

นี่แน่ะ ! ใช้ครีบบีบกระปู๋ให้มันดูเอ็น แอร๊ยยยย เล็กมาก คิดว่าเป็นเมล็ดทานตะวัน

“ต...ตัวเล็ก น่าเกลียด หยุดเลยนะ” เจ้าตี๋ตาโต หน้าแดงปลั่งไปทั่วหน้า เลิ่กลั่กเสียจนอยู่ไม่เป็นสุข ต่างจากข้าที่ไม่ยอมหยุดบีบนวดน้องชายตัวเองเล่น

“อุ๋งๆๆ” (ฮ่าๆๆ) หัวเราะขำกับท่าทีของอีกฝ่าย สาแก่ใจที่ได้เป็นฝ่ายเอาคืนก็นอนขำลั่นบนรถ ลำตัวไหลไปกับเบาะ เกลือกกลิ้งมีความสุขเหลือหลาย จนกระทั่งเจ้าตี๋เบรกรถกลางคัน ตัวข้าก็ไหลตกลงไปใต้ช่องวางเท้า พลันศีรษะโขกกับหน้ารถเสียงดังปึก

“ตัวเล็ก !” เสียงร้องลั่นของอีลูกช่างเบรก

ฟัคยูอีตี๋ ข้าเขม่นตาไม่พอใจ โชว์ครีบเหมือนชูนิ้วกลางใส่คนเบื้องบนที่ก้มหน้าลงมามองตา

ขับรถได้ส้นตีนมาก สอบใบขับขี่ไม่ได้ยังไงกัน ฉุกคิดจะทำให้ข้าตายห่าใช่หรือไม่ หน๊อยแน่ ลืมบุญคุณกันแล้วใช่ไหมฮะ ตั้งแต่พ่อเจ้าแล้วนะอีลูกทรพี ช่วยชีวิตกันทั้งครอบครัว นึกจะมาปรนนิบัติให้ข้าบาดเจ็บกันเยี่ยงนี้ ทำบุญบูชาโทษชัดๆ คราวหน้าข้าจะจุดไฟเผาบ้านกันทั้งครอบครัว ตายห่ากันไปให้หมด อควาเรี่ยมมีชื่อเสียงโด่งดังก็เพราะใครถ้าไม่ใช่ข้า

“เจ็บไหม” ถามกลับมาอย่างห่วงใยซะงั้น

ลองเอาหัวเจ้าโขกกับรถดูบ้างสิ ถามออกมาได้ไอ้หนุ่มหน้ามน ดีที่ไม่มีรถคันหลัง ปานนี้ตายแม่งกันหมดบนลานถนน ประกันภัยได้วิ่งวุ่นกันจ้าละหวั่น

ข้าปีนขึ้นเบาะ ไม่สนใจคำห่วงใยที่ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แววตาดูเศร้าสลดและเคร่งเครียด พยายามจะยื่นมือมาลูบหัวข้า แต่ก็ถูกข้าใช้ครีบปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี


ครั้นมาถึงคฤหาสน์หรูหราอลังการ สวนด้านหน้าที่มีดอกไม้หลากสีสันส่งกลิ่นหอมกำจร ต่างพลิ้วไหวให้ข้าสูดดมเสียเต็มปอดอย่างสดชื่น ข้าก็ปั้นท่าหยิ่งทะนงไม่พอใจใส่คนตัวโตที่กำลังอุ้มตัวข้าเดินเข้ามาในบ้านของตนเอง ไม่ทันไรก็มีเสียงผู้ชายดังแทรกขึ้นในห้องโถง

“ตี๋ ! ไอ้เพื่อนยาก” พูดพลางยกมือขึ้นทักทาย

“อ่าว ภัทร” เจ้าตี๋เอ่ยเรียกชื่ออีกคน

หืม ? ข้าหรี่ตามอง สำรวจมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีรอยสักตรงแขนข้างขวา เป็นรูปงูสีดำขนาดใหญ่ ร่างกายรูปร่างบึกบึนกำยำมากกว่าเจ้าตี๋เป็นเท่าตัว

ต๊าย มีเพื่อนคบด้วยเหรอ ? ข้าอดไม่ได้ที่จะเอาครีบมาทาบอกอยากแปลกใจ นิสัยกมลสันดานแบบนี้ ก็หลงคิดมาตั้งนานว่าเจ้าตี๋จะไม่มีคนคบ

คบเป็นเพื่อนกันได้แบบนี้ แสดงว่านิสัยต้องต่ำตมพอกัน

“เอาแท่งไฟมาไหม” เจ้าตี๋เอ่ยถามถึงสิ่งบางประการ สร้างความเอะใจในตัวข้ายิ่งนัก

“เอามาสิ นี่ไง ของแบล็คพิ้งก์กับแผ่นอัลบั้ม”

“กี๊สสสส” ข้ากรีดร้องทันที ดีดดิ้นอยู่บนอกเจ้าตี๋เมื่อเห็นแท่งป๊อกๆ กับอัลบั้มสะสม

รีบส่งมา รีบส่งมาให้ข้าเลยนะ !

“ตัวเล็กอย่าดิ้น”

“กี๊สสสส !” ข้ายังกรีดร้อง ยื่นครีบไปด้านหน้าหวังจะกอบโกยสิ่งตรงหน้ามาเป็นของตนเอง ไม่สนหัวบุคคลแปลกหน้าที่ทำหน้าเหวอเมื่อเห็นข้ากรีดร้อง

“สิงโตทะเลงั้นเหรอ นี่เลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่” เพื่อนเจ้าตี๋ตั้งคำถาม

แต่ข้าไม่สน ข้าจะเอาของ เอามานะ ! ฮึบ ! ยืดครีบมากกว่า พยายามตะกุยตะกายบนอากาศ

เจ้าตี๋ไม่ตอบคำถาม เลือกที่จะเดินไปใกล้อีกฝ่าย วางตัวข้าลงกับพื้นไม่ทันไร ข้าก็เอาครีบเขี่ยออดอ้อนชายหนุ่มที่ชื่อภัทร ก่อนที่เจ้าตี๋จะเขม็งตาใส่ข้าอย่างไม่พอใจ แย่งของแบล็คพิ้งก์มาถือแทนในทันที

“เป็นติ่งแบล็กพิ้งก์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ?” ชายที่ชื่อภัทรถาม

“ไม่ใช่เรา” ตี๋ตอบ พลันย่อกายลง ยื่นแท่งไฟมาให้ตรงหน้าข้า ข้าก็รีบโอบกอดอย่างหวงแหนทันที “ตัวเล็กต่างหาก”

“สิงโตทะเลเนี่ยนะ !” เพื่อนเจ้าตี๋อึ้งทึ่ง ข้าเองก็หาใส่ใจไม่ ผินตามองอัลบั้มที่ถูกวางบนพื้นมาสำรวจ กวาดๆ มองๆ ความเสียหาย เมื่อไม่พบตำหนิก็สะกิดเจ้าตี๋บ่งบอกให้ถือแทน ส่วนแท่งไฟข้าถือเอง

“ที่ให้ตามหาของก็เพื่อสัตว์ตัวนี้นี่น่ะเหรอ ?”

“ตัวเล็กไม่ใช่สัตว์” เจ้าตี๋สวนกลับ ยิ้มกว้างยามเห็นข้าถือแท่งไฟ ตีลงกับพื้นจนเกิดเสียง

แง สวยมาก สีชมพูสลับดำ เป็นหัวใจอีก ฮือ ปลื้มปริ่มปรีดา เพื่อนเจ้าตี๋นี่แสนดีจริงๆ ขยันหาของมาให้ได้ดั่งใจ

“โหย แสดงว่าเจ้าตัวเล็กนี่ฉลาดมาก” อีกฝ่ายว่าพลางย่อกายลงมาจ้องหน้าข้า “เมนไรเรา”

“...” ข้าเงียบ ชี้ครีบไปที่อัลบั้มตรงรูปลิซ่า แต่จริงๆ รักหมดทุกคนในวง

“โอ้ เมนเหมือนกันเลย” ภัทรตาวาว

ข้าตกใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะเจอติ่งประเภทเดียวกัน นึกอยากจะกรีดร้อง แต่ก็แสบคอเกินจะทำแล้ว เลยได้แต่แสดงท่าทางดีใจ ยื่นครีบข้างหนึ่งไปจับมืออีกฝ่ายแล้วเขย่าๆ โดยการกดทับน้ำหนัก

มีเพื่อนติ่ง คุยกันได้ทั้งวัน นับว่าเป็นมิตรสหาย !

ข้าคลานต๊อกแต๊กเข้าหาอีกฝ่าย ทว่ากลับถูกอุ้มจากเจ้าตี๋คล้ายหวงแหน

“กลับไปได้แล้ว” เจ้าตี๋ไล่ภัทร

“เฮ้ย กูเพิ่งมาเองนะ”

“ก็นั่นแหละ กลับไปได้แล้ว”

ข้าส่ายหัวไม่เห็นด้วย ยื่นครีบไปหาเพื่อนเจ้าตี๋ให้อุ้มแทน อีกฝ่ายเห็นก็นึกเอ็นดู กางไม้กางมือเตรียมจับมาอุ้มกอด พอจะยก เจ้าตี๋กลับรัดแน่นมากขึ้นเพื่อไม่ให้ภัทรได้แย่งไป

ข้าตีมือเจ้าตี๋ดังเพียะทันที อีกฝ่ายถึงยอมให้อีกคนโอบกอด

ข้าหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ทำตัวผูกมิตรกับเพื่อนติ่งที่ชื่อภัทร นับจาากนี้ข้าจะสถาปนาเป็นเพื่อนพ้อง

“เจ้าตัวเล็กนี่น่ารักจัง” ภัทรเอ่ยชม คล้ายเองก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยเพราะมันคือเรื่องจริง “ฉลาดจังเลย ปะๆ เราไปดูคลิปแบล็คพิ้งก์กันดีกว่าเนอะ”

“งึกๆ” ข้าผงกหัวรับ ถูกพาไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น โดยทิ้งเจ้าตี๋ที่ยืนทะมึน

“ได้ดูลิซ่าเต้นโซโล่ยัง” ภัทรถามไถ่ ข้าส่ายหัวปฏิเสธว่ายังไม่เคยดู อีกฝ่ายเลยหยิบมือถือมาเสิร์ชในช่องยูทูป ปรากฎว่ามีหลายคลิปที่ข้ายังไม่เคยดูตอนลิซ่าไปเต้นในคอนเสิร์ต สร้างความตื่นตื่นใจเป็นอย่างมาก

แม่ กรี๊ดดดด จะเป็นลม ทำไมลิซ่าเอวพลิ้วขนาดนี้ จะเซ็กซี่ไปไหน หัวใจข้าเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ เหมือนโดนยิงศรรัก ดิ้นกรี๊ดกร๊าดไปมากับคลิปที่ดูบนตักของภัทร พลันได้ยินเสียงกระแทกนั่งลงเบาะอย่างไม่พอใจ

ข้าไม่มีเวลาว่างมากพอจะไปมอง ได้แต่จดจ้องลิซ่าที่เต้นเพลง ‘Good Thing’ ของ Zedd & Kehlani เธอใส่สูทสีดำมาดเท่กับหมวกสีเดียวกัน โชว์เรียวขาสวยที่มีปลายเสื้อสีแดงวับๆ แวมๆ เหมือนเป็นชุดด้านในอีกชุดหนึ่ง ข้าได้แต่อ้าปากค้างเติ่ง สูดอากาศหายใจไม่เต็มปอด ยามลิซ่าเต้นไปกับทำนองเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง การชื่นชมในตัวเธอทำให้ข้ามีแรงบันดาลใจในชีวิต อยากจะเป็นนักเต้นที่เก่งและปราดเปรื่องเฉกเช่นเธอ เมื่อถึงท่อนฮุก เธอกระโดดลงจากเก้าอี้และโยกสะโพกเคลื่อนไปด้านหน้าและหลัง แอ่นไปทางซ้ายและขวา เป็นความเซ็กซี่ที่จะสรรหาคำมาเปรียบเปรย ทุกอย่างไร้ที่ติจนมาถึงเพลงที่สอง ชุดที่เธอสวมใส่ในทีแรกก็ถอดออก เหลือชุดด้านในสีแดงสดประกายเพชร อาภรณ์เข้ากับรูปร่างอรชร สวยเกินจนจะพรรณนา ในทุกๆ จังหวะของดนตรี ข้าได้แต่ยกครีบตีบนตัวเองอยากสะใจ อยากจองตั๋วไปดูถึงโตเกียวเลยทีเดียว

บอกคำเดียวว่า เลิศ เลิศที่สุด ฮือ ภูมิใจในเมนตัวเองยิ่งนัก

เสียงป้าแม่บ้านดังขึ้น “คุณชายรับน้ำชาไหมคะ ?”

“ไม่…” ไม่ทันที่ตี๋จะปฏิเสธ ปรายตามองมาทางข้าที่พยักหน้ารับและชี้ครีบไปยังด้านนอก เจ้าหนุ่มหน้ามนที่เข้าใจความหมายก็พลิกลิ้นตอบรับ “ก็ได้ครับ เดี๋ยวพวกผมไปนั่งกินแถวศาลา รบกวนป้าทีนะครับ”

“ได้เลยค่ะ” คุณป้าแย้มยิ้มผงกหัวรับ ก่อนเดินจาก ข้าที่หันไปมองก็หันกลับมาจ้องมือถือต่อ กะจะดูคลิปโมเมนต์ลิซ่าในอิริยาบถต่างๆ กลับถูกขัดขวางด้วยฝ่ามือจอมมารร้ายที่ขยันก่อกวน อุ้มข้ายกขึ้นออกนอกบ้านตัวเองอย่างว่องไว ไม่ทันให้ข้าได้แหกปากโวยวาย ทิ้งให้ภัทรต้องรีบวิ่งรุดตามมา

แสงแดดอบอุ่นทอประกาย อาบไล้ผิวกายชายหนุ่มให้สว่างเจิดจ้าเหมือนมีออร่าผ่านผิวพรรณ ส่วนศาลานั่งเล่นที่ว่านั้นเป็นไม้สีขาว สไตล์ยุโรปแบบลูกผู้ดีมีสกุลรุนชาติ เหมาะกับข้ายิ่งนัก ข้านั่งไปโดยมีเบาะเสริมไม่ให้เมื่อยก้นกบ ชูคอมองรอบด้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์

“ไม่แปลกใจเลยที่ฉลาดแสนรู้จนออกข่าว เรื่องจริงไหมที่ว่าจุดไฟเผาบ้านน่ะ” ภัทรที่นั่งอยู่ในศาลาฝั่งตรงข้ามกับข้า ปริปากพูดกับเจ้าตี๋ที่เอามือลูบหัวข้าไปมา

“จริง” เจ้าตี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจ เล่นเอาข้าสะดุ้งเบาๆ

ที่ข้าทำไปก็เพื่อส่วนรวมนะ ! อย่าพูดประหนึ่งประชดกันสิ !

“ตัวเล็กมานี่มา” เสียงภัทรตบเข่าเรียกข้า ข้าจึงผินตามองตาม ก่อนจะปีนป่ายข้ามผ่านตักเจ้าตี๋ ดีที่เก้าอี้ไม้มันเป็นแบบวงล้อม ข้าเลยไปหาอีกฝ่ายได้ถนัดโดยไร้อุปสรรค

แต่ทว่า…

หมับ ! อุปสรรคที่ว่ากลับมี

“หยุดยุ่งกับตัวเล็กสักทีได้ไหม” ตี๋กล่าว

“ทำไมหวงนักวะ คนก็ไม่ใช่” ภัทรว่า

“...” ไร้การตอบกลับ

ข้าเงยหน้ามองเจ้าตี๋ ผนวกกับที่เจ้าตี๋ก้มมองหน้าข้าเช่นกัน เราสบสายตาเหมือนมีแรงดึงดูด ก่อนที่ข้าจะเป็นฝ่ายผละก่อน

ไม่เอา ข้าไม่อยากได้ผัววิปลาส เสี้ยนกับสัตว์

โดยไม่ทันรู้ตัว ข้าที่นั่งอิงแอบอยู่บนตักเจ้าตี๋สักพักก็เผลอหลับไปในปริยาย รู้สึกร่างกายอ่อนล้ากว่าปกติ…


ข้ารู้สึกเหมือนฝัน ใช่ ต้องฝันแน่ๆ ตัวข้าในตอนนี้ได้แต่ชูแขนมองฝ่ามือที่มีปลายนิ้วทั้งห้า เห็นผิวเนื้อผุดผ่องของตัวเองที่เปล่าเปลือย ก้มมองสำรวจร่างกายไม่ทันไร เงยหน้ามาอีกทีก็เห็นเจ้าตี๋ที่อยู่ในชุดผ้าขนหนูคลุมตัวมาจับไหล่ กดข้าลงไปกับอากาศ แต่แล้วก็ดันมีฟูกเตียงมารองรับ ฝ่ามือหยาบกร้านที่ผ่านการกรำมานักต่อนัก ลูบไล้เรือนร่างกายของข้าจนตัวข้าอ่อนระทวย หอบหายใจกระเส่ากับความหฤหรรษ์ที่โลดแล่นในสรรพางค์

ข้าว่าข้าฝันเปียกแหงๆ

ข้าต้องตื่นบัดเดี๋ยวนี้…

เฮือก !

“จะไปไหนครับ หืม ?” เสียงทุ้มละมุนดังมาจากข้างกกหู เหมือนฝันสองฝัน กลับค้นพบว่ามีชายฉกรรจ์อยู่ด้านหลัง ปลายนิ้วไล่แตะไต่ตัวข้าอย่างหยอกเย้าทั้งวาจา

“ตี๋ยังอยากต่ออยู่เลยนะ หนูไม่ไหวแล้วเหรอ ?”

“บังอาจนัก ข้ารึจะลดตัวเอาเจ้าทำผัว กล้าดียังไงมาเรียกข้าว่าหนู หนูกับผีน่ะสิ ! ไปตายซะไอ้คนหื่นจัด” ข้าด่ากลับ แต่คนตัวโตกลับไม่แยแส พลิกตัวมาคร่อมข้า

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้พูดจาหยาบคายไง”

“...”

“พูดดีๆ แล้วเดี๋ยวตี๋ให้รางวัล”

รางวัลอะไรกัน ข้าไม่เอาด้วยหรอก !

“อะไรล่ะ !” ข้าว่า

“ของสะสมแบล็กพิ้งก์ทั้งหมด ตั๋วคอนเสิร์ตแถวหน้า”

“โอเค ข้าสมยอม” ข้าปล่อยตัวปล่อยใจทันที ปล่อยให้ใบหน้าคมคายซุกลงมาที่เรียวคอหลุดร้องประหนึ่งหญิงสาวเสียพรหมจรรย์ “อื้อ” ไม่ไหวแล้วจ้ะพี่จ๋า

“อุ๋งๆๆ”

“ตัวเล็ก”

“อึก อะ อุ๋ง ~”

“ตัวเล็กตื่น ฝันไรอยู่เนี่ย” เสียงปลุกดังในขณะที่ข้ากำลังนอนกระดุกกระดิก พลันปรือตามองซึมกระทือใส่เจ้าตี๋ที่ชะโงกหน้ามาจ้องตา

นี่ข้ายังอยู่บนเตียงเหรอ…

ละ แล้วนี่ข้าเสียพรหมจรรย์แล้วด้วยงั้นเหรอ

“กี๊สสสสส”

“โอ๊ย ตะ ตัวเล็กเป็นไร” เจ้าตี๋รีบเอามืออุดหู ฉงนกับท่าทีของข้าที่กรีดร้องไม่ให้สุ้มให้เสียง

ข้าจะสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตร บังอาจมาเอาข้าแม้ในยามฝัน อีพวกโรคจิต รับไม่ได้ วิปริตยิ่งนัก มาลวนลามคนอื่นเขา และไหนอะของ ตื่นมาไม่เห็นมีห่าอะไรเลย !

ข้าเขยิบกายถอยหลังไปนั่งติดหัวเตียง พลันก้มดูผ้าปูที่นอนที่ไม่ได้เปียกเปรอะสิ่งใดๆ ดีที่ไม่เยี่ยวเล็ดบนตั่งเตียง

“ตัวเล็กเป็นไรอะ

“อุ๋ง ๆๆ” (อย่าเข้ามานะ) ข้ายังไม่พร้อม “แค่กๆ” หลุดไอพลันรู้สึกเจ็บอก ไม่ทันให้เจ้าตี๋แสดงท่าทีห่วงใย ก็ยกครีบชี้ขู่ จ้องมองอีกฝ่ายที่ในมือถือไอแพด มีเนื้อหาอะไรบางอย่าง ข้าจึงชี้ไปที่สิ่งนั้นแทน

“อุ๋ง ?” (ไรอะ) พานขยับตัวเข้าไปใกล้ ลดท่าทางสงวนตัวลง เขยิบมาอ่านตัวอักษร ความหน่วงอกค่อยๆ ทุเลาลง

“อ่านข่าวครับ พวกสมัยก่อน ยุคมาเฟียค้ายาที่น่ากลัวที่สุดในโลก จนต้องมีการระเบิดฆ่าทิ้ง” อีกคนเอ่ยปาก

ข้าเอียงคอฉงน...

รีบอร์นเหรอ ? หรือถือแหวนวองโกเล่ ถึงได้แห่ขันหมากไปปลิดชีพขนาดนั้น

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูสองทีดังเข้ามาภายใน ก่อนจะเอ่ยปากขออนุญาตด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว ปรากฎร่างของสาวน้อยตัวเล็กที่มีสีหน้าเบิกบาน วิ่งเข้ามากระโดดดังพึ่บบนเตียงนอน

“พี่ตี๋”

“หืม ว่าไงคะ” ตี๋ยิ้มละมุน ยื่นมือไปบีบก้อนเนื้อบนแก้มนิ่มของหลานสาวอย่างเอ็นดู

“จะขอเล่นกับตัวเล็กหน่อยค่ะ”

ขวับ ! ข้าหันพึ่บมาทางเจ้าตี๋ทันที ส่ายหน้าจนหัวแทบหลุดออกจากบ่า ตี๋ที่ชำเลืองมองอยู่ขยับริมฝีปากจะปฏิเสธ แต่จู่ๆ ก็ชะงักกลางคัน คล้ายไตร่ตรองอะไรบางอย่าง ใบหน้าก็บึ้งตึงฉายแววไม่พอใจ ก่อนจะแย้มยิ้มให้หลานสาวอย่างมีเลศนัย

“ได้ค่ะ เอาไปเลย”

“ขอบคุณค๊าาาา” หนูทับทิมเบิกบาน รีบยื่นแขนมาอุ้มตัวข้าจนตัวลอยในทันใด

อีชาติชั่ว อีผัวสารเลว กรี๊ดดดดด !!


“ชิบกับเดลมีสองพี่น้อง ขายของในคลอง ในกองมีแต่ถั่วดีๆ เพิ่งเด็ดสดๆ น่ากินไปหมด” เสียงรำพันดังมาจากเด็กสาวที่กำลังเข็นรถดังกึกๆ บนนอกบ้าน โดยมีข้านอนอุตุอยู่ในรถเข็นเด็กสีชมพูหวานแหวว ข้างกายมีเงาทะมึนค้ำหัวที่ลอบส่งเสียงหัวเราะมีความสุข

ข้าเขม่นตาใส่ชายฉกรรจ์ที่มองผ่านหางตา พลันยื่นหน้ามาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่

“สม ชอบไปอ้อนคนอื่นดีนัก โดนทำโทษซะบ้าง”

ต๊าย ที่แท้ก็หวงข้านี่เอง  ไม่อยากจะเสวนาด้วยหรอกกับพวกหวงของ ข้าสะบัดหน้าไปทางอื่น ขณะที่โอบกอดแท่งไฟแบล็คพิ้งก์ หูก็กระดิกฟังเพลงที่เจ้าหนูทับทิมร้องลั่นไม่หยุดปากจนข้าเริ่มหลอน ขยับปากร้องตาม

“ตัวเล็ก” เสียงเจ้าตี๋เรียกเบี่ยงเบนความสนใจ ปากกล่าวเนิบนาบ “พรุ่งนี้ไปทะเลกันนะ”

“...” ข้าเงียบไม่ปริปาก ไม่รู้คำสัญญานี้จะเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะเคยร้องขอตั้งแต่เคยทำสัญญา ทว่า กลับเจอทะเลในอ่างอาบน้ำพร้อมกับงูยักษ์ขนาดใหญ่

“หนูไปด้วยสิคะพี่ตี๋”

“พรุ่งนี้ทับทิมมีเรียนนี่คะ ไว้วันหลังพี่พาไปนะ”

“งื้อ” เสียงงอแงของเด็กสาวคล้ายไม่พอใจ ชั่วอึดใจก็ส่งสัญญาณตอบรับ “ก็ได้ค่ะ ไว้ไปวันหลังก็ได้”

“ดีมากค่ะเด็กดี” เจ้าตี๋เผยอยิ้มกว้าง ยื่นมือไปลูบหัวหลานสาวจากด้านหลัง ซึ่งข้าที่นอนอยู่ก็มองไม่ค่อยถนัดนัก ได้ยินเพียงเสียงขยับสัมผัสกับเส้นผมอย่างเอ็นดู พลันมีเสียงแมวร้องและกระโดดขึ้นมาบนรถเข็นข้า เล่นเอาข้าสะดุ้งโหยงตกใจกับเจ้าแมวที่ชื่อมิริน

“เมี๊ยว”

ผัวะ ! ข้ายกครีบข้างล่างถีบเจ้าแมวมิรินออกจากรถเข็นทันที เมื่อเห็นว่ามันเกาะอยู่ตรงขอบพอดี

นี่มันถิ่นของข้า อย่ามาเบียด…


เช้าวันใหม่ข้าได้พบกับภัทรอีกครั้ง หมอนี่มาตั้งแต่เช้าตรู่ แถมยังทานข้าวพร้อมพรักกับครอบครัวของเจ้าตี๋อีกต่างหาก มีเพียงเจ้าตี๋ที่ทำท่าปั้นปึ่งไม่พอใจ คล้ายไม่อยากร่วมวงสนทนากับเพื่อนพ้องของตนเอง ข้าในทีแรกก็แคลงใจยิ่งนัก หลงคิดว่าภัทรคือบุคคลที่แย่งแฟนของเจ้าตี๋หรือเปล่ากันแน่ ปรากฎว่าไม่ใช่ เพราะเมื่อวานได้มีการถามไถ่ขีดเขียนผ่านกระดาษเพื่อโต้ตอบกับเจ้าตี๋ ค้นพบว่าภัทรเป็นเพื่อนสนิทอีกคนที่ยังหลงเหลือของชายโรคจิตวิปริตคนนี้

และใช่ ข้ากับภัทรพูดคุยกันต่างภาษา แต่สิ่งที่เราเข้าใจกันนั้นช่างเป็นเรื่องที่ตรงใจกันยิ่งนัก

“แบล็คพิ้งก์ !”

“อุ๋งๆ !” ข้าร้องตามเสียงที่ดังมาจากคนข้างกาย

“เป็นติ่งทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง” เสียงเจ้าตี๋เอ่ยออกมา

พูดออกมาได้ยังไง ! ข้ากับภัทรรีบหันมาจ้องอีกคนที่ยืนนิ่งอย่างวาวโรจน์

“ติ่งคือความสุขอย่างหนึ่ง” ภัทรบอก

“อุ๋งๆ” (ใช่ๆ) ข้าเห็นพ้อง

“การเป็นติ่งติดตามข่าวสารเท่ากับชีวิต ไม่มีวันเบื่อหน่ายกับเรื่องง่ายๆ หรอก !” เสียงทุ้มแข็งของภัทรบ่งบอกถึงจิตใจที่หาญกล้า

“อุ๋งๆ” (ใช่ๆ) ข้าเห็นพ้องทุกสิ่ง

“ยกเว้นเรื่องดราม่า”

“อุ๋งๆ” (ใช่ๆ)

“แต่ถ้าใครกล้ามาด่าติ่งในวงของเรา เท่ากับเป็นการหยามเกียรติ ไม่มีมารยาท เหมือนเรือที่ต้องแล่นในแม่น้ำมหาสมุทร แต่ดันมีคนเอามือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ คนจำพวกนี้เป็นพวกไร้การอบรมสั่งสอน”

“อุ๋งๆ” (ใช่ ช่ายยยย~)

“แต่ของนายเป็นแค่การตั้งคำถามเท่านั้น ฉะนั้นพวกฉันจะไม่ด่านาย” ภัทรตักเตือน

งึกงัก ข้าพยักหน้าเห็นด้วย ยกครีบตีมือกับภัทรอย่างตรงใจ

“ว่าแต่ลืมสนิทเลย นี่ภัทรมีของให้ตัวเล็กด้วยนะ”

“อุ๋งๆ ~” (จริงเหรอ ~) ข้าตาวาวระยับ ยื่นหัวไปถูไถกับลำแขนบึกบึน ช่างเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดี และยังมีใจแบ่งปันอีก น่าคบที่สุด แต่เสียดายที่ต้องมาคบกับคนบ้าอย่างเจ้าตี๋ ไม่น่าเลย

“นี่ไง ที่คั่นแบล็กพิ้งก์” อีกฝ่ายพูดพลางชูกล่องของที่มีรูปแบล็กพิ้งก์มาให้

“กี๊สสสส” ข้ากรีดร้องดีใจ แต่ว่าจะให้ข้าทำหอกอะไร หนังสงหนังสือก็ไม่ได้อ่าน เป็นคนก็ไม่ใช่

อ๋อ สะสมๆ ยื่นครีบออกไปรับด้วยความตื้นตัน

“ตี๋ก็มีนะตัวเล็ก”

ขวับ ! ข้ารีบทิ้งกล่องที่คั่นลงเบาะทันที หันไปสนใจกับสิ่งที่เจ้าตี๋เดินไปหยิบมา เป็นกล่องไรบางอย่างยาวๆ พอเจ้าตี๋แกะเท่านั้นแหละ ข้ากรี๊ดลั่นบ้าน

“โปสเตอร์แบล็คพิ้งก์”

“กี๊สสสสส” ข้ารีบคลานลงจากเบาะไปหาอีกฝ่าย ยืนขึ้นสองขาดั่งมนุษย์

“ตัวเล็ก ภัทรยังมีไม่หมดนะ มีนี่ด้วย เสื้อ Black pink ~ แต่นแต๊นนน สวยไหมเอ่ย” พูดพลางกางเสื้อแขนยาวสีชมพูที่มีลายอักษรแบล็คพิ้งก์ที่แขน ข้ารีบหันหลังวิ่งมาหาภัทรทันทีอย่างไว

เสื้อแบล็คพิ้งก์ แง อยากได้ๆ

“ตี๋ก็มีนะตัวเล็ก สีดำนี่ไง” เจ้าตี๋ที่ไม่รู้แอบซื้อมาตอนไหน งัดของออกมาใช้ ข้าเป็นงงมาก ราวกับอีกฝ่ายเสกขึ้นมาได้ หมุนกายพร้อมกรี๊ดวิ่งรุดมาทางเจ้าตี๋อย่างว่องไว

“ภัทรมีหมวกด้วยน๊า”

“กี๊สสส” หันหลัง

“ตี๋ก็มีหมวกอีกสีนะ”

“กี๊สสส” กลับหลัง

“มีกระเป๋าสะพายด้วยนะ” ภัทรว่า

“กี๊สสส” หมุนกลับ

“มีโปสเตอร์ลิซ่าหลายภาพเลยนะ” ตี๋แย้ง

“กี๊สสส”

“เดี๋ยวภัทรซื้อมาให้อีกเยอะๆ เลยนะ”

“กี๊สสส”

“แต่ตี๋จะให้ตลอดชีพ ไปยันตั๋วคอนเสิร์ตเลยนะ”

“กี๊สสส”

“ภัทรดีกว่า”

“กี๊สสส”

“ตี๋ดีกว่า”

“กี๊สสสสสสส !!!” พอสักทีอีสัตว์ !



.
.
.

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อีตี๋กลับมาปวดหัวเหมือนเดิมจริงๆ  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
นึกว่าตาฝาด ตัวเล็ก กลับมาล่ะ ดีใจ และก็ ขอบคุณผู้แต่ง มาก จร้า รอ อีก ต่อไป ^^

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ติ่ง แบล็กพิงค์เหมือนกัน ......   :z3: :mew1: :katai2-1:
ตัวเล็กปากจัดมากเลย  :mew2:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
สนุกมากกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
(ต่อ)
.
.
.
เม็ดทรายสีขาวนวล แสงอรุณฉาบอยู่บนท้องทะเล เปียกชะโลมชายฝั่งที่ร้อนจนไอน้ำระเหยแห้งเหือดบนเม็ดทราย แสงประกายราวกับอัญมณีของชลาลัยวาววับ กลิ่นธาราพัดโชยเตะจมูก เสียงเกลียวคลื่นเซาะกับโขดหินที่โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ กัดกร่อนสร้างรอยร้าวยามกระฉอกเป็นล้านกว่าหน เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ไปพร้อมกับเสียงทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล สายลมโอบกอดพัดไอเย็นกระทบผิวกาย เป็นฤดูร้อนที่ไม่ได้หนาวเหน็บหรือสร้างเหงื่อไหลไปตามริมขมับ ทว่ากลับอบอุ่นเกินจะกล่าว

แหม ข้าก็บรรยายซะสวย อบอุ่นกับผีน่ะสิ ร้อนฉิบหายวายวอด ! ทันทีที่ข้าถูกเจ้าตี๋ทำท่าจะวางลงกับหาดทรายสีขาว สัมผัสรุ่มร้อนก็เล่นข้าโอดครวญ “อุ๋ง !” เสียงดังลั่น สร้างความตกใจแก่เจ้าตี๋ที่เห็นข้าสะดุ้งโหยง รีบหุบครีบลงอย่างกริ่งเกรง

“ร้อนเหรอครับ ?”

ขวับ ! ข้ามองค้อนใส่ พยักหน้าหนึ่งทีเป็นการตอบกลับ ดังนั้นเจ้าตี๋เลยต้องอุ้มตัวข้าไปซื้อเสื่อหนึ่งผืนมากางบนพื้นดิน

ทีแรกภัทรก็จะตามมาด้วย แต่กลับถูกเจ้าตี๋ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี สุดท้าย…

“ตัวเล็กกกก” ก็ขับรถตามมาจนได้

ข้าชูคอมองหน้าอีกฝ่าย อมยิ้มให้หนึ่งที แต่พอเจ้าตี๋มองมาข้าก็ต้องหุบยิ้มลง กลัวว่ารอยยิ้มสวยๆ จะทำให้คนหลงหน้ามืดตามัว

ไม่ได้ๆ ข้าต้องยิ้มให้กับมิตรสหายหรือบุคคลที่รักเท่านั้น เจ้าตี๋นับเป็นข้อยกเว้น

“ไม่ได้มาทะเลกับใครนานแล้วนะ ขนาดกับแฟนยังไม่เคยเลย” เจ้าตี๋เอ่ยลอยๆ ในขณะที่ภัทรไปซื้อของกิน ทำข้าสนใจกับคำกล่าวที่ว่า

แหม ไม่รู้ทำไมลึกๆ ในใจมันอิ่มอกอิ่มใจ รู้สึกมีสิทธิพิเศษกว่าชาวบ้านเขา

หึ ก็เพราะข้าเป็นสัตว์ประเสริฐยังไงล่ะ ! อีกอย่างการมาทะเลครั้งนี้ข้าก็วางแผนมาแล้วด้วย

แผนที่ว่าก็คือการหนีเจ้าตี๋ยังไงล่ะ !

ตอนนี้นั่งในจุดที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แสงก็เริ่มเจือจางลงมีก้อนเมฆมาบดบังบนท้องนภา ชั่วอึดใจที่เจ้าตี๋หันเหความสนใจไปทางอื่น ข้าก็รีบเขยิบกายรุดไปด้านหน้าทันที ส่งเสียง “กี๊สสสส !” พร้อมกับเสียงครีบที่ดังขวับๆ เม็ดทรายฟุ้งกระจายตามแรงเคลื่อนไหว ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าตี๋ร้อง “เฮ้ย !” อย่างตกกะใจ

มันรู้ตัวแล้ว กรี๊ดดดด ข้าต้องหนี ข้าจะหนีไปใช้ชีวิตในมหาสมุทร ! และอิสรภาพเสรีก็จะตามมา !

“ตัวเล็กอย่านะ !” เสียงตะโกนเตือนหักห้าม แต่ข้าหรือจะฟัง วิ่งป๋อเกือบจะมาถึงน้ำที่มีเม็ดทรายเปียกชื้นไม่ทันไร ตัวก็ลอยเหาะเหินกลางอากาศในบัดดล

“เกือบไปแล้ว”

“กี๊สสสส” อิสรภาพของข้า ! ไม่นะ ! ข้าดีดดิ้นจะเป็นจะตาย ถูกเจ้าตี๋หมุนตัวเดินกลับมานั่งที่เสื่อ ปัดเสื้อผ้าแบล็คพิ้งก์สีชมพูที่ข้าสวมใส่อยู่ที่เปื้อนเม็ดทราย แขนเสื้อก็ยาวเกินจนแทบไม่เห็นครีบของตนเอง ปิดกายเปลือยเปล่าแทบมิดชิด นอกเหนือจากนั้นยังมีหมวกสีชมพูอีกต่างหากอยู่บนหัว รวมไปถึงสร้อยคอสวยๆ ที่มีลายลักษณ์อักษร ซึ่งตัวข้าที่โดนจับสวมใส่ก็มองไม่ทันหรอก เลยไม่รู้ว่ามันมีข้อความอะไรบ้าง

“เดี๋ยวก็สำลักน้ำตายหรอก” เจ้าตี๋บอก

แต่ข้าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำไง !

“คิดจะหนีตี๋เหรอ ?”

บ้าาา เจ้าก็คิดไปเอง ข้าส่ายหน้าประกอบไปด้วย คิดจะกลั่นแกล้งให้ตกกะใจก็เท่านั้น ใครจะกล้าไปอยู่ในมหาสมุทร ไม่รู้มีฉลามด้วยหรือเปล่ากัน เกิดโดนแดกขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ กระทรวงสัตว์น้ำก็ไม่มี ทุกวันนี้มีทีวีกับแบล็คพิ้งก์ให้ดูอยู่ก็สุขสบายดี ข้าหรือจะไปกล้าเสี่ยงในบาดาลเพื่อใช้ชีวิต เจอสัตว์ร้ายต่างๆ นานา

ข้าส่งแววตาเว้าวอนสื่อความนัย

“แล้วนี่ภัทรหายไปไหนกัน หายไปนานเลย” เจ้าตี๋กล่าว พลอยให้ข้าคิดเห็นไปด้วย

“ตัวเล็ก” เจ้าตี๋เรียกข้า ทำให้ข้าต้องมองตาม จ้องปลายนิ้วที่ชี้มาทางนี้ “ห้ามหนี เข้าใจไหม หยุดอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวตี๋มาแป๊บเดียว”

งึกๆ ข้าพยักหน้าเข้าใจ

“และก็อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้าเข้าใจไหมครับ ?”

งึกๆ ข้าขยับศีรษะตอบรับ ไม่หือไม่อือคัดค้านสิ่งใดๆ

“โอเค ถ้าเป็นเด็กดี ทำตามที่พูดแล้วจะซื้อของแบล็คพิ้งก์มาให้อีก”

สิ้นคำนั้นข้าก็รีบเขยิบกายเอาหัวไปถูไถอย่างออเซาะในทันที

‘แหม เสี่ยก็...เปย์ขนาดนี้ เด็กเสี่ยจะกล้าไปไหนได้ล่ะคะ คิกคาก’ นึกในใจด้วยจริตจะก้านหญิงสาว

“น่ารัก” เจ้าตี๋ที่เห็นอิริยาบถเช่นนั้น อดรนทนไม่ไหว จับข้าขึ้นมากอดให้ชื่นใจ ข้าเองก็กอดกลับอย่างสมยอม ท่องเข้าไว้ ‘ของมาตัวไป’

“แล้วนี่ร้อนไหม ใส่เสื้อ” เจ้าตี๋ถาม ข้าก็พยักหน้ารับ ทีแรกก็อยากใส่นานๆ อยู่หรอก แต่อยากรับอากาศเย็นๆ มากกว่า ดังนั้นเจ้าตี๋เลยอาสาถอดเสื้อข้าให้ ตัวข้าก็ยืนด้วยครีบ ชูครีบด้านหน้าขึ้นสูงเหมือนเด็กแบเบาะถูกพ่อแก้ผ้า

ฮึบ ! “เก่งมาก เดี๋ยวตี๋พับเสื้อกับหมวกไว้ตรงนี้นะ ดูแลดีๆ เดี๋ยวตี๋มา” ตี๋ว่าเสียงอบอุ่นเป็นการย้ำอีกหน ข้าก็ได้แต่ทำตามด้วยกิริยาเดิมๆ เป็นการเข้าใจอย่างถี่ถ้วน เมื่อชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืนเดินจากไป หันซ้ายแลขวาเพื่อหาภัทร ข้าก็หันกลับมาจ้องหาดดังเดิม

อยู่ในทะเล เหมือนในเรื่องจำเลยรักเลยอะ ขาดอย่างเดียวคือติดเกาะ น่าเสียดาย อยากเล่นบทบาทพิศวาสซาตาน

“เฮ้อออ” ข้าถอนหายใจ นอนงุดอยู่บนเสื่อ จ้องน้ำที่เป็นเกลียวคลื่นลูกใหญ่พัดชายฝั่งไปมา นั่งๆ นอนๆ ได้ไม่นานก็ชักจะเบื่อหน่าย เหมือนเป็นเด็กสมาธิสั้น

ไปนานจัง... แล้วนี่กี่นาทีแล้วนะ สองนาทีได้มั้ง ช่างแม่ง เดินตามหาภัทรด้วยดีกว่า

นึกในหัวก็พยักหน้ากับความคิดเห็นอย่างภาคภูมิ เหยียดกายลุกขึ้น พานเขยิบครีบเดินออกจากหาด เห็นป้าคนหนึ่งร้องตกใจที่เห็นข้า

“อุ้ย แมวน้ำ !”

สิงโตทะเลจ้ะ โง่จัง ข้าด่าในใจ ไม่อยากนึกเสวนากับมนุษย์บนดิน คลานไปบนลานถนนที่ไร้การจราจร แต่คลานช้าไป กลับมีรถยนตร์คันหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาทางนี้ ทำข้าตาเหลือกแหกปากร้องลั่น

“กี๊สสสสส !!”

เอี๊ยด ! เสียงเบรกกลางคันในทันท่วงที ข้าเป็นลมนอนหงายหลัง เสียงคนตกใจรีบลงจากรถ คงหลงคิดว่าข้าหัวใจวายตายไปแล้ว แต่ไม่กี่วินาทีถัดมาก็เห็นข้าลุกขึ้นมาใหม่ เขยิบครีบชูคอมองตา

“อุ๋งๆๆๆ” (ขับรถประสาอะไรไม่ดูสัตว์ ชั่วจริงๆ) ข้าด่าภาษาถิ่น สะบัดหน้าหยิ่งยโสใส่เจ้ามนุษย์ เขยิบครีบเดินตามทิศทางเป้าหมายเตรียมจะข้ามไปอีกฝั่ง กลับมีรถอีกคันจากเลนอื่น

เอี๊ยด !

“กี๊สสสสส !!” ข้ากรีดร้อง หัวใจจะวายตายห่าแล้วนะ กวาดตามองทั่วสารทิศกลับค้นพบว่าจราจรเริ่มติดขัด เสียงรถยนตร์เริ่มทยอยกันเข้ามา ไหนจะผู้คนยืนมุงดูอยู่ ผนวกกับเสียงบีบแตนดัง “ปี๊ดๆ !”

“อุ๋งๆ !!” (หนวกหู) ข้าคลานไปที่รถยนตร์ดังกล่าว ปีนป่ายขึ้นไปและแหกปากดังลั่น สร้างความอลหม่านแก่จราจร

ก็เจ้าพวกนี้ขยันบีบแตนกันเก่ง ไม่เห็นเหรอว่าคนจะข้ามถนนอะฮะ ! ไอ้พวกงี่เง่า สอบใบขับขี่มาได้ยังไง

“อุ๋งๆๆ (หยุดบีบแตน ไอ้พวกบ้า !)

“ปี๊ดๆ” เสียงดังดุจนกหวีด

“อุ๋งๆ” (รำคาญ !) ข้าหมุนตัวไปมา แหกปากด่าจราจร เห็นใครก็ไม่รู้หยิบมือถือบ้างก็โทรคุย แต่ข้าก็ไม่คิดจะใส่ใจ มัวแต่ด่ารถอยู่ จู่ๆ ก็มีคุณตำรวจตัวอ้วนพุงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา

“สิงโตทะเลเนี่ยน่ะเหรอ ? แย่จริง ทำจราจรติดขัดไปหมด”

“อุ๋งๆๆ !” (ก็ข้าจะข้ามถนน !)

“มานี่เลย ไปคุยกันที่โรงพัก”

วะ เหวอ !? ข้าตัวลอยอีกแล้ว “กี๊สสส !” ดีดดิ้นไม่เป็นสุข เริ่มรำคาญกับมือคนที่มาสัมผัส เป็นคนแปลกหน้า กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวข้า จับอะไรมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เชื้อโรคทั้งนั้น ยี๊ พวกสกปรก !

ปึก ! เสียงบานประตูรถปิดกระแทก พลางลดกระจกรถลงมา ข้าก็เขยิบกายชูคอขึ้นไปพิง แววตาเศร้าสลด กลัวการพลัดพราก

ไม่นะ เสื้อกับหมวกแบล็คพิ้งก์ของข้ายังอยู่บนหาดอยู่เลย

“ขอโทษนะคะคุณตำรวจ พอดีดิฉันเป็นนักข่าว ขออนุญาตถ่ายสิงโตทะเลทีนะคะ”

“อ๋อๆ ได้เลยครับ” เสียงอีกคนตอบรับอย่างยินดี ขยับหมวกเล็กน้อยเป็นการแก้เก้อ ส่วนข้านั้นปรายตามองหญิงสาวผ่านหางตาวูบหนึ่ง เธอเป็นคนสะสวย

แต่แน่นอนข้าสวยกว่า ขนข้าก็สวยกว่ามาก และนี่ต้องโพสท่าด้วยมะ เหอะ ช่างเถอะ เสือกโดนจับอีก บ้าชะมัดยาด

“เฮ้อออ” หันหน้าหนีอย่างเบื่อหน่าย เสียงดังแชะจึงตามมาในระหว่างที่ข้าหลบตากล้องของหญิงสาว

“ขอบคุณมากค่ะ” เสียงเธอหันไปคุยกับตำรวจ ส่วนข้าก็ได้แต่ภาวนาในใจให้เจ้าตี๋รีบวิ่งมาหาโดยไว

แต่คำปรารถนาไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อรถตำรวจได้ขับเคลื่อนบนลานถนน สายลมพัดผ่านให้ข้าได้ใจเย็นชื่น สูดอากาศเข้าปอดกับโชคชะตา ผ่านพ้นไปเกือบสิบห้านาทีได้ ตัวข้าก็มาถึงโรงพักโดยไร้กุญแจมือ เสียงตำรวจก็ดังคึกคัก พุ่งเป้าความสนใจมาที่ตัวข้า

“มีปลอกคอด้วยนี่นา” คุณตำรวจอ้วนพุงเอ่ยปาก ยื่นมือมาแตะสร้อยคอข้า ทำท่าจะแกะแต่ถูกข้าดิ้นไม่ให้เอาออก

นี่สร้อยคอข้านะ ไม่ใช่ปลอกคอหมา ! ไอ้เจ้าบ้า !

การดิ้นรนไม่สัมฤทธิ์ผล สร้อยที่เคยสวมใส่อยู่ก็ถูกปลดนำไปดูแทน คุณตำรวจอ่านออกเสียง “ชื่อตัวเล็ก เจ้าของตี๋ เบอร์ติดต่อ 066-xxx-xxxx อาห์ ที่แท้ก็มีเจ้าของนี่เอง” ว่าพานหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์โทรออก ผ่านพ้นไปสักพักก็มีปลายสายกดรับ

ข้านั่งหงอย ฟังคุณตำรวจพูดกับปลายสายครู่ใหญ่ แถมยังบอกว่าข้าป่วนจราจรอีกต่างหาก ทิ้งท้ายด้วยพิกัดโรงพักให้มารับตัวข้า คุณตำรวจก็กดตัดสายหันเหความสนใจมาที่ข้าที่นั่งซึมเซา “เจ้าตัวเล็กที่เป็นสัตว์โด่งดังนี่เอง ฉลาดแสนรู้จังเลยนะ อีกสักพักเจ้านายแกก็จะมารับแล้วล่ะ นั่งอยู่นิ่งๆ ล่ะ”

จะไม่ให้นิ่งได้ยังไง เล่นเอาเชือกห้อยคอข้าขนาดนี้ แขวนข้ากับฝ้าเพดานเลยดีไหมฮะ !? อีกอย่างเจ้าตี๋ไม่ใช่เจ้านายเหนือหัวข้าด้วย ข้าต่างหากล่ะโวยที่เป็นเจ้านายมัน

ข้าแหกปากเยิ้วๆ ใส่คุณตำรวจ สร้างความรำคาญใจจนตำรวจต้องเดินหนีออกจากห้อง ทิ้งข้าให้อยู่ในห้องโล่งๆ ที่มีเบาะ ข้าได้แต่มองอย่างเลื่อนลอยโดยไม่มีอะไรทำ สักพักก็เริ่มง่วงงุนผล็อยหลับไปจนได้ ตื่นมาอีกทีก็ตอนมีแรงสะกิดและเสียงเรียกให้ตื่นจากห้วงนิทรา

“แจ๊บๆ”

“ตัวเล็ก เฮ้อ ทำแบบนี้อีกแล้วนะ ตี๋บอกให้อยู่ที่หาดไง” เสียงเจ้าตี๋ดังเอ็ด ข้าที่เพิ่งปรือตามองทำหน้าเบื่อหน่ายรำคาญใจ

เป็นผัวอ๋อ พูดมากจัง

“มา กลับบ้าน ลุกเลย” ว่าพลางเสียงดุ ท่าทางไม่พอใจเป็นอย่างมากจนข้าแอบสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วหน้ากับคำพูดอ้อมแอ้มของอีกฝ่าย “เป็นห่วงเนี่ยรู้บ้างไหม”

ข้าเบนหน้าหนีไปทางอื่นไม่กล้าสบตา ใจมันเต้นตึกตักแปลกพิกล ถูกเจ้าตี๋อุ้มตัวและเดินไปคุยกับตำรวจอีกนิดหน่อย แถมยังมีใบเอกสารรับรองในการครอบครองข้าอีกต่างหาก ข้าเองก็ไม่รู้ไปทำพันธสัญญาในตอนไหนก็ไม่ทราบ สงสัยจะเป็นอำนาจบารมีของพ่อเจ้าตี๋ที่สร้างใบรับรองในการเลี้ยงดู

“ตัวเล็กป่วนใหญ่เลยนะ” เสียงภัทรที่เดินขนาบข้างกายเจ้าตี๋พูดจ้อ

ข้านิ่งเงียบ ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าอีกแล้ว รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองเหนื่อยล้าแปลกๆ เผลอหลับไปอีกหนโดยไม่ทันรู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็อยู่บนฟูกนิ่มเบาะรองนั่งภายในบ้าน โดยมีเจ้าตี๋เปิดโทรทัศน์ฟังข่าวสาร

ข้าเอาครีบขยี้ตาตัวเอง นั่งมึนๆ มองจอทีวีที่ฉายภาพสิงโตทะเล

เอ๊ะ นั่นมันข้านี่หว่า

[เจ้าตัวเล็กสิงโตทะเลก่อกวนการจราจร เจ้าหน้าที่เห็นใจยังเยาวชนอนุโลมไม่ใส่กุญแจมือ] พร้อมกับภาพประกอบที่มีภาพข้านั่งอยู่บนพื้น มองกล้องตาแป๋วตอนไหนก็ไม่ทราบ ทั้งยังมีตอนที่นั่งอยู่บนรถตำรวจตาละห้อยเหมือนถูกผัวทอดทิ้งอีกด้วย

“ออกข่าวอีกแล้วนะ” เจ้าตี๋ลอบถอนหายใจ

ข้าเชิดหน้าอย่างผยอง ไม่สะทกสะท้าน เห็นด้านข้างมีกระดาษกับปากกาพอดี น่าจะเป็นเจ้าตี๋ที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก ข้าจึงนำมาขีดเขียนเป็นตัวอักษรอย่างขะมักเขม้น

[อย่างน้อยก็สร้างชื่อเสียง] ข้างับกระดาษชูให้เจ้าตี๋ดู

“ในทางที่แย่น่ะสิ” เจ้าตี๋ตอกกลับ

ข้าอ้าปากอยากจะกรี๊ด ไม่น่าเชื่อว่าเดี๋ยวนี้คนวิปริตจะปากคอเราะรายได้ถึงขนาดนี้ น่าตบเลือดกบปากซะจริงๆ เชียว

[นี่ด่าข้าเหรอ] ข้าเขียนตอบกลับ

ไม่ยอม ดิฉันไม่ยอมค่ะคุณกิตติ เรื่องนี้ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

“เปล่าซะหน่อย แต่ก็ตัวเล็กอะดื้อ ไม่ยอมเชื่อฟังที่ตี๋บอก เข้าใจไหม” เจ้าตี๋พูดเสียงกระแทกกระทั้น ทำข้าใจร่วงไปถึงตาตุ่ม น้ำตาคลอเบ้ากับคำที่ได้ยิน

“ตัวเล็ก”

“ฮึก” ข้าพยายามกลั้นสะอื้นไห้

“ตี๋ขอโทษ ไม่เอา ไม่ร้องไห้นะ” เจ้าตี๋มือไม้เป็นระวิง รีบเข้ามากอดตัวข้าอย่างหวาดหวั่น ท่าทางใจหายใจคว่ำเป็นห่วงเป็นใย ทำข้าร้องไห้เป็นเสียงสัตว์โอดครวญ

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่โดนเจ้าตี๋ดุถึงขนาดนี้ พอได้ยินแล้วข้ารู้สึกใจหายแปลกๆ รู้สึกทั้งเศร้าและหวาดกลัวในคราวเดียวกัน

ข้าไม่ชอบเลย…

ไม่ชอบที่เจ้าตี๋ดุ

“ตัวเล็กหยุดร้อง นะๆ จะเอาอะไรบอกตี๋ ตี๋ขอโทษที่ดุ อะ เขียนมา จะว่าอะไรตี๋ก็เต็มที่เลย หยุดร้องก่อนนะครับ” พูดเสียงอุ่นพร้อมกับปราดน้ำตาให้ข้าอย่างเอ็นดู ข้าสูดน้ำมูกเข้าจมูก งับปากกาเขียนตัวอักษร

[อย่าดุ] แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

“ก็ได้ ต่อไปนี้จะไม่ดุแล้ว สัญญา” เจ้าตี๋ยื่นปลายนิ้วก้อยมาให้ ข้าก็เลยยื่นครีบไปสัมผัส

[ถ้าดุอีกจะไม่รักแล้ว] ข้าเขียนอย่างกับสาวน้อยแง่งอน สร้างความครื้นเครงแก่ชายฉกรรจ์ที่พบเห็น เจ้าตี๋หัวเราะอิ่มเอมใจ

“ตัวเล็กไม่รักไม่ได้นะ” ตี๋บอก “ตี๋ตกหลุมรักไปนานแล้ว”

ว้าย ข้าเอามือทาบอก นี่มีผัววิปลาสแอบชมชอบตัวเองอย่างงั้นเหรอ อดไม่ได้ที่จะจรดปากกาใส่หน้ากระดาษ ปากอย่างใจอย่าง

[คบกับเจ้าไปเอากับภัทรยังดีเสียกว่า]

เจ้าตี๋เขม็งตาใส่ ขย้ำกระดาษเป็นม้วนกลมๆ จนยับยู่ยี่ พูดสะบัดหางเสียง “ตี๋จะไม่ให้ภัทรมาบ้านแล้ว”

“อุ๋งๆ !” (ไอ้คนขี้หวง) ข้าตะโกนด่าต่อหน้า เพราะรู้ว่าอีกคนฟังไม่รู้เรื่อง

“นี่มันเรื่องบ้ามาก” ตี๋พูดละล่ำละลัก

ข้าพยักหน้าเห็นด้วยว่าเจ้าบ้าจริง ไม่ทันไรตัวก็ลอยเฉยด้วยฝ่ามือใหญ่

“แต่ทุกครั้งที่ตัวเล็กหายไปหรือไม่อยู่ใกล้ๆ ตี๋จะใจหายทุกทีเลย”

“...”

“ทุกครั้งที่อยู่ด้วย ตี๋จะหัวเราะได้อย่างเต็มที่อย่างที่ไม่เคยเป็นเลย”

“...”

“มันบ้ามาก”

“...”

“ที่ตี๋ดันแอบชอบคนที่อยู่ในร่างสิงโตทะเล”

“...”

“มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะรักกัน” พูดจบประโยคตัวข้าก็เคลื่อนกายไปด้านหน้า เห็นเจ้าตี๋ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำท่าจะจับจูบ ข้าก็เลยรีบยื่นครีบมาบังริมฝีปากหยักหนาในทันใด

โว้ยยย นี่เจ้าจะเอาข้าในคราบสัตว์จริงๆ ใช่ไหมฮะ !

ไม่ทันที่ริมฝีปากจะสัมผัส เจ้าที่ก็หลุดชะงักไปที ก่อนจะขยับใบหน้ามาจูบผ่านครีบที่บดบังริมฝีปากของข้าและตี๋เอาไว้ เป็นสิ่งคั่นกลาง แต่กลับทำให้หัวใจร้อนฉ่า

ข้าว่าพระเจ้ากำลังเล่นตลก…

เล่นตลกกับโชคชะตาของข้าที่เป็นอยู่นี้ และเล่นตลกกับเจ้าตี๋ที่คิดฝันอย่างไม่มีทางเป็นไปได้

แต่ทำไมกันนะ…

ถ้อยคำถัดมาถึงทำให้ข้าหลงเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า…

“อยู่กับตี๋ไปนานๆ นะ”

มันจะมีเรื่องมหัศจรรย์ระหว่างเราทั้งสอง ให้ถักทอเรื่องราวมาพานพบกัน

ข้าที่ปากบอกไม่ชอบเจ้าตี๋

ลึกๆ ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ..

ปล่อยให้ห้วงเวลาเป็นตัวกำหนด

มันคงจะดีเสียกว่า

“อุ๋งๆ” (เจ้าบ้า)

“หืม ? ตัวเล็กพูดไรอะ เขียนได้ไหม”

“อุ๋งๆๆ” (ไม่บอกหรอก ปล่อยให้เจ้าโง่)

“อาห์ ตี๋ฟังไม่เข้าใจเลย” ตี๋ดูหัวร้อน ท่าทางหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจความหมาย เห็นดังนั้นข้าก็ลอบยิ้มปรีดา

อยากจะบอกอีกคำให้แก่เจ้า “อุ๋งๆๆๆ”

“ตัวเล็กเขียนนนน” เจ้าตี๋โวยวาย

ข้าหัวเราะร่าสาแก่ใจ เพราะถ้อยคำที่กล่าวคือ...

เจ้าก็ทำให้ข้าเป็นตัวของตัวเอง


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุก​ ตลก​ เดินเรื่องดีไม่น่าเบื่อ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
[13 END]
[/size]

ก็ไม่คิดว่าบุรุษที่ร่างกายองอาจและแข็งแรง ซ้ำยังกระปรี้กระเปร่าในการทำงาน จะมาบาดเจ็บล้มไข้ได้ป่วยจนต้องนอนซมอยู่บนตั่งเตียง เห็นแล้วชวนน่าสังเวชยิ่งนัก ข้าได้แต่มองแม่ของเจ้าตี๋ที่นั่งอยู่ข้างขอบเตียง คอยหยิบผ้าขี้ริ้วมาชุบน้ำ คอยเช็ดเหงื่อกาฬของลูกชายที่ไหลผุดซึม

ช่วยไม่ได้ก็เจ้าตี๋เป็นคนนี่นา คงเป็นธรรมดาที่ร่างกายจะอิดโรยกันบ้าง ข้าที่ชะโงกหน้ามองอยู่ตรงพื้นส่งแววตาอย่างห่วงใย

ใยจะต้องใส่ใจอีกฝ่ายด้วยเล่า ! หันไปเล่นกับเจ้าแมวมิรินดีกว่า

“ตัวเล็ก” เสียงแหบแห้งเหมือนคนใกล้ตายดังมาในจังหวะที่ข้าหมุนกายหันหลัง ไม่ทันจะเดินจากไปก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน

“จะไปไหน ?”

‘หาผัวใหม่จ้ะ’ อยากจะหันไปเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมนุษย์ยิ่งนัก แต่ก็ทำได้แค่ส่งเสียงร้องอุ๋งๆ ชี้ครีบไปทางแมว

“จะเล่นกับมิรินเหรอ แค่กๆ ดะ เดี๋ยวก็แกล้งน้องอีก” อีกฝ่ายกล่าว

แต่ใครเป็นน้องใครไม่ทราบ ข้าไม่ได้นับแมวต่างสายพันธุ์เป็นลูกพี่ลูกน้องด้วยเสียหน่อย คลอดจากแม่เดียวกันหรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่

ชิ ข้ายืนนิ่งผายอกอย่างผยอง มองเจ้าตี๋ที่นอนซมน้ำตาปริ่มคลอเบ้า คงเป็นเพราะพิษไข้อย่างหนัก

ช่างน่าสงสาร ร่างกายอ่อนแอจังเลยนะ ข้าไม่เอาด้วยหรอกผัวขี้โรค แตะนิดแตะหน่อยคงนอนซมตาย

วันนี้เป็นวันเสาร์ แสงแดดในยามบ่ายก็เริ่มเบาบาง ลอดผ่านเข้ามาในม่านหน้าต่างที่อาบไล้เรือนกายชายฉกรรจ์ที่นอนห่มผ้าผืนหนา ภายในห้องร่มเย็นที่เปิดแอร์ที่ไม่ได้หนาวเหน็บจนมากเกินไป พอที่จะช่วยให้เจ้าตี๋คลายร้อนได้บ้าง การป่วยในครั้งนี้ก็ส่งผลให้ข้าไม่ต้องเดินทางไปยังอควาเรี่ยม ได้แต่นอนบนฟูกนิ่มๆ ดูหนังภาพยนตร์กับเจ้าตี๋แทน สายตาก็กวาดมองตัวอักษรที่ขึ้นซับไทยไปพลาง ในระหว่างนั้นแม่ของเจ้าตี๋ก็อุ้มเจ้าแมวมิรินออกจากห้องไปพอดี เพื่อให้ลูกชายของเธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งในทีแรกข้าก็เกือบจะถูกพาออกไปด้วย แต่เจ้าตี๋ดันหักห้ามเอาไว้ก่อน เพราะอยากให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเสียนี่

ข้าแลดูคนบนที่นอนที่ตอนนี้ผล็อยหลับไปเสียแล้ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ช่วงอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ เป็นจังหวะ ก่อนที่ข้าจะค่อยๆ ปีนป่ายขี้นไปบนเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้สุ้มให้เสียง พานยกครีบไปแตะที่หน้าผากของคนตรงหน้าเบาๆ เพราะเกรงกลัวว่าจะปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล พอรับรู้ถึงความร้อนในร่างกายผะผ่าว แววตาของข้าก็ดูสลดลงอย่างนึกเป็นห่วงเป็นใย พลันกระโดดลงมาที่ฟูกรองรับบนพื้นในทันใด นั่งๆ นอนๆ ดูหนังไปพลาง พอเวลาผ่านพ้นมา ตัวข้าที่ชำเลืองมองนาฬิกาที่ห้อยแขวนอยู่ภายในห้องก็ส่งเสียงร้องปลุกเจ้าตี๋ให้ตื่นขึ้นมาทานยา

“อุ๋งๆ” (ตื่นๆ)

“อืมมม” เสียงละเมอคล้ายไม่พอใจ ใบหน้าซีดขาวทำข้าใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ ปีนป่ายมาบนเตียงก็เอาจมูกดุนดันสะกิดที่เรียวแขนยิกๆ

“อุ๋งๆๆ” (ตี๋ตื่นเดี๋ยวนี้) ข้าส่งเสียงแปร๋น ทำคนหลับนอนค่อยๆ ปรือตา น้ำตาเอ่อคลอเกลือกกลิ้งไหลอาบแก้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ป่วยหนักน่าดู ใจข้าไม่สู้ดีนักกับภาพเบื้องหน้าที่พบเจอ

“มีอะไรเหรอตัวเล็ก ?” เจ้าตี๋เรียกขาน

“อุ๋งๆ” (ทานยา) ข้าว่าพลางชี้ครีบไปที่ข้างตั่งโต๊ะ มีแผงยาลดไข้แก้ปวดหัว ที่แม่ของเจ้าตี๋ได้ย้ำชัดให้ลูกชายตื่นมาทาน ข้าที่ได้ยินดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลุกให้อีกฝ่ายตื่นมาทานยาตามใบสั่งแพทย์

“เย็นแล้วเหรอ ?” ใบหน้าขาวซีดที่ดูดีขึ้นกว่าเก่า พอมีเลือดฝาดที่ปรางขาว แลมองนาฬิกาที่ขยับชี้ไปที่เลขห้า

“ปลุกให้ตี๋มาทานยาสินะ” เจ้าตี๋ว่าพลางละมุนยิ้ม ยกฝ่ามือที่แทบไร้เรี่ยวแรงมาลูบลงที่กลางกระหม่อมของข้าอย่างนึกเอ็นดู

ข้าพยักหน้ารับ เจ้าตี๋เลยกล่าวถ้อยคำถัดมาว่า “เด็กดี” ในน้ำเสียงเจือปนไปด้วยความดีใจ

“อยากให้ตัวเล็กเป็นคนจัง” อีกฝ่ายเอ่ยลอยๆ ก่อนจะยันฝ่ามือลงบนที่นอนเพื่อลุกออกจากเตียง รินน้ำใส่แก้วแล้วหยิบยาสองเม็ดกระดกดื่มพร้อมกับน้ำ เล็ดลอดเสียงดัง “อาห์” ในช่วงท้ายคล้ายชื่นใจ

ข้าเอียงคอฉงน ก้าวกระโดดลงจากตั่งเตียงมาที่ฟูกดังเดิม กระเถิบกายไปหยิบปากกากับกระดาษที่วางไว้ตรงพื้นมาขีดเขียน เพื่อโต้ตอบพูดคุยกับอีกฝ่าย

ตัวข้าจากที่ไม่เคยคิดจะเสวนาด้วย ยามนี้กลับพลิกลิ้น เปลี่ยนมาพูดคุยกับชายหนุ่มที่ตนเองเคยครหาว่าเป็นไอ้พวกโรคจิตวิตถาร

เมื่อเขียนเสร็จแล้วและอ่านตัวอักษรอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าก็งับสมุด ชูให้อีกคนอ่าน

[เลี้ยงยากนะ  รับไหวเหรอ ?]

เจ้าตี๋ที่ก้มหน้าหรี่ตามองตัวอักษร ไม่ช้านานก็ระบายยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าหล่อเหลา หัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนจะกล่าว “ไหวสิ ตี๋จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเลย”

ข้าหัวใจเต้นตึกตัก พอใจกับสิ่งที่ได้สดับรับฟัง กำลังก้มหน้าขีดเขียนตัวอักษรอีกประโยค ก็ดันมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาภายในห้อง ตัวข้าจึงนิ่งงัน หันเหความสนใจไปที่ต้นตอ เขยิบกายรุดออกมาดูนอกห้องนอน เพื่อดูไปที่บานประตูทางเข้า

“ตี๋นี่แม่เองนะ”

ที่แท้ก็เป็นแม่เจ้าตี๋ที่เข้ามาภายใน แต่ใบหน้าที่เคยแจ่มใส ยามนี้กลับดูเครียดถมึงทึงอย่างไม่ชอบมาพากล สาวเท้าเข้ามาอย่างว่องไวเดินมาถึงห้องนอนก่อนจะกล่าว

“ตี๋ คือ…” เสียงแม่ตี๋ดูเคร่งเครียดที่จะเอ่ย

“มีอะไรครับแม่” เจ้าตี๋ที่เห็นแม่ตนเองตะกุกตะกักซ้ำยังมีท่าทางสับสนจึงเอ่ยถามเสียงอุ่น

คุณนายสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะพูด “ออยมาหาน่ะลูก”

“...” เจ้าตี๋เงียบปากสนิท ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่ง ยิ่งนิ่งขึงชวนน่าหวาดหวั่น

ออย ? ใครกัน ? แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน ไม่งั้นทั้งแม่และเจ้าตี๋คงไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจเช่นนี้แน่

“ให้แม่ไล่เธอกลับไปไหม” แม่เจ้าตี๋ว่า

“อืม เดี๋ยวผมจัดการเองครับ” เจ้าตี๋ตอบปัด มิวายถามอย่างสงสัย “เธออยู่นอกห้องใช่ไหมครับ ?”

“จ้ะ” คุณนายขานรับ

“เฮ้อออ” เสียงทอดถอนใจดังมาจากคนเบื้องบนให้ข้าได้ยิน พอเห็นข้ามองด้วยแววตาอย่างสงสัยใคร่รู้ เจือปนไปด้วยความห่วงใย เจ้าตี๋จึงค่อยๆ แย้มยิ้ม อธิบายในสิ่งที่ข้ากำลังฉงน หลังจากที่แม่ตนเองเดินออกจากห้องขึ้นมาว่า “แฟนเก่าน่ะ ที่เคยเล่าให้ฟัง”

อ๋อ ที่แท้ก็นางแพศยา หน๊อยแน่ ! กล้าดียังไงมาเหยียบย่ำที่นี่อีก หน้าด้านสิ้นดี

ข้ากระฟัดกระเฟียด พลอยให้คนที่จ้องมองอยู่ในทีแรกหัวเราะขบขัน ก้มตัวลงมาช้อนข้าขึ้นอุ้ม ในฝ่ามือมีปากกาและสมุดถืออยู่ด้วย

“ไปกัน” เจ้าตี๋กล่าว

ได้เลยลูกพี่ อีน้องนี้จะเล่นงานเสียให้เข็ญ ไล่ตะเพิดไม่ให้กล้ามาวอแวอีกเลยคอยดู

ข้าร้องหึ่มๆ ในใจเป็นสิบๆ ครั้ง ในขณะที่เจ้าตี๋ย่างกรายออกมานอกห้อง ทันทีทันใดก็ได้พบกับหญิงปริศนาที่มีเส้นผมสั้นระดับลาดไหล่ มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนน้ำตาลทรายให้มดมารุมกัดทึ้ง ข้าเห็นขี้หน้าแวบเดียวก็พลอยเกลียด พลันสะบัดหน้าหยิ่งยโสดังเชอะเป็นการย้ำเตือนไม่ผูกมิตรไมตรี

เจ้าตี๋ไม่แม้แต่ชายตามอง เดินลงมาที่ขั้นบันไดเพื่อไปยังห้องนั่งเล่น โชคยังดีที่ไม่ค่อยมีคน เหลือแค่เราสามคนเท่านั้น ข้าที่ถูกวางลงกับพื้นก็รีบผายอกเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างผยอง

โดนดีแน่นังตัวดี !

“ตี๋” เสียงหญิงสาวเรียกชื่ออีกฝ่าย

“มาทำไม” เจ้าตี๋พูดเสียงห้วนตอบกลับไป

ข้าพยักหน้างึกงักเห็นด้วยว่าใช่ มาทำไม ไม่รักก็ไม่ต้องมา

“ออยขอโทษ” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูเศร้าสลด หน้าตาดูซึมเซาชวนน่าสงสาร

แพศยายิ่งนัก ! ทั้งที่เป็นฝ่ายนอกใจไปเอากับเพื่อนสนิทของคนที่รัก ยังมีหน้ามาเหยียบย่ำถึงถิ่นฐานอีก หน้าด้านไร้ยางอาย !

ชิ ข้าลอบสบถ กริ่งเกรงว่าเจ้าตี๋จะใจอ่อนกับมารยาสตรี ในใจตะขิดตะขวงจนอธิบายไม่ถูก

เจ้าตี๋ไม่ปริปากใดๆ ทั้งสิ้น วางกระดาษกับปากกาลงบนพื้นอย่างอิดออด ข้าที่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง จึงรีบพลิกหน้ากระดาษในทันท่วงที จรดปากกาขีดเขียนอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากได้ลอบมองสังเกตอากัปกิริยาของชายหนุ่มข้างกาย คงจะได้เห็นการลอบอมยิ้มข้างมุมปากอย่างชอบอกชอบใจ

[ยัยรัชนก] ข้าชูสมุดให้หญิงสาวตรงหน้าอ่าน ตัวเธอที่งงงวยกับการกระทำของข้าในทีแรกพลันสะดุ้งโหยงกับคำครหา

ข้าส่งเสียงหึ่ม พลิกกระดาษเขียนอีกประโยค ในระหว่างนั้นเธอก็พูดคุยกับเจ้าตี๋

“เจ้าสัตว์บ้านี่อะไรกัน ตี๋สอนให้มันเขียนคำหยาบคายแบบนี้ใส่ออยน่ะเหรอ ?”

“เปล่าซะหน่อย” เจ้าตี๋ส่ายหน้าประกอบ เอนหลังพิงพนักโซฟา นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ “ตัวเล็กตั้งใจทำเอง”

ข้าที่ฟังไปด้วยก็ลอบดีใจไปด้วยกับคำกล่าวเบื้องต้น ไม่คิดว่าจะมีใครเห็นดีเห็นงามกับการชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ครั้นเขียนเสร็จสิ้นอีกคำ ข้าก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน

[กลับมาทำไม ถ้าจะมาขอคืนดีบอกเลยว่าไม่ !] ไม่กลับไปคบทั้งนั้น ข้าไม่สนด้วยว่าเจ้าตี๋จะมีอะไรคาใจอยู่ไหม แต่ที่แน่ๆ หลังจากอยู่ร่วมกันมา ข้าเข้าใจว่าเจ้าตี๋ไม่คิดจะกลับไปหาเธออีกแล้วอย่างแน่นอน

“ตามที่ตัวเล็กบอกเลย” เจ้าตี๋ที่ก้มหน้าลงมาอ่านพยักพเยิด ข้าเลยชื่นใจขึ้นมาบ้าง ซาบซึ้งกับความคิดเห็นของอีกฝ่าย แม้จะเป็นเพียงจากขี้ปากของข้าก็ตามที “ออยกลับไปเถอะ ตี๋ปวดหัว”

ข้าพยักหน้างึกงัก สบตามองเธออย่างวาวโรจน์ ซึ่งเธอเองก็มองข้าอย่างกับรังเกียจคล้ายเห็นสิ่งแปลกประหลาด

หน๊อย เดี๋ยวข้าก็ควักลูกตาเสียเลยนี่ !

เมื่ออีกฝ่ายยังคงเม้มปาก พูดขอโทษขอโพยทั้งยังอยากกลับมาขอคืนดี ข้าก็รีบหันขวับมาจ้องหน้าตี๋อย่างไม่พอใจ

ข้าขี้เกียจเขียนด่าแล้วนะ เมื่อยปากแล้วด้วย !

เจ้าตี๋เหลือบแลมาทางข้า อมยิ้มข้างมุมปากก่อนจะจับอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก ปลอบประโลมข้าด้วยการลูบหลังให้ใจเย็นลง

“ขอบคุณ แต่ไม่เอาหรอก ตี๋มีคนที่ชอบแล้ว ออยมาพูดอะไรซ้ำซากจะขอให้เราคืนดีกัน ตี๋ก็คงได้แต่ตอบคำเดิมๆ” พูดหลังจากนั้นก็โน้มหน้ามากระซิบข้างหูข้า “เนอะ คนขี้หึง”

ชิ ใครหึงใครไม่ทราบ แต่ช่างปะไร ข้าไม่ชอบขี้หน้าหล่อนเลยสักนิด เพียงแค่ปรายตามองแวบเดี๋ยวความโมโหโทโสก็ก่อเกิด ฟึดฟัดหันซ้ายแลขวาไม่อยากจ้องตา เจ้าตี๋ที่คงรับรู้ถึงอาการไม่พอใจจึงเอ่ยเนิบนาบขึ้นมาว่า “กลับไปเถอะ ตี๋มีธุระต้องไปทำต่อ” พูดเอ่ยลาเธอ ก่อนจะเหยียดกายลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องนั่งเล่นโดยไม่คิดจะเหลียวแลเลยสักนิด

ในใจข้าพอใจเหลือหลาย ชอบทุกประโยคที่เจ้าตี๋เอื้อนเอ่ย พอเจอหน้าแม่บ้านก็ไม่วายสมทบ “รบกวนส่งแขกทีนะครับ”

“ได้เลยค่ะคุณชาย” แม่บ้านโค้งหัวอย่างยินดี

เจ้าตี๋โค้งกายกลับก่อนจะเดินขึ้นมาบนบันได จากนั้นก็พาข้าเข้ามาในห้อง วางลงบนตั่งเตียง

“พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา” เสียงทุ้มว่าสัพยอก ข้าที่ทำหน้าสลอนจึงเบนหน้ามาสบตา

“ชิ” ลอบส่งเสียงไม่พอใจ

“หึงก็บอกว่าหึงสิครับ” เจ้าตี๋ว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างริมที่นอน “กลัวตี๋จะกลับไปหาเธอใช่ไหม ?”

“...” ข้าเงียบไม่ตอบคำถาม สักพักก็ไอโครกๆ ปนหน่วงอก

“ตัวเล็ก” เจ้าตี๋สะดุ้งตกใจ “ไม่สบายเหรอ ติดไข้จากตี๋หรือเปล่า ?”

ข้ารีบยกครีบซ้ายโบกไปมาว่าไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่จริงสังเกตตัวเองมาสักพักใหญ่ ว่าเดี๋ยวนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเฉกเช่นทุกวัน เลือกที่จะเบี่ยงเบนความสนใจโดยการชี้ไปที่สมุดให้เจ้าตี๋ยื่นมาให้

เมื่อรับสมุดที่เปิดอ้าเอาไว้ พร้อมด้วยปากกาที่งับคาปาก ข้าก็ตั้งคำถามในสิ่งที่ค้างคาใจ

[ยังรักเธออยู่ไหม ?]

“...” อีกคนเงียบกริบ

ข้าที่แหงนหน้ามองรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ไม่รู้ทำไมถึงได้อยากรู้นักกับสิ่งที่ต้องการได้รับคำตอบ

หากคำตอบที่ว่ายังเป็นรักเธออยู่ หรือแม้แต่เพียงน้อยนิด ข้าก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี

“ไม่”

“...”

“ไม่รักและไม่รู้สึกอะไรกับเธออีกแล้ว ถ้าพูดแบบนี้ตัวเล็กจะเชื่อไหม ?”

ราวกับว่าคำๆ นั้นคือการสารภาพรัก ทั้งยังซื่อตรง ตอบออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ จนข้ารู้สึกร่างกายร้อนผ่าวไปที่บริเวณผิวหน้า พลันหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเอียงอาย ก่อนจะค่อยๆ ผงกหัวเป็นการตอบคำถาม

เชื่อสิ...ข้าเชื่อเจ้าสนิทใจ

อ๊ากกกก นี่ข้ากำลังเขินอย่างงั้นเหรอ อยากจะเอาแอลกอฮอล์กรอกปากเจ้าตี๋ให้ตายจริงๆ เชียว

หมับ ! จู่ๆ ก็ถูกรวบกายไปโอบกอด โยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก

“ชอบจังเลย อยากให้ตัวเล็กเป็นคนจังเลย” เจ้าตี๋พูดออกมาคล้ายละเมอ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างระหว่างโอบกอดร่างกายข้า

ข้าหมุนกายมาจ้องหน้าอีกฝ่าย ไม่ทันจะได้สบตาก็ดันเห็นใบหน้าหล่อเหลาหลับตาพริ้มไปเสียแล้ว

รับมือกับการเป็นพิษไข้ของคนตรงหน้าไม่เป็นจริงๆ เลย

เฮ้ออออ ไอ้สวามีงี่เง่า

 

ในระหว่างที่ตี๋หลับนั้น ภัทรที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไรก็ก้าวเข้ามาในห้อง พอชะโงกหน้าเห็นตี๋หลับก็กวักมือเรียกข้าให้ไปหา ข้ากระเถิบกายไล่ตามต้อยๆ ก่อนจะถูกอุ้มมาแนบอก พยายามไม่ส่งเสียงตามปลายนิ้วชี้ที่จุ๊ปากเป็นการส่งซิก

แง ผัวใหม่มีของมาให้แน่ๆ เชิญผัวเก่านอนซมตายไปก่อนน๊า

ใจหนึ่งก็เป็นห่วง แต่ถ้ามีแบล็กพิ้งก์มาแลกเปลี่ยนใจคนก็ผันแปรได้ไม่ยาก

“วันนี้เอาเสื้อสกรีนรูปลิซ่ามาให้แหละ”

“กี๊สๆ” ข้ากรีดร้องหลังจากออกมานอกห้อง ถูกเจ้าภัทรพามาในห้องโถง ทำตัวประหนึ่งอยู่ในบ้านของตนเอง ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา จากนั้นก็พยายามเอาเสื้อตัวเล็กสวมใส่ข้า ตัวข้าเองก็ยินดียิ่งนัก ชูครีบคล้ายกางแขนออกกว้าง พอสวมเสร็จก็ลูบตรงบริเวณหน้าท้อง มีภาพการ์ตูนSDลิซ่าใส่ชุดสีขาวมีเสื้อแจ็กเก็ตสวมทับอีักชั้น น่ารักจนข้าอยากกรี๊ดให้เส้นเลือดในลำคอแตกตาย

ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก หากข้าเป็นคนคงจะได้มีโอกาสพูดขอบคุณอีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งเจ้าตี๋ที่คอยเลี้ยงดูอย่างดิบดี พอหวนนึกถึงเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปถึงบิดามารดาในสมัยตอนเป็นคน

ที่ข้าไม่อยากพูดถึง ก็เพราะข้าคิดว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโชคชะตา การเก็บความทุกข์หรือความเสียดายในตอนที่พลั้งพลาด พลอยจะทำให้ข้าไม่มีความสุขกับชีวิตใหม่ที่ได้รับมา ข้าเลยเลือกที่จะปลงและยอมรับกับสิ่งที่เกิด เชื่อว่าปานนี้พ่อกับแม่แม้จะทุกข์ระทม แต่ก็ยังมีลูกคนโตที่แสนดีคอยดูแลท่านอย่างดิบดีเป็นที่แน่แท้ ฉะนั้นข้าจึงไม่นึกเสียดายสิ่งใดๆ

แต่พอหวนมานึกถึงตอนนี้ ข้าที่รู้สึกว่าร่างกายกำลังเจ็บป่วย กริ่งเกรงว่าจะทำให้ใครบางคนต้องปวดร้าวในอกจนแทบทุกข์ตรม

ข้าเริ่มรู้ชะตาตัวเองแล้ว...รับรู้ได้ถึงสิ่งที่ใกล้จะเกิด

จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเซื่องซึม ไม่ได้สนใจคนข้างกายที่เปิดคลิปเกิร์ลกรุ๊ปที่ตนเองนั้นชมชอบ พลันมีเสียงหนึ่งดังกังวานเข้ามา เรียกชื่อข้าให้ใจเต้นกระหน่ำ

“ตัวเล็ก”

เจ้าตี๋…

ข้าแหงนหน้ามองคนป่วยที่เดินเอื่อยมาหา ริมฝีปากคลี่ยิ้มละมุนละไม “คิดว่าหายไปไหนซะอีก”

“...” ข้าเงียบ ค่อยๆ เผยอยิ้มให้เจ้าตี๋ ทำคนตรงหน้าชะงักกับภาพที่เห็น

นั่นก็เพราะข้าไม่ค่อยยิ้มบ่อยๆ ให้อีกคนดูเลยยังไงล่ะ

ข้าแค่อยากยิ้ม ยิ้มในตอนนี้ ยิ้มให้เจ้ารู้ว่าตอนนี้ข้ายังไม่ได้หายไปไหนก็เท่านั้นเอง

 

สามวันผ่านไปกว่าที่เจ้าตี๋จะหายไข้ ข้าที่รออีกคนอาบน้ำอยู่ก็รู้สึกร่างกายเหนื่อยล้าจึงผล็อยหลับไปก่อน พลันนอนหมอบม้วนอยู่ที่พื้น มาลืมตาสะลึมสะลือตื่นก็ตอนที่อีกคนเดินมายืนค้ำหัวพลางเรียกชื่อ พอข้าเงยหน้ามองก็พลันหน้าถอดสีในบัดดล

เจ้าตี๋เปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างพันผ้าขนหนูที่ยาวระดับเหนือเข่า ข้าที่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวก็ดันไปสบเข้ากับสิ่งที่งอกเงยหดหัวลงต่ำ

กรี๊ดดดด คว- นี่มันคว-

“กี๊สสสส !” กรีดร้องพร้อมชี้ครีบไปที่หรรมคนตรงหน้า เจ้าตี๋ที่สะดุ้งโหยงพอเห็นข้าเล็งมาที่เป้า ใบหน้าหล่อเหลาก็แดงก่ำ รีบกุมส่วนสงวนแนบกับผ้าขนหนู

อีวิปริต อีผัววิตถาร !!

“ตัวเล็กเห็นงั้นเหรอ ?” เจ้าตี๋ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หน้าตาเหลอหลาวางตัวไม่ถูก

ไม่เห็นมั้งอีโง่ ! โชว์งวงราวกับจะยื่นหน้ามาฉกข้าขนาดนั้น แถมยังเห็นขนหมออ้อยอีก ข้าได้เป็นตากุ้งยิงแน่ๆ อะไรจะใหญ่เท่ากล้วยงาช้างขนาดนั้น

แม่คะลูกอยากจะตาบอด !!!

ชายหนุ่มตรงหน้าหน้าแดงเรื่อ รีบขยับฝีเท้าไปที่ห้องแต่งตัว ทิ้งข้าช็อกกับกล้วยหอมจอมซนและขนสาหร่ายโมซุกุ ก่อนจะไอโครกออกมา หน้าที่ช็อกกับการเห็นหรรมยิ่งช็อกเข้าไปใหญ่ เมื่อเลือดจำนวนหนึ่งทะลักออกจากปาก

ตัวข้านิ่งชา รู้สึกครีบสั่นระริกพลอยเย็นเฉียบ พอตั้งสติก็รีบรุดไปที่ตะกร้าเสื้อผ้า หมายมาดจะหยิบเสื้อสักตัวมาเช็ด ไม่ทันไรกลับมีร่างสูงยืนตระหง่าน เงาทำทะมึนทาบทับตัวข้าที่กำลังเอาครีบดันเสื้อเช็ดหยาดโลหิต

อีกฝ่ายดวงตาเบิกโพลง สีหน้าที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนดูถอดสีราวกับเสียขวัญ ริมฝีปากสั่นระริกในยามเรียกชื่อของข้า “ตัวเล็ก”

ไม่ทันเสียแล้ว…

“แค่ก” ข้าเผลอไออีกรอบ ครั้งนี้เลือดอีกจำนวนมากไหลออกจากปาก เปียกเปรอะที่พื้นห้อง สายตาของข้าก็เริ่มเลือนราง มองภาพตรงหน้าไม่กระจ่างชัด รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกของตัวเองที่ใบหน้าฟุบลงกับพื้น ตามมาด้วยเสียงร้องหวาดผวา

“ตัวเล็ก !!!”

 

ข้ารู้สึกเพลียเหลือเกิน เจ็บแปล๊บปล๊าบไปที่อก หัวใจบีบแน่นราวกับหวาดกลัว เห็นเพียงภาพดำมืดตามมาด้วยเสียงคุยกันเซ็งแซ่

“น้องภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก ไม่ทราบว่าได้รับแรงกระแทกที่ร่างกายด้วยหรือเปล่า ภายในค่อนข้างบอบช้ำพอสมควร หมอว่าคุณควรทำใจไว้ดีกว่านะครับ ตัวเล็กมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว มีโรคแทรกซ้อนเข้ามาอีก หมอเกรงว่า...”

อะไรกัน...ทำไมหมอถึงได้ปากปีจอขนาดนี้ ข้าปรือตามองพลางลุกขึ้นอย่างอิดออด ส่งผลให้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้วยความดีใจ

“ตัวเล็ก”

อาห์ เจ้าตี๋อีกแล้ว นี่ข้ายังไม่ตายสินะ

โธ่ ไม่น่าเลย…

ฮ่าๆ ข้าล้อเล่นน่ะ

“เป็นยังไงบ้าง ?” เสียงเจ้าตี๋ถามไถ่อย่างเป็นห่วง ปลายนิ้วเกลี่ยที่ใบหน้าของข้าอย่างนุ่มนวล

“ดีขึ้นไหม” อีกคนถามเสียงนุ่ม ข้าจึงพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม กวาดตามองไปรอบห้องจึงได้เห็นทั้งครอบครัวของเจ้าตี๋ที่ยืนมองข้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า รวมไปถึงเด็กผีทั้งสองคนที่น้ำตาไหลอาบแก้ม

อะไรกัน จะร้องไห้ไปไย เป็นพวกเจ้ามากกว่าที่ควรดีใจ ข้าจะได้ไม่สร้างปัญหาภาระเพิ่มอีกในแต่ละวัน

ขืนมีข้า บ้านเจ้าก็ได้ลุกเป็นไฟอีกแน่ๆ

เฮ้อออ ข้ารู้สึกโหว่งๆ ในอกยิ่งนัก แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนที่เจ้าตี๋จะยื่นสมุดกับปากกามาให้ข้า เรามองตากันคล้ายรู้ใจ

ข้ามีอีกหลายอย่างเลยที่อยากทำ มีอีกหลายข้อที่อยากทำร่วมกับเจ้า รวมไปถึงครอบครัวหรรษาของเจ้าด้วย แต่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก อย่างที่หมอบอกว่าตัวข้านั้นเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

ข้างับปากกา ในขณะที่อีกคนจับสมุดเอาไว้มั่น ในระหว่างที่ขีดเขียนตัวอักษรนั้น ข้าก็ได้เห็นหยาดน้ำตาตกกระทบกับกระดาษเอสี่ มันไหลหยดเป็นจุดกลมๆ ครั้นเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงได้เห็นว่าเจ้าตี๋กำลังร้องไห้อยู่

เจ้าผู้ชายขี้แงเอ้ย…

ข้าชูครีบปาดน้ำตาบนแก้มสากให้อีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าตั้งใจเขียนประโยคที่ต้องการในครั้งสุดท้าย

[เราไปทะเลด้วยกันอีกนะ]

มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากจะทำ...

แค่อยากใช้เวลานี้อยู่กับเจ้าอีกสักครั้ง

“ได้สิ” เจ้าตี๋ตอบพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ได้เลย เราไปวันนี้กันเลยนะ”

ข้าเค้นยิ้มอย่างพึงพอใจ พยักหน้ารับก่อนจะเอาหัวถูไถกับใบหน้าเรียวอย่างออดอ้อน

อีกไม่นาน ข้าก็จะไม่ได้ทำแบบนี้อีกแล้วนะ

 

ข้าได้เดินทางไปกับเจ้าตี๋สองคน ในระหว่างนั้นก็เห็นอีกฝ่ายที่ขับรถไปสะอื้นไป มีบางจังหวะที่หักห้ามไม่ไหวจนต้องหยุดรถกลางคัน เบรกอยู่ข้างริมถนน ก่อนที่ชายตรงหน้าจะก้มหน้าแนบลงกับพวงมาลัย หลุดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดปานจะขาดใจ

ข้าน้ำไหลกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ต้องปั้นท่าเข้มแข็งเอาไว้ เขียนใส่กระดาษอีกครา ก่อนจะใช้ครีบสะกิดให้คนตรงหน้าเหลียวกายหันมามอง

ตี๋ที่ใต้ตาแดงก่ำ ไหล่เกร็งโยนสั่นสะท้าน น้ำตาไหลก็เกลือกกลิ้งมาถึงปลายคาง นัยน์ตาคมกล้าสบมองใบหน้าของข้า ก่อนจะผินตาลงดูตัวอักษร

[อย่าร้องไห้เลย เราจะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน] ข้ารู้สึกเช่นนั้น

หากพระเจ้าไม่เล่นตลก หากพระเจ้าฟังคำวิงวอนในครั้งนี้ มันจะเป็นครั้งแรกที่ข้าวิงวอนกับท่าน เพื่อขอให้กลับมาพบกับคนตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง

หากท่านมีเมตตามากพอ…

ข้าขอให้เกิดมาพบเจอเจ้าตี๋อีกสักครั้ง

ได้โปรดเถอะ

“ตัวเล็กอย่าพูดแบบนี้สิ” อีกคนกล่าวเสียงสั่น พยายามเม้มปากไม่ให้เล็ดร้องเสียงสะอื้นไห้ พลันเงยหน้าจะกักเก็บหน่วงน้ำตาให้ไหลเข้าไปภายใน สุดท้ายก็ทำไม่ได้จนข้าอ่อนใจ รีบเขียนใส่กระดาษด้วยท่าทางอิดโรย อ่อนแอเกินจะต่อกรกับระบบร่างกายภายใน

[เชื่อเล็กนะ] ข้าวางกระดาษยื่นไปที่ตักคนตรงหน้า พอเจ้าตี๋มองมาทางเบาะที่นั่งข้างฝั่งคนขับ ก็หลุดยิ้มเมื่อเห็นข้าพยายามชูครีบขึ้นวางลงตรงกระหม่อม ทำท่าเหมือนกระต่ายซุกซนโยกกายไปทางซ้ายและขวา

ข้าอยากจะให้เจ้ายิ้ม เพราะรอยยิ้มมันเหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว…

ไอ้เจ้าผู้ชายโรคจิต

 

กว่าเจ้าตี๋จะทำใจขับรถมาถึงริมทะเลได้ก็นานพอสมควรอยู่ ในระหว่างนั้นข้าก็พยายามฝืนไม่ให้ตนเองหลับ เกรงว่าจะทำให้คนขับต้องขวัญเสีย ครั้นมาถึงทรายหาดสีขาวที่เคยมาในครั้งที่แล้ว เจ้าตี๋ที่จอดเทียบรถก็เปิดประตูรถอุ้มข้าลงมาอย่างทะนุถนอม กอดแนบแน่นประหนึ่งว่าครั้งนี้จะไม่มีสิ่งกระทัดรัดให้โอบกอดอีก

วันนี้พระอาทิตย์ที่สุกสกาวกลับพลบค่ำ เสียงคลื่นน้ำของทะเลช่างเพราะพริ้งกว่าทุกวันที่เคยฟัง เห็นเจ้าปูตัวเล็กๆ โผล่หัวออกมาจากในทราย เห็นทั้งผู้คนที่ค่อยๆ เดินลาลับออกจากฝั่ง มีเพียงข้ากับคนข้างกายที่นั่งอยู่บนพื้นพิภพ ยามนี้ไม่ได้ร้อนอบอ้าวสร้างผลกระทบให้ข้าโอดครวญ กลับร่มเย็นและนุ่มนิ่มเหลือเกินจะกล่าว

รวมไปถึงเสียงของเจ้าตี๋ก็ดูนุ่มนวลกว่าทุกวัน ข้าที่นั่งนิ่งงันดูพระอาทิตย์ตกดินก็เขยิบกายเข้าไปนั่งบนตักโดยไม่สนคำขออนุญาตออกมาจากปาก เพราะรู้ดีว่ายังไงอีกคนก็คงยินยอม

“ไม่รู้มาก่อนว่าทะเลจะเงียบสงบมากขนาดนี้”

งึกงัก ข้าพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะอ้าปากหาวหวอดด้วยความง่วงงุน

“ตัวเล็ก”

“...”

“ตัวเล็กเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ตี๋ไม่เคยค้นพบมาก่อนเลยนะ” สุรเสียงเอื้อนเอ่ยอย่างนุ่นวล ข้าที่ทิ้งตัวเอนหลังพิงกับแผงอกและกล้ามหน้าท้องแน่นหนา ได้แต่สดับรับฟังพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“เป็นทั้งความสุข เป็นทั้งเสียงหัวเราะของตี๋เลย”

“...”

“ชอบนะ”

“...”

“ชอบมากๆ ด้วย”

ตึกตัก เสียงของหัวใจข้ากระตุกรัวแรง

“มันเป็นเพราะตี๋ ถ้าเกิด...ถ้าเกิดตี๋ไม่ใช้แรงงานตัวเล็กจนหนัก  ตัวเล็กก็คงไม่เป็นแบบนี้ ฮึก ฮือ ถ้าเกิดในวันนั้นเป็นตี๋เองที่ช่วยทุกคนแทนตัวเล็กได้ ตัวเล็กก็คงไม่ต้องเจ็บตัวจนบอบช้ำแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะตี๋แท้ๆ” สิ้นประโยคข้าก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญดังมาจากด้านหลัง

หัวใจข้าตีบร้าวนัก รีบลงจากตักอีกฝ่าย กระเถิบกายไปหากระดาษกับปากกาที่เจ้าตี๋ได้ถือมาด้วยตั้งแต่แรก เพื่อที่เราจะได้พูดคุยกันสะดวก

สิ่งที่ต้องการจะสื่อต่อไปนี้คือ

[อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของตี๋หรอก]

“ฮึก” ขี้แงจังเลยนะ นี่ข้าได้เด็กขี้แงมาเพิ่มเป็นลูกหรือเปล่ากัน อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม พลันรู้สึกอ่อนล้าทีละนิด จรดปากกาแต่งแต้มสี วาดตัวอักษรผ่านกระดาษให้ได้อ่าน

[เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน เล็กรู้สึกเช่นนั้น] ต่อให้จะเป็นแค่ความรู้สึกก็ตามที ข้าพลิกกระดาษก่อนจะเขียนอีกคำ [ตี๋เชื่อเล็กนะ]

ข้าไม่พูดเปล่า ยังใช้การกระทำอุกอาจเขยิบขึ้นไปนั่งบนตักแกร่ง กวักครีบให้คนตรงหน้าโน้มตัวลงต่ำ พอสมดั่งใจนึก ข้าก็เขยิบปากไปจุมพิตที่เปลือกตาข้างซ้ายแทนการซับหยาดน้ำตาที่รินไหล ไล่ไปที่เปลือกตาขวาเพื่อทดแทนแห่งการปลอบประโลมใจ ต่อด้วยหน้าผากแทนเรื่องราวที่เราถักทอร่วมสร้างกันมา เลื่อนต่ำมาที่สันจมูกแทนทุกลมหายใจที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเนิ่นนาน ต่อด้วยแก้มข้างขวาทดแทนแห่งความเอ็นดู และแก้มซ้ายแทนคำห่วงใย จูบต่ำลงมาที่ปลายคางเพื่อสื่อถึงความขอบคุณ และจบท้ายด้วยริมฝีปากนุ่มหยุนเป็นที่ตราตรึง

สื่อถึงความรักที่เคยมีมา

ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำมันได้ดีอย่างไม่มีวันลืม ถึงครานั้นข้าจะกลับมาพร้อมกับคำพูดที่เจ้าไม่เคยได้รับฟังมาก่อน

ข้ารับรู้ได้ว่าเจ้าต้องจำฝังใจกับสิ่งที่ได้รับสัมผัส ในสายตาคู่นั้นที่ชะงักอยู่นั้นสั่นไหวรัวแรง รีบโอบกอดตัวข้าอย่างรักใคร่ ข้าหลับตาลงอย่างปลื้มปรีติ พอใจกับสิ่งที่ได้รับมาจนถึงทุกวันนี้

มันเป็นระยะเวลาสั้น แต่ก็เนิ่นนานเป็นเรื่องราวผูกพันระหว่างเราทั้งสอง

ดวงตาของข้าปิดสนิท ได้ยินเสียงเรียกชื่อพร้อมการร่ำไห้ แต่ข้าไม่สามารถลืมตามาปลอบขวัญได้แต่อย่างใด ทิ้งเพียงการจากลาทิ้งท้าย พร้อมกับลมหายใจที่ไร้การเต้นจังหวะของหัวใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2019 16:55:05 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
Tee Past special : Love baby

 

เป็นเวลาห้าปีถัดมาแล้วที่ไร้เสียงเจื้อยแจ้วเฉกเช่นทุกที หมอนที่เคยมีสัตว์ตัวหนึ่งนอนหนุนอยู่ข้างกาย บัดนี้ก็มีเพียงแมวตัวสีขาวที่ชื่อมิรินนอนขดตัวอยู่ใกล้ๆ บนฟูกเตียงที่ยับยู่ยี่

ผมขยี้หัวตัวเองก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เหยียบย่ำกับพื้นห้องที่ใหญ่โตโออ่า เข้ามาภายในห้องน้ำก็ปล่อยให้สายธาราไหลผ่านไปที่เรือนร่าง ฝ่ามือใหญ่ก็ลูบไล้ไปตามเรือนกายเพื่อฟอกสบู่ตรงจุดอับให้สะอาดหมดจด เสร็จสรรพจึงออกมาแต่งตัวให้เรียบร้อย ขับรถเดินทางมายังอควาเรี่ยมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีเด็กและผู้ใหญ่เดินกันพลุกพล่าน พอได้ยินเสียงหัวเราะ ก็นึกถึงเสียงอุ๋งๆ ของใครบางคนที่ร่าเริงแจ่มใส สร้างเสียงหัวเราะให้ผมแทบตลอดทุกวัน

เพียงได้หวนนึกถึงก็พลอยให้ผมลอบอมยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะทิ้งมิรินให้เดินเล่นในอควาเรี่ยม ไม่จำเป็นต้องนึกห่วงแต่อย่างใเ เพราะมีพนักงานคอยสอดส่องช่วยกันดูแลแมวผมกันเป็นอย่างดี พลันสอดฝ่ามือเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง ก้มหน้าเดินผ่านถ้ำอุโมงที่มีกระจกใสแจ๋ว เห็นสัตว์น้ำต่างๆ นานาที่มากสายพันธุ์หลากสีสัน ไหนจะฉลามตัวใหญ่ยักษ์ที่น่าหวั่นเกรง ครั้นมาถึงจุดหมายที่ตัวเองต้องการพบ ผมก็มองเจ้าสิงโตทะเลที่ว่ายน้ำลงในสระ บางทีก็เหลือบมองมาทางผม เล่นเอาลมหายใจสะดุดหวนนึกถึงใครบางคน ก่อนที่จะมีเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากเด็กข้างกาย

“สิงโตทะเล !” เด็กตัวน้อยวัยห้าขวบได้ชี้นิ้วไปที่สิ่งตรงหน้า ยิ้มหน้าบานพลางจับชายกระโปรงของแม่ตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจให้หันมาดูตาม “แม่ดู เยอะมากเลย”

“หึๆ” ผมหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู ก่อนจะทิ้งตัวลงย่อเข่าอยู่ตรงหน้าเด็กข้างกาย “รู้ไหมครับ แต่ก่อนมีสิงโตทะเลที่ชื่อว่าเจ้าตัวเล็ก เป็นที่โด่งดังด้วยนะ” ผมว่าเสียงอุ่น ฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหยิบมือถือเปิดคลิปที่ได้แอบถ่ายไว้ให้เด็กน้อยตรงหน้าดู

“เป็นไงเต้นได้ด้วย” ผมพูดขณะกลั้วหัวเราะขำในลำคอ เด็กตรงหน้าอ้าปากร้องโอ้โห ก่อนจะแย้มยิ้มเบิกบานอย่างมีความสุข

“แล้วตอนนี้ตัวเล็กอยู่ไหนแล้วล่ะฮะ” ประโยคถามไม่ประสีประสาทำให้รอยยิ้มของผมค้างเติ่ง เปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนลงขณะกล่าว

“เสียแล้วครับ”

“ฮือ เสียดาย” เด็กน้อยตรงหน้างอแง แววตาดูเศร้าสลด ผมเห็นแล้วนึกเอ็นดูจึงถือวิสาสะคุณแม่โดยการลูบหัวเด็กชาย

“ไม่ต้องเศร้านะ ตัวเล็กขึ้นสวรรค์ไปแล้ว อยู่บนฟ้ากับสัตว์ตัวอื่นๆ” ผมเอ่ยปลอบประโลม มากพอที่จะทำให้อาการซึมเซาของเด็กชายแปรผัน เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างปลื้มปรีติ

ผมโค้งกายเล็กน้อยเพื่อลาจาก มิวายโบกมือบ๊ายบายเด็กตัวน้อย ก่อนจะมาทำหน้าที่การงานของตัวเองต่อ คอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยภายใน บัดนี้ได้สืบทอดตำแหน่งแทนผู้เป็นพ่อ เป็นเจ้าของกิจการพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ก่อนจะคึกสนุกเมื่อเห็นพนักงานที่ใส่ชุดมาสคอดถอดส่วนหัวออกมาเพื่อคลายร้อน ผมจึงเดินไปพูดกับอีกฝ่าย “ผมขอใส่ได้ไหมครับ”

พนักงานมาสคอดเห็นผมเข้าก็สะดุ้ง ริมฝีปากตะกุกตะกัก “ตะ แต่ท่านครับ”

“ไม่เป็นไร คุณไปพักเถอะ ผมแค่อยากทำไรสนุกๆ บ้าง ถือว่ารับประสบการณ์ใหม่ๆ” ผมตอบอย่างไม่ถือสา พนักงานอิดออดอยู่นานสุดท้ายก็จำใจ ผมถึงได้แต่งตัวเดินเล่นหยอกล้อกับเด็กๆ สมใจอยาก

นี่ก็อายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว หลังจากสูญเสียตัวเล็กไป คำสัญญาที่เคยให้กันไว้ผมก็ยังจดจำไม่รู้ลืม รวมไปถึงสัมผัสตราตรึงครั้งสุดท้ายในยามนั้น

มันเป็นช่วงเวลาที่แสนหวานและแสนเศร้าในคราเดียวกัน…

“ฉลาม ฉลาม ฮ่าๆ” เสียงเด็กชี้มาทางผม ขณะที่ผมกางมือทั้งสองข้าง ทำท่าจะเดินเข้าไปกอด สร้างเสียงหัวเราะครื้นเครงไม่แม้กระทั่งผู้ใหญ่ ไหนจะถูกขอถ่ายรูปผ่านชุดมาสคอดอีก

ภายในค่อนข้างร้อนพอสมควรอยู่ จนผมอดไม่ได้ที่จะนึกชมเชยพนักงานที่ทนลำบากกับการแต่งการพรรค์นี้ ดูท่าจะต้องปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นให้เหมาะกับความขยันซะแล้วสิ

หลังจากผ่านไปสักชั่วโมงผมก็รู้สึกร้อยขึ้นมาดื้อๆ เดินไปทั่วแทบทั้งอควาเรี่ยมสร้างความหรรษา ใจก็พลอยกระปี้กระเปร่าสร้างเสียงหัวเราะ พอถอดหมวกส่วนหัวของฉลามออก ใบหน้าหล่อเหลาก็ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อตามริมขมับ เส้นผมเปียกชื้นจนผมต้องเอาผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาและลำคอให้ชื่นใจ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบน้ำมากระดกดื่ม ชายตามองละแวกตัวที่มีผู้คนเดินผ่านกันแน่นขนัด ก่อนจะหยุดะงักไปที่เด็กคนหนึ่งที่ถือลูกโป่งสีแดงฉาน ใบหน้าเล็กหวานหยด นัยน์ตากลมโต จมูกจิ้มลิ้ม ริมฝีปากขยับพูดอะไรบางอย่างกับแมวที่นั่งอยู่ตรงพื้น

ผมหรี่ตามอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นมิริน แถมยังคลอเคลียกับเรียวขาของเด็กน้อยตรงหน้าอีก

เด็กที่อายุไม่เกินสี่ห้าขวบได้ ดูท่าจะพลัดหลงกับมารดาแหงๆ พลันปล่อยลูกโป่งออกจากมือ นำพาให้สิ่งนั้นลอยละลิ่วเหนืออากาศไปยังฟากฟ้า ผมเหลือบตามองตาม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปหาเด็กที่ดูท่าจะพลัดหลง ไม่ทันจะถึงตัว ผมก็ชะงักฝีเท้า ลอบมองอากัปกิริยาของเด็กคนหนึ่งที่อุ้มแมวมิรินของผมขึ้นมาแนบอก สอดนิ้วไปที่ระหว่างเท้าหน้าของมิริน พูดพึมพำไรบางอย่างพร้อมกับชักสีหน้า เห็นดังนั้นผมก็ขมวดคิ้วมุ่น เดินทอดน่องไปหาอีกฝ่าย ไม่ทันจะถึงตัวเด็กคนนั้นที่มีเส้นผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนก็หันขวับมาทางผม นัยน์ตากลมโตที่กลมเป็นทุนเดิมยิ่งเบิกกว้างเหมือนตกกะใจ

อะไรกัน ดีใจที่เห็นคนใส่ชุดมาสคอดหรือไงกัน

ขวับ ! พึ่บ ! “แง่ว !!” เสียงมิรินร้องลั่นเมื่อถูกเขวี้ยงทิ้งไปยังพุ่มไม้อย่างไม่ไยดี ผมสะดุ้งโหยงจนหลุดร้องเฮ้ย กำลังจะหันหน้ามาเอ็ดเด็กร้ายที่ทำตัวไร้การอบรมสั่งสอนไม่ทันไร ร่างขาวๆ ตัวน้อยๆ ที่สูงไม่ถึงเอวของผมสักนิดก็ขยับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคล้ายจะเอื้อนเอ่ยถาามไถ่ แต่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบลงในบันดล

ผมฉงนใจยิ่งนัก พินิศท่าทีเด็กตัวจ้อยที่กวักมือให้ผมโน้มกายลงมาแทน

ไม่รู้เหตุใดผมถึงยอมทำตามด้วยความคุ้นเคย

สงสัยติดมาจากตัวเล็กยังไม่หายละมั้ง

“ว่าไง…!!” ไม่ทันจะสิ้นประโยค ตัวผมก็นิ่งค้างและสับสน ลำตัวสะดุ้งโหยงกับฝ่ามือเล็กๆ ที่ประคองใบหน้าคมคายลงมาใกล้ๆ ปล่อยให้ริมฝีปากนุ่มนิ่มจุมพิตลงที่เปลือกตาข้างซ้ายจนผมต้องหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสนุ่มนวล

ใจของผมเต้นตึกตักอย่างสับสนวุ่นวาย เปิดตาจ้องเด็กตรงหน้าอย่างวูบไหวและสั่นคลอนอย่างรุนแรง

อีกฝ่ายไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น ยังยื่นหน้ามาจูบที่เปลือกตาข้างขวาของผมต่อ ตามมาด้วยหน้าผาก แก้ม คาง และ…

จุ๊บ !

ที่ริมฝีปากของผม…

มือผมชาไปหมด รู้สึกโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ หัวใจเต้นระทึกอยากจะพูดบางสิ่งแต่ก็รัวแรวเกินจะปริปากออก

สัมผัสตราตรึงพวกนี้ ผมจำได้ดี…

เด็กตัวขาวเหมือนลูกครึ่งญี่ปุ่นคลี่ยิ้มทั้งน้ำตา “จำตัวเล็กได้ไหม”

ฉับพลันน้ำตาของผมก็พรั่งพรู ปล่อยโฮออกมาพร้อมกับรีบสวมกอดสิ่งตรงหน้าอย่างหวงแหน

“จำได้สินะ” เสียงหวานเล็กๆ พูดเอ่ยขณะยกมือลูบไหล่ผมเบาๆ

ตัวผมสั่นสะท้านไปหมด หายใจไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไงดี ผละกายออกมามองสิ่งตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ปรากฎว่าเด็กตรงหน้าก็ดันยิ้มกว้างอย่ขงขัน

นี่ไม่ใช่ฝัน...

นี่คือเรื่องจริง…

ตัวเล็กอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริงๆ…

“รอนานแล้วนะ รอจนจะอายุสามสิบขึ้นคานแล้ว” ผมดึงเด็กตรงหน้ามาสวมกอดอีกครั้งหนึ่ง เอ่ยวาจากระทบเสียดสี เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากเด็กตัวขาวละเอียดลออดุจหงส์ขาว

ผมรอเวลานี้มาเนิ่นนาน ปักใจเชื่อมาโดยตลอดว่าจะได้พบเจอตัวเล็กอีกครั้งหนึ่ง ดั่งคำสัญญาที่หมายมั่นให้กันไว้

“เราชื่อไอนะ” เสียงน้อยๆ ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

ผมดีใจไปหมด มือไม้มันสั่นระริก หน้าแดงปลั่งเพราะความดีใจล้วนๆ กอดแนบแน่นให้เหมือนความรู้สึกที่เอ่อล้นภายในใจ ครั้นเป็นที่พอใจจึงเคลื่อนใบหน้าออกห่างมามองอีกฝ่ายที่หัวเราะทั้งน้ำตาอีกหน พร้อมกับประโยคที่ทำให้หัวใจผมสั่นสะท้านยิ่งนัก

“คิดถึงนะ คิดถึงมากๆ เลย รักตี๋ ไอรักตี๋ ฉะนั้นอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”

“ตัวเล็ก…” ผมน้ำตาคลอจนน้ำตาไหล ก่อนที่ปลายนิ้วน้อยๆ จะปัดผ่านบริเวณผิวแก้มให้อย่างอ่อนโยน

“ผู้ชายไรขี้แงอะ”

“ฮึก” ผมสูดน้ำมูกที่คล้ายจะไหลทันที

“รักไหม ?” จู่ๆ ตัวเล็กที่ชื่อว่าไอก็ถามขึ้นมาเสียงสั่นเครือ

“เป็นคำถามที่ไม่น่าเอ่ยออกมาเลย” ผมบอก

“บ้าบอ” เสียงน้อยตอบอย่างร่าเริง พลอยให้หัวใจผมเต้นถี่ ราวกับมีกลองมากระหน่ำอยู่ภายในอก

ผมไม่สนใจกับคำครหาใดๆ ทั้งนั้น

“รักสิ รอไอมานานแล้ว ไม่รักได้ไง”

จุ๊บ ! สิ้นคำพูดไอก็ยื่นปากมาจูบปากผมอย่างรวดเร็วและผละออก มิวายเอ่ยว่า “ดีมาก เด็กดี”

สรุปใครเป็นเด็กใครกันแน่นะ…

“คนมองกันเต็มเลยอะ” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงพึมพำ พลอยให้ผมต้องหันไปมองรอบด้าน มีผู้คนเดินผ่านมองมากันเต็มไปหมด จริงดังว่า...

“งั้นเราไปที่อื่นกัน” ผมพูดพลางอุ้มตัวเล็กขึ้นมาทันที

“ทำไมแต่งชุดมาสคอดอะ” ไอถาม

“ไม่หล่อเหรอ ?” ผมว่าสัพยอกขณะก้าวไปที่ห้องพักพนักงาน

หัวใจผมจะวาย ทำไมตัวเล็กน่ารักขนาดนี้

“ตลกดี” ไอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ช่างเป็นรอยยิ้มเบิกบานที่ทำให้หัวใจของผมอยากหลอมละลาย

น่ารักจังเลย

“แล้วแม่อยู่ไหน ?” ผมถามกลับ

“คงเดินตามหาจนวุ่นอยู่แหละ” ไอตอบกลับพานไหวไหล่น้อยๆ ผมเห็นแล้วอดไม่ได้ที่ยิ้มขำอย่างเอ็นดู

[ประกาศค่ะ ตามหาเด็กพลัดหลง ชื่อไอ อายุห้าขวบ ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาว สวมเสื้อเอี้ยมสีน้ำเงิน ข้างในใส่เสื้อยืดสีขาวคอกลม ใครพบเจอช่วยพามาที่แผนกประชาสัมพันธ์ด้วยนะคะ]

“นั่นไง” ไอว่า “ไม่ทันขาดคำ”

“เด็กไม่ดี” ผมเอ็ด ก่อนจะปิดบานประตูลงและล็อกกลอน เดินดูรอบห้องเมื่อไม่เห็นมีใครจึงวางไอยืนลงกับพื้น

“จะฟ้องว่าลักพาตัวเด็ก” เจ้าตัวเล็กตรงหน้าว่าพร้อมรอยยิ้มโชว์ฟันน้ำนมที่เรียงสวย

“ยินดีให้ตำรวจจับ” ผมยื่นฝ่ามือไปประคองใบหน้าเล็กทันที ก่อนจะกระเถิบกายเข้าไปใกล้ ริมฝีปากอุ่นร้อนประทับตราตรึงที่กลีบปากนุ่มหยุ่นอีกครา หลังจากนั้นจึงผละกายออกห่าง

“จูบให้ชื่นใจเหมือนที่ต้องทนรอมาเนิ่นนาน”

“เป็นผัวอ๋อมาจูบอะ” ไอว่าพร้อมยู่ปากอย่างน่ารักน่าชัง

“และอยากให้เป็นไหมล่ะ” ผมถามกลับ ไอจึงหัวเราะร่วนชอบใจ

“อยากสิ จะได้กรรโชกทรัพย์มาให้หมด มีแฟนเป็นเจ้าของอควาเรี่ยมดีจะตาย”

“งั้นเชิญผลาญินตี๋ตามสบายเลย” ผมยิ้มเยื้อน ก่อนจะจูงมือไอออกมากจากที่พำนักพนักงาน

“ตี๋” เสียงเด็กตัวน้อยเรียกชื่ออย่างสนิทชิดเชื้อ

ไม่รู้ทำไมใจผมถึงเต้นทุกครั้งที่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวในแต่ละคำ คงเป็นเพราะทุกครั้งเราสื่อสารผ่านตัวอักษรและการกระทำมากกว่าคำพูดใดๆ

ไอกระชับฝ่ามือผมแน่น ในระหว่างที่ผมเดินมาที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์

ผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือน้อยๆ นี้อีกต่อไปแล้ว

รอพ้นวัยกำหนัดก่อนเถอะ จะกอดเจ้าตัวเล็กคนนี้ให้หนำใจเลย

“ฝันไปเถอะ” จู่ๆ ไอก็เอ่ยลอดขึ้นมา

ผมสะดุ้งโหยง ยังไม่ทำอะไรเลยก็ถูกว่าเสียแล้ว

“รู้หรอกว่าคิดอะไรอะ ไอ้คนโรคจิต”

“ทำไมปากคอเราะรายจัง” ผมอดไม่ได้ที่จะสงสัย หวนนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายตอนเป็นสิงโตทะเล ไม่รู้จะปากร้ายด่าทอผมในจิตใจแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

“รับไม่ได้เหรอ ?” ไอถามกลับมา พร้อมจ้องหน้าอย่างวาวโรจน์

ผมที่ก้มหน้ามองต่ำจ้องคนที่เชิดหน้าหยิ่งทะนงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มกว้างหนักกว่าเก่า

“รับได้สิ” ผมโคลงศีรษะรับ “ขืนรับไม่ได้ก็อดรักกันพอดี”

“ชิ” เจ้าตัวเล็กเชิดหน้าไปอีกทางอย่างขวยเขิน ริมฝีปากที่ผมได้แอบจูบจนแดงเจ่อพึมพำเบาๆ ไม่ให้ผมได้ยิน “ไอ้คนพรากผู้เยาว์”

“ได้ยินนะ” ผมบอก

จากนั้นไอที่หน้าแดงก่ำก็ตะโกนดังลั่น กล่าวด้วยวาจาฉะฉาน “คุณตำรวจจจจจจ !!!”

ทุกคนรีบหันขวับมาทางผมทันที

“ช่วยด้วยโดนลักพาตัว !!” อีกคนดีดดิ้น ทำท่าเหมือนโดนล่วงเกิน

“เฮ้ย !!” ผมร้องอย่างตกกะใจกับภาพที่เห็น

นี่ได้แฟนหรือลูกลิงกันแน่เนี่ย !

“ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ” ผมรีบหันไปตะโกนบอกทุกๆ คน รีบหันมาจ้องตัวเล็กอย่างดุๆ กลับพบว่าใบหน้าเรียวเล็กนั่นกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างพอใจ

“แบร่” จะสมน้ำหน้างั้นเหรอ ?

เดี๋ยวเถอะ...เด็กนิสัยไม่ดี

ผมปล่อยมือน้องหลังจากมาถึงที่ประชาสัมพันธ์ ได้เจอะเจอกับแม่ของตัวเล็กที่เป็นคนไทย ส่วนคุณพ่อนั้นเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดไทยได้บ้าง

แถมยัังได้เห็นตัวเล็กกอดครอบครัวตัวเองก็รู้สึกดีใจไปด้วย

ไอเดินไปจูงมือกับพ่อแม่ไปเที่ยวชมภายในอควาเรี่ยม ก่อนจะเหลียวหลังหันมามองผมอย่างอาลัยอาวรณ์

ภาพที่เห็นทำผมน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งกรังสนิทเอ่อคลอขึ้นมาอีกหน มองคนที่เคยเอ็นดูจนแปรผันมาเป็นคนที่รัก เสี้ยวใบหน้าหวานที่น่าทะนุถนอมจนผมอยากโอบประคองราวกับเจอหยกล้ำค่า ยิ่งตอนที่น้องระบายยิ้มมอบมาให้ หัวใจของผมก็เต้นถี่กระชั้น สายลมก็พัดผ่านใบไม้จนบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าภายในเสี้ยววินาที

ในใจผมยังอยากรั้งน้องไว้ให้อยู่ต่อ เพราะกว่าเราจะเจอกันทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่พอหวนนึกดูอีกที...ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวล

ในเมื่อสิ่งล้ำค่ามาหาผมถึงที่...กลับมาให้ผมได้พบเจออีกครั้ง

ผมนึกอยากจะขอบคุณโชคชะตาที่นำพาคนที่รักกลับมา

อยากจะขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงนำสิ่งล้ำค่าสำหรับผมคนนี้กลับคืนมา

ขอบคุณไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ที่ทำให้เราสองคนได้กลับมาพบเจอและอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง

ผมหมายมั่นกับตัวเองเอาไว้ว่า จะดูแลไอในร่างนี้ให้ดีที่สุด จะทะนุถนอมเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด ไว้รอน้องครบสิบแปดปีบริบูรณ์เมื่อไร ถึงยามนั้นผมก็จะทำหน้าที่คนรักให้ดีที่สุด

ส่วนตอนนี้ คงเป็นได้แค่ผู้ดูแลและผู้ปกครองที่นึกเอ็นดูและห่วงใยอยู่ห่างๆ

เด็กน้อยที่อายุห้าขวบ กับผู้ใหญ่อย่างผมที่อายุยี่สิบเจ็ดปีบริบูรณ์ กว่าจะได้กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันสาแก่ใจก็คงอีกนาน…

ตี๋อยากบอกว่ารักเจ้าตัวเล็กมากๆ เลยนะ

เจ้าสิงโตทะเลของตี๋...ต่อให้จะเป็นไอในยามนี้แล้วก็ตามที

ตี๋จะเดินตามเรา คอยเฝ้าดูเราเติบโตอยู่ใกล้ๆ นะ

เด็กดี

 

END
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2019 16:55:56 โดย lookpatty15407 »

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รอนานแน่ตี๋... 555

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
หัวเราะน้ำตาเล็ดกับยัยตะเล็กมาตลอด ไม่คิดว่าจะมาร้องไห้น้ำตาร่วงกับน้องเอาตอนจบ :o12:

ฮืออ ดีใจกับตี๋ที่ได้น้องกลับมา ยัยตะเล็กเวอร์ชั่นน้องไอเด็กน้อย แสบไม่มีลดทอนเลยลู๊กก  :laugh:
อดใจรอนานหน่อยนะตี๋ จะกลัวแต่น้องไอ แค่สิบห้าก็เริ่มยั่วพี่ตี๋แล้วว :laugh:

/สนุกมากๆๆๆ ยัยตะเล็กระเบิดอารมณ์และเสียงหัวเราะได้สะใจและโล่งมากกก มีความสุขกับน้องมากๆ น้องช่วยฮีลเราดีเหลือเกิน  :hao5:
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ทำให้มีความสุข และที่จะกลับมาอ่านวนซ้ำๆแน่นอนค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ กอดดดด :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2019 13:29:51 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ตอนจบมีความ autum in my heart

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นนิยายที่อ่านแล้วขำหนักมาก ตี๋รอน้องโตถึงตอนนั้นตี๋ก็อายุ40สินะ :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด