Chapter 10
ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องราวต่อจากงานเฟรชชี่ไนท์ จะให้ผมเล่ายังไงดีหละมันเขินนะครับที่จะบอกกับใครว่าผมมีแฟนแล้ว เอาเป็นว่าหลังจากผมร้องไห้จนพอใจเราสองคนก็ตกลงคบกันแต่ผมบอกพี่เตอร์ให้เก็บเรื่องที่เราคบกันเป็นความลับเอาไว้ก่อน ถึงพี่เตอร์จะร้องโอดโอยไม่พอใจแต่ผมยืนกรานว่าถ้าไม่ยอมเก็บเป็นความลับผมจะไม่ยอมคบกันเขา นั่นจึงทำให้พี่เตอร์คอตกยอมรับข้อตกลง
แต่ผมคิดว่าไอความลับที่เราคบกัน น่าจะอยู่ไม่ได้นานหรอกครับเพราะพี่เตอร์เล่นเทียวไปเทียวมาระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกเวลาที่พี่แกว่างแบบนี้ นี่ยิ่งกว่าตอนที่พี่ศิตามจีบไอกรอีกนะครับ ไหนปากบอกปาว ๆ ว่าไม่ว่า ไอสถานการณ์แบบนี้มันยิ่งกว่าว่าแล้วหละครับ ถึงผมจะทำเป็นไม่สนใจหรือออกปากไล่ไปมากขนาดไหนพี่แกก็ยังคงหน้าด้าน ใช้คำนี้หละครับเหมาะสมแล้ว หน้าด้านมาหาเหมือนเดิม อันที่จริงแล้วผมไม่ได้ไม่อยากเจอหน้าแกหรอกครับ แต่คิดว่าถ้าเกิดเห็นหน้าพี่เตอร์มากเกินไปความลับที่เราคบกันอาจจะแตกได้ นั่นก็เป็นเพราะทุกครั้งที่ผมเห็นรอยยิ้มของเขาใบหน้าผมจะร้อนฉ่าและขึ้นสีแดงเข้ม หัวใจก็เต้นแรงแถมมือไม้ก็รู้สึกเกะกะไปหมด กว่าจะบ่ายเบี่ยงหาข้ออ้างแก้ตัวไปได้แต่ละทีก็แสนยากเย็น ดังนั้นผมถึงไม่อยากให้พี่เตอร์มาหายังไงหละ
และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดผมเลยทำข้อตกลงว่าจะไปหาพี่เตอร์ตอนเย็นเอง ตอนแรกก็งองแงอยู่หรอกครับว่าจะให้มาหาตอนกลางวันด้วย แต่ผมบ่นกลับไปว่าใจคอจะไม่ให้ผมอยู่กับเพื่อน ๆ บ้างเลยหรือไง แกเลยยอมว่าตอนเย็น (หลังจากผมทำงานหรือไปเที่ยวกับเพื่อนเสร็จแล้ว) อย่างเดียวก็ได้ และนั่นทำให้ผมมายืนอยู่หน้าโรงพยาบาลที่พี่เตอร์เข้าเวรอยู่ตอนนี้ครับ
ผมผู้ซึ่งที่สวมเสื้อชอปคนเดียวในที่แห่งนี้ค่อย ๆ เดินย่องไปทางห้องพักของนิสิตแพทย์ พยายามทำตัวให้เนียนไปกับกำแพงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ผมหลบไอกรมาครับไม่ได้มากับมันวันนี้ผมสืบแล้วว่าไอกรไม่มาหาพี่ศิมันกลับไปรอที่หอดังนั้นผมถึงได้ยอมมายังไงหละ) และในที่สุดผมก็พลางตัวมายืนที่หน้าห้องพักนักนิสิตแพทย์ได้สักที มือข้างหนึ่งของผมค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปภายในห้อง มืออีกข้างกอดกระเป๋าสะพายตัวเองไว้แน่นสายตาพลางสอดส่องไปรอบ ๆ ก่อนจะรีบแทรกตัวเข้าไปด้านใน
ความจริงแล้วไอห้องพักนิสิตแพทย์เหมือนห้องประชุมคุยงาน เขียนรายงานหละครับ แต่มันควรจะมีแต่นิสิตแพทย์เข้ามาใช้ไม่ใช่ให้นิสิตวิศวะเข้ามาใช้แบบนี้ แถมเหตุผลที่ใช้ก็น่าเกลียดเกิน...ใช้เป็นสภานที่รอ......แฟนเลิกเรียน (คำนี้ยังไงก็ไม่คุ้นสักทีครับ ก็คนมันไม่เคยมีแฟนมาก่อน แม้แต่คนที่สนใจก็ไม่เคยมี อย่าไปบอกพี่เตอร์หละว่าพี่เตอร์เป็นคนที่ผมคบด้วยคนแรกและเป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกชอบ) ถ้ามีอาจารย์เข้ามาเจอแล้วผมบอกเหตุผลไปว่าผมมาทำอะไรที่นี่ มีหวังโดนเตะโด่งออกจากห้องแน่นอน ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบชีทที่เพิ่งซีรอกเอาขึ้นมาอ่าฆ่าเวลา ตังยังพอมีเวลาให้ทบทวนบทเรียนเห็นว่าพี่เตอร์เลิกสองทุ่ม นี่เพิ่งหกโมงครึ่งจะให้เวลาเสียเปล่าไม่ได้
ผมก้มหน้าก้มตาทบทวนบทเรียนไปเรื่อย ๆ แม้จะมีนิสิตแพทย์หลาย ๆ คน (ทั้งปี 4-6) เข้าแวะเวียนมาในห้องพร้อมกับสงสายตามองมาด้วยความสงสัยแต่ผมก็ยังนั่งหน้าด้านหน้าทนมันอยู่ในห้องนี่หละ ก็คนเขาไม่มีที่ไปจะให้ไปรอที่ไหนหละ แถมเหลือเวลาอีกแค่แป๊บเดียวแล้วด้วยผมเหลือบตามองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพงและทันทีที่เข็มยาวเคลื่อนที่ไปยังเลข 12 มือถือของผมก็แผดเสียงดังลั่นทันที อารมณ์คนตกใจทำให้เกือบคว้ามือถือพลาด แต่คนที่โทรมานี่ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร
ไอคนที่โทรมาทันทีหลังเลิกเรียนในแต่ละคาบมีอยู่คนเดียวหละครับ (ไอคุณ)พี่เตอร์ แฟนหมาด ๆ ของผมนั่นเอง ให้ตายเถอะบอกแล้วว่าให้โทรมาเฉพาะเวลาจำเป็นแต่ดันบอกว่า ‘เวลาที่พี่คิดถึงเจมส์มันก็จำเป็น แล้วพี่คิดถึงเจมส์ทุกเวลาดังนั้นเวลาที่ว่างพี่เลยเลือกโทรหาเจมส์ตลอดไงหละครับ แฟนของเจมส์น่ารักใช่ไหม’ อยากจะตอบไปว่าน่ารักกับผีแต่ก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้างครับ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายแน่นอนว่าไม่ทันที่ผมได้พูดอะไรเสียงสดใสก็ดังแทรกมาตามสายจนผมต้องเอาห๔ออกห่างจากโทรศัพท์ “เจมส์ครับ ตอนนี้รออยู่ที่ห้องพักใช่ไหมครับเดี๋ยวพี่รีบไปหานะ ไอศิ ไอวิเร็ว ๆ ดิวะ แฟนเรารออยู่” ประโยคแรกพี่เตอร์พูดกับผมส่วนประโยคหลังพี่เตอร์พูดกับเพื่อนของเขาครับ
แล้วทำไมพี่เตอร์ถึงเปิดเผยเพื่อนผมเป็นแฟนกันกับพี่ศิพี่วิได้ นั่นก็เป็นเพราะพี่เตอร์ใช้จุดอ่อนของสัญญาครับ ดันมาบอกว่า เจมส์ให้ตกลงว่าจะเก็บเป็นความลับกับเพื่อนของเจมส์ แต่ไม่ได้รวมไปถึงเก็บเป็นความลับกับเพื่อนของพี่ด้วยนี่ ครับดังนั้นในตอนนี้ก็มีเพียงพี่ศิกับพี่วิเท่านั้นที่รู้ว่าผมตกลงปลงใจกับพี่เตอร์แล้ว แต่ผมเอาหัวเป็นประกันว่าอีกไม่นานเพื่อน ๆ ของผมทั้งกลุ่มต้องรู้เรื่องแน่นอน และจากที่ผมคิดไว้ไอตัวปากบอนที่เอาไปพูดหนะต้องเป็นไอกรชัวร์
ทำไมผมเชื่อมั่นแบบนั้นหนะเหรอ ข้อแรกมันเป็นแฟนกับพี่ศิ ข้อสองมันเป็นแฟนกับพี่ศิ และข้อสามก็มันเป็นแฟนของพี่ศิที่เป็นเพื่อนกับพี่เตอร์ไง ถ้ามันไม่รู้นี่ ขอเรียกว่ามันโง่เกินเยี่ยวยาแล้วครับ
ผมทอดถอนลมหายใจยาวเหยียดออกมาพลันบานประตูห้องพักก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของพี่เตอร์ที่ถลาเข้ามาภายในห้อง “Hello, My littlr princess” เท่านั้นหละครับ ชีทปึกใหญ่ที่อยู่ในมือผมก็ปลิวไปโดนหน้าพี่เตอร์พอดีเปะ แหมแม่นอย่างกับจับวาง
“พี่เตอร์บางทีก็ควรเลิกเรียกผมแบบนั้นสักทีนะครับ” ผมพูดพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ ส่วนพี่เตอร์เอามือลืมหน้าป้อยๆ พร้อมกับก้มเก็บชีทเรียนของผมขึ้นมา
“ทำแบบนี้หน้าหล่อ ๆ ของแฟนก็เสียหมดสิครับ” พี่เตอร์พูดยียวน ส่วนผมเตรียมจะหยิบชีทอีกปึกหนึ่งซึ่งหนากว่าเดิมเตรียมปาใส่
“ให้เสียโฉมไปเลยก็ได้” แต่ก่อนที่จะเกิดสงครามอะไรไปมากกว่านี้ ตัวห้ามทัพอย่างพี่ศิก็เข้ามากันระหว่างเราสองคนเอาไว้ ความใจเย็น (หละมั้ง) ของพี่ศิยังคงช่วยชีวิตพี่เตอร์ได้เสมอ (ผมลืมบอกใช่ไหมครับว่าผมคบกับพี่เตอร์ได้ราว ๆ สองอาทิตย์กว่าแล้วครับ และไม่มีวันไหนที่เราจะไม่ทะเลาะกันแต่สุดท้ายคนที่จบเรื่องราวทั้งหมดให้นั่นก็คือคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยอย่างพี่ศิ)
“พอเถอะครับเจมสืถ้าโวยวายมากกว่านี้อาจารย์จะเข้ามาว่าได้นะครับ” เสียงทุ้มที่พูดติดดุนิดหน่อยเอ่ยเตือนผม ซึ่งผมก็ทำตามพี่ศินะครับ บางทีถ้าผมเป็นผู้หญิงผมจีบพี่ศิไปแล้วไม่ปล่อยให้รอดมือไปถึงไอกรหรอก คนอะไรสุดแสนจะเพอเฟกหัวจรดเท้า หน้าตาก็หล่อ ฐานะทางบ้านก็ดี การเรียนเป็นเลิศ ที่สำคัญรักใครรักจริง ต่างจากใครบางคนแถวนี้ลิบลับ แต่ยกให้ข้อหนึ่งแล้วกันว่ารักใครรักจริง ถ้าไม่มีข้อนี้ผมก็คงไม่ได้คบกับเขาหรอกครับ ยกข้อนี้ให้ข้อหนึ่งก็ได้แค่ข้อเดียวนะครับส่วนข้ออื่น...ยังแพ้พี่ศิทุกข้อ
ผมยอมเงียบตามที่พี่ศิบอกก่อนจะเดินไปหยิบชีทจากมือพี่เตอร์และยัดทั้งหมดนั่นใส่กระเป๋า เมื่อผมเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็เตรียมออกจากห้องโดยที่ไม่คิดจะรอพี่เตอร์ แน่นอนว่าโดนรั้งไว้เต็มมือเลยสิครับ แขนแทบหลุด “ก็มาเจอแล้วไง ผมจะกลับไปอ่านหนังสือแล้ว” ผมพูดท้วงแบบนั้นแน่นอนว่าพี่เตอร์ก็ต้องงองแงสิครับ ทั้งรั้งทั้งดึงทั้งกอดเลยครับจนในที่สุดพี่แกใช้ท่าไม้ตายโดยการบอกว่าจะประกาศเรื่องราวที่ผมคยกันให้ทุกคนได้รับรู้โอเคครับ ยอมแพ้ผมกลับไปนั่งนิ่ง ๆ ที่เก้าอี้ยอมรอพี่เตอร์เก็บข้าวเก็บขอเพื่อกลับหอ
ผมรอพี่เตอร์อยู่นานสองนาน จนกระทั่งพี่แกกอบโกยเอาของทั้งหมดลงกระเป๋าเสร็จและเมื่อพวกเราทั้งสามกำลังจะเตรียมตัวออกจากห้อง บานประตูที่เคยเปิดสนิทก็เปิดอ้าออกพร้อมกับการปรากฏตัวของไอกรที่บ่นเสี้ยงง้องแง้งว่าหิวข้าวพี่ศิพาไปกินข้าวหน่อย และเป็นเวลาเดียวกันที่พี่เตอร์โอบเอวแล้วหอมแก้มผม คราวนี้หละเห็นภาพ สวีทเต็มสองตาไอกรที่กำลังบ่นง้องแง้งนี่ทำตาลุกวาวและไม่ลืมที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป พร้อมอัพโหลดขึ้นเฟซบุคเสร็จสรรพ แทคกันอย่างเรียบร้อยในเวลาไม่กี่วินาที ภาพนี้ก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัย โดยฝีมือไอเพื่อนสุดที่รัก
เพื่อนที่น่ารักของผมส่งรอยยิ้มมาให้ก่อนจะเดินสวนทางเข้าไปควงแขนแฟนของมันแล้วเดินออกไปนอกห้อง แต่ก่อนที่มันจะได้ก้าวออกไป น้ำเสียงกวนประสาทที่เป็นเอกลักษณ์ของมันก็ถูกเอ่ยขึ้น และนั่นทำให้ผมอยากจะฆ่าเพื่อนของตัวเอง “ตกลงปลงใจกับพี่เตอร์แล้วไม่ยอมบอกใคร ดังนั้นกูเลยบอกให้คนทั้งมหาลัยรู้แทนแล้วกัน” พูดพลางเอามือถือขึ้นมาให้พวกผมดู ภาพที่มันอัพและแทคผมนั้นถูกแปะในแฟนเพจของมหาวิทยาลัย
ผมนี่ชอคไปแล้วส่วนพี่เตอร์ได้แต่หัวเราะเขิน ๆ แทนคำตอบ แต่ก่อนที่ผมจะได้วิ่งไปฆ่าเพื่อนรักของผม เจ้าของมือที่โอบเอวของผมอยู่ก็กระชับวงแขนแน่นขึ้นไปอีก
“มันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้วจะอายไปทำไมครับเจมส์...ทำแบบนี้สิดีจะได้ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับพี่ไง แต่พี่ก็ชอบตอนที่เจมส์หึงพี่นะ” สิ้นประโยคผมก็หันไปส่งรอยยิ้มเย็น ๆ ก่อนจะใช้สันมือสับไปที่กลางหัวของพี่เขาหนึ่งที
“ถ้าผมหึงจริง ๆ ผมจะเอาโซ่ล่ามคอพี่เตอร์ไว้แล้วขังเอาไว้ในห้องครับ ขังแบบไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยครับ” จบประโยคผมได้ยินเสียงพี่เตอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะส่งรอยยิ้มแหย๋ ๆ มาให้ ท่าทางพี่เตอร์จะรู้สึกกลัวจริง ๆ นะครับแต่ถ้าถามว่าผมพูดจริงไหม ผมบอกเลยว่าพูดจริงครับ ผมเป็นคนหึงโหดพอสมควรแต่คงไม่ถึงกับล่ามโซ่แค่ใส่ปลอกคอให้คนอื่นรู้ว่าคน ๆ นี้ของผมหละครับ
ผมได้แต่หวังไว้ว่าพี่เตอร์จะไม่ทำตัวให้ผมใส่ปลอกคอล่ามโซจริง ๆ หละครับ...สวัสดี...