[13 END]
[/size]
ก็ไม่คิดว่าบุรุษที่ร่างกายองอาจและแข็งแรง ซ้ำยังกระปรี้กระเปร่าในการทำงาน จะมาบาดเจ็บล้มไข้ได้ป่วยจนต้องนอนซมอยู่บนตั่งเตียง เห็นแล้วชวนน่าสังเวชยิ่งนัก ข้าได้แต่มองแม่ของเจ้าตี๋ที่นั่งอยู่ข้างขอบเตียง คอยหยิบผ้าขี้ริ้วมาชุบน้ำ คอยเช็ดเหงื่อกาฬของลูกชายที่ไหลผุดซึม
ช่วยไม่ได้ก็เจ้าตี๋เป็นคนนี่นา คงเป็นธรรมดาที่ร่างกายจะอิดโรยกันบ้าง ข้าที่ชะโงกหน้ามองอยู่ตรงพื้นส่งแววตาอย่างห่วงใย
ใยจะต้องใส่ใจอีกฝ่ายด้วยเล่า ! หันไปเล่นกับเจ้าแมวมิรินดีกว่า
“ตัวเล็ก” เสียงแหบแห้งเหมือนคนใกล้ตายดังมาในจังหวะที่ข้าหมุนกายหันหลัง ไม่ทันจะเดินจากไปก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน
“จะไปไหน ?”
‘หาผัวใหม่จ้ะ’ อยากจะหันไปเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมนุษย์ยิ่งนัก แต่ก็ทำได้แค่ส่งเสียงร้องอุ๋งๆ ชี้ครีบไปทางแมว
“จะเล่นกับมิรินเหรอ แค่กๆ ดะ เดี๋ยวก็แกล้งน้องอีก” อีกฝ่ายกล่าว
แต่ใครเป็นน้องใครไม่ทราบ ข้าไม่ได้นับแมวต่างสายพันธุ์เป็นลูกพี่ลูกน้องด้วยเสียหน่อย คลอดจากแม่เดียวกันหรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่
ชิ ข้ายืนนิ่งผายอกอย่างผยอง มองเจ้าตี๋ที่นอนซมน้ำตาปริ่มคลอเบ้า คงเป็นเพราะพิษไข้อย่างหนัก
ช่างน่าสงสาร ร่างกายอ่อนแอจังเลยนะ ข้าไม่เอาด้วยหรอกผัวขี้โรค แตะนิดแตะหน่อยคงนอนซมตาย
วันนี้เป็นวันเสาร์ แสงแดดในยามบ่ายก็เริ่มเบาบาง ลอดผ่านเข้ามาในม่านหน้าต่างที่อาบไล้เรือนกายชายฉกรรจ์ที่นอนห่มผ้าผืนหนา ภายในห้องร่มเย็นที่เปิดแอร์ที่ไม่ได้หนาวเหน็บจนมากเกินไป พอที่จะช่วยให้เจ้าตี๋คลายร้อนได้บ้าง การป่วยในครั้งนี้ก็ส่งผลให้ข้าไม่ต้องเดินทางไปยังอควาเรี่ยม ได้แต่นอนบนฟูกนิ่มๆ ดูหนังภาพยนตร์กับเจ้าตี๋แทน สายตาก็กวาดมองตัวอักษรที่ขึ้นซับไทยไปพลาง ในระหว่างนั้นแม่ของเจ้าตี๋ก็อุ้มเจ้าแมวมิรินออกจากห้องไปพอดี เพื่อให้ลูกชายของเธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งในทีแรกข้าก็เกือบจะถูกพาออกไปด้วย แต่เจ้าตี๋ดันหักห้ามเอาไว้ก่อน เพราะอยากให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเสียนี่
ข้าแลดูคนบนที่นอนที่ตอนนี้ผล็อยหลับไปเสียแล้ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ช่วงอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ เป็นจังหวะ ก่อนที่ข้าจะค่อยๆ ปีนป่ายขี้นไปบนเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้สุ้มให้เสียง พานยกครีบไปแตะที่หน้าผากของคนตรงหน้าเบาๆ เพราะเกรงกลัวว่าจะปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล พอรับรู้ถึงความร้อนในร่างกายผะผ่าว แววตาของข้าก็ดูสลดลงอย่างนึกเป็นห่วงเป็นใย พลันกระโดดลงมาที่ฟูกรองรับบนพื้นในทันใด นั่งๆ นอนๆ ดูหนังไปพลาง พอเวลาผ่านพ้นมา ตัวข้าที่ชำเลืองมองนาฬิกาที่ห้อยแขวนอยู่ภายในห้องก็ส่งเสียงร้องปลุกเจ้าตี๋ให้ตื่นขึ้นมาทานยา
“อุ๋งๆ” (ตื่นๆ)
“อืมมม” เสียงละเมอคล้ายไม่พอใจ ใบหน้าซีดขาวทำข้าใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ ปีนป่ายมาบนเตียงก็เอาจมูกดุนดันสะกิดที่เรียวแขนยิกๆ
“อุ๋งๆๆ” (ตี๋ตื่นเดี๋ยวนี้) ข้าส่งเสียงแปร๋น ทำคนหลับนอนค่อยๆ ปรือตา น้ำตาเอ่อคลอเกลือกกลิ้งไหลอาบแก้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ป่วยหนักน่าดู ใจข้าไม่สู้ดีนักกับภาพเบื้องหน้าที่พบเจอ
“มีอะไรเหรอตัวเล็ก ?” เจ้าตี๋เรียกขาน
“อุ๋งๆ” (ทานยา) ข้าว่าพลางชี้ครีบไปที่ข้างตั่งโต๊ะ มีแผงยาลดไข้แก้ปวดหัว ที่แม่ของเจ้าตี๋ได้ย้ำชัดให้ลูกชายตื่นมาทาน ข้าที่ได้ยินดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลุกให้อีกฝ่ายตื่นมาทานยาตามใบสั่งแพทย์
“เย็นแล้วเหรอ ?” ใบหน้าขาวซีดที่ดูดีขึ้นกว่าเก่า พอมีเลือดฝาดที่ปรางขาว แลมองนาฬิกาที่ขยับชี้ไปที่เลขห้า
“ปลุกให้ตี๋มาทานยาสินะ” เจ้าตี๋ว่าพลางละมุนยิ้ม ยกฝ่ามือที่แทบไร้เรี่ยวแรงมาลูบลงที่กลางกระหม่อมของข้าอย่างนึกเอ็นดู
ข้าพยักหน้ารับ เจ้าตี๋เลยกล่าวถ้อยคำถัดมาว่า “เด็กดี” ในน้ำเสียงเจือปนไปด้วยความดีใจ
“อยากให้ตัวเล็กเป็นคนจัง” อีกฝ่ายเอ่ยลอยๆ ก่อนจะยันฝ่ามือลงบนที่นอนเพื่อลุกออกจากเตียง รินน้ำใส่แก้วแล้วหยิบยาสองเม็ดกระดกดื่มพร้อมกับน้ำ เล็ดลอดเสียงดัง “อาห์” ในช่วงท้ายคล้ายชื่นใจ
ข้าเอียงคอฉงน ก้าวกระโดดลงจากตั่งเตียงมาที่ฟูกดังเดิม กระเถิบกายไปหยิบปากกากับกระดาษที่วางไว้ตรงพื้นมาขีดเขียน เพื่อโต้ตอบพูดคุยกับอีกฝ่าย
ตัวข้าจากที่ไม่เคยคิดจะเสวนาด้วย ยามนี้กลับพลิกลิ้น เปลี่ยนมาพูดคุยกับชายหนุ่มที่ตนเองเคยครหาว่าเป็นไอ้พวกโรคจิตวิตถาร
เมื่อเขียนเสร็จแล้วและอ่านตัวอักษรอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าก็งับสมุด ชูให้อีกคนอ่าน
[เลี้ยงยากนะ รับไหวเหรอ ?]
เจ้าตี๋ที่ก้มหน้าหรี่ตามองตัวอักษร ไม่ช้านานก็ระบายยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าหล่อเหลา หัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนจะกล่าว “ไหวสิ ตี๋จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเลย”
ข้าหัวใจเต้นตึกตัก พอใจกับสิ่งที่ได้สดับรับฟัง กำลังก้มหน้าขีดเขียนตัวอักษรอีกประโยค ก็ดันมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาภายในห้อง ตัวข้าจึงนิ่งงัน หันเหความสนใจไปที่ต้นตอ เขยิบกายรุดออกมาดูนอกห้องนอน เพื่อดูไปที่บานประตูทางเข้า
“ตี๋นี่แม่เองนะ”
ที่แท้ก็เป็นแม่เจ้าตี๋ที่เข้ามาภายใน แต่ใบหน้าที่เคยแจ่มใส ยามนี้กลับดูเครียดถมึงทึงอย่างไม่ชอบมาพากล สาวเท้าเข้ามาอย่างว่องไวเดินมาถึงห้องนอนก่อนจะกล่าว
“ตี๋ คือ…” เสียงแม่ตี๋ดูเคร่งเครียดที่จะเอ่ย
“มีอะไรครับแม่” เจ้าตี๋ที่เห็นแม่ตนเองตะกุกตะกักซ้ำยังมีท่าทางสับสนจึงเอ่ยถามเสียงอุ่น
คุณนายสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะพูด “ออยมาหาน่ะลูก”
“...” เจ้าตี๋เงียบปากสนิท ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่ง ยิ่งนิ่งขึงชวนน่าหวาดหวั่น
ออย ? ใครกัน ? แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน ไม่งั้นทั้งแม่และเจ้าตี๋คงไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจเช่นนี้แน่
“ให้แม่ไล่เธอกลับไปไหม” แม่เจ้าตี๋ว่า
“อืม เดี๋ยวผมจัดการเองครับ” เจ้าตี๋ตอบปัด มิวายถามอย่างสงสัย “เธออยู่นอกห้องใช่ไหมครับ ?”
“จ้ะ” คุณนายขานรับ
“เฮ้อออ” เสียงทอดถอนใจดังมาจากคนเบื้องบนให้ข้าได้ยิน พอเห็นข้ามองด้วยแววตาอย่างสงสัยใคร่รู้ เจือปนไปด้วยความห่วงใย เจ้าตี๋จึงค่อยๆ แย้มยิ้ม อธิบายในสิ่งที่ข้ากำลังฉงน หลังจากที่แม่ตนเองเดินออกจากห้องขึ้นมาว่า “แฟนเก่าน่ะ ที่เคยเล่าให้ฟัง”
อ๋อ ที่แท้ก็นางแพศยา หน๊อยแน่ ! กล้าดียังไงมาเหยียบย่ำที่นี่อีก หน้าด้านสิ้นดี
ข้ากระฟัดกระเฟียด พลอยให้คนที่จ้องมองอยู่ในทีแรกหัวเราะขบขัน ก้มตัวลงมาช้อนข้าขึ้นอุ้ม ในฝ่ามือมีปากกาและสมุดถืออยู่ด้วย
“ไปกัน” เจ้าตี๋กล่าว
ได้เลยลูกพี่ อีน้องนี้จะเล่นงานเสียให้เข็ญ ไล่ตะเพิดไม่ให้กล้ามาวอแวอีกเลยคอยดู
ข้าร้องหึ่มๆ ในใจเป็นสิบๆ ครั้ง ในขณะที่เจ้าตี๋ย่างกรายออกมานอกห้อง ทันทีทันใดก็ได้พบกับหญิงปริศนาที่มีเส้นผมสั้นระดับลาดไหล่ มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนน้ำตาลทรายให้มดมารุมกัดทึ้ง ข้าเห็นขี้หน้าแวบเดียวก็พลอยเกลียด พลันสะบัดหน้าหยิ่งยโสดังเชอะเป็นการย้ำเตือนไม่ผูกมิตรไมตรี
เจ้าตี๋ไม่แม้แต่ชายตามอง เดินลงมาที่ขั้นบันไดเพื่อไปยังห้องนั่งเล่น โชคยังดีที่ไม่ค่อยมีคน เหลือแค่เราสามคนเท่านั้น ข้าที่ถูกวางลงกับพื้นก็รีบผายอกเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างผยอง
โดนดีแน่นังตัวดี !
“ตี๋” เสียงหญิงสาวเรียกชื่ออีกฝ่าย
“มาทำไม” เจ้าตี๋พูดเสียงห้วนตอบกลับไป
ข้าพยักหน้างึกงักเห็นด้วยว่าใช่ มาทำไม ไม่รักก็ไม่ต้องมา
“ออยขอโทษ” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูเศร้าสลด หน้าตาดูซึมเซาชวนน่าสงสาร
แพศยายิ่งนัก ! ทั้งที่เป็นฝ่ายนอกใจไปเอากับเพื่อนสนิทของคนที่รัก ยังมีหน้ามาเหยียบย่ำถึงถิ่นฐานอีก หน้าด้านไร้ยางอาย !
ชิ ข้าลอบสบถ กริ่งเกรงว่าเจ้าตี๋จะใจอ่อนกับมารยาสตรี ในใจตะขิดตะขวงจนอธิบายไม่ถูก
เจ้าตี๋ไม่ปริปากใดๆ ทั้งสิ้น วางกระดาษกับปากกาลงบนพื้นอย่างอิดออด ข้าที่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง จึงรีบพลิกหน้ากระดาษในทันท่วงที จรดปากกาขีดเขียนอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากได้ลอบมองสังเกตอากัปกิริยาของชายหนุ่มข้างกาย คงจะได้เห็นการลอบอมยิ้มข้างมุมปากอย่างชอบอกชอบใจ
[ยัยรัชนก] ข้าชูสมุดให้หญิงสาวตรงหน้าอ่าน ตัวเธอที่งงงวยกับการกระทำของข้าในทีแรกพลันสะดุ้งโหยงกับคำครหา
ข้าส่งเสียงหึ่ม พลิกกระดาษเขียนอีกประโยค ในระหว่างนั้นเธอก็พูดคุยกับเจ้าตี๋
“เจ้าสัตว์บ้านี่อะไรกัน ตี๋สอนให้มันเขียนคำหยาบคายแบบนี้ใส่ออยน่ะเหรอ ?”
“เปล่าซะหน่อย” เจ้าตี๋ส่ายหน้าประกอบ เอนหลังพิงพนักโซฟา นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ “ตัวเล็กตั้งใจทำเอง”
ข้าที่ฟังไปด้วยก็ลอบดีใจไปด้วยกับคำกล่าวเบื้องต้น ไม่คิดว่าจะมีใครเห็นดีเห็นงามกับการชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ครั้นเขียนเสร็จสิ้นอีกคำ ข้าก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน
[กลับมาทำไม ถ้าจะมาขอคืนดีบอกเลยว่าไม่ !] ไม่กลับไปคบทั้งนั้น ข้าไม่สนด้วยว่าเจ้าตี๋จะมีอะไรคาใจอยู่ไหม แต่ที่แน่ๆ หลังจากอยู่ร่วมกันมา ข้าเข้าใจว่าเจ้าตี๋ไม่คิดจะกลับไปหาเธออีกแล้วอย่างแน่นอน
“ตามที่ตัวเล็กบอกเลย” เจ้าตี๋ที่ก้มหน้าลงมาอ่านพยักพเยิด ข้าเลยชื่นใจขึ้นมาบ้าง ซาบซึ้งกับความคิดเห็นของอีกฝ่าย แม้จะเป็นเพียงจากขี้ปากของข้าก็ตามที “ออยกลับไปเถอะ ตี๋ปวดหัว”
ข้าพยักหน้างึกงัก สบตามองเธออย่างวาวโรจน์ ซึ่งเธอเองก็มองข้าอย่างกับรังเกียจคล้ายเห็นสิ่งแปลกประหลาด
หน๊อย เดี๋ยวข้าก็ควักลูกตาเสียเลยนี่ !
เมื่ออีกฝ่ายยังคงเม้มปาก พูดขอโทษขอโพยทั้งยังอยากกลับมาขอคืนดี ข้าก็รีบหันขวับมาจ้องหน้าตี๋อย่างไม่พอใจ
ข้าขี้เกียจเขียนด่าแล้วนะ เมื่อยปากแล้วด้วย !
เจ้าตี๋เหลือบแลมาทางข้า อมยิ้มข้างมุมปากก่อนจะจับอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก ปลอบประโลมข้าด้วยการลูบหลังให้ใจเย็นลง
“ขอบคุณ แต่ไม่เอาหรอก ตี๋มีคนที่ชอบแล้ว ออยมาพูดอะไรซ้ำซากจะขอให้เราคืนดีกัน ตี๋ก็คงได้แต่ตอบคำเดิมๆ” พูดหลังจากนั้นก็โน้มหน้ามากระซิบข้างหูข้า “เนอะ คนขี้หึง”
ชิ ใครหึงใครไม่ทราบ แต่ช่างปะไร ข้าไม่ชอบขี้หน้าหล่อนเลยสักนิด เพียงแค่ปรายตามองแวบเดี๋ยวความโมโหโทโสก็ก่อเกิด ฟึดฟัดหันซ้ายแลขวาไม่อยากจ้องตา เจ้าตี๋ที่คงรับรู้ถึงอาการไม่พอใจจึงเอ่ยเนิบนาบขึ้นมาว่า “กลับไปเถอะ ตี๋มีธุระต้องไปทำต่อ” พูดเอ่ยลาเธอ ก่อนจะเหยียดกายลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องนั่งเล่นโดยไม่คิดจะเหลียวแลเลยสักนิด
ในใจข้าพอใจเหลือหลาย ชอบทุกประโยคที่เจ้าตี๋เอื้อนเอ่ย พอเจอหน้าแม่บ้านก็ไม่วายสมทบ “รบกวนส่งแขกทีนะครับ”
“ได้เลยค่ะคุณชาย” แม่บ้านโค้งหัวอย่างยินดี
เจ้าตี๋โค้งกายกลับก่อนจะเดินขึ้นมาบนบันได จากนั้นก็พาข้าเข้ามาในห้อง วางลงบนตั่งเตียง
“พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา” เสียงทุ้มว่าสัพยอก ข้าที่ทำหน้าสลอนจึงเบนหน้ามาสบตา
“ชิ” ลอบส่งเสียงไม่พอใจ
“หึงก็บอกว่าหึงสิครับ” เจ้าตี๋ว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างริมที่นอน “กลัวตี๋จะกลับไปหาเธอใช่ไหม ?”
“...” ข้าเงียบไม่ตอบคำถาม สักพักก็ไอโครกๆ ปนหน่วงอก
“ตัวเล็ก” เจ้าตี๋สะดุ้งตกใจ “ไม่สบายเหรอ ติดไข้จากตี๋หรือเปล่า ?”
ข้ารีบยกครีบซ้ายโบกไปมาว่าไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่จริงสังเกตตัวเองมาสักพักใหญ่ ว่าเดี๋ยวนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเฉกเช่นทุกวัน เลือกที่จะเบี่ยงเบนความสนใจโดยการชี้ไปที่สมุดให้เจ้าตี๋ยื่นมาให้
เมื่อรับสมุดที่เปิดอ้าเอาไว้ พร้อมด้วยปากกาที่งับคาปาก ข้าก็ตั้งคำถามในสิ่งที่ค้างคาใจ
[ยังรักเธออยู่ไหม ?]
“...” อีกคนเงียบกริบ
ข้าที่แหงนหน้ามองรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ไม่รู้ทำไมถึงได้อยากรู้นักกับสิ่งที่ต้องการได้รับคำตอบ
หากคำตอบที่ว่ายังเป็นรักเธออยู่ หรือแม้แต่เพียงน้อยนิด ข้าก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี
“ไม่”
“...”
“ไม่รักและไม่รู้สึกอะไรกับเธออีกแล้ว ถ้าพูดแบบนี้ตัวเล็กจะเชื่อไหม ?”
ราวกับว่าคำๆ นั้นคือการสารภาพรัก ทั้งยังซื่อตรง ตอบออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ จนข้ารู้สึกร่างกายร้อนผ่าวไปที่บริเวณผิวหน้า พลันหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเอียงอาย ก่อนจะค่อยๆ ผงกหัวเป็นการตอบคำถาม
เชื่อสิ...ข้าเชื่อเจ้าสนิทใจ
อ๊ากกกก นี่ข้ากำลังเขินอย่างงั้นเหรอ อยากจะเอาแอลกอฮอล์กรอกปากเจ้าตี๋ให้ตายจริงๆ เชียว
หมับ ! จู่ๆ ก็ถูกรวบกายไปโอบกอด โยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก
“ชอบจังเลย อยากให้ตัวเล็กเป็นคนจังเลย” เจ้าตี๋พูดออกมาคล้ายละเมอ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างระหว่างโอบกอดร่างกายข้า
ข้าหมุนกายมาจ้องหน้าอีกฝ่าย ไม่ทันจะได้สบตาก็ดันเห็นใบหน้าหล่อเหลาหลับตาพริ้มไปเสียแล้ว
รับมือกับการเป็นพิษไข้ของคนตรงหน้าไม่เป็นจริงๆ เลย
เฮ้ออออ ไอ้สวามีงี่เง่า
ในระหว่างที่ตี๋หลับนั้น ภัทรที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไรก็ก้าวเข้ามาในห้อง พอชะโงกหน้าเห็นตี๋หลับก็กวักมือเรียกข้าให้ไปหา ข้ากระเถิบกายไล่ตามต้อยๆ ก่อนจะถูกอุ้มมาแนบอก พยายามไม่ส่งเสียงตามปลายนิ้วชี้ที่จุ๊ปากเป็นการส่งซิก
แง ผัวใหม่มีของมาให้แน่ๆ เชิญผัวเก่านอนซมตายไปก่อนน๊า
ใจหนึ่งก็เป็นห่วง แต่ถ้ามีแบล็กพิ้งก์มาแลกเปลี่ยนใจคนก็ผันแปรได้ไม่ยาก
“วันนี้เอาเสื้อสกรีนรูปลิซ่ามาให้แหละ”
“กี๊สๆ” ข้ากรีดร้องหลังจากออกมานอกห้อง ถูกเจ้าภัทรพามาในห้องโถง ทำตัวประหนึ่งอยู่ในบ้านของตนเอง ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา จากนั้นก็พยายามเอาเสื้อตัวเล็กสวมใส่ข้า ตัวข้าเองก็ยินดียิ่งนัก ชูครีบคล้ายกางแขนออกกว้าง พอสวมเสร็จก็ลูบตรงบริเวณหน้าท้อง มีภาพการ์ตูนSDลิซ่าใส่ชุดสีขาวมีเสื้อแจ็กเก็ตสวมทับอีักชั้น น่ารักจนข้าอยากกรี๊ดให้เส้นเลือดในลำคอแตกตาย
ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก หากข้าเป็นคนคงจะได้มีโอกาสพูดขอบคุณอีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งเจ้าตี๋ที่คอยเลี้ยงดูอย่างดิบดี พอหวนนึกถึงเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปถึงบิดามารดาในสมัยตอนเป็นคน
ที่ข้าไม่อยากพูดถึง ก็เพราะข้าคิดว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโชคชะตา การเก็บความทุกข์หรือความเสียดายในตอนที่พลั้งพลาด พลอยจะทำให้ข้าไม่มีความสุขกับชีวิตใหม่ที่ได้รับมา ข้าเลยเลือกที่จะปลงและยอมรับกับสิ่งที่เกิด เชื่อว่าปานนี้พ่อกับแม่แม้จะทุกข์ระทม แต่ก็ยังมีลูกคนโตที่แสนดีคอยดูแลท่านอย่างดิบดีเป็นที่แน่แท้ ฉะนั้นข้าจึงไม่นึกเสียดายสิ่งใดๆ
แต่พอหวนมานึกถึงตอนนี้ ข้าที่รู้สึกว่าร่างกายกำลังเจ็บป่วย กริ่งเกรงว่าจะทำให้ใครบางคนต้องปวดร้าวในอกจนแทบทุกข์ตรม
ข้าเริ่มรู้ชะตาตัวเองแล้ว...รับรู้ได้ถึงสิ่งที่ใกล้จะเกิด
จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเซื่องซึม ไม่ได้สนใจคนข้างกายที่เปิดคลิปเกิร์ลกรุ๊ปที่ตนเองนั้นชมชอบ พลันมีเสียงหนึ่งดังกังวานเข้ามา เรียกชื่อข้าให้ใจเต้นกระหน่ำ
“ตัวเล็ก”
เจ้าตี๋…
ข้าแหงนหน้ามองคนป่วยที่เดินเอื่อยมาหา ริมฝีปากคลี่ยิ้มละมุนละไม “คิดว่าหายไปไหนซะอีก”
“...” ข้าเงียบ ค่อยๆ เผยอยิ้มให้เจ้าตี๋ ทำคนตรงหน้าชะงักกับภาพที่เห็น
นั่นก็เพราะข้าไม่ค่อยยิ้มบ่อยๆ ให้อีกคนดูเลยยังไงล่ะ
ข้าแค่อยากยิ้ม ยิ้มในตอนนี้ ยิ้มให้เจ้ารู้ว่าตอนนี้ข้ายังไม่ได้หายไปไหนก็เท่านั้นเอง
สามวันผ่านไปกว่าที่เจ้าตี๋จะหายไข้ ข้าที่รออีกคนอาบน้ำอยู่ก็รู้สึกร่างกายเหนื่อยล้าจึงผล็อยหลับไปก่อน พลันนอนหมอบม้วนอยู่ที่พื้น มาลืมตาสะลึมสะลือตื่นก็ตอนที่อีกคนเดินมายืนค้ำหัวพลางเรียกชื่อ พอข้าเงยหน้ามองก็พลันหน้าถอดสีในบัดดล
เจ้าตี๋เปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างพันผ้าขนหนูที่ยาวระดับเหนือเข่า ข้าที่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวก็ดันไปสบเข้ากับสิ่งที่งอกเงยหดหัวลงต่ำ
กรี๊ดดดด คว- นี่มันคว-
“กี๊สสสส !” กรีดร้องพร้อมชี้ครีบไปที่หรรมคนตรงหน้า เจ้าตี๋ที่สะดุ้งโหยงพอเห็นข้าเล็งมาที่เป้า ใบหน้าหล่อเหลาก็แดงก่ำ รีบกุมส่วนสงวนแนบกับผ้าขนหนู
อีวิปริต อีผัววิตถาร !!
“ตัวเล็กเห็นงั้นเหรอ ?” เจ้าตี๋ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หน้าตาเหลอหลาวางตัวไม่ถูก
ไม่เห็นมั้งอีโง่ ! โชว์งวงราวกับจะยื่นหน้ามาฉกข้าขนาดนั้น แถมยังเห็นขนหมออ้อยอีก ข้าได้เป็นตากุ้งยิงแน่ๆ อะไรจะใหญ่เท่ากล้วยงาช้างขนาดนั้น
แม่คะลูกอยากจะตาบอด !!!
ชายหนุ่มตรงหน้าหน้าแดงเรื่อ รีบขยับฝีเท้าไปที่ห้องแต่งตัว ทิ้งข้าช็อกกับกล้วยหอมจอมซนและขนสาหร่ายโมซุกุ ก่อนจะไอโครกออกมา หน้าที่ช็อกกับการเห็นหรรมยิ่งช็อกเข้าไปใหญ่ เมื่อเลือดจำนวนหนึ่งทะลักออกจากปาก
ตัวข้านิ่งชา รู้สึกครีบสั่นระริกพลอยเย็นเฉียบ พอตั้งสติก็รีบรุดไปที่ตะกร้าเสื้อผ้า หมายมาดจะหยิบเสื้อสักตัวมาเช็ด ไม่ทันไรกลับมีร่างสูงยืนตระหง่าน เงาทำทะมึนทาบทับตัวข้าที่กำลังเอาครีบดันเสื้อเช็ดหยาดโลหิต
อีกฝ่ายดวงตาเบิกโพลง สีหน้าที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนดูถอดสีราวกับเสียขวัญ ริมฝีปากสั่นระริกในยามเรียกชื่อของข้า “ตัวเล็ก”
ไม่ทันเสียแล้ว…
“แค่ก” ข้าเผลอไออีกรอบ ครั้งนี้เลือดอีกจำนวนมากไหลออกจากปาก เปียกเปรอะที่พื้นห้อง สายตาของข้าก็เริ่มเลือนราง มองภาพตรงหน้าไม่กระจ่างชัด รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกของตัวเองที่ใบหน้าฟุบลงกับพื้น ตามมาด้วยเสียงร้องหวาดผวา
“ตัวเล็ก !!!”
ข้ารู้สึกเพลียเหลือเกิน เจ็บแปล๊บปล๊าบไปที่อก หัวใจบีบแน่นราวกับหวาดกลัว เห็นเพียงภาพดำมืดตามมาด้วยเสียงคุยกันเซ็งแซ่
“น้องภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก ไม่ทราบว่าได้รับแรงกระแทกที่ร่างกายด้วยหรือเปล่า ภายในค่อนข้างบอบช้ำพอสมควร หมอว่าคุณควรทำใจไว้ดีกว่านะครับ ตัวเล็กมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว มีโรคแทรกซ้อนเข้ามาอีก หมอเกรงว่า...”
อะไรกัน...ทำไมหมอถึงได้ปากปีจอขนาดนี้ ข้าปรือตามองพลางลุกขึ้นอย่างอิดออด ส่งผลให้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้วยความดีใจ
“ตัวเล็ก”
อาห์ เจ้าตี๋อีกแล้ว นี่ข้ายังไม่ตายสินะ
โธ่ ไม่น่าเลย…
ฮ่าๆ ข้าล้อเล่นน่ะ
“เป็นยังไงบ้าง ?” เสียงเจ้าตี๋ถามไถ่อย่างเป็นห่วง ปลายนิ้วเกลี่ยที่ใบหน้าของข้าอย่างนุ่มนวล
“ดีขึ้นไหม” อีกคนถามเสียงนุ่ม ข้าจึงพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม กวาดตามองไปรอบห้องจึงได้เห็นทั้งครอบครัวของเจ้าตี๋ที่ยืนมองข้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า รวมไปถึงเด็กผีทั้งสองคนที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
อะไรกัน จะร้องไห้ไปไย เป็นพวกเจ้ามากกว่าที่ควรดีใจ ข้าจะได้ไม่สร้างปัญหาภาระเพิ่มอีกในแต่ละวัน
ขืนมีข้า บ้านเจ้าก็ได้ลุกเป็นไฟอีกแน่ๆ
เฮ้อออ ข้ารู้สึกโหว่งๆ ในอกยิ่งนัก แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนที่เจ้าตี๋จะยื่นสมุดกับปากกามาให้ข้า เรามองตากันคล้ายรู้ใจ
ข้ามีอีกหลายอย่างเลยที่อยากทำ มีอีกหลายข้อที่อยากทำร่วมกับเจ้า รวมไปถึงครอบครัวหรรษาของเจ้าด้วย แต่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก อย่างที่หมอบอกว่าตัวข้านั้นเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
ข้างับปากกา ในขณะที่อีกคนจับสมุดเอาไว้มั่น ในระหว่างที่ขีดเขียนตัวอักษรนั้น ข้าก็ได้เห็นหยาดน้ำตาตกกระทบกับกระดาษเอสี่ มันไหลหยดเป็นจุดกลมๆ ครั้นเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงได้เห็นว่าเจ้าตี๋กำลังร้องไห้อยู่
เจ้าผู้ชายขี้แงเอ้ย…
ข้าชูครีบปาดน้ำตาบนแก้มสากให้อีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าตั้งใจเขียนประโยคที่ต้องการในครั้งสุดท้าย
[เราไปทะเลด้วยกันอีกนะ]
มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากจะทำ...
แค่อยากใช้เวลานี้อยู่กับเจ้าอีกสักครั้ง
“ได้สิ” เจ้าตี๋ตอบพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ได้เลย เราไปวันนี้กันเลยนะ”
ข้าเค้นยิ้มอย่างพึงพอใจ พยักหน้ารับก่อนจะเอาหัวถูไถกับใบหน้าเรียวอย่างออดอ้อน
อีกไม่นาน ข้าก็จะไม่ได้ทำแบบนี้อีกแล้วนะ
ข้าได้เดินทางไปกับเจ้าตี๋สองคน ในระหว่างนั้นก็เห็นอีกฝ่ายที่ขับรถไปสะอื้นไป มีบางจังหวะที่หักห้ามไม่ไหวจนต้องหยุดรถกลางคัน เบรกอยู่ข้างริมถนน ก่อนที่ชายตรงหน้าจะก้มหน้าแนบลงกับพวงมาลัย หลุดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดปานจะขาดใจ
ข้าน้ำไหลกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ต้องปั้นท่าเข้มแข็งเอาไว้ เขียนใส่กระดาษอีกครา ก่อนจะใช้ครีบสะกิดให้คนตรงหน้าเหลียวกายหันมามอง
ตี๋ที่ใต้ตาแดงก่ำ ไหล่เกร็งโยนสั่นสะท้าน น้ำตาไหลก็เกลือกกลิ้งมาถึงปลายคาง นัยน์ตาคมกล้าสบมองใบหน้าของข้า ก่อนจะผินตาลงดูตัวอักษร
[อย่าร้องไห้เลย เราจะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน] ข้ารู้สึกเช่นนั้น
หากพระเจ้าไม่เล่นตลก หากพระเจ้าฟังคำวิงวอนในครั้งนี้ มันจะเป็นครั้งแรกที่ข้าวิงวอนกับท่าน เพื่อขอให้กลับมาพบกับคนตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง
หากท่านมีเมตตามากพอ…
ข้าขอให้เกิดมาพบเจอเจ้าตี๋อีกสักครั้ง
ได้โปรดเถอะ
“ตัวเล็กอย่าพูดแบบนี้สิ” อีกคนกล่าวเสียงสั่น พยายามเม้มปากไม่ให้เล็ดร้องเสียงสะอื้นไห้ พลันเงยหน้าจะกักเก็บหน่วงน้ำตาให้ไหลเข้าไปภายใน สุดท้ายก็ทำไม่ได้จนข้าอ่อนใจ รีบเขียนใส่กระดาษด้วยท่าทางอิดโรย อ่อนแอเกินจะต่อกรกับระบบร่างกายภายใน
[เชื่อเล็กนะ] ข้าวางกระดาษยื่นไปที่ตักคนตรงหน้า พอเจ้าตี๋มองมาทางเบาะที่นั่งข้างฝั่งคนขับ ก็หลุดยิ้มเมื่อเห็นข้าพยายามชูครีบขึ้นวางลงตรงกระหม่อม ทำท่าเหมือนกระต่ายซุกซนโยกกายไปทางซ้ายและขวา
ข้าอยากจะให้เจ้ายิ้ม เพราะรอยยิ้มมันเหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว…
ไอ้เจ้าผู้ชายโรคจิต
กว่าเจ้าตี๋จะทำใจขับรถมาถึงริมทะเลได้ก็นานพอสมควรอยู่ ในระหว่างนั้นข้าก็พยายามฝืนไม่ให้ตนเองหลับ เกรงว่าจะทำให้คนขับต้องขวัญเสีย ครั้นมาถึงทรายหาดสีขาวที่เคยมาในครั้งที่แล้ว เจ้าตี๋ที่จอดเทียบรถก็เปิดประตูรถอุ้มข้าลงมาอย่างทะนุถนอม กอดแนบแน่นประหนึ่งว่าครั้งนี้จะไม่มีสิ่งกระทัดรัดให้โอบกอดอีก
วันนี้พระอาทิตย์ที่สุกสกาวกลับพลบค่ำ เสียงคลื่นน้ำของทะเลช่างเพราะพริ้งกว่าทุกวันที่เคยฟัง เห็นเจ้าปูตัวเล็กๆ โผล่หัวออกมาจากในทราย เห็นทั้งผู้คนที่ค่อยๆ เดินลาลับออกจากฝั่ง มีเพียงข้ากับคนข้างกายที่นั่งอยู่บนพื้นพิภพ ยามนี้ไม่ได้ร้อนอบอ้าวสร้างผลกระทบให้ข้าโอดครวญ กลับร่มเย็นและนุ่มนิ่มเหลือเกินจะกล่าว
รวมไปถึงเสียงของเจ้าตี๋ก็ดูนุ่มนวลกว่าทุกวัน ข้าที่นั่งนิ่งงันดูพระอาทิตย์ตกดินก็เขยิบกายเข้าไปนั่งบนตักโดยไม่สนคำขออนุญาตออกมาจากปาก เพราะรู้ดีว่ายังไงอีกคนก็คงยินยอม
“ไม่รู้มาก่อนว่าทะเลจะเงียบสงบมากขนาดนี้”
งึกงัก ข้าพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะอ้าปากหาวหวอดด้วยความง่วงงุน
“ตัวเล็ก”
“...”
“ตัวเล็กเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ตี๋ไม่เคยค้นพบมาก่อนเลยนะ” สุรเสียงเอื้อนเอ่ยอย่างนุ่นวล ข้าที่ทิ้งตัวเอนหลังพิงกับแผงอกและกล้ามหน้าท้องแน่นหนา ได้แต่สดับรับฟังพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เป็นทั้งความสุข เป็นทั้งเสียงหัวเราะของตี๋เลย”
“...”
“ชอบนะ”
“...”
“ชอบมากๆ ด้วย”
ตึกตัก เสียงของหัวใจข้ากระตุกรัวแรง
“มันเป็นเพราะตี๋ ถ้าเกิด...ถ้าเกิดตี๋ไม่ใช้แรงงานตัวเล็กจนหนัก ตัวเล็กก็คงไม่เป็นแบบนี้ ฮึก ฮือ ถ้าเกิดในวันนั้นเป็นตี๋เองที่ช่วยทุกคนแทนตัวเล็กได้ ตัวเล็กก็คงไม่ต้องเจ็บตัวจนบอบช้ำแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะตี๋แท้ๆ” สิ้นประโยคข้าก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญดังมาจากด้านหลัง
หัวใจข้าตีบร้าวนัก รีบลงจากตักอีกฝ่าย กระเถิบกายไปหากระดาษกับปากกาที่เจ้าตี๋ได้ถือมาด้วยตั้งแต่แรก เพื่อที่เราจะได้พูดคุยกันสะดวก
สิ่งที่ต้องการจะสื่อต่อไปนี้คือ
[อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของตี๋หรอก]
“ฮึก” ขี้แงจังเลยนะ นี่ข้าได้เด็กขี้แงมาเพิ่มเป็นลูกหรือเปล่ากัน อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม พลันรู้สึกอ่อนล้าทีละนิด จรดปากกาแต่งแต้มสี วาดตัวอักษรผ่านกระดาษให้ได้อ่าน
[เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน เล็กรู้สึกเช่นนั้น] ต่อให้จะเป็นแค่ความรู้สึกก็ตามที ข้าพลิกกระดาษก่อนจะเขียนอีกคำ [ตี๋เชื่อเล็กนะ]
ข้าไม่พูดเปล่า ยังใช้การกระทำอุกอาจเขยิบขึ้นไปนั่งบนตักแกร่ง กวักครีบให้คนตรงหน้าโน้มตัวลงต่ำ พอสมดั่งใจนึก ข้าก็เขยิบปากไปจุมพิตที่เปลือกตาข้างซ้ายแทนการซับหยาดน้ำตาที่รินไหล ไล่ไปที่เปลือกตาขวาเพื่อทดแทนแห่งการปลอบประโลมใจ ต่อด้วยหน้าผากแทนเรื่องราวที่เราถักทอร่วมสร้างกันมา เลื่อนต่ำมาที่สันจมูกแทนทุกลมหายใจที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเนิ่นนาน ต่อด้วยแก้มข้างขวาทดแทนแห่งความเอ็นดู และแก้มซ้ายแทนคำห่วงใย จูบต่ำลงมาที่ปลายคางเพื่อสื่อถึงความขอบคุณ และจบท้ายด้วยริมฝีปากนุ่มหยุนเป็นที่ตราตรึง
สื่อถึงความรักที่เคยมีมา
ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำมันได้ดีอย่างไม่มีวันลืม ถึงครานั้นข้าจะกลับมาพร้อมกับคำพูดที่เจ้าไม่เคยได้รับฟังมาก่อน
ข้ารับรู้ได้ว่าเจ้าต้องจำฝังใจกับสิ่งที่ได้รับสัมผัส ในสายตาคู่นั้นที่ชะงักอยู่นั้นสั่นไหวรัวแรง รีบโอบกอดตัวข้าอย่างรักใคร่ ข้าหลับตาลงอย่างปลื้มปรีติ พอใจกับสิ่งที่ได้รับมาจนถึงทุกวันนี้
มันเป็นระยะเวลาสั้น แต่ก็เนิ่นนานเป็นเรื่องราวผูกพันระหว่างเราทั้งสอง
ดวงตาของข้าปิดสนิท ได้ยินเสียงเรียกชื่อพร้อมการร่ำไห้ แต่ข้าไม่สามารถลืมตามาปลอบขวัญได้แต่อย่างใด ทิ้งเพียงการจากลาทิ้งท้าย พร้อมกับลมหายใจที่ไร้การเต้นจังหวะของหัวใจ