เช้าวันรุ่งขึ้นเราต่างทยอยเดินทางกลับกรุงเทพ ในส่วนของผมออกสายกว่ารถของทางค่ายไปเกือบชั่วโมงเพราะไม่มีสิ่งจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนให้กลับจึงได้มีโอกาสจอดรถเพื่อแวะกินข้าวและซื้อของในร้านที่ไม่เคยแวะมาก่อน ความสบายใจจวนเกือบจะหมดลงเมื่อเราเข้าถึงตัวเมืองเพราะพี่ธานได้รับสายจากที่บ้านว่ามีแขกมาขอพบผม ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกผมว่า
“ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดี”“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับคุณไฟ” คนในบ้านยืนพร้อมเพรียงรอต้อนรับ ผมเพียงผงกหัวทักทาย หยุดยืนอยู่ที่ปากประตูเพราะสังเกตเห็นรถยนต์ของพี่ทัพจอดอยู่ตั้งแต่มาถึง
“อีกคันนั่นรถใคร ?” ผมถามถึงคันที่ไม่คุ้นตา
“มากับคุณทัพครับ” ลุงทองตอบ
“ไอ้ดินล่ะ”
“อยู่ที่ห้องนอนครับ” ลุงตอบ สมุทรและไอ้เด่นนำรถจอดเทียบเข้าที่ลานจอดรถ แม่บ้านกุลีกุจอเข้าไปจัดการยกสัมภาระออกมาและแบ่งแยกทำตามหน้าที่
“มึงขึ้นไปเช็กวงจรปิด” ผมสั่งพายุ
“ครับ” พายุขานรับเข้าบ้านไปคนแรก สมุทรกับไอ้เด่นหยุดยืนอยู่หลังพี่ธาน ปลายไม้เท้าขยับก้าวไปทางด้านหน้าก่อนที่ขาจะก้าวตาม จุดหมายคือห้องรับแขกที่ไม่รู้ว่าปัจจุบันรับแขกหน้าใหม่มาแล้วกี่คน วันนี้ก็คงมีแขกหน้าใหม่มาแบบไม่ได้รับเชิญอีกตามเคย
“..........” คนในห้องหยุดบทสนทนาลงในทันทีที่ผมปรากฏตัว พี่ทัพลุกขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มรับ ผมหยุดมองตำรวจนอกเครื่องแบบที่มาถึงขนาดนี้กลับยังห้อยบัตรเจ้าหน้าที่คล้องคอมาด้วย
ชายแปลกหน้าสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ พี่ทัพ อายุอานามน่าจะราว ๆ เดียวกับไอ้เด่น ส่วนอีกคนนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม หน้าตาไม่ห่างจากวัยของพี่ทัพนัก อีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่ทัพ หนึ่งในนั้นเคยพบหน้ามาก่อนแล้วที่เขาใหญ่ ผมอมยิ้มเลิกตาทักทาย จำได้คร่าว ๆ ว่าน่าจะชื่อทิวอะไรนั่น อีกฝ่ายหลบตาลงในทันที แม่บ้านนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ผมโดยเฉพาะ เพราะเครื่องดื่มของแขกคนอื่นถูกเสิร์ฟต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาจนแม่บ้านเดินจากไป
“โทษทีที่มากะทันหัน” พี่ทัพเอ่ย ผมมองเฉยอยู่พักหนึ่ง การยืนของคนร่างใหญ่แบบนี้ถึงหลายคนทำให้ห้องรับแขกที่กว้างขวางดูเล็กลงไปนิดหน่อย ผมเดินไปที่โซฟาตัวกลางที่ว่างอยู่คล้ายกับแขกที่มาเยี่ยมก็รู้จักมารยาทอยู่บ้างว่าไม่ควรแตะต้องมัน มือแตะลงที่กระเป๋าเสื้อที่หน้าอกของพี่ทัพเบา ๆ อีกฝ่ายยืนเฉยจ้องมองการกระทำของผมโดยไม่พูดอะไร นิ้วชี้เกี่ยวขอบกระเป๋าเสื้อออกเพื่อช่วยจัดให้เป็นระเบียบ เห็นขัดลูกตา
“นอกจากพี่แล้วผมไม่ชอบให้คนในเครื่องแบบมาป้วนเปี้ยนในบ้าน ได้กลิ่นแล้วจะอ้วก” ผมพูดเสียงเรียบ พี่ทัพถอนหายใจเบา ๆ แต่กลับได้ยินเสียงจิจ๊ะจากปากของคนข้าง ๆ ดังลอดสวนออกมา ผมแสยะยิ้มมุมปาก เหล่ตามองไปที่เป้าหมายที่ยังไม่ได้ทำความรู้จัก อีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่พอใจ ไม้เท้าจึงถูกขยับขึ้นจนปลายแตะไปยังป้ายคล้องคอของเจ้าตัว
ปึก!! ..เจ้าของป้ายชื่อปัดปลายไม้เท้าออกอย่างแรง ตาขวางมองเอาเรื่อง
“หึ ๆ ดุซะด้วย” ผมแสยะยิ้มก่อนหย่อนก้นนั่งลงที่โซฟา
“ไอ้เต้ มึงนี่” พี่ทัพเอ่ยห้ามทำให้คนของพี่แกสงบลงได้
“มีเรื่องอะไร ?” ผมถาม
“เห็นว่ามึงขึ้นชกเองเหรอ” พี่ทัพถามกลับ ผมไม่ตอบ ขาขวาขยับไขว้ห้างอย่างเคยชินโดยไม่สนสายตาทุกคู่ที่กำลังมองมา
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“นิดหน่อย” ผมตอบ
“เอ่อ..นั่นผา คู่หูใหม่อั๊ว แล้วนี่เต้ ลูกน้องในทีม” พี่ทัพแนะนำ
“.........” การนั่งเฉยเป็นไปอย่างไม่คิดขานรับหรือมองหน้าใคร สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์สีดำสนิทด้านหน้า ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนที่เป็นเสมือนพี่ชาย เจ้าตัวก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อเปิดประเด็น
“ที่อั๊วมา เพราะมีเรื่องอยากให้ลื้อช่วย” พี่ทัพพูด น้ำเสียงที่เน้นย้ำหนักแน่นบอกได้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ ตั้งแต่ที่ผมเคยออกปากออกไปในครั้งนั้น หากไม่จำเป็นจนสุดทาง พี่ทัพมักไม่เคยออกปากในทำนองนี้เลย
“มิตรหรือศัตรู ?” ผมถาม แต่กลับไร้เสียงตอบรับจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“งั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม” ผมขยายความ
“งั้นเหรอ งั้นเราต้องคุยกันยาวหน่อยละมั้ง ทำอย่างกับไม่มีเรื่องติดตัว หึ!” ไอ้เต้พูดโผงขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ไอ้เต้ มึงหุบปาก” พี่ทัพว่า คำขู่นั้นทำให้หัวเราะขึ้นจมูกได้นิดหน่อย
“เรื่องอะไรที่ว่าน่ะ ?” ผมเบิกตาเลิกคิ้วยิ้มถาม มือขวาขยับหมุนหัวไม้เท้าเล่นไปพลางจนเสียงดัง “แกรก ๆ” เป็นที่สนใจของคนที่ร่วมห้องอยู่ด้วยกัน
“ออกเงินกู้ ? เข้าออกบ่อนเป็นว่าเล่น คนของมึงซ้อมคนปางตายไปแล้วกี่คน..นึกว่าพวกกูไม่รู้รึไง” ไอ้เต้ตอบกลับด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“จุ ๆ” ผมปรามพลางแสยะยิ้ม
“คุณ..”
“ช่วยเรียกผมว่า
‘คุณ’ ด้วยครับ
‘มึง’ มันฟังแล้วไม่รื่นหูเอาซะเลย..ฮึ” ผมฉีกปากหัวเราะออกมา
“สารวัตรก็รู้งั้นเหรอครับ” ผมพูดเชิงถาม เปลี่ยนสรรพนามการเรียกตัวพี่ทัพ
“ไฟ” พี่ทัพเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพร้อมเปลี่ยนการเรียกตัวผมด้วยเช่นกัน
“ผมไม่ชอบลูกน้องคนนี้ของพี่เลย บอกตามตรงว่านอกจากหน้าตามันจะเหมือนเด็กมีปัญหาทางครอบครัวแล้ว ปากมันก็ไม่น่าพิสมัยสักนิด”
“อบรบหน่อยสิครับ”
“หมาน่ะ..ต้องฝึกให้เชื่องก่อนเอาออกนอกบ้านนะครับสารวัตร เพราะเวลาที่เราต้องคอยกระตุกปลอกคอเตือนบ่อย ๆ มันน่ารำคาญออก” ผมขมวดคิ้วแกมบ่น
“มึงว่าใครวะ!?” ไอ้เต้ขึ้นเสียงลุกขึ้นยืน ผมนั่งเฉย เอียงคอพลางช้อนตาขึ้นยิ้มมอง
“ไอ้เต้ นั่งลง” พี่ทัพสั่ง เจ้าของชื่อยังคงยืนค้ำหัว ไม้เท้าถูกวางลงบนโต๊ะกลางโซฟาก่อนเอนหลังพิงอย่างผ่อนคลาย
“เป็นคำพูดที่ไม่ตรวจสอบอะไรเลยนะ” ผมพูด น้ำเสียงเรียบเฉยไม่แสดงถึงความไม่พอใจใด
“ไม่ยักรู้..ว่าเงินฉัน ได้ไปง่ายขนาดนั้น” แววตาของผมปนไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามสื่อ ผมไม่เคยปล่อยเงินกู้ให้ตาสีตาสาไม่รู้หนังสือและไม่เอาเปรียบคนที่เล่นไม่ซื่อกับผมก่อน แม้แต่กับชนชั้นกลางก็ไม่คิดแตะ เงินน้อยเหนื่อยง่าย คนใหญ่คนโตที่กล้าเข้ามาหาคล้ายกับเป็นเส้นสาย มุมมองภายนอกเหมือนกับมาเพื่อหยิบยืมกลาย ๆ เราเก็บความลับของคนกู้ ถ้าลูกค้าประวัติดีเราก็ไม่เคยมีปัญหากัน ดอกเบี้ยผมน่ะถูกยิ่งกว่าบริษัทถูกกฏหมายรายใหญ่บางรายซะอีก หึ..น่าขำ
“ฟังดูไม่แฟร์เลยนะครับคุณตำรวจ ถ้าคุณคิดจะเปิดผมคนเดียวละก็ ผมจะช่วยทำงานให้ด้วยแล้วกัน ที่คุณมาก็เพราะรู้ไม่ใช่เหรอครับว่าผมรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง” ผมขยิบตาขวายิ้ม ๆ อีกฝ่ายหน้าถอดสีด้วยเถียงไม่ออก
“ไฟ” พี่ทัพเรียกสติ
“ไม่ครับ” ผมตอบปัดทันที น้ำเสียงที่ทุ้มลงในลำคอที่ใช้กับพี่เขาคนเดียวเป็นการบอกว่าผมไม่สนุกด้วยแล้ว
“คนของพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามารยาทในการปฏิบัติต่อเจ้าของบ้านน่ะเป็นยังไง”
“ไอ้เต้..อั๊วจะพูดอีกแค่ครั้งเดียวว่าให้ลื้อนั่งลง” พี่ทัพดุทำให้ครั้งนี้ไอ้เต้ยอมนั่งลงโดยง่าย
“ไปหาคนอื่นสิครับ คนอื่น..ที่มันจนตรอกกว่าผม” ผมเสนอตาลอยมองพี่เขา
“จนตรอกเหมือนหมาที่วิ่งไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด” ผมยิ้ม มุมปากที่ผลิยิ้มออกทั้งสองข้างให้พี่ทัพมันแทบไม่มีความหมายใด ๆ เลย
“เชิญกลับไปได้แล้วครับ บ้านนี้ไม่ต้อนรับ” คนที่เพิ่งถูกสั่งให้นั่งลงทำท่าฮึดฮัดทันทีที่ได้ยิน
“ทางเราต้องการความร่วมมือจากคุณจริง ๆ นะครับ” พี่ผาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มันไม่ใช่ปัญหาของผมครับ” ผมตอบ สายตายังคงมองตรงไม่เจาะจงที่ใครเป็นพิเศษ
“หึ พูดหมา ๆ!” ไอ้เต้สบถ
“ช่วยไม่ได้ ก็มึงอ้าปากบ่อยซะขนาดนี้ หมามันจะวิ่งออกมาเข้าปากกูบ้างก็ไม่แปลก” ผมยิ้มตอบ
“มึง!” มันลุกขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ผมลุกขึ้นด้วยเช่นกัน พี่ผาที่รู้แกวทำท่าจะเข้ามาคว้าของสำคัญของผมแต่ไม่ทันให้หยิบได้ถนัด ไม้เท้าก็ถูกคว้าติดมือขึ้นด้วยความรวดเร็วแทงไปที่คอหอยของเป้าหมายจนอีกฝ่ายชะงัก
“ไฟ..ใจเย็น” พี่ทัพลุกขึ้นปราม สันกรามที่กัดขบไว้แน่นพยายามอย่างที่สุดกับการควบคุมอารมณ์นี้ ขณะเดียวกันพายุก็เดินเข้ามาทำลายความเงียบ การที่มันเจาะจงเดินตรงดิ่งมาหาผมทำให้ทุกคนมองตามมาอย่างสงสัย
“เครื่องดักฟังอยู่ใต้โต๊ะ” พายุกระซิบที่ข้างหูก่อนก้าวขาออกห่างไปคืบหนึ่ง ผมแสยะยิ้มตาวาวมองหน้าไอ้เต้ สายตาอีกฝ่ายกระอักกระอ่วนคล้ายรู้เสียแล้วว่าผมทราบอะไร
“ไฟ” พี่ทัพพูด
“วันหลัง..บอกคนของพี่ด้วยว่าถ้าไม่อยากตายห่าอยู่ในนี้ก็ช่วยรู้สถานะตัวเองด้วย” ผมพูด มือออกแรงกระแทกไม้เท้าย้ำแรงก่อนสะบัดออก ไอ้เต้ถลึงตาด้วยความแค้น เสียงสะอึกในลำคอ ตัวเซถอยหลังไปตามแรงที่ถูกกระแทก
“คนแบบนี้เหรอที่พี่ร่วมงานด้วย หึ..สมควรหรอกที่ปิดคดีไม่ได้”
“มึง!” ไอ้เต้สบถพร้อมพุ่งเข้ามาด้วยความโมโหอีกครั้ง ผมถีบเข้าที่ท้องมันก่อนที่จะบุกเข้ามาหา ไอ้เต้หงายหลังล้มลงโซฟา พี่ทัพเข้ามาแทรกกลางห้าม เสียงชักปืนจากพี่ผาจ่อมาในขณะเดียวกับที่กระบอกปืนของพี่ธานและไอ้เด่นก็จ่ออยู่ที่พี่เขาเช่นกัน
“ฮึ!” ผมหันกลับไปมองพี่ผายิ้ม ๆ หยุดทุกอย่างก่อนก้มลงหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้ววางลง
“ที่นี่เราอยู่กันแบบไหนรู้ไหมครับ ?” ผมยิ้มถามพี่เขา
“แบบที่..ไม่ว่าจะจนมุมแค่ไหน ก็ไม่เอาปืนจ่อหัวกัน” ผมตอบ พี่ผาเหลือบตามองพี่ทัพเล็กน้อย
“แล้วคนที่ชักปืนจ่อหัวผมนี่เหรอครับ ที่ผมควรจะร่วมมือด้วย ?” ผมเบิกตาถาม
“ลูกน้องผมเขาใจร้อนนะ อาธาน..ประวัติไม่เบาว่าไหม ? แต่ก็นะ..ผมน่ะ พร้อมตายอยู่แล้วล่ะครับ คิดว่าพร้อมกว่าคุณเยอะเลย” ผมยิ้มบอกอย่างเหนื่อยหน่ายต่อสถานการณ์เช่นนี้ หย่อนตัวนั่งลงที่เดิม อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว ผมไม่ใช่ลูกชายคนโตที่เคยมีพ่อที่คาดหวังให้ครอบครัวของเราเดินหน้าต่อไปอย่างแต่ก่อน ทุกอย่างมันเป็นระบบระเบียบของมันอย่างเหมาะควรแล้ว
“เอาสิ..ลูกพี่มึงกำลังจะตาย เป็นมึง..มึงจะทำยังไง” ผมเบิกตาถามเอาความจากไอ้เต้ อีกฝ่ายกัดฟันแน่น
“ตายแทนเหรอ ? หึ ๆ ๆ” ผมหัวเราะติดตลก
“ไม่.. ความจริงคือมึงจะปล่อยให้ลูกพี่มึงตาย ก็มันช่วยไม่ได้นี่นะ เสร็จแล้วมึงก็กลับบ้านไปพร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชาย โทษตัวเองเป็นปี ๆ แต่กลับมีข้าวตกถึงท้องทุกมื้อ วนไปมาอยู่แบบนี้ แบบว่า..มีชีวิต” ผมเบะปากพูดแกมบ่น
“ไฟ” พี่ทัพปรามอีกครั้ง
“ลองพูดดูสิ ผมจะยอมตายแทนเอง ..พูดดูสิครับ” ผมมองอย่างท้าทาย
“ไอ้ไฟ! มึงใจเย็นก่อนได้ไหมวะ!!” พี่ทัพสบถ ผมเงียบ หลับตาลงในทันที ไม่ได้รู้สึกดีเลยที่ต้องทำแบบนี้กับพี่ชายคนสนิท ความสัมพันธ์ระหว่างเรา พี่ทัพเองก็รู้ดีว่ามันมากกว่าคนรู้จัก นับถือกันมากกว่าคำว่าพี่ชายของเพื่อนหรือเพื่อนของน้องชาย ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ควรกลับมายุ่งเหยิงเพราะอะไรแบบนี้
“ผมเย็นเป็นน้ำเลย” ผมลืมตาขึ้น
“เทียบไม่ติดเลยกับที่คนของพี่ทำระยำที่บ้านผม” ผมบอก ตามองไปที่โต๊ะตรงหน้าพลางยิ้มน้อย ๆ
“แม่งเอ๊ย! ไอ้ผา..วางปืนลง!!” พี่ทัพตะคอกอย่างหมดความอดทน พี่ผาเหสายตาลงครู่หนึ่งก่อนยอมลดปืนลงก่อน พี่ทัพถอนหายใจแรง นั่งลงพร้อมนำมือลูบหน้าตัวเอง ในห้องเงียบลงสนิท..
“เอาขยะของคุณกลับไปซะ” ผมพูด คนถูกโยงถึงหน้าถอดสีแต่ยังไม่ยอมขยับตัว
“เอาคืนให้เขาไป..” ผมพยักพเยิดหน้าไปที่โต๊ะกลางโซฟาสั่งพายุ ไอ้เต้นิ่งมอง โต๊ะสั่งทำที่มีน้ำหนักมากหลายกิโลถูกยกขึ้นตะแคงข้างโดยพายุ ขยะที่ว่านั่นแปะหราอยู่ที่ใต้โต๊ะอย่างที่พายุบอก
“ไอ้เต้!!!” พี่ทัพขึ้นเสียงตาขวางขึ้นมองหน้าลูกน้องตน
“ขอโทษครับ” เจ้าตัวก้มหน้าสำนึกผิด
“ถ้าเขายังไม่หยิบกลับไปเองดี ๆ ผมจะสั่งให้คนของผมเอายัดปากเขากลับไปนะครับ เก็บไว้เผื่ออมตอนตาย” ผมหัวเราะ
“ไอ้ไฟ..พอได้แล้ว! ไว้หน้ากูบ้าง” พี่ทัพว่าขมวดคิ้วเป็นปม
“นี่มันบทครับ”
“ที่พวกพี่มาบ้านผม เรากำลังเล่นนอกบทกันอยู่..หรือไม่ใช่ ?” ผมบอก
“คนของพี่ไว้หน้าผมไหม”
“พี่..ไว้หน้าผมรึเปล่า” ผมถามกลับมองตาลึกลงไป พี่ทัพถอนหายใจเบือนหน้าหนีอีกทาง
“อั๊วขอโทษ”
“ไว้อั๊วจะมาใหม่ ตอนที่ลื้อเย็นกว่านี้” พี่เขาลุกขึ้น
“ผมไม่ทำ” ผมบอกดักไว้ก่อน
“..........” พี่ทัพยืนนิ่งมองต่ำมาที่ผมครู่หนึ่งโดยไม่เอ่ยอะไรอีก เดินผ่านหลังโซฟาที่ผมนั่งอยู่ไปลูบไหล่พี่ธานก่อนออกจากห้องไป ไอ้เต้ก้มลงเก็บของ ๆ ตนออกด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มกลืนกลับออกไป
“ขอโทษด้วย” พี่ผาพูด ผมเหลือบตาขึ้นมอง
“..ผมก็ด้วย” ผมบอก อีกฝ่ายผงกหัวน้อย ๆ คล้ายรับคำและเดินออกไปพร้อมกับคนที่เหลือ ผมนั่งเฉยอยู่อย่างนั้น ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าทยอยออกไปทีละคน
“เฮีย..” ไอ้ดินเอ่ยทักเบาลงในทันทีคงเพราะเห็นสิ่งผิดปกติ ผมยังคงจ้องแก้วน้ำไม่ขยับไปไหน อีกส่วนหนึ่งรับรู้ว่าไอ้ดินหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตูห้องไม่ยอมก้าวผ่านเข้ามา
“มีอะไร” พายุเอ่ยถามแทน ไอ้เข้มกับไอ้เด่นเข้ามายกโต๊ะกลับไปเป็นอย่างเดิม
“เอ่อ..เปล่าฮะ คือ..แค่อยากคุยกับเฮีย เรื่องเบิกเงินค่าแข่ง” ไอ้ดินตอบตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง พายุไม่ตอบคงเพราะรู้ว่าผมได้ยินแล้ว ผมลุกขึ้นยืน..
“เคลียร์บ้านให้เรียบร้อย” ผมสั่ง หมายถึงทุกจุด ทุกคนผงกหัวรับทราบ ไอ้ดินมองมาตาปริบ
“เอารายละเอียดให้พี่ธาน พี่อยากพักก่อน” ผมบอก วางมือลงบนหัวไอ้ดินเบา ๆ เพื่อเป็นการบอกว่าผมไม่ลืมที่จะทักทายการกลับมาถึงบ้าน
“ครับ” อีกฝ่ายขานรับ
...............(ไฟ)..............