ตอนที่ 4 เทมปุระ น้ำยาปู
เมื่อนับตังค์ขี่รถมอเตอร์ไซด์พามีคุณกลับมาถึงร้านก็ไล่มีคุณให้ออกไปรออยู่ข้างนอก นับตังค์อยากจัดการทำอาหารเองโดยให้ขมิ้นช่วยเป็นลูกมือให้เพียงคนเดียว นับตังค์บอกกับมีคุณว่ายังไม่อยากให้มีคุณรู้ว่าตัวเองจะทำเมนูอะไรให้กิน แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ไม่อยากให้มีคุณอยู่ในครัวด้วยก็แค่ไม่อยากให้มีคุณมาคอยจ้องมองตลอดเวลามากกว่า ส่วนเมนูอาหารที่นับตังค์ตั้งใจจะทำให้มีคุณได้กินก็คือขนมจีนน้ำยาปูกับรวมมิตรทะเลเทมปุระ
ขมิ้นยืนมองนับตังค์เริ่มทำอาหารไปได้สักพักโดยที่ยังไม่ได้ช่วยหยิบจับอะไรเลย ความรู้สึกของขมิ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรก ตอนที่ได้รับรู้ว่าจะมีเชฟมาจากกรุงเทพพร้อมกับเจ้าของร้านคนใหม่ ขมิ้นไม่เชื่อว่าจะมีใครคนไหนมาแทนที่คุณอนันต์ได้ คิดแค่ว่าถ้าร้านอาหารนี้ขาดคุณอนันต์ก็คงไปต่อไม่ได้ แต่ตอนนี้ขมิ้นเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณอนันต์ถึงสอนขมิ้นเสมอว่า รสชาติของอาหารของแต่ละคนไม่มีทางจะเหมือนกันแม้จะทำจากสูตรเดียวกันก็ตาม สิ่งเดียวที่จะเหมือนกันได้คือความตั้งใจและความพยายาม สิ่งนี้แหละที่จะทำให้อาหารทุกจานเป็นอาหารจานพิเศษได้เหมือนๆ กัน
สายตาของเชฟคนใหม่ที่ขมิ้นกำลังยืนมองอยู่ดูนั้นกำลังจดจ่อกับอาหารตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามีขมิ้นยืนมองอยู่ เครื่องแกงน้ำยาที่โขลกเองส่งกลิ่นหอมฟุ้งเมื่อนำมาผัดกับหัวกะทิ ท่าทางของเชฟคนใหม่นี้เหมือนกับตอนที่ขมิ้นได้มองคุณอนันต์ทำอาหารเหลือเกิน ความสุขบนใบหน้าของนับตังค์ช่างเหมือนใบหน้าของนายปู่ตอนทำอาหารไม่มีผิด
“ขมิ้นพักที่นี่เหรอ” นับตังค์ชวนคนที่ยืนจ้องตัวเองคุยด้วย ซึ่งปกติแล้วเวลานับตังค์ทำอาหารจะไม่ชอบคุยกับใคร แต่วันนี้คงต้องยกเว้นเพราะนับตังค์อยากรู้ประวัติของที่นี่และอยากผูกมิตรกับขมิ้นด้วย
“ใช่ นายปู่ทำห้องเอาไว้ให้เป็นส่วนตัว อยู่เยื้องจากบ้านของนายปู่ไปทางด้านหลังโน่น” ขมิ้นเรียกคุณอนันต์ว่านายปู่
“อ๋อ แล้วปกตินายปู่เป็นคนปรุงอาหารเองทุกอย่างเลยเหรอ” นับตังค์เรียกคุณอนันต์ว่านายปู่ตามขมิ้น
“ก่อนจะป่วยนายปู่ปรุงอาหารเองหมด แต่พอเริ่มยืนนานๆ ไม่ไหว นายปู่ก็จ้างเชฟมาช่วย แต่ถึงยังไงนายปู่ก็จะชิมเองก่อนจะให้ลูกค้าได้ทานนิ”
“อ้าว แล้วเชฟคนนั้นไปไหน ทำไมไม่จ้างเขาต่อล่ะ”
“นายปู่ไล่ออกไปแล้ว พอไม่นานนายปู่ก็เสีย ร้านก็ปิดมาสามเดือนนิ แล้วพวกคุณก็มาแทน”
“อ๋อ แบบนี้เอง ขมิ้นมาช่วยชิมน้ำยาปูให้หน่อย” นับตังค์ตักแกงใส่ช้อนส่งให้ขมิ้นชิม ใจจริงก็อยากรู้ว่าเชฟคนเก่าโดนไล่ออกทำไม แต่อีกใจก็คิดว่ายังไม่ควรถามให้ขมิ้นมากมายเพราะเพิ่งจะได้สนทนากันยาวๆ
“หรอยแรง” ขมิ้นทึ่งเมื่อได้ชิม รสชาติไม่แพ้ฝีมือของคุณอนันต์เลย แต่นับตังค์ดูอายุไม่เยอะเท่าไหร่ น้อยกว่าขมิ้นด้วยซ้ำ ขมิ้นถึงได้ไม่เชื่อมือในตอนแรกที่ได้เห็นหน้า
“แรงขนาดไหน กี่แรงม้าดี” นับตังค์ถามขำๆ
“ให้ขมิ้นช่วยทำอะไรบอกมานิ” ขมิ้นเริ่มเปิดใจให้นับตังค์เมื่อได้ชิมรสมือจึงเดินเข้าไปถามด้วยความกระตือรือร้นกว่าเดิม
“ดีเลย ช่วยล้างผักสดให้ตังหน่อยนะพี่บ่าว” นับตังค์พอจะฟังภาษาใต้ออกแต่พูดไม่ได้ แต่ก็เคยได้ฟังคนใต้พูดกันบ้างเลยเอามาใช้สักหน่อย เมื่อเห็นขมิ้นหัวเราะแล้วทำตัวสบายขึ้นนับตังค์ก็โล่งใจ
ส่วนมีคุณ เมื่อนับตังค์ไล่ให้ออกมารอข้างนอกก็เลยออกมานั่งเล่นที่ระเบียงร้าน เขารู้สึกว่าตัวเองหัวใจจะวายตอนที่นับตังค์ขี่เจ้าสองล้อพาเขาซิ่งกลับมาจากตลาดด้วยความเร็ว เขาต้องภาวนามาตลอดทางว่าให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย แถมยังต้องรักษาอาการเอาไว้ ทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไรทั้งที่เป็นคนกลัวความเร็วเป็นที่สุด การที่เขาขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซด์ไม่เป็นเพราะมีความหลังฝังใจตั้งแต่ยังเด็ก มีคุณรู้ว่านับตังค์คงแก้แค้นที่เขาไปแกล้งนับตังค์ที่สะพานเชือกนั่นก่อน แต่ถ้าจะให้เขาร้องโวยวายขอให้เจ้าเด็กแสบนั่นลดความเร็วก็ฝันไปเถอะ คนอย่างมีคุณไม่ยอมเสียฟอร์มง่ายๆ อย่างมากก็แค่กอดเอวนับตังค์เอาไว้แน่นๆ ซึ่งมันก็ทำให้นับตังค์ขี่ช้าลงได้บ้าง
เมื่อรู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้นแล้วมีคุณก็ต่อสายโทรศัพท์หาสุดเขตเพื่อนสนิท เขาให้สุดเขตช่วยไปดูแลคุณพลอยประดับให้ช่วงที่เขาไม่อยู่ แต่กำชับว่าห้ามบอกเรื่องพินัยกรรมนี่เด็ดขาด เขาไม่อยากให้แม่เข้ามาวุ่นวายจนทำให้เสียแผน เอาไว้ให้เขาทำตามเงื่อนไขคุณปู่ผ่านก่อนเขาถึงจะบอกเรื่องนี้ให้แม่ฟัง ก่อนจะมาที่นี่เขาบอกกับคุณพลอยประดับไปว่า เขามีงานพิเศษที่ต้องไปทำ ซึ่งจะได้รับค่าจ้างจำนวนมากพอที่จะใช้หนี้ให้คุณพลอยประดับได้ และเขาจะต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาหนึ่งปี คุณพลอยประดับก็ดูจะอยากถามรายละเอียด แต่เมื่อมีคุณบอกว่าถ้าความลับของงานนี้รั่วไปเงินที่จะได้ถือเป็นโมฆะ คุณพลอยประดับจึงปิดปากสนิทและไม่ซักไซ้อะไรมีคุณอีกเลย
“เป็นไงบ้าง น้องตังยอมเซ็นสัญญาไหมวะ” สุดเขตรีบถาม
“เซ็นแล้ว ขอบใจนายมากนะที่ช่วยเรื่องนั้น”
“เออ แกห้ามหลุดปากบอกให้น้องตังรู้เลยนะว่าฉันทำอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นชีวิตรักฉันพังแน่” สุดเขตกำชับเพื่อน
“เออน่า ฉันไม่หลุดหรอก ว่าแต่พี่สาวของตังเขารับรักแกแล้วเหรอวะ” มีคุณถามกลับ
“ดูท่าแกจะสนิทสนมกับน้องตังแล้วใช่ไหมวะ อย่าบอกนะว่าเกิดถูกใจน้องเขาเข้าแล้ว สรุปว่าน้องเขาเป็นอย่างแกไหมไอ้คุณ แต่ฉันก็คิดเอาไว้ว่าน้องตังต้องมีรสนิยมเดียวกับแก ฉันว่านะ...”
“พอเลยไอ้เขต ฉันกับน้องเขาไม่ได้คิดอะไรกันแบบนั้น ที่ต้องทำตัวสนิทสนมเพราะฉันต้องทำงานกับเขาอีกตั้งปีหนึ่ง เขม่นกันมาก่อนก็แย่แล้ว ถ้ายังไม่ยอมขอโทษหรือยอมลดอีโก้ลงฉันคงไม่ได้ตัวเขามา ยังไงก็ต้องสงบศึก”
“ไม่คิดแบบนั้นก็ดี ฉันไม่อยากให้ว่าที่น้องชายของภรรยาของฉันต้องเสียใจเพราะแก”
“ทำไมไอ้เขต ฉันมันไม่ดีตรงไหน” มีคุณย้อนถามเมื่อโดนเพื่อนสบประมาท
“ก็ใจแกยังมีแต่คิว แกคงรักคนอื่นไม่ได้หรอก อีกอย่างนะ แกรู้แล้วรึยังว่าคิวมันกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรแล้ว” สุดเขตถามเพื่อนเกี่ยวกับบุคคลที่ทำให้เพื่อนรักของตัวเองต้องเป็นโรคชอกช้ำใจมานาน
“ฉันไม่ได้สนใจเขามานานแล้ว เขาจะอยู่ที่ไหนก็ช่างเขา เออ พรุ่งนี้ฉันคงกลับขึ้นกรุงเทพนะ ไปเก็บเคลียร์งานสุดท้ายแล้วคงลงมาอยู่ยาวเลย แต่คงไม่ได้เข้าบ้าน ยังไงก็ฝากแม่ด้วยนะ” มีคุณเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากพูดถึงใครบางคนอีก
“เออๆ แล้วน้องตังจะกลับขึ้นมารึเปล่า ถ้าเขาเจอกับพี่สาวของเขาฉันจะซวยไหมวะที่ไปจ้างละมุดให้โกหกว่าคนที่บ้านเขาไม่สนใจถามถึงเลย” สุดเขตถามด้วยความกังวลใจ
“ฉันว่าพ่อแม่เขาก็คงไม่ได้สนใจจริงๆ ฉันไม่เห็นว่าจะโทรมาตามเลย แกอย่ากังวลไปเลย” มีคุณปลอบเพื่อน
“ไม่แน่นะโว้ย ถ้าเกิดพ่อแม่เขารู้ว่าน้องตังต้องไปอยู่ไกล เขาอาจจะไม่ยอม”
“แล้วไง ถ้าฉีกสัญญาก็ต้องจ่ายฉันมาห้าล้าน” มีคุณไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหาเพราะเงินจำนวนมากขนาดนั้นเขาคงไม่ยอมมาเสียฟรีๆ หรอก
“แกคงไม่รู้สินะ ตระกูลมณีรัตน์ของน้องตังเขาเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เขาไม่แต่งตัวอวดรวยในวงสังคม ใช้ชีวิตเรียบๆ แต่เขาเป็นข้าเก่าในวัง มีเงิน มีที่ดิน มีทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษได้รับพระราชทานมาจากเจ้านายในวัง เขานำมาต่อยอดอีก ถ้าจะรวมมูลค่ามาถึงตอนนี้ก็มหาเศรษฐีดีๆ นี่เอง เงินแค่ห้าล้านเขาจ่ายให้แกได้สบายมาก” สุดเขตรู้ดีเพราะแม่ของสุดเขตเป็นเพื่อนรักของคุณนับดาวซึ่งเป็นแม่ของเฟื้องกับนับตังค์
“เอาเป็นว่าฉันมั่นใจว่านับตังค์จะอยู่กับฉันที่นี่ แกไม่ต้องกังวล”
“ทำไมมั่นใจนักวะ ทีแรกเห็นมองกันเหมือนเป็นศัตรู” สุดเขตถามเพราะรู้สึกว่าท่าทีของเพื่อนรักเปลี่ยนไป สุดเขตก็ไม่อยากจะคิดว่ามีคุณจะชอบนับตังค์ เพราะเท่าที่รู้จักกันมา คนแบบที่มีคุณชอบ ถ้าเปรียบเป็นอาหารก็คงเป็นอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน ซึ่งเท่าที่สุดเขตแอบสังเกตดู นับตังค์ไม่ใช่คนประเภทที่มีคุณจะชอบได้เลย
“เขาทำให้ฉันผิดคาดหลายอย่าง เอาไว้ค่อยเล่าให้ฟัง ฉันต้องวางก่อนนะ ตังเดินมาแล้ว” มีคุณวางสายจากสุดเขตเมื่อเห็นนับตังค์เดินมา
“เสร็จแล้ว ไปกินเลยไหม” นับตังค์เดินมาตามเพราะอยากให้มีคุณได้กินอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ
“กินเลย พี่หิวแล้วเหมือนกัน” มีคุณรีบบอกก่อนจะเดินตามนับตังค์เข้าไปในร้าน
ขนมจีนที่ถูกจัดเป็นคำวางอยู่บนจานเปลโดยมีตะกร้าผัดสดวางอยู่เคียงข้าง ส่วนตรงกลางโต๊ะมีชามกระเบื้องขนาดใหญ่สีขาวลายดอกกุหลาบวางอยู่ข้างกันกับจานกระเบื้องขอบสีทอง อาหารในจานกระเบื้องนั้นประกอบไปด้วยกุ้ง ก้ามปู เนื้อปลา หอยเชลล์ ซึ่งถูกหุ้มด้วยแป้งเทมปุระที่ทอดจนสีเหลืองทองดูน่ากิน นับตังค์เปิดฝาชามกระเบื้องออก กลิ่นหอมของน้ำยาปูก็ลอยขึ้นมาพร้อมกับไอร้อนที่ยังคงกรุ่นอยู่
“หอมมาก” มีคุณเอ่ยชมเมื่อนับตังค์เปิดฝาชามกระเบื้องออกจนได้กลิ่นน้ำแกง
“ปูเน้นๆ” นับตังค์คีบขนมจีนไปวางที่จานของมีคุณ ก่อนจะตักน้ำยาปูราดให้ เนื้อปูก้อนใหญ่ที่ชุ่มไปด้วยน้ำแกงสีเหลืองข้นดูเชิญชวนจนท้องของมีคุณเกือบจะร้องประท้วงออกมาให้ได้ยิน
“แล้วนั้นซอสอะไร” มีคุณชี้ไปทางถ้วยขนาดเล็กที่วางอยู่ข้างจานเทมปุระ
“ก็น้ำยาปูนี่แหละ ตังเอาเนื้อปูโขลกใส่เพิ่มแล้วเคี่ยวให้ข้น ลองกินกับเทมปุระดูว่าเข้ากันไหม” นับตังค์เลื่อนจานเทมปุระมาให้มีคุณ
“อืม เข้ากันดี ไม่น่าเชื่อ” มีคุณหยิบเทมปุระมาชิมแล้วเอ่ยชม
มีคุณยอมรับว่าตัวซอสน้ำยาปูนั้นนับตังค์ทำได้กลมกล่อมมาก ตัวรวมมิตรเทมปุระที่นับตังค์ทอดมาก็กรอบกำลังดี แป้งเบาบางและฟู เนื้อสัตว์ที่อยู่ด้านในก็ไม่เละแฉะ ยังคงความหวานสดตามธรรมชาติ แสดงถึงการผสมแป้งได้สัดส่วน อุณหภูมิของน้ำมันและระยะเวลาในการทอดนั้นเหมาะสมพอดี เมื่อลองราดซอสน้ำยาปูที่โขลกเนื้อปูจนละเอียดแล้วเคี่ยวจนแทบเป็นเนื้อเดียวกับตัวซอส รสชาติไม่เผ็ดมากเกินไป มันช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน หลังจากที่ชิมเทมปุระแล้วมีคุณตักสะตอสดและถั่วงอกที่นับตังค์เด็ดหัวทิ้ง เหลือแต่ตัวก้านสีขาวอวบดูกรอบโรยในจานขนมจีน แล้วจัดการกินโดยไม่พูดอะไรอีก
“บอส ตังว่าจะไม่กลับไปกรุงเทพแล้ว ตังฝากพี่ไปเอาของใช้ของตังที่บ้านของรันได้เปล่า” นับตังค์เป็นฝ่ายชวนคุยก่อน มีคุณเห็นนับตังค์ชอบเรียกเขาว่าบอสก็ไม่อยากจะขัด แค่พูดด้วยดีๆ ไม่มีน้ำเสียงแข็งขืนแบบตอนแรกก็ดีมากแล้ว
“ได้สิ มีอะไรรึเปล่า ทำไมถึงไม่กลับ” มีคุณถาม
“ไม่มี ขี้เกียจเดินทาง” นับตังค์ไม่อยากบอกว่าความจริงแล้วที่ไม่กลับเพราะไม่รู้จะกลับไปหาใคร ในเมื่อครอบครัวคิดจะตัดหางปล่อยวัด นับตังค์ก็ไม่อยากเสียเวลาไปกับการเดินทางอีก เอาเวลามานั่งคิดรายการอาหารแล้วลองทำดีกว่า ที่เกาะนี่ยังมีอะไรที่นับตังค์อยากสำรวจอีกเยอะ
“พี่จะรีบไปรีบกลับ” มีคุณตักขนมจีนใส่จานเพิ่ม ฝีมือของนับตังค์ถือว่าดีมากทีเดียว นั่นยิ่งทำให้มีคุณอยากรู้ว่าคุณปู่รู้ได้ยังไงว่านับตังค์มีความสามารถขนาดนี้
“ไม่ต้องรีบ ไปนานๆ เลยก็ได้นะ หรือจะไปแล้วไม่มาก็ไม่ว่ากัน จ่ายเงินเดือนผ่านบัญชี มีเลขที่บัญชีรึยัง” นับตังค์เริ่มกวนประสาทมีคุณอีกแล้ว มันอดไม่ได้จริงๆ นึกบ่นในใจว่ากินตุ้ยๆ แต่ไม่เห็นจะชมให้ได้ยิน
“เบื่อหน้ากันแล้วเหรอ” มีคุณถามพลางขำ
“อือ เบื่อขี้หน้ามาก นี่ยังไม่ได้จัดการเรื่องที่ทำให้ฉี่แทบราดบนสะพานเชือกเลย” นับตังค์พูดตรงๆ จนมีคุณแทบสำลัก
“ขอโทษ พี่ไม่คิดว่าจะกลัวจริงจังขนาดนั้น ก็เห็นทีแรกเดินด้วยความมั่นใจ” ทีแรกมีคุณจะพูดเรื่องที่นับตังค์ขับรถเร็วแล้ว แต่เปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเป็นจุดอ่อนให้นับตังค์แกล้งได้อีก
“ก็ทีแรกมันยังไม่ได้มองลงไปข้างล่างไง ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆ ขามันจะสั่นขนาดนั้น หัวใจจะวาย ทำไมขึ้นเครื่องบินยังไม่รู้สึกเลย” นับตังค์ขมวดคิ้ว สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงกลายเป็นคนกลัวความสูงไปได้
“หลับตลอดทางจะเอาเวลาไหนไปกลัว กรนอีกต่างหาก” มีคุณส่ายหน้า
“ไม่จริง มั่ว ตังไม่เคยนอนกรน”
“เดี๋ยวคราวหลังจะอัดคลิปเอาไว้ให้ดู” มีคุณยักคิ้ว ยิ่งเห็นนับตังค์ทำหน้าลังเลว่าตัวเองกรนจริงรึเปล่ายิ่งต้องกลั้นขำ
“ไม่ต้อง”
“ไม่มั่นใจดิท่า”
“มั่นใจ แต่ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในห้องนอน”
“เรานอนห้องเดียวกัน บ้านปู่มีห้องนอนห้องเดียว เดินสำรวจแล้วไม่ใช่เหรอ” เมื่อมีคุณบอกเรื่องห้องนับตังค์ก็หรี่ตามองเพราะไม่เชื่อ คิดว่ามีคุณต้องแกล้งอำ
“ไม่ได้เดินขึ้นข้างบน แต่ถ้ามีห้องเดียวจริง ตังนอนบนเตียง พี่ต้องนอนพื้น เพราะตังไม่ชอบนอนกับใคร อึดอัด”
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนั้นด้วย ตังก็ไปนอนพื้นเองสิ”
“ถ้าเชฟนอนไม่หลับ นอนไม่พอ ฝีมือจะตก ขาดทุนไม่รู้ด้วย เอาไง”
“เอาไว้ขึ้นไปดูห้องก่อนค่อยตกลง พี่ก็แค่รู้มาจากขมิ้นว่ามันมีห้องเดียว ถ้ามันเล็กน่าอึดอัดเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตกลงไหม”
“ก็ได้”
“ไม่มีของหวานเหรอ” มีคุณถามหลังจากที่กินขนมจีนเสร็จแล้ว
“มี”
“เอามาชิมสิ”
“เป็นคำสั่งหรือคำขอร้อง” นับตังค์ยียวน
“สั่งได้ไหมล่ะ” มีคุณถามกลับ
“ได้ แต่ไม่ทำ”
“งั้นขอร้อง”
“ขอร้องเขาพูดกันแบบนั้นเหรอ” นับตังค์ยังคงทำหน้าตายียวนกวนประสาทมีคุณเหมือนเดิม
“มันต้องพูดแบบไหน ไหนพูดให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อย”
“ขอขนมที่อร่อยที่สุดในโลกหน่อยครับ” นับตังค์พูดให้มีคุณฟัง
“ยังดูไม่ขอร้องเท่าไหร่ เอาใหม่ซิ” มีคุณกอดอกแล้วส่ายหน้า
“งั้นเอาแบบนี้ คุณเชฟสุดหล่อ รบกวนเอาขนมที่อร่อยที่สุดในโลกมาให้ผมกินหน่อยครับ ได้โปรด” นับตังค์หลับตาแล้วทำท่าอ้อนวอนให้มีคุณดูเป็นตัวอย่างอีกรอบ
...ติ๊ด...
“เฮ้ย หลอกถ่ายรูปกันนี่” นับตังค์โวยวายเมื่อเห็นว่ามีคุณยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย
“เวลาทำตัวอ้อนแบบนี้ก็น่ารักดีนะ ขอถ่ายเก็บเอาไว้ดู เพราะคงไม่เห็นแบบนี้บ่อยๆ”
“แน่ล่ะ จะอ้อนไม่อ้อนมันก็ต้องขึ้นอยู่ว่าอยู่กับใคร” นับตังค์ยักไหล่
“แล้วทำไมเวลาอยู่กับพี่ชอบกวนประสาท เพราะพี่ไปวิจารณ์ขนมวันประกวดเหรอ” มีคุณอยากรู้ว่านับตังค์ยังฝังใจเรื่องเก่าอยู่รึเปล่า
“เรื่องนั้นมันจบไปแล้ว ส่วนไอ้เรื่องกวน นี่ถามจริงว่าไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าใครกวนประสาทใครก่อน” นับตังค์ย้อนถาม
“พี่ไปกวนประสาทตังตอนไหน”
“นี่ไง หน้าตาของบอสตอนนี้ก็กวน”
“เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว หน้าพี่มันแบบนี้เองไหม”
“ก็นี่ไง หน้าตาผิดหลักการผูกมิตร อวัยวะบนหน้าบอสยังตีกันไม่เสร็จ เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่าขี้ริ้วขี้เหร่และกวนประสาท” นับตังค์ได้ทีเหน็บมีคุณ
“ฮ่าๆ ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยหลอกด่าพี่มากกว่า พี่รู้ตัวเองว่าพี่มีเสน่ห์ ด่ายังไงพี่ก็ไม่รู้สึกหรอก” มีคุณรู้สึกสนุกเวลาที่เห็นนับตังค์ต่อปากต่อคำ
“โอ้ย หลงตัวเองชะมัด” นับตังค์เห็นมีคุณไม่โกรธแถมยังหัวเราะชอบใจก็รู้สึกเซ็งที่มาเจอกับคนหน้าหนาเข้าให้แล้ว
“ก็อย่ามาเผลอหลงพี่แล้วกัน” มีคุณยกยิ้ม
“หึ...ไม่มีวันเผลอ เป็นคนมีสติ สรุปจะกินขนมไหม ไหน...ขอร้องก่อน” นับตังค์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งถ่ายบ้าง
“อยากกินขนมของเชฟจังครับ ได้โปรด” มีคุณเก็กหน้าหล่อให้กับกล้องโทรศัพท์ของนับตังค์ พูดด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้ดูละมุนที่สุด
“รอ” นับตังค์เยืนนิ่งไปแวบเดียวก่อนจะลดกล้องลง เก็กหน้านิ่งพูดกับมีคุณสั้นๆ แล้วรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัวโดยไม่ทันเห็นว่ามีคุณแอบยิ้มอยู่ข้างหลังที่ทำให้นับตังค์เขินได้
หลังจากรับประทานของหวานเสร็จและชั่วโมงแห่งการปะทะฝีปากของคุณเชฟและคุณบอสผ่านพ้นไป ปัญหาใหม่ที่ทำให้คนทั้งคู่ต้องมาปะทะคารมกันต่อก็คือเรื่องของห้องนอน
“เตียงมันก็ใหญ่ แล้วจะให้พี่ไปนอนที่โซฟาทำไม” มีคุณพยายามบ่ายเบี่ยงเมื่อนับตังค์เดินขึ้นมาถึงห้องนอนแล้วบอกให้มีคุณไปนอนที่โซฟา ถึงโซฟามันจะใหญ่แต่มันจะนอนสบายเหมือนกับนอนเตียงได้ยังไงกัน
“ใหญ่ที่ไหนกัน ดูนะ ถ้าตังนอนตรงนี้ ดึกๆ ก็ต้องดิ้นไปดิ้นมาแบบนี้ มันก็พอดีสำหรับคนเดียว เห็นไหม” นับตังค์รีบลงไปนอนบนเตียงแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาให้ดู มีคุณเห็นแล้วก็นึกขำในใจ
“เดี๋ยวเอาหมอนมากันก็ได้ คืนนี้นอนด้วยกันไปก่อน ห้องนี้มันใหญ่จะตาย เอาไว้พี่กลับมาจะซื้อเตียงมาเพิ่ม วางมุมนั้นน่าจะได้” มีคุณชี้บอก
“ไหนบอสว่าตังนอนกรนไง กรนดังด้วย ถ้านอนด้วยกัน บอสทนไม่ไหวหรอก” นับตังค์ยังคงหาเหตุผลที่จะครอบครองเตียงเอาไว้คนเดียว
“พี่ทนได้”
“งั้นก็ตามใจ” นับตังค์คิดว่าเถียงไปก็คงไม่เป็นผล จะว่าไปบ้านนี้เป็นบ้านของมีคุณ ถ้าเรื่องมากอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ แต่คนอย่างนับตังค์ไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกล
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” มีคุณนึกแปลกใจที่นับตังค์ยอมง่ายๆ แต่ก็เริ่มจะชินกับนิสัยของนับตังค์แล้ว บทจะดื้อก็ดื้อเถียงคอเป็นเอ็น บทจะว่าง่ายก็ง่ายจนนึกไม่ถึง
(มีต่อด้านล่างค่ะ)V
V