Bed Care Job #พนักงานดูแลเตียง
ตอนพิเศษ Please be my boyfriend?
เมื่อถึงวันปิดภาคเรียนต้นอย่างเป็นทางการ คุณคีนก็บอกผมให้เตรียมตัวเดินทางไปอังกฤษในอีกสามวันข้างหน้า ถึงแม้จะเป็นการบอกอย่างกะทันหันแต่การดำเนินการมาก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหันทั้งวีซ่าหรือพาสปอร์ตที่คุณเคนพาผมไปทำหลังจากที่คุณคีนตัดสินใจจะพาผมไปอังกฤษ
“คุณคีนครับ ตอนนี้ข่าวลือเริ่มนิ่งแล้ว ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องไปอังกฤษแล้วก็ได้” ผมบอกเขา ข้อแรกคือผมเกรงใจ ตั๋วเครื่องบินราคาแพง หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เขาออกให้ผมอีก ยังไม่รวมถึงตอนนี้ที่ผมไม่ได้ไปทำงานร้านพี่ปุยฝ้ายอีกแล้ว ลางานนาน ๆ ก็เกรงใจจึงตัดสินใจออกมาดีกว่า แล้วคุณคิดว่าผมไม่ได้ทำงานแล้วอยู่ด้วยเงินที่ผมกู้เรียนมา เงินนั่นเพียงพอสำหรับผมไหม
คำตอบคือพอครับ ไม่ต้องเอาเงินไปใช้หนี้ ผมอยู่ได้สบาย ไม่มีปัญหาเลย แต่คนที่กลัวผมอยู่ไม่ได้กลับเป็นอีกคน ดังนั้นตอนนี้ผมจึงได้รับเงินเดือนด้วยนะครับ เป็นเงินจากคุณเคน เอ๊ย ไม่ใช่สิ จากคุณคีนโดยที่คุณเคนโอนมาให้ อย่าบอกเจ้าตัวให้ได้ยินนะครับ ไม่งั้นเขาต้องไม่พอใจผมแน่
“ไม่ได้”
“อ้าว ทำไมครับ”
“เคนจองตั๋วไปแล้ว อีกอย่างปีนี้ผมยังไม่ได้กลับไปหาเคทเลย ต่อให้ไม่มีข่าวก็ต้องไปอยู่ดี”
“งั้นคุณไปคนเดียวดีไหมครับ”
“เคทอยากเจอคุณ”
“อ่า..เหรอครับ” เอาชื่อแม่มาอ้างแล้วผมจะพูดอะไรได้
“ตามนี้นะครับเปล”
“ก็ได้ครับ”
“เดือนนี้อากาศที่นั่นหนาวมาก อุณหภูมิน่าจะเหลือแค่เลขตัวเดียว ยังไงเดี๋ยวผมให้เคนมารับคุณพรุ่งนี้แล้วไปซื้อเสื้อกันหนาวด้วย”
มหาวิทยาลัยผมปิดเทอมต้นกลางเดือนธันวาคมพอดี ผมลองเข้าอินเทอร์เน็ตไปเช็กสภาพอากาศค่อนข้างหนาวทีเดียวต่ำสุดประมาณสี่องศา สูงสุดไม่เกินแปดองศา ผมต้องหนาวจมกองผ้าห่มตายแน่นอน ออกไปข้างนอกก็ต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้นจนตัวหนาเป็นแหนม ถึงผมจะเป็นคนเหนือแต่ผมไม่ชอบอากาศหนาว หนาวมาก ๆ มันทรมาน หายใจก็ลำบาก
คุณเคนมารับผมไปซื้อเสื้อกันหนาวตามคำสั่งเจ้านายของเขา คุณเคนดูสนุกที่ได้เห็นผมลองสวมเสื้อกันหนาวตัวนั้นตัวนี้เป็นว่าเล่นกว่าจะซื้อเสร็จก็ใช้เวลาไปเกินชั่วโมงทีเดียว ทั้งผมและคุณเคนต่างช่วยกันถือถุงเสื้อผ้า พะรุงพะรังเต็มทั้งสองมือ เสื้อกันหนาวรวมถึงเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่น ทั้งหมดนี่ของผมทั้งนั้น
กระทั่งถึงวันที่ต้องออกเดินทาง ผมตื่นตะลึงกับการแต่งตัวของคุณคีน ตั้งแต่รู้จักกันมาถ้าไม่ใช่ชุดนอนที่เขาใส่อยู่บ้านก็คงหนีไม่พ้นเสื้อเชิ้ตกับกางแกงแสล็ก บางครั้งก็มีสูทด้านนอกด้วย แต่ครั้งนี้แปลกออกไป เขาใส่เสื้อไหมพรมสีเข้มค่อนข้างหนาไม่เหมาะกับอากาศในประเทศไทยและกางเกงยีนสีซีดพอดีตัวเข้ารูป ผมลอบกลืนน้ำลายมองผู้ชายวัยสี่สิบสี่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าเขาดูดีเกินไปหรือเป็นผมเองที่รักเขาเกินไปจนมองว่าเขาดีไปหมดทุกส่วน
“เป็นอะไร”
“ปะ..เปล่าครับ ผมไม่เคยเห็นคุณแต่งตัวแบบนี้มาก่อนเลย”
“จะไปพักผ่อนทั้งทีก็ต้องแต่งตัวให้เข้ากันสิ จริงไหม”
“เอ่อ..จริงด้วย” คุณคีนพินิจมองผมอยู่แล้วทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เสื้อมันบางไปหน่อย ไปเปลี่ยนให้หนาหน่อยดีกว่า เดี๋ยวอยู่บนเครื่องแล้วจะหนาวเอาได้”
“ได้ครับ” ผมไม่เถียง เขาว่าไงผมก็ว่าตามนั้น จังหวะที่ผมเดินผ่านเขาก็ถูกคุณคีนดึงตัวเข้าไปใกล้ เขากดจมูกลงบนหัวผมทีหนึ่ง ไม่มีคำบ่นใด ๆ ก่อนจะตบก้นผมเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าไปได้ผมจึงเข้าไปเปลี่ยนเสื้ออย่างรวดเร็ว
หึ! ผมเตรียมตัวมาดีครับ
คุณเคนและคุณลุงคนขับรถทำหน้าที่มาส่งคุณคีนและผมที่สนามบิน ผมคิดว่าคุณเคนจะไปพร้อมกับเราเสียอีกแต่ก็มารู้ความจริงเมื่อตอนที่คุณเคนบอกว่าเดินทางปลอดภัย ผมจึงรู้ว่าคุณเคนไม่ได้เดินทางไปกับเราครั้งนี้
ด้วยความที่ผมไม่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อน ทุกอย่างรอบตัวช่างน่าสนใจ ดูแปลกตาไปหมด กระทั่งขึ้นมานั่งบนเครื่องแล้วผมก็ยังไม่เลิกตื่นเต้นเลย ผมได้ที่นั่งติดกับคุณคีนแต่มีไอ้สิ่งที่เรียกว่าแผงกั้นมาคั่นตรงตรงกลางระหว่างเรา คุณคีนบอกผมว่าเราปรับลดลงได้ แผงกั้นนี้ใช้สำหรับกรณีเดินทางคนเดียวแล้วไม่อยากสุงสิงกับคนนั่งข้างก็ดึงขึ้นมากั้นเอาไว้ได้
“กี่ชั่วโมงครับกว่าจะถึงอังกฤษ”
“สักสิบห้าสิบหกชั่วโมง” ผมมองเขาแล้วทำหน้าเครียด นั่งเฉย ๆ สิบกว่าชั่วโมงเลยเนี่ยนะ
“เป็นอะไร”
“จะไม่เมื่อยแย่เหรอครับ นั่งนานขนาดนั้น”
“เครื่องจะไปแวะที่ดูไบก่อนประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ก็ค่อยลงไปยืดเส้นยืดสาย สนามบินที่นั่นสวยมากแล้วถ้าอยากได้อะไรก็ซื้อมาเลย เพราะขากลับเราจะบินตรงไม่แวะพัก”
“ถ้าไม่แวะพักใช้เวลากี่ชั่วโมงเหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้
“ลองคำนวณคร่าว ๆ คิดจากเวลาขาไปสิครับ ถ้าไม่แวะพักเราจะใช้เวลากี่ชั่วโมง”
“เอ่อ..ครับ” คุณคีนไม่ตอบคำถาม ปล่อยให้คำถามผมกลายเป็นปริศนาธรรมไป ผมจึงลองคิดตามอย่างที่เขาบอกอย่างเสียไม่ได้ ถ้าไม่คิดตามแล้วถ้าคุณคีนถามมาแล้วผมตอบไม่ได้ล่ะ ผมอาจจะถูกดุเอาได้
ตกลงว่าขากลับผมจะใช้เวลากี่ชั่วโมงครับ
“ง่วงหรือเปล่า”
“ยังครับ” ผมหันไปตอบเขาแล้วก็กดปุ่มนั้นปุ่มนี้เล่น
“แต่ผมอยากพักสักหน่อย”
“เอ่อ..ครับ คุณนอนเลย ผมจะทำตัวเงียบ ๆ ไม่กวนคุณนะครับ” ผมคงทำเสียงดังทำให้เขานอนไม่หลับ แต่ผมก็ว่าผมไม่ได้ส่งเสียงดังเลยนะ
“นอนพักสักหน่อย ตอนเครื่องแวะพักจะได้มีแรงไปเดินเล่น”
จังหวะที่ผมคิดว่าคุณคีนพูดนั้นหมายถึงใคร ผมหรือว่าตัวเขา พนักงานบนเครื่องก็เดินมาขออนุญาตจัดเตรียมที่นอน ทำให้ผมต้องลุกขึ้นตามคุณคีนไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ข้าง ๆ พนักงาน ผมกำลังเห็นสิ่งมหัศจรรย์เมื่อเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่เมื่อสักครู่นี้ถูกปรับเอนลงหนึ่งร้อยแปดสิบองศา
แล้วสิ่งที่กั้นกลางระหว่างผมกับคุณคีนก็ถูกพับเก็บออกไป เก้าอี้คุณคีนก็ถูกปรับให้มีลักษณะเดียวกับเก้าอี้ผม พนักงานจัดแจงปูผ้าปูที่นอน ผมเกือบลืมตัวอาสาเข้าไปช่วยทำตามนิสัย โชคดีที่เห็นคุณคีนมองมาที่ผมแล้วส่ายหน้าห้ามปรามเล็กน้อยเลยชะงักตัวได้ทัน ก็ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นพนักงานดูแลเตียงมาก่อนนี่นา
ตอนนี้เก้าอี้ของเราทั้งคู่กลายเป็นที่นอนอยู่ข้างกัน ผมตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอสมควร พยายามเก็บอาการไว้ให้มากที่สุดกลัวคนอื่นจะมองว่าผมตื่นเต้นอะไรไม่เข้าเรื่อง ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้จักว่ามันคืออะไรแต่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้มาเห็นและได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
พนักงานบนเครื่องปิดประตูตรงข้างที่นั่งให้เราสองคนเพื่อความเป็นส่วนตัว ตอนนี้ผมกับคุณคีนนอนข้างกันเหมือนอยู่ในห้องที่มีขนาดเล็ก เขาคงเหนื่อยจริง ๆ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เพียงไม่นานคุณคีนก็หลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสลับกันเป็นจังหวะสม่ำเสมอเป็นสิ่งยืนยันได้ดี
ผมนอนเล่นไปสักพักคิดว่าคงนอนไม่หลับ รู้สึกตัวอีกทีคุณคีนปลุกผมให้ตื่นขึ้นพร้อมกับพนักงานที่เข้ามาช่วยจัดแจงปูโต๊ะแล้วเสิร์ฟอาหารให้เรา สิ่งตรงหน้าทำผมตื่นเต้นอีกครั้งอาหารหน้าตาแปลก ๆ ถูกวางลงตรงหน้าทีละจาน ๆ ทั้งคาวและหวาน ผมจัดการไม่รอช้าสุดท้ายจานตรงหน้ากลายเป็นจานเปล่า ผมลูบพุงเล็ก ๆ ของตัวเองอย่างพึงพอใจ ผมเป็นเด็กดีไม่กินอาหารทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
“อร่อยหรือเปล่า” คุณคีนถามขึ้นหลังจากที่พนักงานเก็บจานเปล่าไปแล้ว
“อร่อยมากครับ”
“อืม เกือบจะไม่ปลุกให้ลุกขึ้นมากินแล้วเชียว แต่เห็นว่าถ้าพลาดไปคุณคงเสียดายแน่”
“ถ้าพลาดไปต้องเสียดายอย่างที่คุณบอกแน่เลยครับ อาหารอร่อยมาก ผมไม่เคยกินอะไรอร่อย ๆ แบบนี้เลย”
“ไว้จะพาไปกินร้านที่อร่อยกว่านี้อีก”
“จริงนะครับ” ผมมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย ผมไม่ได้เห็นแก่กินแต่ผมแค่ปฏิเสธคุณคีนไม่ลงเท่านั้นเอง
“จริง”
“ขอบคุณครับ”
เรานั่งต่ออีกสักพักกัปตันก็ประกาศว่าเครื่องบินกำลังลดระดับเพื่อจอดที่ดูไบ ผมตื่นเต้นเช่นเคย หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้วว่าเจออะไรมาบ้างทุกอย่างในสนามบินที่นี่ละลานตาหรูหราไปหมด คิดว่าจะเดินไม่นานกลายเป็นว่าเกือบจะไปต่อเครื่องไม่ทัน
ผมนั่งอยู่บนเครื่องอีกหกถึงเจ็ดชั่วโมงก็สิ้นสุดการเดินทางเสียที มีคนมาคอยรับเราอยู่แล้ว เมื่อเดินออกมาจากนอกอาคาร ความเย็นและลมเข้าปะทะร่างกายทันที โชคดีที่คุณคีนให้ผมใส่เสื้อกันหนาวเตรียมไว้แล้วไม่งั้นผมคงจะยืนตัวแข็งทื่อแน่ ๆ คุณคีนพูดอะไรไม่รู้กับพี่คนขับด้วยภาษาอังกฤษก่อนที่เราขึ้นรถกัน รถเคลื่อนตัวมาหยุดที่บ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ข้างหน้าเป็นสนามหญ้า พื้นที่กว้างขวาง แต่ไม่มีรั้วมากั้นไว้เหมือนกับที่ประเทศไทย มองแล้วโล่งตาโล่งใจเป็นอย่างมาก
คุณคีนพาผมเดินตัวเปล่าปราศจากกระเป๋าสัมภาระลงจากรถไปด้วยกัน ประตูหน้าบ้านเปิดรอรับพวกเราอยู่แล้ว พอเข้ามาในบ้านก็รู้สึกอุ่นทันที ผมถอดเสื้อกันหนาวอันแสนเกะกะออกอย่างรวดเร็ว ให้ตายสิ ผมไม่ค่อยชอบอากาศหนาวเลย
ใกล้ ๆ กับประตูมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เธอย้อมผมด้วยสีที่ผมไม่แน่ใจนักว่าสีอะไร มันดูเป็นสีเขียว ๆ เทา ๆ อายุน่าจะประมาณสี่สิบปลาย ๆ ถึงห้าสิบต้น ๆ อะเต็มที่ผมให้ไม่เกินห้าสิบห้า เชื่อผมสิ เธอคนนั้นยิ้มให้ผมและคุณคีน แววตาของเธอสุกใสถึงจะสีตาไม่เหมือนคุณคีนแต่รูปตาของเธอกับคุณคีนนั้นเหมือนกันอย่างกับพิมพ์เดียวกัน ผมสันนิษฐานคะเนด้วยอายุของเธอ ถ้าเธอเป็นคุณเคทแสดงว่าเธอต้องมีคุณคีนตั้งแต่สิบขวบ
ผมรีบสลัดความคิดนั้นออกไป‘ไม่ใช่ละไอ้เปล ไม่ใช่โว้ย’
“สวัสดีครับเคท” คุณคีนเดินเข้าไปกอดและจูบแก้มเจ้าของชื่อทั้งสองข้าง ชื่อที่ออกจากปากคุณคีนทำให้ผมตะลึงงัน
‘Seriously!???’ ผมขอใช้ภาษาอังกฤษหน่อยแล้วกัน บ้าน่า ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง เธออายุน้อยเกินกว่าจะมีลูกชายวัยนี้ได้ ถ้าเป็นจริงแสดงว่าพ่อคุณคีนพรากผู้เยาว์ขั้นสูงสุดเลยนะ
“Everything is fine?” คุณเคทเอ่ยถามลูกชายเธอ ประโยคนี้ผมฟังออกนะ ไม่ยาก ๆ
“ครับ”
“Perfect!” เธอพูดเสร็จแล้วก็หันมาทางผมบ้าง “And you everything is ok? Ah you are น้องเปล, right ?”
“เยส” ได้เวลาแสดงภาษาอังกฤษง่อนแง่นของผมที่ต่างประเทศแล้ว ผมตอบ Yes คำเดียว ให้คุณเคทไปเลือกเอาเองเลยว่าผมตอบคำถามไหน
“Nice to meet you. Oh my! how cute you are”
“ไนซ์ ทู มีท ยู” เอ่อ..ผมไม่เคยถูกชมว่าน่ารักมาก่อนเลยไม่รู้จะตอบว่าอะไรก็เลยพูดประโยคพื้นฐานที่ได้เรียนมานั้นกับเธอเพื่อเอาตัวรอด
“Well. Keen, I order @#$#%%^$#$ your room and @#DFDF)*)_+) …” พอเธอรัวอังกฤษออกมาแบบนี้ เอาละครับ ผมฟังไม่ออก ไปไม่เป็นท่าเลย
“เคท..ภาษาไทยได้ไหม” คุณคีนปรามมารดาด้วยเสียงที่ค่อนข้างเกรงใจ
“Oops! Sorry...คีนบอกว่าน้องไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษใช่มั้ย” คุณเคททวนความจำด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งเหมือนเดิม
“ครับ”
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะ” เธอบอกกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟัง
ถ้าเสียงของคุณคีนคือเสียงทุ้มนุ่มชวนฝัน ส่วนเสียงคุณเคนคือเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกท้องฟ้าแจ่มจ้าสดใส เสียงของคุณเคทก็คงเหมือนกับเสียงที่ทำให้เย็นใจ ผ่อนคลาย จนอยากจะฟังเธอพูดทั้งวัน
“ไม่เป็นไรครับ” ผมบอกเธออย่างสุภาพ หายใจโล่งขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันกำลังบอกคีนว่าห้องเรียบร้อยแล้วเข้าไปพักให้หายเหนื่อยกันก่อน แล้วช่วงเย็นหรืออาจจะค่ำหน่อย เราค่อยไปหาอะไรกินกันดีไหมจ๊ะ”
“เอ่อ..ผมยังไงก็ได้ แล้วแต่คุณคีนเลยครับ”
“ว่าง่ายจริง” เธอยิ้มพลางบีบมือผมเบา ๆ “เอาละ ไปพักก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที” คุณเคทพูดจบคุณคีนก็เดินเลี่ยงไปอีกทางทันที
“ขอตัวนะครับ” ผมบอกคุณเคทแล้วเดินตามคุณคีนเข้าไปข้างในกระทั่งพวกเราเข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่ง
“ห้องนี้เป็นห้องนอนผม” คุณคีนพูดทำลายความเงียบ
“ครับ ห้องคุณสวยจัง” ผมมองไปรอบ ๆ ห้องนี้กลับตกแต่งเรียบง่ายมีเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็น ผนังห้องถูกทาด้วยสีน้ำตาลเข้มพร้อมกับเครื่องเรือนที่เป็นสีเดียวกับผนังห้องและสีขาวสลับกันไป
“ห้องอาจจะแคบไปหน่อย มันเป็นห้องที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็ก ๆ”
“แคบที่ไหนกัน กว้างแล้วครับ” ผมนึกภาพคุณคีนในวัยเด็ก เขาคงเป็นเด็กแก่นเซี้ยวและต้องน่ารักมากแน่ ๆ เด็กฝรั่งที่ผมเคยเห็นในวัยเด็กพวกเขาหน้าตาน่ารักกันทั้งนั้น
“นั่งเครื่องมาหลายชั่วโมง เหนื่อยไหม” คุณคีนถามขึ้นเมื่อเขาเดินไปปิดผ้าม่านทำให้ห้องเข้าสู่ความมืด
“ผมนั่งเสียที่ไหนกันละครับ นอนมาตลอดทางเลย ไม่เหนื่อยเลยครับ คุณคีนล่ะเหนื่อยหรือเปล่า”
“นิดหน่อย ผมนอนไม่ค่อยหลับ”
“ทำไมครับ อ้อ..คุณคงนอนไม่สบายใช่ไหมครับ”
“เปล่า..ผมกลัวว่าถ้าหลับแล้วตื่นขึ้นมาอาจมีเด็กหายไประหว่างที่ผมหลับ” พูดแบบนี้เขากำลังแกล้งผมใช่ไหม คุณคีนดึงตัวผมให้ลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน แต่ผมขืนตัวไว้ไม่นอนตามเขาไปด้วย
“ถึงเด็กคนนั้นจะไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนแต่ไม่กล้าเดินเพ่นพ่านไปไหนหรอกครับ” ผมพูดไปพลางถอดเสื้อผ้าไปพลาง เสื้อผ้าหลายชั้นทำให้ผมอึดอัดพอประมาณ ผมจึงถอดเสื้อออกทีละชิ้นจนเหลือเสื้อยืดเพียงตัวเดียว เสร็จแล้วจึงเอนตัวลงนอนใกล้ ๆ กับเขา
“กลัวหลง?”
“เปล่าครับ กลัวว่าผู้ใหญ่ที่พามาด้วยจะทิ้งผมไปต่างหาก ผมเลยต้องนอนเฝ้าเขาไว้”
“ใครเฝ้าใครกันแน่ครับ หลับไม่รู้เรื่องเชียว” คุณคีนบีบจมูกผมทีหนึ่ง เอาละ ผมไม่ว่าอะไรหรอก ดีกว่าเขามันเขี้ยวแล้วกัดปากผมก็พอ “มีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนจะไปกินข้าวกับเคท ยังไงพักก่อนเถอะ เวลานี้ที่ไทยคงทุ่มสองทุ่ม ตอนอยู่บนเครื่องถึงจะหลับแต่ก็คงไม่สบายเท่าไหร่” เวลาที่ประเทศอังกฤษจะช้ากว่าไทยหกชั่วโมงครับ
“คุณคีนครับ คนเมื่อครู่คือคุณเคทใช่ไหมครับ”
“อืม ผมก็ว่าเรียกชื่อเคทชัดนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย คุณเคทเธอดูอายุยังไม่มากเลย” คุณคีนมองผมอย่างไม่ไว้ใจ
“กำลังคิดอะไรแปลก ๆ อยู่แน่ ๆ”
“เปล่าสักหน่อยครับ เอ่อ..อายุคุณเคท..คือ..ผมถามได้ไหม”
“เคทอายุน้อยกว่าพ่อผมสามปี พวกเขาสองคนเรียนที่มหา’ลัยเดียวกัน ผมเคยบอกคุณไปแล้วจำได้ไหมครับ” คุณคีนอธิบายเพิ่มเติม เขาต้องเดาได้แน่ ๆ ว่าผมคิดอะไร
“แต่เธอยังสาวมากนะครับ”
“สมัยนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปมาก มันมีสิ่งที่ช่วยย้อนอายุให้เราได้ หน้าเหี่ยวเกินไปก็ให้หมอช่วยฉีดให้ตึง อะไรที่มันเกิน ๆ ขาด ๆ อยากเสริมอยากแต่งอะไรก็ได้ทั้งนั้น แม่ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“เหรอครับ น่าอัศจรรย์มาก ไม่น่าเชื่อจริง ๆ”
“อืม คิดว่าเคทน่าจะอายุเท่าไหร่ล่ะ”
“ตอนที่ผมเจอเธอแวบแรกผมคิดว่าไม่เกินห้าสิบห้าแน่นอน” พอผมพูดจบก็ถูกดีดหน้าผากจนเกิดเสียงดัง ผมรีบยกมือมาลูบหน้าผากพร้อมส่งเสียงโอดครวญบรรเทาความเจ็บ
“เรื่องคิดเกินจริงนี่ไม่มีใครเกิน คิดได้ยังไง”
“ก็..ผมบอกคุณไปแล้วว่าเธอยังดูสาวมากไงครับ” ผมโวยวายเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าผมคิดไปเองแต่ใบหน้าของเธอมันทำให้ผมต้องคิดไปแบบนั้น
“อย่าไปเล่าให้เคทฟังเชียว”
“ทำไมครับ”
“อยากถูกเคทดุหรือที่คิดไปเองว่าเขาอายุเท่าไหร่ตอนมีผมน่ะ”
“จริงด้วย ขอโทษนะครับ” ผมหัวเราะแหะ ๆ หน้าเจื่อนไปเลย ผมถูกคุณคีนดุบ่อยแล้วไม่อยากถูกแม่เขาดุเพิ่มด้วยอีกคนหรอก
คุณคีนรั้งตัวผมให้สูงขึ้น เมื่ออยู่ในแนวราบ ดวงตาของเราทั้งสองคนจึงอยู่ในระนาบเดียวกัน ผมมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนด้วยความหลงใหล รู้สึกเหมือนกำลังถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดให้เข้าไปใกล้จนสัมผัสกัน
ริมฝีปากล่างของผมถูกแตะต้องเป็นอย่างแรก ฟันคมคุณคีนขบเม้มเบา ๆ ลงตรงนั้นก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ด้วยการสอดลิ้นเข้ามาสำรวจในปากผม ตอนนี้ผมเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น ไม่ได้ตัวนิ่งแข็งทื่อปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายจูบผมเพียงลำพังแล้ว
ผมจูบตอบกลับเขาบ้าง แม้จะไม่ได้เป็นจูบที่ช่ำชอง ซ้ำยังขาดประสบการณ์แต่ก็เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจจากผมที่ต้องการมอบให้คุณคีนเสมอ
เขาจูบผมย้ำ ๆ อีกสองสามครั้งก่อนจะยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ และไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนคุณคีนไม่เคยลืมที่จะจูบหน้าผากผมเป็นการปิดท้ายเสมอ ผมชอบความรู้สึกนี้ ความรู้สึกที่ได้ถูกใครสักคนรัก ความรู้สึกที่ยังมีใครสักคนที่ต้องการผมเสมอ