-14-
“ลูกแกะ...”
“…”
“ตื่นได้แล้ว”
“ฮื่อ”
เกรย์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีของเด็กว่าง่ายที่ปกติไม่เคยดื้อ ท่าทางคงจะง่วงมากจริงๆ ถึงงอแงแบบนี้ ตอนอยู่ไทยแค่เรียกนิดเดียวก็ยอมลืมตาขึ้นมาอ้อนกันแล้วแท้ๆ ที่วิคเตอร์บอกว่าอยู่บนเครื่องเอาแต่นอนเกือบตลอดเวลาคงจะจริง เพราะเมื่อคืนกว่าเจ้าตัวจะหลับได้ก็พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบ พอต้องสลับเวลาไปหมดถึงได้ดูงัวเงียจนน่าสงสาร
ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนเขาคงจะปล่อยให้นอนตามสบาย แต่นี่ไม่ใช่...
“ลูกแกะ เราต้องลงไปกินข้าวพร้อมพ่อแม่นะ” เขากระซิบบอก ขณะที่มือยังคงลูบแก้มขาวของคนง่วงนอนเบาๆ ในช่วงแรกดูราวกับลูกแกะน้อยคล้ายจะหลับไปแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น แต่แล้วเมื่อเกรย์ทำท่าจะผละออก ปล่อยให้อีกคนนอนต่อตามใจ มือข้างหนึ่งก็ถูกคว้าเอาไว้แน่น หันไปมองอีกทีก็เห็นคนที่เมื่อครู่ดูง่วงงุนเกินกว่าจะลุกเบิกตาโตมองเขาคล้ายเห็นผี
“เกินเวลากินข้าวหรือยังครับ!”
“ก็...อีกสิบนาที”
“ผมจะรีบอาบน้ำ” ว่าจบเจ้าตัวก็ผุดลุกขึ้นไปคว้าผ้าเช็ดตัว วิ่งตึงตังเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น ทิ้งให้คนปลุกนั่งกะพริบตาปริบๆ มองตามอยู่เพียงลำพัง กว่าเกรย์จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ตอนที่ลูกแกะน้อยเดินออกมาจากห้องน้ำในเวลาห้านาทีต่อมา
“ไม่ต้องรีบมากก็ได้” เขาบอกคนตัวขาวที่รีบคว้าหยิบเสื้อผ้ามาใส่เหมือนจะรีบร้อนไปไหน
“ไม่รีบได้ยังไง ถ้าลงไปสายเดี๋ยวพ่อแม่คุณจะตำหนิเอา”
“ไม่หรอก”
“ต่อให้ไม่ว่าก็คงตัดคะแนนในใจแน่ๆ จากที่ติดลบอยู่แล้วจะติดลบหนักกว่าเดิมนะครับ”
ที่แท้ก็มีคนไม่อยากถูกตัดคะแนน...
เกรย์คว้าแขนคนที่ตั้งท่าจะวิ่งออกไปจากห้อง ก่อนจะดึงรั้งให้เจ้าตัวนั่งลงข้างกาย มือลูบหัวลูบหางจนลูกแกะขนฟูที่ดูเร่งรีบจนน่าตลกใจเย็นขึ้นแล้วจึงพูดต่อ
“คิดจะทำอะไร ไหนบอกมาสิ”
“ผมจะทำให้พ่อแม่คุณยอมรับให้ได้” คนฟังตอบง่ายๆ แต่น้ำเสียงกลับมั่นคงจริงจัง คล้ายคนที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่างได้แล้ว “เมื่อคืนที่นอนไม่หลับก็เพราะคิดกังวลเรื่องนี้ด้วย แต่พอนึกไปนึกมากลายเป็นคำตอบมันง่ายแค่นี้เอง ในเมื่อพ่อแม่คุณไม่ชอบ ให้คะแนนติดลบอยู่ ผมก็แค่ต้องเพิ่มคะแนนพวกนั้นขึ้นมา ทำให้พวกท่านยอมรับให้ได้”
“ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้” เกรย์ทอดสายตามองลูกแกะอย่างอ่อนโยน ไม่รู้จะกลั้นยิ้มได้อีกนานแค่ไหน ทั้งที่เมื่อคืนเขาอุตส่าห์ปลอบให้หายคิดมาก บอกว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้แท้ๆ เพราะถึงอย่างไรหากเขาไม่ยอม จะพ่อหรือแม่ก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับอะไรทั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ไม่ยอมดันเป็นคนข้างกายเสียนี่
“ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่สบายใจถ้าคุณกับครอบครัวต้องผิดใจกัน ถึงคุณจะบอกว่าสุดท้ายใครชนะ อีกฝ่ายก็ต้องยอมลง แต่คุณกับผมจะมีความสุขจริงๆ เหรอที่ได้รับการยอมรับแค่เพียงเพราะพวกเขาไม่อยากสู้ต่อ ผมอยากให้เราชนะจริงๆ มากกว่า ถ้าพ่อแม่คุณยอมรับผมจากใจเมื่อไหร่ นั่นต่างหากที่หมายถึงชัยชนะจริงๆ”
เกรย์จ้องมองใบหน้าจริงจังที่ดูน่ารักน่าชังในสายตาของเขาเอามากๆ แล้วนิ่งงันอยู่นานนับนาที กระทั่งถูกเจ้าของดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นเขย่ามือไปมาเป็นเชิงเรียกสติ เขาจึงหลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“หัดพูดแบบนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่หืม”
“ผมก็จริงจังเป็นหรอก” ประมุขยืดอกขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะโอ้อวด แต่วินาทีถัดมาก็เปลี่ยนสีหน้ากลับไปดูลุกลี้ลุกลนเหมือนเดิม ยามหันไปเห็นนาฬิกาที่กำลังจะบอกเวลาเจ็ดโมงตรงในอีกไม่ถึงหนึ่งนาที “รีบไปเร็วเข้า!”
แม้นึกอยากมองท่าทางน่ารักน่าชังนั่นให้นานกว่านี้อีกสักนิด แต่ขืนยังลีลาเล่นตัวไม่ยอมตามลงไปเสียที ลูกแกะคงได้โทษว่าเขาทำให้ตัวเองถูกลดคะแนนเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นเจ้าของร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ เดินตามคนที่แทบจะวิ่งไปยังห้องอาหารช้าๆ ไม่ได้เร่งรีบแต่ก็ไม่ปล่อยให้ละสายตา
ประมุขทำให้แม่บ้านและสาวใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมาแตกตื่นไปหมด เมื่อเขาไม่รู้ว่าห้องอาหารอยู่ที่ส่วนไหนของคฤหาสน์กว้างขวางที่มีห้องเป็นสิบ เดินไปเดินมาก็เริ่มงงจนต้องวิ่งกลับไปหาคนที่เดินยิ้มตามมาด้านหลัง ซึ่งดูเหมือนจะรู้ทางดีแต่ไม่ยอมพูดอะไร ครั้นจะหันไปถามคุณแม่บ้านทั้งหลายก็ไม่รู้ว่าพวกเธอพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า
“รีบพาผมไปห้องอาหารเร็วเข้า... ไหนบอกว่าที่นี่เล็กไง เล็กตรงไหนเนี่ย แค่ในบ้านก็หลงจนปวดหัวไปหมดแล้ว” ลูกแกะผู้ได้มาเหยียบบ้านของมหาเศรษฐีเป็นครั้งแรกบ่นงึมงำ เหมือนจะหงุดหงิดนิดหน่อยแล้วด้วยที่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที “เกินเวลามาสองนาทีแล้ว...”
เกรย์รีบจับมือคนหน้างอเอาไว้แล้วดึงรั้งให้เดินตามไปในทิศทางตรงกันข้าม ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คงต้องบอกว่าเขาชื่นชอบท่าทีของลูกแกะตัวน้อยเอามากๆ ทั้งหน้าตาเวลากังวลหรือหงุดหงิดล้วนแล้วแต่น่ามองไปหมด หากเป็นไปได้ก็อยากจะยืนมองทั้งวัน น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลา และเขาก็ควรพาอีกฝ่ายไปกินข้าวเสียที
“มาอยู่บ้านคนอื่นวันแรกก็ลงมาสายแล้ว” เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตห้องอาหารกว้างขวางที่มีโต๊ะตัวยาวสำหรับคนเป็นสิบแบบเดียวกันกับที่ประมุขเคยเห็นในหนัง คุณผู้หญิงที่นั่งเรียบร้อยอยู่ข้างเจ้าของบ้านก็ส่งแววตาตำหนิติเตียนพร้อมคำพูดเชือดเฉืิอนมาให้
“ขอโทษครับ” ลูกแกะน้อยได้ฟังความผิดก็หงอลงเล็กน้อย หากยังไม่ทันให้เกรย์พูดอะไรขึ้นมา เจ้าตัวก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสดใส “ผมยังไม่รู้ทิศทางในบ้านเลยเดินหลงไปหมด จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอนครับ”
คำพูดที่จะมองเป็นการถือดีหรือการเถียงก็ได้หากคนฟังต้องการดูอ่อนนุ่มลงเกือบเก้าสิบเปอร์เซนต์ยามออกมาจากปากของคนที่ดูใสซื่อทั้งดวงตาและนิสัย กระทั่งคาร่าที่จ้องจับผิดคนของลูกชายแทบทุกฝีก้าวยังไม่เอ่ยอะไรออกมา มีเพียงเกรย์เท่านั้นที่มองบรรยากาศของห้องอาหารด้วยสีหน้าพอใจ
“ลูกแกะ... ไปนั่งเถอะ”
“จริงด้วย” คนที่ถูกเตือนเบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเขินแบบเด๋อๆ ขณะก้าวเท้าไปนั่งลงด้านข้างเกรย์ที่นั่งอยู่ข้างเจ้าของบ้านอีกที
หลังจากที่ได้รับสัญญาณจากเจ้าภาพ อาหารก็เริ่มทยอยจัดขึ้นโต๊ะทีละอย่างๆ ประมุขจ้องมองช้อนส้อมหลายคันที่วางอย่างเป็นระเบียบตามตำแหน่งที่เขาไม่รู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรบ้างแบบเกร็งๆ หากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็สั่งให้แอบมองคนข้างกายแล้วหยิบช้อนใช้ตามอย่างถูกต้องทุกท่วงท่า แม้จะไม่ได้ดูสง่างามเท่าเจ้าบ้านหรือคุณหญิงของบ้าน แต่แค่เห็นว่าเกรย์ก็ไม่ได้รักษาท่าทีเป็นคุณชายอะไรขนาดนั้น เขาก็พอจะทำใจให้กินข้าวแบบธรรมดาๆ ที่พยายามให้ดูสุภาพมากกว่าเดิมนิดหน่อยได้โดยไม่รู้สึกแปลกประหลาด
หลายครั้งหลายคราที่คุณผู้หญิงเหลือบมองดูแขกอยู่บ่อยครั้ง ทว่าผ่านไปไม่นาน คนที่ดูเกร็งอยู่ไม่น้อยก็ทำตัวเป็นธรรมชาติ ยิ้มแย้มทานอาหารด้วยท่าทีเช่นคนธรรมดา หากแต่ดูเอร็ดอร่อยอย่างมากไปจนหมดจาน ซ้ำยังแอบหันไปชูนิ้วโป้งให้บรรดาเมดสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังจนพวกเธอหลุดยิ้มกันเป็นแถว
“ถูกปากหรือเปล่า”
โดยไม่คาดคิด... จู่ๆ ผู้ที่นั่งเงียบอยู่ตรงตำแหน่งหัวโต๊ะมาโดยตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ทำเอาคาร่าหันไปมองอย่างตกใจ เกรย์เองก็เลิกคิ้วประหลาดใจไม่น้อย หากคนที่ได้ยินคำถามและไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดกลับยิ้มกว้าง หันไปหาแล้วพยักหน้าหงึกๆ อย่างอารมณ์ดี
“อร่อยมากๆ เลยครับ นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กินอาหารที่พูดได้เต็มปากว่าชอบสุดๆ แบบนี้ น่าจะตั้งแต่ที่เริ่มทำอาหารกินเองได้ แล้วพี่ชายที่ทำอาหารอร่อยมากๆ ก็ไม่ยอมทำให้กินอีกเลย” พอได้พูดถึงพี่ชายประมุขก็ลอบเบะปากด้วยความหมั่นไส้ แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าชื่นชมฮ่องเต้มากขนาดไหน “จริงด้วย... คุณท่านกับคุณผู้หญิงอยากลองกินอาหารไทยบ้างไหมครับ ตั้งแต่กลับมาเรียนที่ไทยผมก็ฝึกทำอาหารไทยได้หลายอย่างเลย”
“ลูกแกะ...” เกรย์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสรรพนามที่ลูกแกะน้อยของเขาใช้เรียกพ่อแม่ เมื่อวานก็บอกชัดแล้วแท้ๆ ว่าไม่จำเป็นต้องเรียกแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าออดอ้อนของคนด้านข้างที่ดูไม่ได้คิดอะไรมากกับคำเรียกที่ไร้ซึ่งความสนิทสนม เขาก็ได้แต่ทอดถอนใจแล้วปล่อยเลยตามเลย
“ฉันไม่ทานอาหารไทย”
“คุณผู้หญิงไม่ชอบอาหารไทยเหรอครับ” ประมุขรีบหันไปถามพร้อมรอยยิ้ม กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าถ้าไม่ชอบอาหารไทย เขายังทำอาหารชาติอื่นๆ ได้อีก ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปาก คำพูดถัดมากลับทำลายความหวังและรอยยิ้มบนใบหน้าจนหมดสิ้น
“เปล่า ฉันไม่ชอบเธอต่างหาก”
คนพูดบอกตามตรงโดยไม่ได้คำนึกถึงความรู้สึกของใคร แต่คนฟังกลับจ๋อยสนิททั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้ว คงต้องยอมรับว่าการถูกใครคนหนึ่งบอกว่าไม่ชอบตรงๆ เป็นครั้งแรกแบบนี้ทำร้ายความรู้สึกกันมากพอดู ประมุขตักข้าวเข้าปากแบบหงอยๆ อยู่สองสามคำ ขณะที่เกรย์จ้องหน้าแม่แท้ๆ ของตัวเองด้วยความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าพ่อของเขากำลังจ้องมองลูกแกะน้อยอย่างพิจารณา เหมือนกำลังรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ เขาไม่มีทางยอมให้แม่มาทำให้คนสำคัญหงอยแบบนี้แน่
ประมุขไม่ทำให้ใครผิดหวัง เมื่อผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีเจ้าตัวก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม และไม่เพียงไม่เมินเฉยต่อสิ่งที่คาร่าพูด แต่เขายังผงกหัวขออนุญาตอย่างสุภาพ แล้วหันกลับไปหาบรรดาเมดสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง
“ถ้าว่างๆ...ผมขอเข้าไปช่วยงานในครัวหน่อยนะครับ อย่างน้อยเข้าไปดูก็ยังดี”
“อะ...ค่ะ” พวกเธอตอบรับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแตกตื่นที่ปกปิดเอาไว้ไม่มิด แม้สำเนียงภาษาฝรั่งเศสของผู้มาใหม่จะดูแปร่งๆ หรือติดขัดไปบ้าง แต่ก็ยังฟังรู้เรื่องและสัมผัสถึงความตั้งใจได้อย่างชัดเจน
“ผมจะพยายามให้มากกว่านี้ครับ คุณยังไม่ชอบกันตอนนี้ก็ไม่เป็นไร”
“…” คนที่ถูกจ้องด้วยแววตามุ่งมั่นไม่ได้ตอบอะไร เพียงเบนสายตาออกและยกน้ำขึ้นจิบเท่านั้น โชคยังดีที่มีคนชวนคุยต่อ ลูกแกะน้อยที่ถูกเมินจึงไม่มีเวลาเศร้ามากนัก
“พูดภาษาฝรั่งเศสได้ด้วยเหรอ” ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหัวโต๊ะส่งเสียงถามเป็นภาษาอังกฤษ ใบหน้าเย็นชาไม่แตกต่างจากเกรย์ฉายชัดถึงความประหลาดใจ
“พยายามฝึกอยู่ครับ เพิ่งจะมาเริ่มศึกษาจริงจังก็ช่วงนี้ แต่ถ้าฟังเวลาเกรย์พูดเร็วๆ ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม” คำอธิบายตามความจริง ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปทำให้ดวงตาอ่านยากของเอริคฉายแววพออกพอใจออกมาวูบหนึ่ง หากเพียงไม่นานก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ลองทำมา”
“ครับ?”
“พรุ่งนี้เย็น อาหารไทยที่ว่า ลองทำขึ้นโต๊ะมาแล้วกัน” เอริคยกผ้าขึ้นซับบริเวณมุมปากเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืน “แต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าไม่ถูกปาก ฉันพร้อมเททิ้งทุกเมื่อ”
คนได้รับโอกาสแบบงงๆ ฟังจนจบก็ทำตาโต รีบหันไปเขย่าแขนเกรย์ด้วยความยินดีเมื่อผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านเดินจากไปแล้ว ฝ่ายลูกชายเจ้าของบ้านเห็นแล้วก็ได้แต่ยกยิ้มตาม มือลูบหัวลูกแกะตัวน้อยด้วยความเอ็นดู เห็นอีกฝ่ายมีความสุข เขาเองก็มีความสุขตามไปด้วย
“วันนี้ไม่ต้องให้ใครเข้ามารบกวนฉันในห้องจนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น” คาร่าหันไปสั่งเมดสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นภาษาฝรั่งเศสก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดหรือเหลือบแลไปมองแขกอีกเลย
เกรย์กระซิบบอกความหมายของสิ่งที่แม่พูดให้ลูกแกะน้อยฟังเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ลูบหัวทุยเบาๆ เป็นเชิงชื่นชมที่ทำตัวได้น่ารักสมกับที่เขาเลือก
เมื่อห้องอาหารไม่เหลือใครแล้วนอกจากเมดสาวที่คอยรับใช้อยู่ด้านหลัง คนที่แอบกดดันในใจไม่น้อยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
“พ่อแม่คุณน่ากลัวมากๆ เลย”
“จริงเหรอ... แต่ฉันไม่เห็นลูกแกะทำท่าเหมือนกลัวเลยนะ” เกรย์แสร้งเลิกคิ้วประหลาดใจ ได้ยินดังนั้นลูกแกะที่รู้สึกเหมือนได้รับคำชมก็อมยิ้มจนแก้มตุ่ย
“แสดงว่าผมเก็บอารมณ์ได้แนบเนียนใช่ไหม ดีใจจัง”
“เก่งมาก” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเลื่อนแก้วไปให้คนที่น่าจะคอแห้งเพราะไม่ได้แตะน้ำเลยสักหยดแบบเนียนๆ
ต่อให้ลูกแกะน้อยเก็บอารมณ์เก่ง ไม่แสดงออกทางสีหน้าหรือแววตาให้เห็นเลยสักนิดว่าหวาดกลัว แต่สำหรับเขาที่เฝ้าสังเกตทุกอย่างแม้แต่มือที่สั่นเล็กน้อยตอนจับช้อน หรือความผิดปกติที่เจ้าตัวเผลอแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวอย่างการไม่ยกน้ำขึ้นดื่มทั้งที่ปกติเป็นคนกินน้ำเก่ง เพียงแค่อะไรเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ทำให้รู้ได้แล้วว่าคนสำคัญกำลังรู้สึกอย่างไร
ลูกแกะมีพรสวรรค์ทางด้านการแสดง แล้วก็เอามาปรับใช้ในชีวิตได้อย่างเยี่ยมยอด แต่ขืนบอกไปว่ายังมีจุดอ่อนอยู่อีกนิดๆ หน่อยๆ เกรย์เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องหาทางแก้ จนสุดท้ายเขาคงไม่อาจจับความรู้สึกใดๆ ได้อีกแน่ เพราะงั้นปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปดีที่สุดแล้ว
“แล้วนี่ลูกแกะจะเข้าครัวตอนเย็นวันพรุ่งนี้จริงๆ เหรอ”
“จริงครับ...” คนฟังพยักหน้าจริงจัง ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าเต็มไปด้วยความหวัง แต่พริบตาเดียวก็หงอยลงทันควันเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “แต่ผมอาจจะคุยกับพวกคุณเมดไม่รู้เรื่อง ผมยังฟังไม่เก่งเท่าไหร่เลย”
“กังเวลเรื่องนั้นเองเหรอ” เกรย์ส่ายหน้าหน่าย มือกดมุมปากลูกแกะน้อยแล้วบังคับให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหมือนเดิม ซึ่งคนว่าง่ายก็ยินดีทำตามแบบเด๋อๆ โดยไม่คิดถามอะไรเลยสักนิด เห็นแล้วเกรย์ก็ได้แต่หัวเราะอารมณ์ดี คิดในใจว่าตั้งแต่ได้เจอกันเขาก็กลายเป็นพวกยิ้มง่ายหัวเราะง่ายไปซะแล้ว “แอนนา”
“ค่ะ คุณชาย” เมดสาวคนหนึ่งขานรับและเดินมายืนอยู่ด้านข้างเจ้านายกับแขกคนสำคัญที่ตอนนี้หันมามองเธอตาแป๋วอย่างน่าเอ็นดู
“พรุ่งนี้เธอดูแลเขาด้วย”
“รับทราบค่ะ”
“ว้าว... คุณพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเหรอ” ประมุขถามคุณเมดที่กำลังจะเดินกลับไปที่เดิมเสียงใส ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมหยุดเท้าและหันกลับมายิ้มให้อย่างใจดี
“ได้ค่ะ ดิฉันเรียนจบทางด้านภาษาโดยตรง”
“สุดยอดเลยครับ”
.
.
(ต่อด้านล่าง)