บทที่ 19 คืนจันทร์ดับ ท้องฟ้ามืดมิด ถึงคืนจันทร์ดับสนิทแล้ว
ชายคนหนึ่งมองสำรวจฟ้าที่ดาวพร่างพรายผ่านหน้าต่างกรอบไม้เล็กๆ น่าแปลกที่โรงน้ำชาแห่งนี้ยังคงมีคนนั่งชุมนุมกันอยู่ภายใต้เทียนไม่กี่ดวงที่จุดไว้เพียงแค่สลัวๆ เพื่อพรางทหารยามทั้งหลายให้ไม่สงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายใน
หลินไน่นั่งจ้องมองฟ้านิ่งเงียบ ราวกับจะนั่งนับลมหายใจเข้าออกที่เวลาผ่านไปทุกชั่วยาม
“ตกลงต้องรอให้ถึงเที่ยงคืน หรือต้องรอให้หมดคืนกันแน่”
ชายร่างใหญ่หนาเคราดกครึ้มกระโชกเสียงถาม หลินไน่หันมาตอบเรียบๆ
“จบคืนนี้”
“เราส่งสาสน์ให้ประชาชนทั่วทั้งซานหลงได้รู้เจตนารมณ์ของเราแล้ว เที่ยงคืนคืนนี้เราก็พร้อม!”
“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าวู่วาม! เพื่อนของข้ายังอยู่ในวังนั้น”
“อยู่ดีๆเกิดก็เชื่อใจเพื่อนขึ้นมาเช่นนั้นหรือ เห็นก่อนหน้านี้เจ้ายังโกรธเกลียดเพื่อนของเจ้าอยู่เลย”
หลินไน่สูดหายใจลึกเมื่อความโกรธแล่นขึ้นมาทันควัน
“ถึงข้าจะโกรธจะเกลียดเพื่อนข้าเช่นไร... ข้าก็ยังไว้ใจเขา”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ชายอีกเกือบสิบคนที่นั่งๆนอนๆอยู่ในโรงน้ำชาหันมามองการสนทนาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางควันยาสูบลอยฟุ้ง
“ใจเย็นๆเถิดทุกท่าน” ภรรยาเจ้าของโรงน้ำชาคนงามเดินมายุติความตึงเครียดอย่างเฉียบขาด สายตาคมกริบของนางค่อยๆเลื่อนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเช่นกัน
“อดใจรออีกเพียงคืนเดียว เพียงตะวันขึ้นจากฟ้า เราก็จะได้รู้ชะตากันแล้ว”
สิ้นคำของนาง ผู้ร่วมกลุ่มกบฏทุกคนก็แทบจะหันมองนอกหน้าต่างพร้อมกัน... ความตึงเครียดนั้นไม่ได้จางหายไปไหน เพียงแต่มันถูกดูดกลับไปเก็บอยู่ในความเงียบอันทรมานเช่นเดิมเท่านั้น
มีเพียงหลินไน่ที่ผละสายตาหันมามองกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างตัว ได้แต่ลูบมือบนฝากล่องเพียงแผ่วเบา ราวกับจะสื่อสารให้เจ้าของวิญญาณที่ศีรษะหลับอยู่ในกล่องนั้นได้รับรู้ความในใจ
รออีกเพียงอึดใจเดียว หยาโจวเอ๋ย... แล้วฝันของเราจะเป็นจริง
...................................................................
เสียงช่องไม้บนประตูเลื่อนเปิดออกเสียงดัง ตั่วหยางสะดุ้งตื่นขึ้น ถึงได้เห็นว่ามีทหารนายหนึ่งยื่นชุดคลุมให้เขาลอดผ่านช่องกรง
“ใส่นี่ซะ นี่เป็นคำสั่งจากท่านต้าอ๋อง”
“ท่านต้าอ๋อง?... ทำไม?”
“ท่านมีคำสั่งให้นำตัวเจ้าขึ้นไปบนลานตะวันออก เดี๋ยวนี้”
ตั่วหยางไม่กล้าพูดอะไรอีก มีเพียงความสงสัยที่ครอบงำในจิตใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ได้แต่หยิบชุดคลุมที่ถูกโยนลงมาบนพื้นขึ้นมาใส่ พยายามตั้งสติหาทางหนีทีไล่จากสถานการณ์นี้
“ท่านต้าอ๋องยังมีคำสั่งอีกว่า อย่าคิดหาทางหนีหรือทำร้ายทหารที่ถูกส่งมา ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น นี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย”
ยิ่งฟังตั่วหยางยิ่งไม่เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่จากถ้อยคำที่ท่องมาอย่างดีนั้นก็รู้ได้ว่านี่ไม่น่าจะเป็นแผนการหรือเรื่องตลกอะไร และเพียงแค่เขาได้ยินคำว่า “การพบกัน” มันก็ทำให้เขาลืมตรรกะเหตุผลไปได้สิ้นแล้ว
แม้จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย... ก็ดีกว่าจะไม่มีการพบกันอีกเลย
เมื่อหยิบชุดคลุมนั้นขึ้นมาสวมใส่ ทั้งๆที่ยังไม่มีแสงมากพอจะทำให้เห็นเนื้อผ้าได้ชัด ตั่วหยางก็พลันจำได้ว่านี่คือชุดคลุมของหงฟี่ที่ใส่ในวันฉลองการสถาปนาแคว้นที่พวกเขาไปเที่ยวด้วยกัน เหตุเพราะสัมผัสและกลิ่นของหงฟี่ที่ติดอยู่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าเขาจำไม่ผิดแน่
ประตูห้องขังค่อยๆถูกเลื่อนเปิดออก แสงสว่างที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันค่อยๆพุ่งเข้ามาสู่สายตา พร้อมกับที่เห็นว่าทหารเกือบสิบนายถืออาวุธพร้อมสรรพรอเขาอยู่ตรงประตู เตรียมพร้อมรับมือถ้าเขาจะพุ่งเข้าทำร้ายได้ในทุกวินาที
ตั่วหยางมองไปรอบๆ... หลี่ไป๋ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้
เหล่าทหารต่างพากันดูแปลกใจที่เขาไม่มีทีท่าว่าจะต่อสู้ขัดขืน ตั่วหยางค่อยๆก้าวออกมาสู่แสงสว่าง ก่อนจะถูกทหารนายหนึ่งจับมือเขามัดไพล่หลัง จับตรวนใส่ข้อมือทั้งสองข้างของเขาอย่างแน่นหนา เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนักโทษก็ถูกพาตัวออกมาจากห้องขัง มีทหารเกือบสิบนายล้อมรอบราวกับเขาเป็นฝ่ายถูกอารักขาเสียเอง
เมื่อได้ก้าวออกมาสู่ระเบียงวังอีกครั้งแล้ว ตั่วหยางถึงได้เห็นว่าคืนนี้นี่เองที่เป็นคืนจันทร์ดับ... เลือดในกายพลันแล่นพล่าน แต่ก็จำต้องสงบสติอารมณ์ไว้ ค่อยๆเดินตามกลุ่มทหารเหล่านี้ไปจนสุดทาง
หลับตา พยายามนึกใบหน้าของหยาโจวไว้... นึกใบหน้าของคนทั้งหมู่บ้าน... คนทั้งซานหลงที่รอคอยความสำเร็จในค่ำคืนนี้ของเขา
ทั้งวังเงียบกริบราวกับเป็นสุสาน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆนอกเหนือจากฝีเท้าของพวกเขา ตั่วหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกพาไปที่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ลานตะวันออก” คือสถานที่อะไร ไม่แน่มันอาจจะเป็นลานประหารชีวิตของเขา และตอนนี้ประชาชนทั้งซานหลงอาจจะมารอดูความตายของเขาแล้วก็เป็นได้
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น...
ประตูบานใหญ่ถูกผลักเปิดออกหลังจากขึ้นบันไดมาหลายชั้น ตั่วหยางถึงได้พบคำตอบว่าลานตะวันออกนั้นคืออะไร... แท้จริงแล้วมันคือลานระเบียงกว้างที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีโต๊ะหมากรุกตัวหนึ่งวางอยู่กลางลาน เมื่อมองลงไปจะเห็นทัศนียภาพของนครซานหลงที่กำลังหลับใหลอยู่ภายใต้อ้อมกอดของดวงดาว
...และมีหงฟี่ยืนรอเขาอยู่ที่ระเบียงนั้น
เหล่าทหารปลดตรวนจากข้อมือของเขาออก ปิดประตูลงตามหลังเขา น่าแปลกใจเป็นที่สุดว่าไม่มีทหารคนไหนยืนเฝ้าคอยดูพวกเขาอยู่เลย
เนิ่นนานที่ไม่มีคำพูดใดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
คล้ายเป็นความฝัน... ตั่วหยางไม่คิดว่าจะได้เจอหงฟี่อีกครั้ง โดยเฉพาะสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มันแทบจะเป็นความจริงไปไม่ได้ และแค่เพียงหงฟี่หันหน้ามาสบตาเขาอีกครั้ง ก็ยังดูเหนือจริงเสียเหลือเกิน
“มีรายงานว่าคืนจันทร์ดับ หากข้ายังไม่จบชีวิตลง กลุ่มกบฏจะปลุกระดมประชาชนให้ลุกฮือเข้ายึดวัง... จริงหรือไม่”
ตั่วหยางหายใจกระตุก ชะงักงันไม่กล้าตอบความจริง
“ท่านรู้ได้เช่นไร”
“แสดงว่าเป็นเรื่องจริง”
หงฟี่เดินเข้ามาใกล้ มีเพียงแสงโคมเพียงไม่กี่ดวงที่ถูกจุดไว้ตามเสาวังฉายให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย... เพียงแต่แววตาเย็นชานั้นกลับแข็งกร้าว เป็นหงฟี่คนเดิมที่เขาเคยไม่รู้จัก
“หงฟี่...”
“ข้าเก็บมีดของเพื่อนเจ้าเอาไว้ให้... ใช้มันเสียสิ”
หงฟี่หยิบมีดเล่มเดิมที่เขาจำได้ขึ้นใจออกมาจากด้านในเสื้อของตนเอง เห็นด้ามมีดที่แกะสลักตัวอักษรอย่างงดงามว่า
หวังหยาโจว มีเล่มเดียวบนโลกหล้า เล่มที่ถูกกำหนดมาเพื่อคืนนี้
อยู่ดีๆใจก็หายวาบ... นี่หงฟี่เตรียมใจตายแล้วเช่นนั้นหรือ และมากไปกว่านั้นคือยินยอมตายด้วยน้ำมือเขา ด้วยอาวุธของเพื่อนเขาเช่นนั้นหรือ
“จะให้ข้า...”
“ทำภารกิจของเจ้าให้เสร็จสิ้น คืนนี้ทุกอย่างจะได้สิ้นสุดลงเสียที”
“หงฟี่... ท่านคิดดีแล้วหรือ”
อยู่ดีๆก็มีแต่ความเงียบงัน... หากแววตาของต้าอ๋องไม่มีแม้แต่การวูบไหวเลยแม้แต่น้อย
“ข้าคิดดีแล้ว”
ปมปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ไม่จำเป็นต้องลอบสังหารอีกต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด ในเมื่อคนตรงหน้ายินยอมพร้อมที่จะตาย จุดจบของเรื่องราวได้ดำเนินมาง่ายดายถึงเพียงนี้
แต่ทำไมเล่า... เขาถึงตัดใจทำไม่ลง
“รออะไรอยู่ล่ะ? นี่ข้าจะเป็นศพแรกของเจ้าหรือ”
“ใช่...”
“ไม่น่าเชื่อ...” หงฟี่รำพึงแผ่วเบา “...ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางเลือกแล้ว”
ต้าอ๋องชักมีดออกมาจากฝัก หันมีดขึ้นในตำแหน่งที่จะปักลงกลางหัวใจ ทันใดนั้นตั่วหยางก็พุ่งกระโจนเข้าไปหา จับด้ามมีดและมือหงฟี่เอาไว้ในมือตน
“หงฟี่ อย่า!”
“ทำไม? เจ้าจะห้ามข้าไว้ทำไม... ในเมื่อเจ้ามาหาข้าก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ”
ตั่วหยางแย่งมีดเล่มนั้นกลับมาไว้ในมือตนได้สำเร็จ ผละตัวออกมาหอบหายใจลึก
“ไม่ใช่... ไม่ใช่แบบนี้”
“งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง...”
ชายกบฏยังคงเหนื่อยหอบ หัวใจเต้นรัว ไม่มีสติจะคิดว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ทำไม... ทำไมท่านถึงตัดใจ ทำไมถึงยอมตายได้ง่ายดายเช่นนี้”
“ข้าเข้าใจเหตุผลของท่านพี่รองแล้ว”
ตั่วหยางเงยหน้าขึ้นมาสบตา... แต่สิ่งที่เห็นจ้องมองกลับมามีเพียงความว่างเปล่าอันไร้หัวใจ หงฟี่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง
“จำเรื่องตำนานมังกรปฐพีได้ไหม... สองพี่น้องนั้นไม่ต่างอะไรจากพี่ข้า เพียงแต่แทนสาวงามที่ถูกแย่งชิงแท้แล้วคือบัลลังก์ที่ว่างเปล่า และการถูกเนรเทศก็คือความตายของทั้งสอง”
คนฟังนิ่งเงียบ ไม่คิดว่าอยู่ๆหงฟี่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“มีคนลือกันว่าข้าเป็นคนฆ่าท่านพี่รองเพื่อจะได้ขึ้นเป็นอ๋อง” หงฟี่พ่นลมหายใจอย่างนึกสมเพช “หึ... ถ้าข้าทำเช่นนั้นแล้วข้าจะได้อะไร?”
“แล้วเรื่องจริงมันเป็นเช่นไร”
“การเป็นอ๋องสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการแล้วก็เป็นเพียงคำสาป” คำพูดอันเย็นเยียบนั้นขมขื่นนัก “ท่านพี่รองเพียงแค่อยากเอาชนะท่านพี่ใหญ่ อย่างเช่นที่ทั้งสองเคยเข่นเขี้ยวกันมาตลอด... แต่เมื่อบัลลังก์ตกมาถึงมือตนแล้ว ท่านพี่รองถึงได้เข้าใจความจริงข้อนี้”
ในแววตาของหงฟี่... ภาพของท่านพี่รองในคืนสุดท้ายได้กลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง
“ท่านพี่รองจะตรอมใจตายด้วยความเสียใจที่ฆ่าท่านพี่ใหญ่ก็ทำได้ แต่ท่านกลับเลือกจะใช้มีดสั้นเสียแทน”
มีดสั้นที่สลักชื่อหยาโจวเงาปลาบ สะท้อนแสงโคมเป็นประกาย
“ข้าอยู่กับเขาตอนที่สิ้นใจ...”
ทั้งลานกว้างปกคลุมด้วยความเงียบ ตั่วหยางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านบอกเรื่องนี้แก่ข้าทำไม”
“ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลของท่านพี่รองแล้ว ...สิ่งเดียวที่ข้าจะทำประโยชน์ให้แคว้นนี้ได้ ก็มีเพียงแต่ต้องตายเท่านั้น”
“หงฟี่...”
“ลงมือซะ! ลงมือเดี๋ยวนี้...” พลันหงฟี่ตะคอกเสียงกร้าว “...ฆ่าอ๋องทรราชของเจ้าซะ ก่อนที่ทั้งซานหลงจะลุกเป็นไฟเมื่อตะวันขึ้น... ฆ่าข้าซะ ก่อนที่ข้าจะลืมเจ้า”
“อย่าพูดเช่นนั้น!”
“เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าลืมเจ้าเองมิใช่หรือ”
“ข้า...”
ชายกบฎหมดเรี่ยวแรงเสียจนเข่าทรุดลงกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงจุดนี้คงไม่มีทางออกใดอีกแล้วนอกจากที่เขาต้องเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อหยุดยั้งมหาโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
จำต้องเสียสละ... หัวใจที่ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป
“ข้าขอถามท่านหนึ่งคำ... ที่ท่านเคยขอพาข้าไปที่ไหนก็ได้ในโลกหล้า ท่านยังจะอยากพาข้าไปอยู่ไหม”
ในความเงียบงันนั้น หงฟี่ค่อยๆทรุดเข่าลงนั่งตรงหน้าเขา
“อยากสิ”
“ท่านอยากจะพาข้าไปที่ไหน”
“แล้วแต่เจ้า... ทุกที่ที่เจ้าอยากจะไป”
“แม้ว่าท่านจะรู้ ว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเราจะไม่มีวันรักกันได้อย่างนั้นหรือ”
หงฟี่เงียบไป เพียงอึดใจก่อนที่จะเห็นว่าน้ำตาหยาดบางกำลังไหลลงอาบหน้าตั่วหยาง
“ใช่...”
“มีที่ที่หนึ่ง... ที่ไม่ใช่ภพนี้”
คนฟังนิ่งเงียบ ไร้สรรพเสียงใดในซานหลง... บัดนี้หงฟี่รู้แล้วว่าตั่วหยางกำลังคิดสิ่งใด
ใบหน้างดงามที่ไม่เคยเปลี่ยนนั้นเงยขึ้นมามองเขาทั้งน้ำตา
“...ท่านยังจะพาข้าไปอยู่ไหม?”
ตั่วหยางสิ้นแรงทรุดลง ทั้งร่างโยกไหวเพราะแรงสะอื้น น้ำตามากมายที่ไม่รู้ว่าเอ่อล้นออกมาจากที่ใดยังคงไหลทะลักท่วมท้นออกมาไม่ขาดสาย หงฟี่ได้แต่ประคองร่างตรงหน้าไว้ พาลมีหยดน้ำเย็นๆไหลออกมาจากหางตาของเขาเช่นกัน
ไม่เสียใจ ที่ต้องพูดคำนี้ออกไป
“ไปสิ... ข้าจะพาเจ้าไป...”
มีเพียงความเงียบสงัดชั่วอึดใจ ก่อนที่ตั่วหยางจะระเบิดเสียงร้องอันเจ็บปวดออกมาดังก้อง... ดังพอที่จะปลุกชาวเมืองซานหลงให้ตื่นขึ้นได้ เป็นเสียงร้องจากใจที่แตกสลาย จากวิญญาณที่รู้ตัวว่าค่ำคืนนี้คือคืนสุดท้าย
หงฟี่ได้แต่กอดนักโทษผู้นี้ไว้ กอดดวงใจของตัวเองที่อยู่ในร่างของคนๆนี้
อยากจะนั่งอยู่ด้วยกันเช่นนั้นเนิ่นนาน... แต่ก็รู้ว่าเวลามีแต่ต้องดำเนินไป
ได้ยินเสียงฝีเท้าทหารยามมากมายวิ่งกรูกันใกล้เข้ามาที่ลานแห่งนี้ ทหารทุกคนคงจะรู้ตัวจากเสียงร้องของเขาเมื่อครู่ และเมื่อได้ยินเสียงตะโกนสั่งการของหลี่ไป๋ที่คุ้นเคยดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ ตั่วหยางถึงได้รู้ว่าหงฟี่คงเตรียมใจไว้แล้วจริงๆ ถึงขั้นวางแผนกันหลี่ไป๋ให้ออกไปตรวจตราที่อื่นเพื่อไม่ให้แผนการนี้ถูกขัดขวางได้
ทั้งสองมองหน้ากันในแสงสลัวราง หงฟี่จับมือตั่วหยางที่ถือมีดอยู่ให้กำด้ามแน่นสนิท มืออีกข้างเสยผมสีดำขลับที่ตนหลงใหลให้ได้มองเห็นใบหน้างดงามได้ชัดยิ่งขึ้น
“ให้ข้าไปก่อน...”
หงฟี่เอ่ยเพียงสั้นๆ... เวลาใกล้หมดลงแล้ว ตั่วหยางทำได้เพียงดึงหน้าอ๋องที่ตนเคยชิงชังลงมารับจุมพิตหวานเป็นครั้งสุดท้าย มอบความรู้สึกทั้งหมดให้แบบที่ไม่เคยให้ใคร
วูบหนึ่งเขาคิดถึงเด็กสาวผู้ร่าเริงที่รอคอยเขาอยู่ที่หมู่บ้าน... ความรู้สึกผิดวิ่งแล่นเข้ามากระแทกอกเมื่อนึกได้ว่าเคยให้สัญญากับนางไว้ ว่าให้นางเก็บรักษาใจของเขาให้ดีๆจนกว่าเขาจะกลับมา... แต่ในตอนนี้ เขาเพิ่งมารู้ตัว ว่าใจเขาไม่ได้อยู่ที่นางมานานแสนนานแล้ว
หากเขาจะกล้าหาญ ยอมรับความจริงข้อนี้ตั้งแต่ต้นได้ก็คงดี...
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาอีก ผละใบหน้าออกมาจากจุมพิตเพียงเล็กน้อย... ในแววตาของหงฟี่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความกลัว ไม่มีแล้วความขมขื่น มีเพียงแค่ความอาลัยรักเพียงเท่านั้น
หงฟี่หลับตาลง คล้ายเป็นสัญญาณให้เขา
ฟาดมีดลงมาสุดแขน หงฟี่ตัวแข็งทื่อ เขาได้ยินเสียงโลหะจมลงไปในเนื้อ เห็นเลือดสีแดงฉานทะลักกระฉูดจากอกซ้ายออกมารุนแรง สาดละเลงบนใบหน้าของเขา จบสิ้นกันแล้ว จบสิ้นกันที...
แต่คราวนี้ ภาพที่เกิดขึ้น... คือความจริง
ประตูใหญ่เปิดผาง ทหารคนแรกที่บุกอยู่ตรงหน้าประตูนั้นไม่ใช่ใคร หลี่ไป๋กวาดสายตามองภาพตรงหน้า ตกตะลึงที่เห็นนายเหนือหัวของตนอยู่ในอ้อมกอดของชายกบฏ เลือดพุ่งทะลัก แน่นิ่งสิ้นลมหายใจ
“เจ้า! หยุด!” ตั่วหยางหันมามองช้าๆ มีเพียงคราบน้ำตาเพียงจางๆ เอ่ยเพียงประโยคที่จำได้ขึ้นใจ
“โทษของกบฏคือความตาย”
จบคำนั้น มีดที่ยังเงื้อสุดแขนนั้นก็ฟาดลงมาอีกครั้ง... หลี่ไป๋ตะโกนร้อง แต่ก็ไม่ทันเลือดมหาศาลที่พุ่งออกมาจากอกของชายกบฎ ตั่วหยางสำลักเลือดที่พุ่งสวนลำคอขึ้นมา ไม่คิดว่าความเจ็บปวดในห้วงสุดท้ายของชีวิตจะมึนชาถึงเพียงนี้
ภาพที่เห็นค่อยๆถูกยืดออกไปอย่างช้าๆ ตัวของเขาค่อยๆล้มลงคว่ำหน้ากับพื้น ซบลงไปกอดบนร่างของหงฟี่ที่นอนแน่นิ่งบนทะเลสีแดงฉาน เห็นเท้าของหลี่ไป๋ที่รีบวิ่งพุ่งเข้ามาหาพร้อมๆกับฝีเท้าของทหารอีกนับสิบคน แต่กลับเป็นว่ายิ่งพวกเขาเร่งฝีเท้าเท่าไรก็กลับวิ่งช้าลงเท่านั้น
ตั่วหยางหลับตาลง... ภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว
ต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางของเขากับหงฟี่ เพียงสองคนเท่านั้น ไปทุกที่ที่เขาอยากจะไป
ตามหาแม้เพียงภพหนึ่ง... ภพเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะได้ครองรักกันชั่วนิรันดร์
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทหน้าอวสานจ้ะ
สวัสดีปีใหม่ 2014 จ้าาาา