(ต่อครับ)
งานเข้าพรรษาถูกจัดขึ้นพร้อมกับงานปิดทองฝังลูกนิมิตขึ้นอุโบสถหลังใหม่ที่สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวบ้านบางกะปิ
ใบหน้าของหม่อมแม้นพิศอิ่มเอิบผ่องใส คุณหญิงขัตติยพงศ์แต่งกายด้วยผ้าลูกไม้สีขาวสะอ้านกับซิ่นสีเขียวก้านมะลิ งามเรียบแต่อ่อนช้อยชวนมองด้วยความประณีตเรียบร้อยสมกับที่สืบสาแหรกมาจากนางสนองพระโอษฐ์องค์สมเด็จพระอัยกีแห่งพระพุทธเจ้าหลวงพระองค์ก่อน
ปิดทอง หย่อนสมุด ดินสอ และเข็มกับด้ายลงไปแล้ว หม่อมเธอก็ประนมมืออธิษฐานจิตแก่ศิลานิมิตให้พระบิดาแห่งผืนแผ่นดิน พุทธศาสนา ตลอดจนครอบครัวบริวารแข็งแรงสุขภาพ ปราศจากอุปัททวะโรคภัย ให้แดนสยามเป็นดั่งเขตแดนแห่งสีมา เป็นเขตสถิตย์แห่งมิ่งมงคล ตลอดจนดลบันดาลให้บุตรชายพบกับคนอันเป็นที่รัก อยู่กินใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในเร็ววัน
วัยที่ล่วงเลยสู่ความชราทีละน้อย หัวอกคนเป็นแม่ไม่ได้เป็นห่วงสิ่งใดนัก ด้วยรู้นิสัยบุตรชายว่าเป็นคนรู้คิด ไม่ใช่คนสุรุยสุร่าย ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ก็มากพอจะใช้ชีวิตได้สุขสบาย ขวัญสรวงเป็นคนรับผิดชอบ ช้าหรือเร็วก็คงผลิใบเติบใหญ่เป็นไม้งามเจริญตามบิดา ยามนี้ในใจของคุณหญิงเธอกลัดหนองก็เพียงเรื่องคู่ครองของบุตรอันเป็นที่รัก หากได้คนดีสมเสมอกัน ครอบครัวก็ไม่รุ่มร้อน ร่มเย็นไปถึงบ่าวไพร่ทั้งขัตติยพงศ์
แววตาแห่งความปรานีทอดมองบุตรชายที่นั่งอมยิ้มอยู่เคียงข้าง ขวัญสรวงยื่นศอกออกมา เอ่ยเสียงแจ่มใส
"วันนี้ขออนุญาตควงผู้หญิงที่สวยที่สุดในพระนครจะได้ไหมครับ"
"ทะลึ่งทะเล้นนักเทียว ลูกคนนี้"
มืออวบอูมตีลงบนต้นแขนคนตัวโตเบา ๆ ก่อนจะทิ้งนำหนักกับวงแขนที่มั่นคงนั้น หม่อมแม้นพิศพยุงตัวลุกขึ้น เดินไปด้วยกันโดยมีบ่าวรับใช้คอยตามอยู่ห่าง ๆ อีกที
ขวัญสรวงส่งมารดาที่เฉลียงศาลาการเปรียญตามคำร้องขอ ตุณหญิงขัตติยพงศ์แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอบางกะปิไปเสียแล้ว นานวันก็ยิ่งพึงใจกับความเป็นอยู่เรียบง่าย สนทนาปราศรัยกับชาวบ้านที่นี่เสียยิ่งกว่าคนในพระนครเสียอีก
"คุณพี่ ไม่ได้เจอเสียนาน สบายดีนะคะ" สตรีในชุดลูกไม้สีชมพูเข้มรุดขึ้นมาเอ่ยทัก
สะอิ้งเป็นสาวใหญ่วัยสี่สิบที่มักแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาดแบบสาวรุ่น เหลืองก็ต้องเหลืองสด เขียวก็ต้องเขียวจัด ตำแหน่งเมียใหญ่ของกำนันจงรักซึ่งมีอิทธิพลในละแวกนี้อยู่ไม่น้อยทำให้หล่อนชูคอระหงไปทั่ว เจอใครก็วางตัวว่าอยู่อีกขั้น เป็นผู้ลากมากดีในแบบที่หล่อนจินตนาการเอาตามละครวิทยุ ทุกครั้งที่พบกับหม่อมแม้นพิศก็มักจะตีสนิทเสมอเทียม แต่ท่านแม่ก็สงบพอจะไม่ถือโทษโกรธความ
"ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งใหญ่โตเท่าไร ตัวเราก็ควรต้องยิ่งเล็กลงเท่านั้น ไม่ชอบที่เขาทำบาตรใหญ่ก็อย่าได้เป็นแบบเขา"
คำพูดที่ผู้เป็นมารดาพร่ำสอนอยู่เสมอนั้นพลอยทำให้ขวัญสรวงทุเลาจากอารมณ์กรุ่นเคืองเสียทุกครั้ง
"น้องคิดถึงคุณพี่อยู่ทุกวัน คุยกับใครก็ไม่ถูกคอเหมือนคุณพี่" สะอิ้งเอ่ยเสียงดังไปทั้งศาลา
ผู้เป็นมารดาคงรู้นิสัยของขวัญสรวงดีจึงหันมาส่งยิ้มให้ รอยยิ้มที่เปรียบดังสายน้ำเย็นนั้นชะโลมไฟในทรวงของชายหนุ่มจนดับสิ้น ไม่เหลือแม้แต่เชื้อ
"ชายขวัญออกไปเดินเล่นเถอะ กลับแล้วแม่จะให้คนไปตาม"
ใช่ว่าจะเดาใจผู้เป็นแม่ไม่ออก เมื่อออกปาก เขาก็พร้อมปฏิบัติตามอย่างไม่นึกคร้าน ชายหนุ่มจึ่งหันไปพยักหน้าน้อย ๆ กับบ่าวที่ยืนถือตะกร้าอยู่ด้านหลัง
"สายบัว เธออยู่ตรงนี้เถิด มีอะไรก็ให้ไปตาม"
ขวัญสรวงยืนมองหม่อมแม้นพิศอยู่อีกสักพัก เมื่อเห็นสายบัวเดินไปตามน้าบานชื่นและคนอื่น ๆ มาคั่นกลางระหว่างสะอิ้ง จนใบหน้าเขรอะเครื่องสำอางของเมียใหญ่กำนันจงรักค่อย ๆ มึนตึงด้วยความขัดเคืองจึงเบาใจ ยอมปลีกตัวออกไป
ขาทั้งสองข้างของขวัญสรวงมาหยุดยืนที่หน้าพุ่มข้าวตอกดอกไม้ บัดนี้รวงข้าวเล็ก ๆ ที่ใช้เวลาทำกว่าสัปดาห์ถูกมัดขึ้นเป็นช่อประดับบายศรีขนาดใหญ่อยู่ในอุโบสถ ขาวละม่อมดุจดอกไม้ที่ผลิดอกจากปุยเมฆบนชั้นสวรรค์ พิศก็ให้ยิ่งนึกถึงดวงตาพร่างหยาดน้ำค้างที่เคยมองอย่างซักถามไม่หยุดหย่อน ถ้ามาเห็นความงดงามตรงนี้คงได้นั่งตอบคำถามจนหมดแรง
ดวงตาคมละจากบายศรีที่รายประดับรอบพระประธาน ขวัญสรวงไม่ได้มาเพื่อหยุดชื่นชมความงามของรวงดอกไม้นับหมื่นเช่นนี้ หากแต่จงใจมาเพื่อรอพบใครคนหนึ่ง พร้อมกับธุระบางอย่างที่สำคัญกว่าความน่าอัศจรรย์ของรวงดอกฟ้าตรงหน้านี้มาก
"อ้าว! คุณชายขวัญ นาน ๆ จะได้เจอกันที"
ได้ยินเสียงคนที่รอคอย ขวัญสรวงยกมือขึ้นไหว้ ทักเสียงเย็น
"สวัสดีครับ บังเอิญได้พบกำนันที่นี่"
นิสัยเมียเป็นอย่างไร นิสัยผัวก็ไม่ต่าง ความเป็นคนช่างสังเกต ขวัญสรวงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะเช่นนั้นสีหน้าของชายหนุ่มจึงไม่ได้แสดงออกถึงความประหลาดใจเมื่อชายร่างท้วมดูกร่างอย่างกำนันจงรักจะรีบเข้ามาทักทายราวกับสนิมชิดเชื้อมานานแสนนาน
"แล้วนี่มากับหม่อมท่านรึ"
ขวัญสรวงพยักหน้ารับ สุ้มเสียงหนักแน่นกังวาน
"กำนันสบายดีนะครับ"
"สบายดี ๆ"
เพราะตรึกตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว หลักจากทักทายตามอัธยาศัย ชายหนุ่มก็เปิดเข้าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ประหยัดเวลา ไม่ถือพิธีรีตรอง
"พบกำนัน ผมว่าจะถามเรื่องที่ดินอยู่พอดี ไม่รู้ว่าคิดเห็นยังไง"
เฒ่าผู้กว้างขวางแห่งคลองบางกะปินิ่งไปสักพักแล้วยิ้มกริ่มอารมณ์ดี อิ่มเอมนักที่วันนี้คุณชายขัตติยพงศ์ผู้แสนถือตนเป็นฝ่ายยำเกรงเข้าหา
"ที่ติดต่อจะมาขอซื้อนั่นหรือ เรื่องนั้นผมไม่มีปัญหาหรอก"
กำนันจงรักพูดเสียงกังวาน นิสัยเอารัดเอาเปรียบนั้นดั่งเช่นลายที่สลักบนผิวหนัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเทียบเท่ากับอวัยวะชิ้นสำคัญมาช้านานแล้ว
"จะติดที่ว่าอยากจะเก็บที่ริมน้ำไว้เป็นมรดกให้ไอ้จ้อย ใครจะรู้ว่าอีกหน่อยบางกะปิอาจจะเจริญ มีโรงหนังแบบฝรั่งหรือรถเมล์รถรางแบบอำเภอชั้นในเขามี ที่ตรงนั้นเป็นที่งามนะคุณชาย ยิ่งติดกับคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ด้วยยิ่งงาม ผมอยากให้มันสมน้ำสมเนื้อ ไม่ให้ลูกชายมันมาตามว่าเอาทีหลังได้"
ขวัญสรวงนึกขันอยู่เพียงแต่ในใจตนเอง ในท่วงท่าอันสงบนิ่งความหน่ายต่อการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นกำลังต่อสู้อย่างเข้มข้นอยู่ภายใน
"ผมทราบว่ามาทางนั้นน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอยู่ไม่น้อย"
แม้พื้นฐานจะไม่ละเอียดละออแต่กำนันจงรักไม่ใช่คนโง่ เกริ่นมาแค่นี้ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการพูดถึงอะไร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าขวัญสรวงจะหยิบยกขึ้นมาพูด
เรื่องเป็นคนใหญ่โตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกินความคิดกำนันเฒ่าแต่แรกแล้ว แต่ถึงกับต้องออกปากอย่างนี้ เห็นว่าใหญ่โตที่ว่าอาจจะไม่ใช่แค่ใหญ่โตธรรมดา เสียแล้ว เช่นนั้นความกังวลของกำนันจงรักจึงวกมาสู่เรื่องสนนราคาที่ดิน หากไม่สมเหตุสมผลจนอีกฝ่ายร้องประเมิน คนที่ลำบากอาจไม่แคล้วเป็นตน
หากแต่หมูมาให้กินถึงที่ จะให้คนละโมบอย่างจงรักถอดใจง่าย ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก กำรี้กำไรกว่าสองเท่าล่อใจให้กำนันจงรักตัดใจยากเย็น
"อย่างนั้นเชียวรึ?"
ขวัญสรวงพยักหน้า ตอบเสียงเรียบเอาการเอางาน
"คนที่ซื้อที่ทีละหลายสิบไร่ได้ ไม่เคยเห็นว่าเป็นเศรษฐีธรรมดา ทางนั้นน่าจะเป็นพ่อค้าวานิช มีธุรกิจหลายอย่าง"
อิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของกำนันจงรักนั้นปกคลุมแค่คุ้งน้ำบางกะปิ เกินกว่านั้นสิงห์เฒ่าก็รู้ประมาณตนว่าอาจเป็นได้แค่เปลวไฟเล็ก ๆ บนก้านไม้ขีด โลกที่นอกเหนือจากคลองแสบแสบจะเป็นอย่างไรนั้นไม่เคยรู้ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนมั่งมี การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ผูกสมัครรักใคร่ไว้แต่เนิ่น ๆ บางทีอาจจะดีกับตนและครอบครัวยิ่งกว่า
"ที่พูดมาก็น่าคิด คุณชายคิดว่ายังไงล่ะ"
"ผมว่าน่าจะลดราคาที่ลงจากเดิมอีกสักนิด ให้พ้องตามโฉนดที่แก้ไขใหม่"
กำนันจงรักเสียงแข็งขึ้นทันที
"อย่างนั้นไม่ได้หรอก เห็นจะมากเกินไป"
ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่ายังคงนิ่งเฉย พูดเสียงเรียบแต่เฉียบขาดนัก
"ถ้าทางนั้นเรียกระวังชี้อีกรอบว่าหลักเขตเคลื่อนได้ยังไง กังวลว่ากำนันอาจจะมีปัญหากับกรมที่ดินได้ กลัวเรื่องจะลามไปใหญ่โต"
คำพูดที่เกินจะคาดคิดของขวัญสรวงทำให้กำนันจงรักหนาวไปถึงสันหลัง ทั้งที่วัน ๆ ชายหนุ่มดูจะไม่สนใจความเป็นไปสักอย่างแต่กลับรอบรู้อย่างลึกซึ่้ง
เรื่องรังวัดที่มีปัญหานั้นมาจากอุบายของกำนันจงรักเอง สิงห์เฒ่าไม่คิดว่าจะมีใครรู้เหตุ และที่ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือขัตติยพงศ์จะออกหน้าแบบนี้ เหงื่อกาฬเม็ดเล็ก ๆ กลั่นซึมบนมือหนาหยาบที่เต็มไปด้วยริ้วรอย นี่ไม่ใช่คำปรึกษาอย่างที่ขวัญสรวงเอ่ยสักนิด
มันเป็นคำสั่งแบบไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธได้ชัด ๆ
"ถ้าคุณชายเมตตา ผมก็คงต้องพึ่งบารมีคุณชาย"
กำนันเฒ่าจำใจตอบ รู้ดีว่าบิดาของคนที่ยืนผึ่งผายอยู่ตรงหน้านั้นใหญ่โตถึงเพียงไหนในกระทรวง
ขวัญสรวงยิ้มเรื่อย พูดตรงตามความรู้สึก
"อย่าคิดแบบนั้นเลยครับ ตัวผมเองไม่ได้รับราชการแบบท่านพ่อ อำนาจอะไรคงไม่มี เห็นแก่ที่กำนันจงรักก็เป็นคนคุ้นกันก็กังวล ไม่อยากให้มีปัญหา"
มาถึงขั้นนี้แล้ว กำนันจงรักได้แต่กำมือแน่น ใบหน้าแดงก่ำอวบอูมบิดเบี้ยว ลงท้ายก็จำพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
"เช่นนั้นกระผมก็ไม่ติดขัดอะไร"
แดดยามเช้าอาบผิวสีอุ่นจนกลายเป็นสีทองนวล ตักบาตรถวายดอกไม้แล้วเสร็จ ขวัญสรวงก็คุกเข่าจรดมือรับพรมงคลจากพระสงฆ์ รอกระทั่งท่านพายเรือออกจากท่าน้ำไปจึงเหยียดตัวขึ้นแลสวมรองเท้า
ดอกผักบุ้งสีขาวแซมม่วงคลอเคลียสายเมฆที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ มีสีแสดแต้มจุดดำของปีกผีเสื้อกระพือพลิ้วเย้าสายลมเหนือน้ำสีเขียวใสในคลองที่กระเพื่อมจนเป็นริ้ว มือหนากว้างหยิบเมล็ดข้าวสุกที่เหลือในขันแล้วโปรยลงน้ำ ทอดสายตามองมัจฉาน้อยใหญ่ผลุบขึ้นผลุบลงอย่างเพลินใจ
"ตกลงเรื่องซื้อขายที่ของกำนันจงรักเป็นยังไงบ้าง"
ขวัญสรวงเอ่ยถามขณะโปรยข้าวสุกบนฝ่ามืออีกครั้ง
"น่าจะเรียบร้อยดีแล้วนะครับคุณชาย ได้ข่าวว่ากำนันแกขายราคาตามประเมินจริง ลดลงกว่าที่ตั้งไว้ตอนแรกโขเลย อีกประเดี๋ยวก็คงได้เริ่มสร้างพระราชวังกัน"
ขณะที่เก็บข้าวของต่าง ๆ บนถาดให้เป็นระเบียบ บ่าวคนสนิทก็เหน็บเล็กแนมน้อยไปตามประสาอย่างอดไม่ได้ พูดไปก็ทำหน้าตื่นเต้นเสียออกหน้าไป
"เขาลือกันว่าจะสร้างแบบฝรั่งทั้งหมด คนออกแบบก็เป็นฝรั่งจากอิตาลีเชียวนะครับ สร้างเสร็จก็อยู่เคียงกับคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ คงจะใหญ่โตโอฬาริก กำนันแกคงยืดน่าดูที่ท้องที่นี้จะมีตึกฝรั่งสวย ๆ แถมที่ดินเดิมก็ยังเป็นของแกอีก นี่ก็เห็นว่าโอนที่ทำสัญญากันแล้ว ราคาดีจนน่าตกใจ"
ท่าทางของขวัญสรวงดูจะไม่ใส่ใจนัก และเมื่อได้ยินคำตอบที่พล่ามมาเสียยาวก็แค่ส่งเสียง "อืม" รับสั้น ๆ แล้วเดินขึ้นเรือนไป ทิ้งให้บ่าวคนสนิทได้แต่บ่นปอดแปดตามหลังด้วยความขี้สงสัย
"มันต้องมีอะไรแน่ละ มีแน่ ๆ อยากรู้เสียจริงว่าใครไปพูดอะไรแกถึงได้พลิกลิ้นเป็นคนละคนแบบนั้น"
+++++++++++++++++++++++++
สวัสดีครับ ขอบคุณมาก ๆ ที่ติดตามอ่านกันนะครับ
จบตอนนี้ไปก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดก็จะได้ย้ายมาอยู่ใกล้กันซะที
ซึ่งก็แปลว่านื้อเรื่องจะเริ่มเป็นรูปเป็นทรงมากขึ้น ขาดแค่เติมตัวละครอีกหน่อยน่าจะดีขึ้นครับ
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ตัวละครเยอะอีกเรื่อง แต่ไม่ต้องกังวลครับ
โผล่มาหยอมแหยมเป็นตัวละคร ABCD อะไรแบบนี้ไป
จะว่าไปแล้ว พิษณุนี่เป็นตัวละครที่น่ากลัวสำหรับคนแต่งมากครับ
เพราะพีเรียดกับเครื่องแบบทหารนี่มันช่างเอื้อกันนัก
เรื่องของเรื่องคือเดี๋ยวพี่ขวัญที่ไม่เป็นโล้เป็นพายจะดับอนาถเอา 555555
หลังจากแต่งไปประมาณนึงแล้วก็พบว่าพีเรียดนี่มันช่างเป็นทางที่ไม่ถนัดเอาซะเลย
ความอึดอัดที่ีสุดก็คืออาการพิรี้พิไรของแต่ละตัว ขัดใจมาก อยากจะให้พูดจาเห็นดำเห็นแดงกันไปจริงๆ
แต่ความอดทนอดกลั้นก็ได้มาซึ่งจังหวะจะโคนแบบนิยายพีเรียดอย่างที่ตั้งใจ พอใจประมาณนึงครับ
โม้มาเยอะละ พบกันตอนหน้าครับ ฝากติดตามด้วยนะ ^ ^